15 กันยายน 2554

<<< รายละเอียดนโยบายคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรก ไม่เกิน 100,000 บาท >>>

คืนภาษีรถคันแรก ครม.ไฟเขียว ปูจี้รมต.โชว์ออฟ

"ยิ่งลักษณ์" จี้ รมต.ทุกกระทรวงทำงานเชิงรุก สั่งเร่งพีอาร์ผลงาน ให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิประโยชน์ ประเดิมคืนภาษีรถยนต์คันแรก ครม.เห็นชอบตั้งงบฯปี 2556 จำนวน 3 หมื่นล้าน จ่ายเช็คเงินสด คืนภาษีให้ผู้ซื้อรถยนต์คันแรก 1 แสนบาท เริ่ม 16 ก.ย.นี้

เมื่อวันที่ 13 ก.ย. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้พูดถึงผลงานรัฐบาลว่า ขณะนี้ผลงานรัฐบาลมีเยอะมาก เอาแค่ประชาชนเข้าถึงสิทธิประโยชน์ ก็แทบไม่ทันแล้ว อย่างเรื่องการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ที่ให้มีผลในวันที่ 1 ต.ค. นายกฯได้สั่งว่า เมื่อทุกคนรู้แล้วว่าจะมีผลในวันที่ 1 ต.ค. หากไม่ประกาศไปเลย คนที่ซื้อก็จะชะงัก ดังนั้นจึงขอให้ประกาศเรื่องนี้ได้เลย โดยให้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.นี้เลย

นอกจากนี้ นายกฯยังได้ฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับผลงานรัฐบาล ต้องมีโจทย์ไปคิดว่าจะสื่อสารอย่างไรให้ประชาชนได้เข้าถึงผลงานรัฐบาลได้โดยตรง อย่างเรื่องรถคันแรก ประชาชนควรต้องรู้ว่าจะเริ่มเมื่อไร จะมีการกดปุ่มเปิดรถคันแรกหรือไม่ ซึ่งในวันนี้การสื่อสารยังไม่ดีพอ ดังนั้น จากนี้ไปทุกกระทรวงต้องทำงานเชิงรุกในการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงสิทธิประโยชน์

ด้านนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามกระทรวงการคลัง เสนอมาตรการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท และรถยนต์ที่ซื้อต้องมีราคาขายปลีกไม่เกินคันละ 1 ล้านบาท โดยกำหนดให้ผู้ซื้อรถยนต์ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์เร็วขึ้น จากเดิมที่จะให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2554 เป็นเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554 เพื่อไม่ให้เกิดการชะลอตัดสินใจ โดย ครม.หารือและมีความเห็นว่า หากกำหนดให้มีผลตามเดิม จะยิ่งทำให้ผู้ประกอบการทั้งค่ายรถยนต์และสถาบันการเงินรับความเดือดร้อน จากการที่ประชาชนชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไปจนถึงวันที่ 1 ต.ค. 2554 ส่วนวันสิ้นสุดเป็นไปตามเดิม ในวันที่ 31 ธ.ค. 2555 เบื้องต้นมั่นใจว่า จะมีผู้ซื้อรถยนต์คันแรกประมาณ 500,000 คัน

ทั้งนี้ ภายใต้การดำเนินมาตรการนี้ ครม.ได้อนุมัติให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 เพื่อคืนเงินให้กับผู้ซื้อรถยนต์คันแรกที่ถูกเก็บภาษีสรรพสามิตให้กับรัฐบาล โดยจะคืนให้เมื่อซื้อรถยนต์ครบ 1 ปีในรูปแบบของเช็คเงินสดครั้งเดียวเต็มจำนวน ลักษณะเดียวกับเช็คช่วยชาติของรัฐบาลชุดก่อน โดยเริ่มคืนตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2555 เป็นต้นไป และแม้ว่ารัฐบาลจะคืนเงินภาษีสรรพสามิตให้กับผู้ซื้อรถยนต์คันแรก แต่จะมีผลที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจแน่นอน เพราะจะกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายรถยนต์ ทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีทุกประเภททั้งภาษีรถยนต์ ภาษีเงินได้นิติบุคคลจากบริษัทผู้ขายรถยนต์ รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นจำนวนที่มากกว่าเงินที่ต้องคืนภาษีรถคันแรก

นายบุญทรง กล่าวต่อว่า ผู้ใช้สิทธิ์ขอคืนภาษีรถคันแรกไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือโอน เปลี่ยนมือภายใน 5 ปีแรก โดยกรมการขนส่งทางบกจะสลักไว้หลังเล่มทะเบียนรถยนต์อยู่แล้ว ว่าห้ามโอน เปลี่ยนมือภายใน 5 ปี แต่หากว่าในที่สุดเกิดกรณีที่ผู้ใช้สิทธิ์รับเงินภาษีคืนไปแล้วไม่ดำเนินการตาม หรือไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระต่อ หรือมีเหตุอย่างอื่น ก็อาจต้องใช้วิธีการทางศาลเพื่อคืนเงินภาษีที่ได้รับไปกลับคืนให้กับรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในปัจจุบันยังไม่ได้หาแนวทางการป้องกันการสวมสิทธิ์ แต่ก็ขอร้องผู้มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ หรือผู้ที่มาซื้อแทนบุคคลอื่นเพื่อสวมสิทธิ์ ต้องขอความกรุณาให้เห็นใจคนที่ยังไม่เคยมีรถยนต์เป็นของตัวเองด้วย โดยในวันที่ 14 ก.ย.นี้ เวลา 10.00 น.จะจัดให้มีการประชุมร่วมกับผู้ประกอบการรถยนต์ที่กระทรวงการคลังด้วย

สำหรับหลักเกณฑ์การคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรกที่สำคัญ ต้องเป็นรถยนต์นั่งขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร รถยนต์กระบะหรือปิคอัพ และรถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก หรือดับเบิ้ลแคป ที่สำคัญต้องเป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศหรือรถยนต์จดประกอบ ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยสามารถดูรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ www.excise.go.th ตัวอย่างเงินที่ได้รับคืน เช่น รถอีโคคาร์ มีอัตราภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บ 17% รถปิคอัพ 3% และดับเบิ้ลแคป 12% ซึ่งในส่วนนี้จะได้รับเงินคืนทั้งหมด.

ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ
13 กันยายน 2554, 19:51 น.

http://www.thairath.co.th/content/eco/201510

--------------------------------------------------------------

อัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ณ ปี 2553 (คิดเป็น % ตามมูลค่ารถ)


5. รถยนต์
5.1 รถยนต์นั่ง
(1) รถยนต์นั่ง
- ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 C.C. และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) = 30%
- ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,000 C.C. แต่ไม่เกิน 2,500 C.C.และมีกำลังเครื่องยนต์เกิน 220 แรงม้า (HP) = 35%
- ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,500 C.C. แต่ไม่เกิน 3,000 C.C.และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) = 40%
- ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 3,000 C.C. หรือมีกำลังเครื่องยนต์เกิน 220 แรงม้า (HP) ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) = 50%

(2) รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (PPV)
- ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 C.C. = 20%
- ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 3,250 C.C. = 50%

(3) รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (DOUBLE CAB)
- ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 C.C. = 12%
- ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 3,250 C.C. = 50%

(4) รถยนต์นั่งที่ผลิตจากรถยนต์กระบะหรือแชสซีส์และกระจกบังลมหน้าของรถยนต์กระบะหรือดัดแปลงจากรถยนต์กระบะ
(4.1) ผลิตหรือดัดแปลงโดยผู้ประกอบอุตสาหกรรมซึ่งมีคุณสมบัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด
- ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 C.C. = 3%
- ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 3,250 C.C. = 50%

(4.2) ที่ดัดแปลงโดยผู้ดัดแปลงตามมาตรา 144 ตรี 50 ซึ่งเสียภาษีตามมาตรา 144 เบญจ = อัตราภาษีตาม (1) ตามประเภทของรถยนต์นั่ง

5.2 รถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน
- ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 C.C. และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) = 30%
- ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,000 C.C. แต่ไม่เกิน 2,500 C.C.และมีกำลังเครื่องยนต์เกิน 220 แรงม้า (HP) = 35%
- ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,500 C.C. แต่ไม่เกิน 3,000 C.C.และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) = 40%
- ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 3,000 C.C. หรือมีกำลังเครื่องยนต์เกิน 220 แรงม้า (HP) = 50%

5.3 รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน
(1) ที่ใช้เป็นรถพยาบาลของส่วนราชการ โรงพยาบาล หรือองค์การสาธารณกุศลตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและจำนวนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด = ยกเว้นภาษี
(2) ประเภทประหยัดพลังงาน
(2.1) แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า
- ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 C.C. = 10%
- ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 3,000 C.C. = 50%

(2.2) แบบพลังงานไฟฟ้า = 10%

(2.3) แบบเซลล์เชื้อเพลิง = 10%

(2.4) รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป)
(2.4.1) เครื่องยนต์เบนซิน ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,300 ลูกบาศก์เซนติเมตร = 17%
(2.4.2) เครื่องยนต์ดีเซล ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,400 ลูกบาศก์เซนติเมตร = 17%

(3) ประเภทใช้เชื้อเพลิงทดแทนที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 C.C. ซึ่งมีคุณลักษณะตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด
(3.1) ที่สามารถใช้เชื้อเพลิงประเภทเอทานอลเป็นส่วนผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ได้ โดยเชื้อเพลิงดังกล่าวต้องมีจำหน่ายเป็นการทั่วไปในสถานีบริการน้ำมันตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป)
(3.1.1) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ลูกบาศก์เซนติเมตรและมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) = 25%
(3.1.2) ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,000 ลูกบาศก์เซนติเมตรแต่ไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เซนติเมตรและมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) = 30%
(3.1.3) ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,500 ลูกบาศก์เซนติเมตรแต่ไม่เกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตรและมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า (HP) = 35%

(3.2) ที่สามารถใช้เชื้อเพลิงประเภทก๊าซธรรมชาติได้ = 20%

(4) รถยนต์นั่งสามล้อและรถยนต์นั่งที่ผลิตขึ้นโดยใช้เครื่องยนต์ของรถจักรยานยนต์ขนาดไม่เกิน 250 C.C.
(4.1) รถยนต์นั่งสามล้อ = 5%
(4.2) รถยนต์นั่งที่ผลิตขึ้นโดยใช้เครื่องยนต์ของรถจักรยานยนต์ขนาดไม่เกิน 250 C.C. = 5%

5.4 รถยนต์กระบะที่ออกแบบสำหรับให้มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 4,000 กิโลกรัม
(1) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 C.C.
(1.1) มีคุณลักษณะตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด = 3%
(1.2) มีคุณลักษณะนอกจาก (1.1) = 18%

(2) ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 3,250 C.C. = 50%

รวมรวบมาจากเว็บกรมสรรพสามิต
http://www.excise.go.th/fileadmin/STA/images/Annual%20Report/ex_th-all.pdf

--------------------------------------------------------------

13/09/54
รัฐเฉือนเนื้อ3หมื่นล.กระตุ้นอุตฯรถยนต์ คืนภาษีแสนบาทรถคันแรก


นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมช.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการคืนภาษีสรรพสามิต รถยนต์คันแรกไม่เกิน 1 แสนบาท ให้ที่ประชุม คณะรัฐมนตรี พิจารณาวันที่ 13 กันยายนนี้ เพื่อขอความเห็นชอบเงื่อนไขต่างๆ โดยการคืนภาษีจะตั้งเป็นงบประมาณมาจ่ายคืนเป็นเช็คเงินสดให้กับผู้ซื้อ ซึ่งได้เสนอทางเลือกให้ ครม. พิจารณาว่า จะคืนภายในปีเดียว หรือทยอยคืน 3 ปี โดยผู้จ่ายเช็คคืนอาจจะเป็นกรมสรรพสามิต หรือกรมบัญชีกลาง ซึ่งผู้ที่ขอคืนภาษีต้องนำ สมุดทะเบียนรถมายืนยันว่า เป็นเจ้าของรถตัวจริง ทั้งนี้คาดว่า นโยบายดังกล่าวจะทำให้สูญเงินภาษีไป 9,000 ล้านบาท ถึง 3 หมื่นล้านบาท ขึ้นอยู่กับผู้มาใช้สิทธิ์ โดยปัจจุบันรถยนต์ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท มีการจำหน่ายในประเทศไทยปีละ 5 แสนคัน หากเป็น รถคันแรกของผู้ซื้อทั้งหมด ก็จะทำให้เสียเงินภาษี 3 หมื่นล้านบาท

ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 13 กันยายน 2554
http://data.thaiauto.or.th/iu3/index.php?option=com_flexicontent&view=items&cid=45:2010-11-11-10-51-44&id=1602:130954-3-&Itemid=6

--------------------------------------------------------------------
คู่มือซื้อรถคันแรก-ทอน1แสน

เปิดโลกยนตรกรรม : คู่มือซื้อรถคันแรก 'ทอน 1 แสน' เลือกซื้ออย่างไรดี โดย...ยุทธพงษ์ ภาษี

ในที่สุด โครงการรถคันแรกที่รัฐบาลหาเสียงไว้ก่อนหน้านี้ ก็ผ่านมติคณะรัฐมนตรีได้เรียบร้อย โดยรัฐบาลประกาศมาตรการให้โอกาสคนหาซื้อรถคันแรก ในราคาลดลง เป็นหนึ่งในนโยบายประชานิยมที่ออกตัวแรง จนฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะไฟแนนซ์และค่ายรถบางค่ายที่มองว่า ฝนตกไม่ทั่วฟ้า ท่าทางว่าเรื่องราวจะบานใหญ่โตไปกันใหญ่ แต่ในส่วนของ มติ ครม.ก็ยังคงอยู่ คนซื้อก็ถือว่าได้ประโยชน์ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน เปิดโลกยนตกรรมสัปดาห์นี้ จัดทำคู่มือซื้อรถคันแรกเพื่อเป็นไกด์ไลน์สำหรับคนที่ยังไม่มีรถเป็นของตัว เอง
เปิดรถในเงื่อนไข
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2554 ให้กรมสรรพสามิตลดหย่อนภาษีสรรพสามิตตามจริงไม่เกิน 1 แสนบาท สำหรับผู้ที่ซื้อรถยนต์คัน แรกในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท มีขนาดไม่เกิน 1,500 ซีซี ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2555 ภายใต้เงื่อนไขต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศเท่านั้น และผู้ซื้อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในระยะเวลา 5 ปี โดยจะได้รับเงินภาษีคืนภายใน 1 ปีนับจากวันที่ยื่น รถอะไรบ้างที่อยู่ในนโยบายนี้ สำหรับรถที่เข้าข่ายโครงการรถคันแรก ต้องมีคุณสมบัติสำคัญคือ รถเก๋งหรือรถกระบะ ที่มีราคาขายปลีก ไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นตลาดรถเก๋งเล็ก กับรถกระบะ ถ้าเป็นเก๋ง ขนาดเครื่องต้องไม่เกิน 1,500 ซีซี ไม่ว่าดีเซลหรือเบนซิน คือรถในกลุ่มบีคาร์ ส่วนรถกระบะ ไม่จำกัดขนาดของเครื่องยนต์ นอกจากนี้ยังต้องเป็นรถที่ประกอบในประเทศที่เรียกว่า ซีเคดี ไม่รวมรถนำเข้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศ หรือซีบียู และรถนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบหรือเรียกกันติดปากภาษาชาวบ้านว่า "รถจดประกอบ"
หาซื้อบีคาร์ได้อัตราการคืนภาษีสูง
รถ 1 ล้านบาทจะได้คืนสูงสุด 1 แสนบาท แม้ว่า ภาษีที่ถอดออกมาจะเกิน 1 แสนบาท ก็จะได้คืนแค่ 1 แสนบาท ยกตัวอย่างรถที่จะได้คืนเงินสูงสุดคือ บีคาร์ (วีออส, ยาริส, แจ๊ซ, ซิตี้) เนื่องจากเสียภาษีสรรพสามิตสูงสุด 25% ตามมาด้วย ปิกอัพ 4 ประตู ที่เสียภาษี 12% ซึ่งแม้ว่าจะเป็นอัตราที่ต่ำกว่าภาษีรถอีโคคาร์ ที่จัดเก็บ 17% แต่เนื่องจากมีราคาจำหน่ายที่สูงกว่า ในขณะที่อีโคคาร์ คืนภาษีไม่น้อยเช่นกันเมื่อคิดเป็นเงินที่ได้รับเงินคืนต่ำสุดระดับ 1-2 หมื่น คือ ปิกอัพตอนเดียว และปิกอัพตอนครึ่ง หรือปิกอัพมีแค็บ
ผู้เชี่ยวชาญการประเมินราคาอย่าง เอกพิทยา เอี่ยมคงเอก กรรมการสหการประมูล แนะนำว่า ถ้าเลือกซื้อมองในแง่การคืนภาษี จะเห็นว่า กลุ่มรถที่เสียภาษีสูง คือ 25% เป็นรถที่ควรเลือกซื้อเพราะว่าจะได้รับส่วนลดเต็มๆ ในขณะที่ รถเหล่านี้มีมูลค่าขายต่อที่สูงพอสมควรในตลาดประมูล
รถที่ไม่ได้คืนภาษี
รถยนต์นั่ง ขนาดไม่เกิน 1,500 ซีซี ที่ประกอบมาจากต่างประเทศ ไม่เข้าข่ายรถคันแรก เนื่องจากเป็นรถนำเข้าจากต่างประเทศ ยี่ห้อที่ไม่ได้รับการคืนภาษีคือ โปรตอน ซาก้า, โปรตอน แซฟวี, เกีย พิคันโต, เกีย พิคันโต เค1, ซูซูกิ สวิฟท์
ขั้นตอนการคืนภาษี
ผู้ซื้อต้องยื่นเอกสารหลักฐานการขอคืนภาษี ประกอบไปด้วย 1.แบบคำขอคืนเงินสำหรับรถยนต์คัน แรก 2.สำเนาบัตรประชาชน 3.สำเนาทะเบียนบ้าน 4.สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ) 5.สำเนาคู่มือการจดทะเบียน 6.หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปี และ 7.หลักฐานการซื้อขายรถยนต์ รัฐบาลจะจ่ายเช็คให้ไว้รอรับการโอนเงินเข้าธนาคารตามกำหนด
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ
คนต้องการซื้อรถที่ได้คืนภาษีต้องไม่เคยมีชื่อเป็นเจ้าของรถมาก่อน ผู้ซื้อต้องมีอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป สำหรับผู้ที่เคยครอบครองรถมาก่อนปี 2549 ได้รับสิทธิ์ซื้อรถคันแรกได้
ข้อควรระวัง
กรณีผู้ซื้อไปแล้ว มีเหตุไม่สามารถผ่อนชำระเงินกู้กับสถาบันการเงินได้ ส่งผลให้สถาบันการเงินยึดรถ กรมสรรพสามิตจะต้องเรียกคืนภาษีที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ซื้อไปแล้ว โดยผู้ซื้อจะต้องเซ็นยินยอมที่จะคืนภาษีส่วนนี้ในใบแสดงการขอคืนภาษี และรัฐบาลจะดำเนินการฟ้องร้องคดีแพ่งทั้งเงินต้นและอัตราดอกเบี้ย หากผู้ซื้อไม่ยินยอมคืนภาษีกรณีที่ผิดเงื่อนไข (เงื่อนไขกำหนด ต้องครอบครองรถก่อนเปลี่ยนมือเป็นเวลา 5 ปี)
รถใหม่ที่น่าสนใจ
ในขณะที่วงการรถยนต์มี ความเคลื่อนไหว หากใครด่วนจับจองรถ ไม่ดูข้อมูล อาจจะตกเป็นผู้ประสบภัยจากรถใหม่ได้ เพราะปลายปีนี้ รถใหม่ที่อยู่ในระยะเปิดตัวมีมากมาย
เริ่มจากรถเก๋ง ฮอนด้า ซิตี้ เตรียมไมเนอร์เชนจ์ ในสัปดาห์หน้า รถเก๋งซีดานตัวใหม่จาก นิสสัน รุ่นอัลเมร่า รถอีโคคาร์ ตัวที่สองของนิสสัน แต่เป็นอีโคคาร์ตัวแรกของวงการในรูปแบบ 4 ประตู เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 7 ตุลาคมนี้ รถแม่เหล็กของวงการปิกอัพ อีซูซุ ดีแมคซ์ โฉมใหม่แบบออลนิว กำลังมาแทนตัวเดิม เปิดตัวอย่างเป็นทางการวันที่ 29 กันยายน ที่เมืองทองธานี เป็นการเปลี่ยนใหญ่ในรอบ 10 ปีเลย
รถเก๋งอีกคันที่ขายแบบเงียบๆ คือ โตโยต้า อวันซ่า รถขนาดเล็ก เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เปิดตัวปลายเดือนกันยายนเช่นกัน รถปิกอัพ ฟอร์ด รหัส ที 6 เป็นรถตัวต่อไป ต้องจับตาดูปิกอัพใหม่ตัวนี้ ฟอร์ดเสนอเทคโนโลยีใหม่ล้วนๆ ตามมาด้วย เชฟโรเลต โคโรลาโดใหม่ ที่มีแผนส่งมอบหลังรับจองอย่างไม่เป็นทางการไปบ้างแล้ว รถที่ทำท่าจะแรงอีกตัวคือ ซีวิค โฉมใหม่ เพราะว่าแฟนคลับเยอะออกตัว ในเดือนตุลาคม นอกจากนี้ช่วงนี้ถึงต้นปีหน้ายังมีรถอีกหลายตัวพร้อมเปิดในงานมหกรรมยานยนต์
http://www.komchadluek.net/detail/20110918/109405/คู่มือซื้อรถคันแรกทอน1แสน.html
--------------------------------------------------------------------

การเงิน - การลงทุน

วันที่ 14 กันยายน 2554 10:46

เปิดสิทธิ์!'รถคันแรก'ได้เกือบทุกคน



เปิดสิทธิ์"รถคันแรก"ต้องทำสัญญาซื้อขาย16 ก.ย.54-31 ธ.ค.55 ราคาขายปลีกไม่เกินคันละ 1 ล้าน ปล่อยผีคนซื้อรถก่อนปี 49เหตุไม่มีฐานข้อมูลตรวจสอบ
นาย บุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (13 ก.ย.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกไม่เกิน 1 แสนบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกำหนดให้ผู้ซื้อรถยนต์ต้องทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554-31 ธ.ค. 2555 เร็วขึ้นจากเดิมที่จะกำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2554 เป็นต้นไป ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ซื้อรถยนต์คันแรกประมาณ 5 แสนคัน
ทั้งนี้ มั่นใจว่าการคืนเงินภาษีสรรพสามิตครั้งนี้จะมีผลที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจแน่นอน เนื่องจากรัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีทุกประเภท ทั้งภาษีรถยนต์ ภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าเงินที่ต้องคืนภาษีรถคันแรกให้ผู้ซื้อรถ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินงบประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556
"กรม สรรพสามิตจะคืนเงินในรูปแบบของเช็คเงินสดครั้งเดียวเต็มจำนวนเช่นเดียวกับ เช็คช่วยชาติของรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งจะเริ่มคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2555 เป็นต้นไป"
ตีกรอบเฉพาะรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ สำหรับหลัก เกณฑ์การคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรกที่สำคัญดังนี้ คือ ต้องเป็นรถยนต์คันแรกที่ทำสัญญาซื้อขายระหว่างวันที่ 16 ก.ย. 2554-31 ธ.ค. 2555 ราคาขายปลีกไม่เกินคันละ 1 ล้านบาท เป็นรถยนต์นั่งขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร รถยนต์กระบะ หรือปิกอัพ และรถยนต์นั่งกึ่งบรรทุกหรือดับเบิลแคป ที่สำคัญ ต้องเป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศหรือรถยนต์ จดประกอบ
ขณะที่การคืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคันละ 1 แสนบาท ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปและต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยกรมสรรพสามิตจะคืนเงินให้เมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปี ไปแล้ว โดยดูรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ WWW.EXCISE.GO.TH
รับไม่มีทางป้องกัน "สวมสิทธิ"
นายบุญทรง กล่าวว่า ผู้ใช้สิทธิขอคืนภาษีรถคันแรกไม่ สามารถเปลี่ยนแปลงหรือโอนเปลี่ยนมือภายใน 5 ปีแรก หากผู้ใช้สิทธิไม่ดำเนินการตามโดยไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระต่อ หรือมีเหตุอย่างอื่น จำเป็นต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับให้กับกรมสรรพสามิต หากไม่ดำเนินการตามอาจต้องใช้วิธีการทางศาลเพื่อให้สั่งให้คืนทะเบียนรถยนต์ เพราะกรมการขนส่งทางบกจะสลักไว้หลังเล่มทะเบียนรถยนต์อยู่แล้วว่าห้ามโอน เปลี่ยนมือภายใน 5 ปี
"ยอมรับว่าในปัจจุบันยังไม่ได้หาแนวทางการป้องกัน การสวมสิทธิ แต่ก็ขอร้องผู้มีเจตนาไม่บริสุทธิ์หรือผู้ที่มาซื้อแทนบุคคลอื่นเพื่อสวม สิทธิต้องขอความกรุณาให้เห็นใจคนที่ยังไม่เคยมีรถยนต์เป็นของตัวเองด้วย" นายบุญทรงกล่าว
คนซื้อรถก่อน 49โชคดีอาจได้สิทธิด้วยเหตุไม่มีฐานข้อมูล
นายเทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว่า กรมขนส่งทางบกเตรียมเชื่อมโยงฐานข้อมูลรายชื่อการยื่นขอจดทะเบียนการครอบ ครองรถยนต์ไปยังกรมสรรพสามิต เพื่อนำไปใช้ในการตรวจสอบว่าผู้ที่ยื่นขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเคยเป็นเจ้าของ รถยนต์มาก่อนหรือไม่ หากตรวจพบว่ามีรายชื่อเคยยื่นขอจดทะเบียนกับกรมมาก่อนก็จะถูกตัดสิทธิ เนื่องจากโครงการรถยนต์คนแรกต้องการช่วยเหลือประชาชนสามารถมีรถยนต์คันแรก เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบฐานข้อมูลการครอบครองรถยนต์คันแรกนั้น จะสมบูรณ์ 100% สำหรับข้อมูลที่ยื่นจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน แต่ข้อมูลก่อนปี 2549 อาจไม่ครบสมบูรณ์ โดยเฉพาะข้อมูลการจดทะเบียนในต่างจังหวัด เพราะช่วงเวลานั้น กรมยังไม่ได้เชื่อมฐานข้อมูลออนไลน์ทั่วประเทศ
"กรมขนส่งทางบกได้แจ้งให้รัฐบาลรับทราบปัญหาแล้ว กรมสรรพสามิตจะต้องไปหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป หรืออาจต้องยกประโยชน์ให้จำเลยที่เคยยื่นจดทะเบียนซื้อรถยนต์แล้วก่อนปี 2549 สามารถใช้สิทธิขอลดหย่อนภาษีได้" นายเทียนโชติกล่าว
นายเทียนโชติ กล่าวถึง การป้องกันเปลี่ยนมือรถยนต์ภายใน 5 ปี ว่า จะประทับตราห้ามซื้อขายลงในสมุดทะเบียน หลังจากที่ผู้ซื้อนำสมุดทะเบียนที่กรมออกให้ไปยื่นขอตรวจสอบและใช้สิทธิที่ กรมสรรพสามิต
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20110914/409316/เปิดสิทธิ์!รถคันแรกได้เกือบทุกคน.html
--------------------------------------------------------------------


รถยนต์คันแรกตามนโยบายรัฐบาล

ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ก่อนครบกำหนดระยะเวลา ๕ ปี ตามมาตรการรถยนต์คันแรก และมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยรถยนต์น้ำท่วม
คำแนะนำประชาชนในการขอใช้สิทธิ์ฯ สำหรับรถยนต์ใหม่คันแรก ตามนโยบายรัฐบาล
คำแนะนำสำหรับประชาชนในการขอใช้สิทธิฯ สำหรับรถยนต์ที่ประสบภัยน้ำท่วม เข้าร่วมโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกตามนโยบายรัฐบาล
ใบลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์ในการซื้อรถยนต์ใหม่ ตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยรถยนต์น้ำท่วม
ดาวน์โหลด แบบฟอร์ม คำขอใช้สิทธิ์ฯ และเงื่อนไขสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรก ตามนโยบายรัฐบาล (ฉบับสมบูรณ์)
    ดาวน์โหลด แบบฟอร์ม หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนรถยนต์คันแรก (ฉบับสมบูรณ์)
  • คลิกที่นี่
    สอบถามข้อมูลยอดเงินสนับสนุนสำหรับรถยนต์คันแรก (PDF File)
  • รถยนต์นั่ง (18 ตุลาคม 2554) คลิกที่นี่
  • รถยนต์นั่งที่มีกระบะ(Double Cab) (18 ตุลาคม 2554) คลิกที่นี่
  • รถยนต์กระบะ(Pick Up) (18 ตุลาคม 2554) คลิกที่นี่
http://www.excise.go.th/index.php?id=1015

--------------------------------------------------------------------
1 ในนโยบายหาเสียงของรัฐบาลนี้ที่ทำได้จริงแล้ว
ดูจากการกำหนดอายุต้อง 21 ปีขึ้นไป
ก็เด็กเรียนมหาลัยปี 3-4 ก็คงมีชื่อเป็นเจ้าของรถกันเกร่อ
แทนที่จะกำหนดอายุตั้งแต่ 23 ปีขึ้นไป หรือ 25 ปีขึ้นไปยังได้
เพราะว่ามีความพร้อมมากกว่าพวกจบใหม่
นี่พูดถึงคนที่ไม่ได้ร่ำรวย หรือเป็นลูกคนมีเงินน่ะ
เพราะค่าผ่อนรถว่าเยอะแล้ว เจอค่าน้ำมันรายเดือน
ก็น้องๆ ค่าผ่อนเหมือนกัน แต่ก็ถือว่า
ช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ที่อาจได้รับผลกระทบ
จากน้ำมันราคาแพง
หรือเศรษฐกิจไม่ดี ทั่วโลก
ทำให้
คนตัดสินใจซื้อรถน้อยลง
ถ้าถือว่าเป็นมาตรการช่วยพยุงอุตสาหกรรมรถยนต์
และธุรกิจที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงพนักงานในอุตสาหกรรมนี้
ได้หายใจได้คล่องในช่วงเศรษฐกิจโลกไม่ดีในช่วงนี้ก็โอเค

ซึ่งวงเงินที่คืนภาษีก็มากกว่าเช็คช่วยชาติแจกฟรีเหมือนกัน
ซึ่งอาจมากกว่าไม่เท่าไหร่ ต้องดูตัวเลขสุดท้ายสิ้นปีหน้าอีกที
แต่ก็ยังดีที่ได้ช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ให้พอไปได้อีก 1 ปี

เรื่องนี้ทางรัฐกะว่าจะสูญเงินภาษีสรรพสามิต
ที่ต้องคืนให้ประมาณหมื่นล้านถึงสามหมื่นล้านบาท
แล้วแต่ว่ามีคนใช้สิทธิ์มากน้อยแค่ไหน
เราว่าน่าจะมาก เพราะเล่นกำหนดอายุน้อย
ขนาดเด็กเรียนไม่จบยังใช้สิทธิ์ได้แบบนี้
และเปลี่ยนกฏเกณฑ์จากตอนแรกที่มีข่าวออกมา
คือให้ทยอยหักเป็นค่าลดหย่อนตอนยื่นภาษีปลายปี
ซึ่งจะสูญเงินน้อยกว่าและคนไม่มีงานทำไม่ได้สิทธิ์นี้
เมื่อเปลี่ยนเงื่อนไขใหม่ซึ่งดีกว่าตอนแรก
ก็เป็นธรรมดาที่จะคาดการณ์ว่ามีคนใช้สิทธิ์นี้เยอะ
ยอดขายปลายปีนี้กับปีหน้าคงกระฉูดกว่าปีนี้แน่ๆ

งานนี้นอกจากได้ช่วยเอกชนอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์
และชิ้นส่วนต่อเนื่องแล้ว ยังได้รายได้กลับคืนเพิ่มขึ้นด้วย
ซึ่งรายรับที่จะได้กลับมาเพิ่มก็มีเช่น จากภาษี VAT
ที่เก็บจากยอดขายรถที่เพิ่ม ยอดน้ำมันที่ใช้เพิ่ม
และจากอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกเพียบ
รวมไปถึงภาษีนิติบุคคลของบริษํทที่เกี่ยวเนื่อง
ทั้งการผลิตและขายรถยนต์ก็จะได้เพิ่มขึ้น
หรือไม่ได้ลดลงกรณีถ้าปกติไม่มีโปรโมชั่นนี้
แล้วยอดขายได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลก
ทั้งปลายปีนี้และปีหน้าที่ต้องลุ้นต่อไป
ถ้ามีคนใช้สิทธิ์นี้เพื่อพยุงยอดขายแม้ไม่เพิ่ม
ก็ทำให้รัฐไม่ขาดรายได้เป็นจำนวนมากได้ด้วย

ส่วนกรณีลดภาษีนิติบุคคล
อันนี้แนะนำอย่างแรง อย่าลดจาก 30% มา 20%
อย่างที่หาเสียงเด็ดขาดไม่งั้นกระเป๋าฉีกแน่นอน
เพราะขนาดเก็บขนาดนี้ยังต้องกู้สูงๆ
ระดับหลายแสนล้านบาทติดๆ กันหลายปี
ขืนกู้ต่อไปอีกคงจะได้กรี๊ดดดดเหมือนกรีซตอนนี้ก็ได้

ถ้าจะทำตามสัญญา ก็เหมือนเดิม
ตั้งเงื่อนไขให้เฉพาะธุรกิจบางประเภทที่อ่อนแอ
และใช้แรงงานจำนวนมาก
เพื่อช่วยเรื่องค่าแรง 300 บาท
เช่นโรงงานผลิตพวกทำเซรามิก
ปั้นถ้วยชามของตกแต่งอะไร
ที่ต้องใช้ฝีมือแรงงานมากกว่าเครื่องจักร
แต่บริษัทห้างร้านทั่วไป โปรดชะลอยาว
ไม่งั้นหน้ามืดแน่ๆ

สรุปว่า เรื่องยอมเสียภาษีเพื่อแลกได้กลับมามากกว่า
เป็นแนวคิดที่ดีควรสนับสนุนมากกว่าคัดค้าน
แต่เห็นอดีตขุนคลังกรณ์ หลับหูหลับตาค้านแหลก
ลืมดูสมัย ปชป. แจกเงินเช็คช่วยชาติไหนก็ไม่รู้
นั่นก็ประมาณ 2 หมื่นล้านโอกาสได้รายได้กลับ
น้อยกว่ากรณีนี้มากกว่าที่ได้แน่ๆ เนื้อๆ
ยังคิดทำกันไปได้ แล้วทีนี้ทำมาค้าน

โดย มาหาอะไร
FfF