บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


18 เมษายน 2552

<<< ย้อนรอยคดีลอบวางระเบิดหลายจุดในกทม. ที่กล่าวหาว่าทักษิณทำ >>>

คดีลอบวางระเบิดในกทม.หลายจุด
ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
หลังรัฐประหารไม่กี่เดือน
หลังเกิดเรื่องมีการดาหน้าออกมาสร้างกระแส ชี้เป้า
กล่าวหาว่าทักษิณอยู่เบื้องหลัง
ร้อนถึงทักษิณที่ต้องทำจดหมายชี้แจงเลยทีเดียว
แต่สุดท้ายแล้ว
เมื่อสอบสวนนเจอคนร้ายเป็นคนของพวก คมช.
ปรากฏว่า ผบ.ตร. โดนเด้ง
และคดีนี้ก็เงียบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ล่าสุดก็เกิดเหตุยิงสนธิ ลิ้ม
แล้วก็โยนว่าทักษิณอยู่เบื้องหลังอีกแล้ว
สุดท้ายคดีนี้ก็คงเงียบเป็นเป่าสาก
ถ้าตามจนเจอผู้ต้องหา
พร้อมเจอตออันใหญ่
คงต้องเงียบไปตามระเบียบ

โดย มาหาอะไร
------------------------------------------------------------
คนร้ายลอบวางระเบิดใน กทม. 8 จุด มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก

เมื่อ 31 ธ.ค. 49 – 1 ม.ค. 50 ระหว่างเวลา 18.10-00.05 น.
เกิดเหตุระเบิดในพื้นที่ กทม. รวม 8 จุด มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 33 คน ดังนี้
1. สะพานลอยคนข้ามฝั่งร้านอาหารพงหลี อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 13 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตที่โรงพยาบาล 1 คน คือ
นายสงกรานต์ กาญจนะ อายุ 36 ปี บาดเจ็บสาหัส 3 คน
2. ชุมชนไผ่สิงโต ตลาดผลไม้คลองเตย ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 7 คน เสีย ชีวิต 1 คน คือ นายสุวิชัย นาคเอี่ยม อายุ 61 ปี
3. ป้อมตำรวจจราจรสี่แยกสะพานควาย มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 คน ป้อมตำรวจเสียหายเล็กน้อย
4. ป้อมตำรวจจราจรซอยสุขุมวิท 62 ไม่มีผู้บาดเจ็บ ป้อมตำรวจและรถยนต์เสียหาย 1 คัน
5. ลานจอดรถจักรยานยนต์ ห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ไม่มีผู้บาดเจ็บ
6. ป้อมตำรวจจราจร สี่แยกแคราย ไม่มีผู้บาดเจ็บ
7. ท่าเรือด่วนประตูน้ำ บริเวณสะพานเฉลิมโลก มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 8 คน เป็นชาวต่างชาติ 6 คน คนไทย 2 คน
8. ตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าห้างเกษรพลาซ่า ตรงข้ามห้างเซ็ลทรัลเวิล์ด
มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นชาวต่างชาติ 1 คน รถยนต์เสียหาย 1 คัน
-------------------------------------------------------------

นรม.แถลงเหตุระเบิดใน กทม.เป็นฝีมือกลุ่มผู้เสียประโยชน์ทางการเมือง

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นรม.แถลงเมื่อ 1 ม.ค. 50 กรณีเกิดเหตุระเบิดใน กทม. 8 จุด
เมื่อช่วงค่ำ 31 ธ.ค. 49 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก ว่า
หน่วยงานความมั่นคงประชุมสรุปสาเหตุเกิดจากกลุ่มที่เสียประโยชน์ทางการเมือง
โดยมีโอกาสน้อยมากที่จะเชื่อมโยงกับปัญหาความไม่สงบภาคใต้
เพราะกลุ่มโจรมีเป้าหมายอยู่ในพื้นที่ จชต.อยู่แล้ว
-------------------------------------------------------------

ชวน เห็นว่าระเบิดใน กทม.และปัญหาเผาโรงเรียน เกี่ยวโยง พ.ต.ท.ทักษิณ

นายชวน หลีกภัย ปธ.สภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเมื่อ 1 ม.ค. 50
ถึงเหตุการณ์ลอบวางระเบิด 8 จุด ใน กทม.เมื่อ 31 ธ.ค. 49 หลังจาก
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นรม.แถลงระบุเป็นฝีมือของกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ทางการเมือง ว่า
กลุ่มอำนาจเก่าย่อมมีอยู่เหมือนกับกลุ่มใต้ดิน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เคยมีอำนาจ
โดยต้องไม่ลืมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต นรม.มีอำนาจอยู่ 5 ปี ได้สร้างอาณาจักรและสร้างคน
ขึ้นมาด้วยทั้งอำนาจ เงิน และสารพัดวิธีต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ดังนั้น ผู้ที่จงรักภักดี
และผูกพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงมีอยู่มากทั้งนักการเมืองและข้าราชการประจำ และคนเหล่านี้
ยังอยู่ในอำนาจ ซึ่งรัฐบาลและคมช.ได้เข้าไปปรับย้ายออกมาน้อยมาก เห็นได้จากกลุ่มอำนาจเก่า
สามารถเผาโรงเรียนได้เรื่อยๆ โดยเจ้าหน้าที่บางคนก็คือคนของอำนาจเก่า คนเหล่านี้ก็ไม่พยายาม
ทำให้เรื่องจริงปรากฎ ก็ต้องปกป้องไว้ก่อน เพราะตัวก็ผูกพันอยู่กับอำนาจเก่า ตอนแรกบอกว่า
ไฟฟ้าลัดวงจร จนเพิ่งมายอมรับว่ามีการวางเพลิง สังคมชนบทยังผูกพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่สูง
รวมทั้งสื่อมวลชนวิทยุโทรทัศน์ ทางแก้ที่ขอเสนอ คือ รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ต้องให้ประชาชนได้รู้ความจริง
เพราะหากประชาชนรู้ความจริง การจะไปยุยงส่งเสริมหรือคลื่นใต้น้ำจะไปหลอกลวงอย่างไร
ก็จะทำได้ยาก แต่ถ้าไม่รู้ความจริงจะสามารถหลอกได้ ยังเอาผลประโยชน์ไปแลกเปลี่ยนได้
ในที่สุดก็จะล้มล้างความชั่วร้ายอันก่อให้เกิดวิกฤติไม่ได้
-------------------------------------------------------------

สนธิ ลิ้มทองกุล จัดรายการเผยแพร่ทาง ASTV ระบุระเบิดโยงคลื่นใต้น้ำ-เสนอปลด ผบ.ตร.-โจมตี พล.อ.ชวลิต

เมื่อ 5 ม.ค. 50 ระหว่างเวลา 19.30-21.55 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์
ถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ ASTV จากอาคารบ้านเจ้าพระยา ถ.พระอาทิตย์ มีผู้เข้าฟังรายการ
ประมาณ 90 คน สาระสำคัญเป็นการกล่าวถึงผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วางระเบิดเมื่อ 31 ธ.ค. 49 ว่า
เป็นการกระทำของคลื่นใต้น้ำในระบอบทักษิณ และเรียกร้องให้ปลด ผบ.ตร.เพราะไม่แสดงความรับผิดชอบ
บกพร่องในหน้าที่ รวมทั้งกล่าวโจมตี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ออกมาโจมตี คมช.และรัฐบาลว่า
เพราะผิดหวังที่บุคคลแวดล้อมไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เข้าไปดูแลผลประโยชน์ในส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ
----------------------------------------------------------
"มาร์ค"ชี้แผนกลุ่มอำนาจเก่า

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า
รัฐบาลและคมช. ควรเร่งควบคุมสถานการณ์ข่าวลือเรื่องการปฏิวัติซ้อนและซ้ำ
รวมไปถึงการสร้างความชัดเจนต่อกรณีเหตุระเบิด 8 จุดที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจ
ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินต่อประชาชน และเห็นว่าการทำปฏิวัติ
ไม่ว่าจะซ้ำหรือซ้อนต่างก็สร้างผลกระทบต่อประเทศชาติหลายด้าน
ดังนั้น ไม่ว่ากลุ่มบุคคล หรือกลุ่มการเมืองใด ก็ไม่ควรเล่นนอกระบบ
โดยเฉพาะรัฐบาลควรใช้กลไกที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันการตกเป็นเหยื่อให้กับผู้ที่สูญเสียประโยชน์และอำนาจ
เนื่องจากกลุ่มอำนาจเก่ายังพอมีอิทธิพลต่อการเมือง

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้มีคนใกล้ชิดเคยบอกถึงสถานการณ์การเมืองว่า
กลุ่มอำนาจเก่ากำลังพยายามวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อสร้างสถานการณ์ให้ประชาชน
เห็นว่ารัฐบาลและคมช.ไม่สามารถบริหารประเทศได้ โดยหวังดึงมวลชนและนำไปสู่การเผชิญหน้า
เพื่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ซึ่งข้อมูลนี้สอดคล้องด้วยท่าทีและพฤติกรรมทางการเมือง
ของพล.อ.ชวลิต และ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่พยายามปลุกปั่นสถานการณ์บ้านเมืองและวิ่งเข้าถึงศูนย์อำนาจ
หากมีความจริงใจต่อการร่วมแก้ปัญหาบ้านเมือง ก็ควรให้ความร่วมมือกับรัฐบาลและคมช.
เพื่อให้ภารกิจการคืนอำนาจสู่ประชาชนเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

ปลุกระดมโค่นคมช.-รัฐบาล

"ขณะนี้กลไกจากอำนาจเงิน และอำนาจเก่ายังมีอยู่ เห็นได้ชัดจากท่าทีในจดหมายของคุณทักษิณ
ที่ยังต้องการปลุกระดมและส่งสัญญาณทางการเมือง และบทบาทของพล.อ.ชวลิต ก็ค่อนข้างชัด
เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการออกมาวิจารณ์ว่ารัฐบาลบริหารและปกครองบ้านเมืองไม่ได้
ซึ่งก่อนหน้านี้มีคนมารายงานให้ผมฟังว่ายังมีกลุ่มอำนาจเก่าพยายามวางแผนเป็นขั้นตอน
เนื่องจากต้องการแสดงให้เห็นว่า คมช.และรัฐบาล ปกครองประเทศไม่ได้ และจากนั้น
จะมีการระดมพลมาเพื่อไม่ต้องการให้ คมช.และรัฐบาลมาปกครอง และนำไปสู่การเผชิญหน้า
และการเปลี่ยนทางการเมือง" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าคิดว่าตอนนี้ฝ่ายบริหาร คือรัฐบาลหรือคมช. แก้ปัญหาได้ดีมากน้อยแค่ไหน
นายอภิสิทธิ์ คงต้องพิสูจน์ในระยะเวลาอันใกล้นี้ จะไปคาดคั้นว่า
จะต้องจับตัวคนร้ายให้ได้ภายใน 24 ช.ม. 48 ช.ม. ก็คงไม่ได้ แต่การที่นายกฯ
ให้ข้อเท็จจริงกับทางสภานิติบัญญัติฯ (สนช.) ว่า เหมือนกับว่าในแง่ของการข่าว
ก็มีเบาะแสอยู่ก่อนแล้ว แล้วถ้าหากมีหลักฐาน ซึ่งการพูดถึงภาพวงจรปิด หรือแม้พล.อ.ชวลิต
ที่บอกว่ามีภาพวงจรปิด ก็น่าจะต้องให้ความร่วมมือกับภาครัฐ
ในการที่จะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป ส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ว่าโยงไปถึงทางใต้ ตนก็แปลกใจ
แล้วมีการบอกว่ามีคนไปรายงานซึ่งก็ไม่แน่ใจ ไปรายงานพ.ต.ท.ทักษิณในฐานะอะไร
โดยส่วนตัวแล้วไม่เชื่อว่า เหตุระเบิดในกทม.จะลามมาจากภาคใต้ แต่ก็ต้องอยู่ที่หลักฐานที่จะพิสูจน์กันต่อไป

----------------------------------------------------------
พล.อ.เปรม ให้ ขรก.ช่วยกันชี้แจงประชาชนว่าผู้วางระเบิดใน กทม.ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ปธ.องคมนตรี และรัฐบุรุษ กล่าวเมื่อ 6 ม.ค. 50 ที่บ้านพัก ซ.สืบศิริ 32
อ.เมือง จ.นครราชสีมา ในโอกาสที่ ขรก.ผู้ใหญ่ภาคอิสานเข้าอวยพรปีใหม่ ว่า
“ขอขอบคุณแม่ทัพภาคที่ 2 ที่จัดให้มีการพบปะกันวันนี้ โดยทางแม่ทัพฯ ไปเกณฑ์ผู้ว่าฯ มาได้ทั้ง 19 จังหวัด
และปลัดกระทรวงฯ มาด้วย ซึ่งทุกปีทุกคนคงจำได้ว่าเวลาเราอวยพรปีใหม่กันที่โคราช ก็จะขอร้องทุกคน
ให้ช่วยดูแลราษฎรในเรื่องความยากจนให้ดี แต่ปีนี้คงต้องเปลี่ยนระเบียบวาระใหม่แล้ว
เพราะปีนี้ค่อนข้างจะไม่ค่อยปกติ และความไม่ปกติของทางภาคใต้ เราพอเข้าใจว่าเขามีเหตุผล
ที่จะมาแบ่งแยกดินแดนของเรา และสิ่งที่เขาทำเราก็เข้าใจ แต่ความไม่ปกติในกรุงเทพมหานคร
จะว่าไม่เข้าใจก็ไม่เชิง แต่เหตุผลนี้บางฝ่ายว่าไม่ชัดเจน บางฝ่ายว่าชัดเจน ตรงนี้จะพูดให้ทุกคนฟังว่า
เหตุการณ์ที่เกิดที่กรุงเทพฯ เมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา ผมคิดว่าคนที่จะทำมีอยู่สองประเภทเท่านั้น
1. ก็คนบ้า ซึ่งคนดีๆ ไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายในชาติบ้านเมืองของเรา คนบ้าคงไม่ทำเก่ง
ถึงขนาดวางระเบิดพร้อมกันได้ 8 แห่ง ฉะนั้นคนที่ทำไม่บ้า มีสติ และตั้งใจที่จะทำ คนไทยที่รักชาติบ้านเมือง
อย่างพวกเรา ไม่ทำให้เกิดความวุ่นวาย แตกตื่นกันอย่างนี้ และเขาก็รักชาติบ้านเมือง และเป็นวันขึ้นปีใหม่
และก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำ และคนที่ทำต้องมีเหตุผลของเขาว่าเขามุ่งหมายที่จะทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอะไร
หรือให้รัฐบาลให้ คมช. ให้พวกเราเสียอะไร ซึ่งเหตุผลโจทย์ข้อนี้ง่ายมาก เพราะคนทำไม่ได้เป็นคนบ้า
แต่เป็นคนปกติอย่างเรา แล้วทำไมเขาถึงมาทำให้เกิดความไม่สงบ ความตื่นตระหนกในชาติบ้านเมืองของเรา
พวกเราคงตอบได้ทุกคน เพราะเป็นโจทย์ที่ง่ายมาก ฉะนั้นการที่พวกเราที่ผู้ใหญ่ในชาติบ้านเมืองพูด
แม้แต่เป็นการวิเคราะห์ แม้แต่มาจากมูลฐานข้อมูล และข้อมูลฐานข่าวที่ไม่ค่อยมากนัก แต่ผมมั่นใจว่าถูก
ว่าเขาต้องการอะไร เราจะทำอย่างไรกับเรื่องพรรค์อย่างนี้ นายกรัฐมนตรีออกมารับว่า
เป็นการยากมากที่จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ก็ถูกและก็จริง และผมยังมั่นใจโดยไม่มีข้อสงสัยเลยว่า
คนไทยรักชาติบ้านเมือง จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และไม่มีใครนอกจากพวกเขา
ที่จะทำเรื่องพรรค์อย่างนี้ขึ้นมาได้ เมื่อวานนี้มีอาจารย์จากหลายมหาวิทยาลัยไปอวยพรที่บ้าน
ผมก็ได้พูดกันไปพูดกันมาหลายเรื่อง และที่นี่ปลัดกระทรวงมหาดไทยก็อยู่ตรงนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด
ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็อยู่ตรงนี้ แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ก็รับผิดชอบ 8 จังหวัดภาคอีสานตอนล่างก็อยู่ และพวกเรามีหน้าที่ที่จะต้อง
รับผิดชอบความสงบสุขของชาติบ้านเมืองของเรา ไม่ใช่รับผิดชอบต่อการกระทำครั้งนี้ เราจะทำอย่างไร
ถึงจะเกิดความสงบ คำตอบนี้มีคำตอบเดียวคือ ต้องทำให้คนไทยเข้าใจว่า ที่เขาทำไม่ใช่เพื่อชาติบ้านเมืองแน่นอน
ไม่ใช่เพื่อความสงบของชาติบ้านเมืองของเรา ไม่ใช่เพื่อความผาสุกของคนไทยในประเทศของเรา
ไม่ใช่เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขาทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เพื่อประโยชน์ของพวกเขา
ฉะนั้นสิ่งที่ปลัดกระทรวงฯ แม่ทัพภาคที่ 2 และผู้ว่าฯทั้ง 19 จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผมขอแนะนำ
ก็คือพูดให้คนเข้าใจ พูดบ่อยๆ พูดเสมอๆ พูดให้เขารู้ว่า คนที่ทำต้องการอะไร และมันเป็นสิ่งเลวร้ายมาก
สำหรับประเทศของเรา พูดให้เขารู้ แม่ทัพฯต้องพูดดังๆ ผู้ว่าฯก็พูดดังๆ ว่า
เราจะทำทุกอย่างเพื่อจะปกป้องชาติบ้านเมืองของเราไม่ให้เกิดความตระหนกตกใจ ซึ่งจะทำอย่างนั้นได้
ก็ต่อเมื่อประชาชนเขาเข้าใจและเชื่อผู้ว่าฯ เชื่อแม่ทัพฯ เชื่อข้าราชการ เชื่อพวกเราทุกคนที่มีหน้าที่ดูแล
ผมยังพูดกับเพื่อนๆ ที่มาเมื่อวานนี้เรื่องจริง มีคนอยู่สองส่วนด้วยกันที่พูดแล้วคนเชื่อมากที่สุด
1.ก็คือพระ 2.ครู เมื่อวานนี้เพื่อนผมคนหนึ่งได้ยินผมพูดเรื่องนี้ก็บอกผมว่า รู้ไหมลูกฉันเชื่อครูมากกว่าเชื่อฉันอีก
ทั้งๆ ที่ฉันเป็นอาจารย์ของครูของแก ฉะนั้นนี่คือเครื่องมือเราที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้ พระคนก็เชื่อ
กำนัน ผู้ใหญ่บ้านคนก็เชื่อ ผู้ว่าฯยิ่งคนเชื่อใหญ่ ฉะนั้นถ้าผู้ว่าฯไปพูดให้เขาเข้าใจว่าที่มันเกิดขึ้นเพราะอะไร
เขาต้องการอะไร ทำไมเขาถึงทำ เป็นคนไทยแท้ๆ ทำไมถึงจะต้องทำให้คนไทยเดือดร้อน อย่างที่ผมเรียนเบื้องต้น
ว่าภาคใต้เราพอเข้าใจว่า เขาทำทำไม แต่ทางนี้เราไม่เข้าใจจริงๆ และเราก็ไม่ทราบว่าทำไมเขาถึง เลวทรามต่ำช้า
ถึงขนาดนั้น อยู่ดีๆ ก็มาฆ่าคนที่เขาไม่เคยรู้จักเลย ที่ไม่เคยทำอะไรให้เขาเลย ไม่เคยไปเบียดเบียน ไม่เคยไปรังแก
ไม่เคยไปทำความเดือดร้อนให้กับเขา ไม่เคยเป็นคู่อาฆาตกันเลย แต่ต้องตายไป 3 คน บาดเจ็บไปอีกจำนวนมาก เฮ่อ…
ปีใหม่ปีนี้ค่อนข้างจะพูดดุเดือดหน่อย แต่จริงๆ มันก็น่าดุเดือด เพราะมันเป็นเรื่องที่เราไม่เคยคาดฝันมาก่อน
เป็นเรื่องที่พวกเราทั้งหลายเคยคิดหรือไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ใครเคยคิดบ้าง ใช่ไม่เคยคิดว่าเขาจะถึงขนาดนี้
ถ้าเขาไม่ชอบรัฐบาลก็ไปเล่นงานรัฐบาล เขาไม่ชอบ คมช.ก็ไปเล่นงาน คมช.สิ เขาไม่ชอบแม่ทัพฯ
เขาไม่ชอบผมก็มาเล่นงานผม เขาไม่ควรจะไปเล่นงานคนซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย แต่นั่นคือกลยุทธ์ของเขา
เป็นกลยุทธ์ที่ค่อนข้างจะเลวทรามต่ำช้ามากที่ไปทำให้เกิดความวุ่นวายในชาติบ้านเมืองของเรา ผมอยากจะพูดให้ฟัง
และอยากจะขอร้องผู้ว่าฯ ทั้ง 19 จังหวัด ว่า ผู้ว่าฯ ทั้งหลายมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะไปพูดกับชาวบ้านให้เข้าใจว่า
อะไรถูก อะไรผิด อะไรสมควร อะไรไม่สมควร ผมเชื่อในพระสยามเทวาธิราช และพูดเสมอว่าบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ถ้าใครคิดร้ายต่อชาติบ้านเมือง พระสยามเทวาธิราชจะลงโทษ ถ้าใครจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง พระสยามเทวาธิราช
จะคุ้มครอง ผมเชื่ออย่างนั้น และหวังว่าทุกคนก็เชื่ออย่างนั้น ในโอกาสปีใหม่ขอให้พระสยามเทวาธิราชช่วยคุ้มครอง
ชาติบ้านเมืองของเรา และขอให้คุ้มครองพวกเรา และคนในภาคอีสาน ข้าราชการในภาคอีสาน รวมทั้งผู้ว่าฯ
รวมทั้งปลัดกระทรวงฯด้วย ช่วยคุ้มครองให้ทุกคนปลอดพ้นจากอันตรายและมีความสุขความเจริญโดยถ้วนกัน
ขอให้ทุกคนมีความมั่นคงในเรื่องการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน เรื่องความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง ขอให้มีความสำเร็จ
ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นที่รักใคร่ของผู้ใต้บังคับบัญชา และของประชาชน”
---------------------------------------------------------

โพลชี้เหตุบึ้มโยงการเมือง

ที่กรมสุขภาพจิต มีการแถลงผลการสำรวจเรื่องอารมณ์ ความรู้สึกและความเชื่อมั่น
ของสาธารณชนต่อรัฐบาลและคมช. ภายหลังเหตุระเบิดในกรุงเทพมหานคร
และปริมณฑล โดยสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม คือ ประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป
กลุ่มผู้ค้าหาบเร่-แผงลอย และพ่อค้าแม่ค้าในจุดที่เกิดเหตุ
ระหว่างวันที่ 3-4 ม.ค.2550 จำนวน 1,608 ตัวอย่าง

นายนพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
กล่าวถึงการวิจัยว่า จากการสอบถามว่าเชื่อหรือไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากการกระทำ
ของกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ทางการเมือง พบว่า
ร้อยละ 46.4 เชื่อ ร้อยละ 38.6 ไม่มีความคิดเห็น และร้อยละ 15 ไม่เชื่อ
----------------------------------------------------------

พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ ทปษ.กฎหมายแถลงปฏิเสธเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดใน กทม.

นายนพดล ปัทมะ ทปษ.กฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต นรม.
แถลงเมื่อ 1 ม.ค. 50 ถึงเหตุการณ์ระเบิดใน กทม.รวม 8 จุด เมื่อ 31 ธ.ค. 49
ตอบโต้รัฐบาลและ คมช. ว่า ไม่มีกลุ่มมีสีและขั้วอำนาจเก่าเกี่ยวข้อง
ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ที่ปักกิ่ง ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน
หาตัวผู้กระทำผิดเสียก่อน เหตุระเบิดไม่น่าจะเป็นฝ่ายการเมืองทำ
น่าจะเป็นคนที่ไม่หวังดีกับประเทศมากกว่า ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักการเมือง
ทำงานการเมืองมาตลอด ไม่ทำเรื่องอย่างนี้ จะเคลื่อนไหวใดๆ ก็ไม่ใช้ความรุนแรง

----------------------------------------------------------
พ.ต.ท.ทักษิณ เขียนจดหมายจากจีน ปฏิเสธเกี่ยวข้องเหตุระเบิดใน กทม.

ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
2 มกราคม 2550
กราบเรียนพี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพรัก
วันนี้ผมมีความจำเป็นที่ต้องออกจากความเงียบทางการเมืองหลังจากที่ถูกปฏิวัติ
ที่ผมเงียบไม่ได้พูดการเมืองก็เพราะตั้งใจที่จะเห็นบ้านเมืองเกิดความปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
หลังจากที่ผมเฝ้าดูมา 100 วันเศษ ก็พบว่ากลุ่มที่ร่วมกันล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ของประชาชนก็ไม่สามารถและไม่พยายามสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นได้
ทั้งๆ ที่ผมได้โทรศัพท์พูดคุยกับบุคคลบางคนในกลุ่มนี้ ในฐานะคนเคยทำงานด้วยกัน
มีความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมา เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าผมมีน้ำใจนักกีฬาพอที่จะ
รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ขอให้เขาทำหน้าที่ให้เต็มที่ไม่ต้องพะวงผม ผมจะยังไม่กลับ
ไปเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์โดยเร็ว แต่พฤติกรรมกลับตรงกันข้าม มีความอาฆาตมาดร้าย
ไร้ความยุติธรรม ตอกลิ่มความแตกแยก มีการกล่าวเท็จโดยแนวร่วมอยู่ตลอดเวลา
ถ้าคนเป็นอดีตนายกรัฐมนตรียังได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แล้ว ประเทศจะได้รับความเชื่อถือได้อย่างไร
ถ้าประเทศขาดความน่าเชื่อถือ ก็อย่าหวังว่าประชาชนจะมีความสุข อยู่ดี กินดี
เพราะเราต้องอาศัยเม็ดเงินที่เป็นเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก เพื่อสร้างความเจริญ
และความมั่งคั่งให้ประเทศ ที่เลวร้ายที่สุดคือ เหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯ
คืนวันที่ประชาชนออกไปหาความสุขกัน คือวันที่ 31 ธันวาคม 2549 รัฐบาลนี้สามารถสรุป
ในเช้าวันที่ 1 มกราคม (วันรุ่งขึ้น) ได้ทันทีว่าเป็นกลุ่มการเมืองเก่าและมีสื่อที่ขายจิตวิญญาณตัวเองบางคน
พยายามชี้มาที่ผม ข่าวคราวที่แท้จริงถูกปิดบัง ถ้าเปรียบกับระเบิดที่เกิดขึ้นหลายครั้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่มีทหาร ครู พระ ประชาชนตายและบาดเจ็บจำนวนมากในช่วงรัฐบาลนี้ ก็ยังจับกุมไม่ได้
พอเหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯ ไม่ถึง 24 ชม. รีบสรุปว่าเป็นกลุ่มการเมืองเก่า ข่าวสารถูกปิดบัง
เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด นักการเมืองบางคนที่กลัวการแข่งขันก็ร่วมกล่าวหา พี่น้องครับ
ถ้าปล่อยให้บ้านเมืองดำเนินไปด้วยความไม่ยุติธรรม ไร้คุณธรรมเช่นนี้ ทำลายล้างกันเอง
และหนีปัญหาที่แท้จริงเช่นนี้ ต่างชาติเขาจะหัวเราะเยาะเอา ทั้งๆ ที่ทุกประเทศเขาเร่งเดินหน้าสร้างความเจริญ
ของเราขอถอยหลังชำระแค้นกันเองเสียก่อน จะไหวหรือครับ ผมเคยติดตามงานด้านความมั่นคงมาก่อน
ผมสอบถามตำรวจดูถึงวัสดุที่ใช้และแผนประทุษกรรมและทราบว่ามีวงจรปิด มีการจับกุมวัยรุ่น
ที่สงขลาที่เตรียมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ผมก็เดาได้ว่าน่าจะมีโอกาสสูงที่จะเชื่อมโยงกับสถานการณ์ภาคใต้
ดูแล้วคล้ายกับที่ทำที่หาดใหญ่ แต่ผมก็ยังต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป แต่รัฐบาลนี้แทนที่จะตรวจสอบให้แน่นอน
ซึ่งต้องใช้เวลาบ้าง กลับเอาสถานการณ์ความวิตก สะเทือนขวัญของประชาชน และความน่าเชื่อถือของประเทศ
มาเล่นการเมืองทันที เพราะถ้ายอมรับว่ามีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์ภาคใต้ก็เท่ากับยอมรับว่า นโยบายปูผ้ากราบ
ผิดพลาด คนเหล่านี้เขามีความมุ่งมั่นที่จะแยกดินแดน หรืออย่างน้อยขอปกครองตนเอง จึงเห็นความอ่อนแอ
ของนโยบายเป็นช่องทางต่อรอง จึงรุก ผมเคยประชุมเตือนผู้มีหน้าที่ระดับสูงหลายครั้งว่า ถ้าไม่สามารถสะกด
ให้อยู่ใน 3 จังหวัดได้ จะเข้าหาดใหญ่ ถ้ายังสะกดไม่ได้อีก จะเข้ากรุงเทพฯ แล้วจะเสียหายต่อประเทศ
ทุกครั้งที่มีเทศกาลในกรุงเทพฯ ที่ประชาชนจะออกมาหาความสุขจำนวนมาก ผมจะสั่งการให้หน่วยข่าวเฝ้าติดตาม
ความเคลื่อนไหวของบุคคลเหล่านี้ล่วงหน้า และให้เจ้าหน้าที่ฝังตัวอยู่กับประชาชนในจุดที่เป็นจุดเปราะบาง
หรือ Soft Target พอเทศกาลผ่านไปโดยไม่มีเหตุก็จะโล่งใจกันครั้งหนึ่ง พี่น้องครับ ไม่ว่าผู้ที่ลอบวางระเบิด
จะเป็นใคร ผมขอประณามการกระทำครั้งนี้โดยถ้อยคำที่รุนแรง (Condemn with strong words)
และผมของสาบานว่า ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดทำร้าย และทำลายความสุขของประชาชน ทำลายความน่าเชื่อถือ
ของประเทศ เพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง ถ้าพี่น้องจำได้ จะเห็นได้ว่า ช่วงที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง
ความพยายามล้มล้างรัฐบาลโดยกลุ่มเสียผลประโยชน์และกลุ่มที่เข้าใจรัฐบาลผิดอันเกิดจากโกหกนั้น
ผมไม่เคยใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาเลย โดยเฉพาะปีที่แล้ว เป็นปีมหามงคลยิ่งของพี่น้องชาวไทย
ข้อกล่าวหาที่เลวร้ายมากอีกเรื่องที่ผมถูกใส่ร้ายป้ายสี คือความไม่จงรักภักดี เรื่องนี้พี่น้องคงจะประจักษ์ดีแล้วว่า
ตลอดเวลาในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ผมได้เทิดทูน ทุ่มเท โดยเฉพาะในปีมหามงคลที่ผ่านมา
ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ทุกข้อกล่าวหาผมขอให้ใช้
กระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลางถูกต้องตามหลักสากล ซึ่งถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
อันจะนำไปสู่ความน่าเชื่อถือของประเทศ ผมพร้อมเผชิญและพร้อมเดินทางกลับไปรับข้อกล่าวหา
เพื่อต่อสู้ทุกกรณี แต่ไม่ใช่มาบอกว่า ไม่อยากให้ผมกลับเข้าประเทศในช่วงนี้ แต่เล่นงานผมและครอบครัว
กล่าวหาผมลับหลัง ขอให้คิดว่าคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาวนา หรืออดีตนายกรัฐมนตรี ก็ย่อมมีศักดิ์ศรี
แห่งความเป็นมนุษย์ และชื่อเสียงวงศ์ตระกูลที่ต้องรักษาเช่นกัน แต่ทั้งนี้คงไม่มีอะไรสำคัญกว่า ชาติ
ที่นับวันความน่าเชื่อถือก็ลดลง หากเรายังชำระแค้นกันเอง ไม่ว่าในหมู่ข้าราชการ นักการเมือง
และประชาชน ผมขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เดินหน้าประเทศของเราต่อไปเถอะครับ
เพื่อพระเจ้าอยู่หัวของเรา ซึ่งจะเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา ในปีนี้ ซึ่งก็เป็นปีมหามงคลยิ่ง
ของชาวไทยอีกปีหนึ่ง และได้โปรดอย่าแอบอ้างพระองค์ท่านเพื่อทำลายล้างกันเองอีกต่อไป ซึ่งเท่ากับ
เป็นการไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
สุดท้ายนี้ ผมขอกราบเรียนพี่น้องประชาชนว่าที่ผ่านมาผมเป็นคนทำงานก็ย่อมมีจุดอ่อนจุดบกพร่องบ้าง
แต่ผมขอยืนยันว่า ผมไม่เคยคิดร้าย คิดเลว ต่อชาติบ้านเมือง ต่อสถาบันเบื้องสูงที่เราเคารพศรัทธา
และต่อพี่น้องประชาชนเลย ถ้ามีสิ่งใดบกพร่องไม่เป็นที่พอใจของใคร ผมก็ขอกราบอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
และผมขอกราอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านเคารพ ตลอดจนเดชะพระบารมี
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ โปรดดลบันดาลประทานพร
ให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ทุกครอบครัว จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ คิดสิ่งใดสมความปรารถนาทุกประการ
ตลอดปี พ.ศ.2550 ครับ
ด้วยความเคารพรักและสำนึกต่อชาติ

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
----------------------------------------------------------

สำนักข่าวรอยเตอร์ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธเกี่ยวข้องกับระเบิด 8 จุด ใน กทม.ช่วงสิ้นปี 2549

เมื่อ 15 ม.ค. 50 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานการให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ผ่านทาง CNN โดยระบุประเด็นการปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด
และการแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว
พร้อมทั้งระบุว่ามีการตัดสัญญาณ UBC ระหว่างการออกอากาศการให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ
----------------------------------------------------------

ทหารผู้ต้องสงสัยรับสารภาพ จัดหาลูกน้องบึ้มกรุง-นนทบุรี

คมช.การันตีโกวิททำงานเต็มที่ ยันไม่มีชื่อ "พัลลภ-พิรัช-บิ๊กจิ๋ว"เกี่ยวข้อง ระบุผลสืบสวนผู้ต้องสงสัย19คน
บางคนให้การเป็นเท็จเชื่อพันบึ้มกรุงแน่นอน เตรียมปล่อยตัวบางส่วน ที่เหลือสั่งนายทหารพระธรรมนูญจี้ติดทุกจุด
"อนุพงษ์" ระบุกลุ่มวางระเบิดกรุงเทพโยงทีมคาร์บอมเจ้าหน้าที่มีหลักฐาน มั่นใจตำรวจไม่จับแพะ

ตามที่พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้เสนอรายงานผลการสืบสวนสอบสำนวนคดี
การลอบวางระเบิดพื้นที่กรุงเทพมหานครและนนทบุรี 9 จุดที่ผ่านมา ต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช.
เมื่อเวลา 08.30 นวันที่ 23 ม.ค.ที่สำนักงานเลขานุการกองทัพบกนั้น

ทั้งนี้มีรายงานข่าวแจ้งว่า ผลจากการตรวจและเก็บหลักฐานจากที่พักของกลุ่มผู้ต้องสงสัย 19 ราย ที่ตำรวจ-ทหาร
ควบคุมตัวไว้พบว่า สามารถเก็บหลักฐานเป็นแก็ประเบิดต่อสายไฟสำหรับต่อชนวนระเบิด ซึ่งมีรอยสายไฟ
ถูกตัดออกไปจากแก๊ป ได้ที่บ้านทหารชั้นประทวนใน จ. ลพบุรี หนึ่งในทหารซึ่งถูกจับกุม ภายหลังนำมา
ตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบพบว่าชนิดและสีของสายไฟที่มีรอยถูกตัดออกไป ตรงกับหลักฐานสายไฟที่พบ
ในเหตุระเบิดที่ปากซอยสุขุมวิท 62 กทม.เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม

"ทั้งนี้แก๊ประเบิดที่พบที่บ้านของนายทหารผู้นี้เป็นแก๊ประเบิดที่ใช้ในกิจการพลเรือน ซึ่งไม่มีการใช้
ในกิจการของทหาร แม้ว่าทหารผู้นั้นจะทำงานคลุกคลีกับระเบิดก็ไม่น่าจะมีแก๊ประเบิดนี้ ขณะที่สายไฟที่ใช้
ในกิจการระเบิดของพลเรือนก็มีเป็นร้อยสี จึงเป็นไปได้ยากที่สีและชนิดของสายไฟจะตรงกันโดยบังเอิญ
อย่างไรก็ตาม คาดว่าหลักฐานชิ้นนี้เป็นหลักฐานหนึ่งที่ พล.ต.อ.โกวิท เสนอต่อที่ประชุม คมช.วันนี้(23ม.ค.)"
แหล่งข่าวคนเดิม กล่าว

รายงานข่าวแจ้งเวลาต่อมาว่า ทั้งนี้ทหารชั้นประทวนผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวขณะนี้ได้ให้ข้อมูลประโยชน์
ให้การรับสารภาพว่า เป็นคนรับงานในการจัดหาลูกน้องเพื่อลอบวางระบิดและยังให้การซัดทอดถึงผู้ต้องขังรายอื่น
ที่ถูกนำมาสอบปากคำด้วย

"แต่ทั้งนี้ยังมีคำให้การบางประเด็นที่จะต้องทำการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าตรงกับหลักฐานที่ได้มาหรือไม่
สำหรับผู้ต้องสงสัยที่เป็นพลเรือน ขณะนี้ชุดสอบสวนได้ปล่อยตัวแล้ว 1 คน คือนายพิภพ จึงเหลืองอ่อน
เจ้าของวินรถตู้บางบอน-หมอชิต เนื่องจากการสอบสวนได้เสร็จสิ้นครบทุกประเด็นว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง"
แหล่งข่าวคนเดิม กล่าว

ผบ.ตร.หอบหลักฐานบึ้มกรุงรายงานนายกฯ

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเข้าพบของ พล.ต.อ.โกวิท ที่ทำเนียบฯเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (22 ม.ค.)
ว่า ได้มารายงานรายละเอียดให้ทราบ โดยมีหลักฐานที่ไปตรวจค้นในที่พักของผู้ต้องสงสัย ซึ่งเป็นภาพถ่าย
มามอบให้ตนดู โดยเป็นภาพถ่ายอุปกรณ์จำพวกเทป ที่หมายถึงส่วนที่เป็นตัวจุดชนวนระเบิด ซึ่งค้นมาได้
จากบ้านผู้ต้องสงสัยและอาจจะเป็นอุปกรณ์ที่ทำระเบิดได้

"อย่างไรก็ตามการสอบสวนก็ยังคงดำเนินต่อไป ยังไม่มีอะไรเพิ่มเติมมากไปกว่าเรื่องที่ต้องสงสัย ซึ่งกรณี
ที่จะดำเนินการต่อไปได้นั้น ต้องมีหลักฐานที่เพียงพอจึงจะขอหมายศาล และต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนมากขึ้น
เพื่อให้ศาลออกหมายจับ หรือเปลี่ยนจากผู้ต้องสงสัยกลายเป็นผู้ต้องหา" นายกรัฐมนตรี กล่าว

เมื่อถามว่า ตำรวจมั่นใจว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะขอให้ศาลออกหมายจับได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า
ก็คงอยู่ที่ตำรวจ และศาล ตนคงตอบแทนทั้งสองหน่วยงานไม่ได้ว่าหลักฐานแค่ไหนจึงจะเพียงพอ

เมื่อถามว่า ทาง คมช.แถลงว่าเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.49 เกี่ยวข้องกับคดีคาร์บ๊อง ได้รับรายงานแล้วหรือยัง
นายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน และยังไม่ทราบ เพราะได้มอบหมายให้ กอ.รมน.เป็นผู้แถลง
เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า การที่ ผบ.ตร.เข้ามารายงานแสดงว่าค่อนข้างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่ากลุ่มผู้ต้องสงสัยที่เรียกมา
สอบสวนเป็นผู้วางระเบิด นายกฯ กล่าวว่า ผบ.ตร.ยังไม่ได้ยืนยัน เพียงแต่รายงานว่าพบของที่บ้านผู้ต้องสงสัย
ซึ่งคงต้องมีส่วนอื่นๆ ประกอบอีก คงไม่ได้มีเฉพาะหลักฐานพยานวัตถุเพียงอย่างเดียว

คมช.พิจารณารายงานคดีบึ้มกรุง

เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 23 มกราคม ที่สำนักงานเลขานุการกองทัพบก พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข
ผู้บัญชาการทหารอากาศ ในฐานะรองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เป็นประธาน
ในการประชุม คมช. โดยมี พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.ทหารสูงสุด พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์
ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะสมาชิก คมช. พล.อ.วินัย ภัททิยกุล
ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะเลขา คมช. พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วย ผบ.ทบ.
ในฐานะผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที

ต่อมาเวลา 14.00 น.พล.อ.อนุพงษ์ แถลงว่า วันนี้มีประเด็นสำคัญคือกรณีของระเบิดพื้นที่ กทม.และนนทบุรี
และผลการดำเนินการสืบสวนที่ผ่านมา รวมถึงการดำเนินการเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ได้ออกดำเนินการ
เชิญบุคคลผู้ต้องสงสัยทั้งสิ้น 18 คน ใน 25 จุด ทั้ง กทม. ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง โดยสามารถได้ตัว
ผู้ที่ต้องสงสัย 17 คน และเพิ่มเติมที่อยู่นอกบัญชีมาอีก 1 คน

ส่วนของการเชิญตัวดังกล่าวมีทั้งทหารจากกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และ พลเรือน รวมกัน 18 คน
สุดท้ายที่ได้ตัวมาวันนี้ตอนเช้าคือทหารอากาศอีก 1 คน รวม 19 คน ซึ่งในการซักถามผู้ที่ถูกเชิญตัวมานั้น
ให้การปฏิเสธทุกคน อย่างไรก็ตาม ในการสืบสวนทราบว่าบางคนให้การเป็นเท็จ รวมทั้งดูจากผลการสอบสวนแล้ว
ผลออกมาน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางระเบิด ขณะเดียวกันก็ได้วัตถุพยานจากที่พักมาจำนวนหนึ่ง มีทั้งสิ่งที่
เกี่ยวกับการประกอบวัตถุระบิด เช่น เชื้อปะทุ ถ่านไฟฉาย ซึ่งมีชนิดใกล้เคียงกับที่ใช้ในวันที่ 31 ธ.ค.
เชื่อมต่อวันที่ 1 ม.ค.ในวันเกิดเหตุ

เตรียมปล่อยตัวผู้ต้องสงสัย19คนบางส่วน

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า สำหรับการปฏิบัติต่อไป เจ้าหน้าที่จะได้นำหลักฐานทางด้านบุคคล เช่น ลายนิ้วมือ
มาเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือแฝงในที่เกิดเหตุรูปถ่ายมาเปรียบเทียบกับที่ได้จากกล้องวงจรปิด และรวมถึง
จะมีการตรวจสอบความเชื่อมโยงทางการติดต่อสื่อสาร หรือด้านอื่น ๆ เพื่อจะหาหลักฐานเพิ่มเติม

"โดยสรุปการปฏิบัติในอนาคตต่อไปคือ ส่วนหนึ่งจะต้องอาจจะได้รับการปล่อยตัวตั้งแต่วันนี้ ถ้าคาดว่าไม่เกี่ยวข้อง
กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะว่าการควบคุมนั้นสามารถดำเนินการได้ถึงวันที่ 26 ม.ค. ส่วนอีกส่วนหนึ่ง
คงจะต้องเชิญตัวอยู่ต่อ เพื่อจะสอบสวนเพิ่มเติม รวมทั้งจะได้ดำเนินการหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อจะนำ
ไปสู่การออกหมายจับและแจ้งข้อหาในลำดับต่อไป" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว

คมช.การันตีการทำงาน"โกวิท"เต็มที่

ผู้สื่อข่าวถามว่า การประชุม คมช.วันนี้(23ม.ค.) พล.ต.อ.โกวิทได้รายงานต่อที่ประชุมหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า
ได้เรียนชี้แจงในที่ประชุมจึงเป็นผลออกมาให้ตนมาชี้แจงไป เมื่อถามว่า ใน 3-4 คน ที่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว
มีทหารจากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนตอบไม่ได้จริง ๆ เพราะจะทำให้
ก้าวล่วงเกินจากผู้ต้องสงสัยเป็นผู้ต้องหา พยานหลักฐานต้องรัดกุมและต้องแจ้งข้อกล่าวหาได้ ดังนั้น
ต้องมีข้อมูลเพิ่มเติมจนสามารถแจ้งความได้ ตนถึงจะแจ้งให้ทราบ

เมื่อถามว่า เชื่อข้อมูลที่ ผบ.ตร.ชี้แจงในที่ประชุม คมช. หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ก็ต้องเชื่อ
เพราะทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการมาอย่างรัดกุมแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ที่มีความรับผิดชอบ
จากหลายหน่วยงาน ไม่ใช่ทำในลักษณะคาดการณ์หรือเวียงแห หรือทำเพื่อให้คนที่ทำความผิดมา
หรือที่เรียกว่าจับแพะ ตนคิดว่าจากข้อมูลตอนนี้ไม่น่าเป็นเช่นนั้น

เมื่อถามว่า ผบ.ตร. ได้เอาตำแหน่งการันตีหรือไม่ ถ้าความผิดพลาดจะรับผิดชอบด้วยการลาออก
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า จากการที่ได้รู้จักกับ ผบ.ตร. ตนเชื่อมั่นว่า เป็นคนที่ไม่มีความซับซ้อนในการทำงาน
ทำไปตามบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ และไม่น่าจะมีสิ่งใดที่ไปทำนอกเหนือจากหลักเกณฑ์

เมื่อถามว่า ผบ.ตร. ได้เข้าเกียร์เดินหน้าในการสะสางคดีนี้ใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า
ถือว่าเต็มที่ รวมถึง คมช.ด้วย เพราะตำรวจได้ยืนยันว่าหลังจากการแต่งตั้งคณะทำงานตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.
จนถึงวันที่ 17 ม.ค. จนได้มีการกำหนดกลุ่มผู้ต้องสงสัยมาได้ขนาดนี้ ทางประธาน คมช. จึงได้ไฟเขียว
ให้ดำเนินการต่อได้ ซึ่งเป็นผลออกมาตามที่ได้กล่าวไปแล้ว

เมื่อถามว่า ทำไมถึงเกิดความล่าช้า เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นมากว่า 3 สัปดาห์ถึงออกมาชี้แจง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า
คงไม่ใช่ โดยความรับผิดชอบของตำรวจ ถ้ามีหลักฐานต่าง ๆ แม้กระทั่งวาดรูปจากการการให้การของพยานหลักฐาน
หรือดูจากทีวีวงจรปิด ซึ่งทำได้เร็วแค่นี้ก็ถือว่าเร็วมาก การจะจับได้เร็วกว่านี้ตนถือว่าไม่ใช่มาตรฐาน
ของการทำงาน ซึ่งน่าจะเกิดจากมาตรฐานของการทำงานที่มีประจักษ์พยานสามารถนำไปสู่การจับกุม

เมื่อถามว่า คนที่ต้องสงสัยมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องเกี่ยวกับเงิน หากเกี่ยวกับเงินใช้วงเงินเท่าไหร่
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า คงยากจะไปถึงจุดนั้น ขณะนี้ตำรวจได้ดูตามพยานหลักฐาน ส่วนสภาพแวดล้อม
ถ้าดูจากความเชื่อมโยงการใช้โทรศัพท์หรือกหารมีบัญชีเงินฝากมีมากผิดปกติ ไม่สามารถแจ้งที่มาได้
อาจจะนำไปสู่จุดนั้นได้ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการอยู่

สั่งนายทหารพระธรรมนูญจี้ติดทุกจุด

เมื่อถามว่า การตรวจค้นเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมามีการดำเนินการกันอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า
แม่ทัพภาคที่ 1 ได้จัดกำลังพลไปเชิญผู้ต้องสงสัยประมาณ 250 คน ตำรวจและหน่วยงานต่าง ๆ
ทหารจัดไปร่วมด้วย 70 คน เข้าไปร่วมค้น ในการไปเชิญตัวบุคคลส่วนใหญ่เป็นผู้บังคับบัญชา
แต่ในขั้นตอนของการสืบสวนจะมีนายทหารพระธรรมนูญไปร่วมด้วย

ขณะนี้นายทหารพระธรรมนูญของกองทัพภาคที่ 1 ไม่พอ ทางกองทัพบกโดยประธาน คมช. ได้สั่งให้
นายทหารพระธรรมนูญได้เข้าไปช่วยเหลือตามจุดต่าง ๆ ในการสืบสวนเพิ่มเติม เพื่อไปรับฟังการสืบสวน
อย่างไรก็ตามทางทหารจะต้องฟังตามพยานหลักฐาน ทหารไม่ได้ไปหาหลักฐานมาเพิ่มเติม ก็ต้องเชื่อ
ตามพยานหลักฐานและข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่ทีได้จากการสืบสวนสอบสวน

เมื่อถามว่า ทหารที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งหลักแต่อยู่ในบัญชีต้องสงสัยมากน้อยแค่ไหน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า
เท่าที่ดูสรุปแล้วคนที่ไม่เกี่ยวข้องคนที่อยู่ในตำแหน่งอาจจะได้รับการปล่อยตัวให้กลับบ้านได้ในวันนี้
ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม คมช.จะไม่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา แต่ทางรัฐบาลคงจะมีการตั้ง
คณะกรรมการขึ้นมาติดตามคดีดังกล่าว

ยันไม่มีชื่อ"พัลลภ-พิรัช-บิ๊กจิ๋ว"เกี่ยวข้อง

เมื่อถามว่า ทางตำรวจ ได้ระบุหรือไม่ว่า มี พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีต รอง ผอ.กอ.รมน. พล.ท.พิรัช สวามิวัศดิ์
และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าไปเกี่ยวข้องกับดคีดังกล่าวด้วย พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า
บุคคลที่เกี่ยวข้องมี 19 คน ในขณะนี้ไม่มีชื่อตามที่กล่าวมาแต่อย่างใด และไม่ได้ไปเชิญมา สอบปากคำ
และยังไม่มีหลักฐานไปเกี่ยวพัน

คมช.รอ"สนธิ"กำหนดท่าที"ทักษิณ"กลับไทย

เมื่อถามว่า ที่ประชุม คมช. ได้มีการหารือถึงการเดินทางกลับของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เป็นคำตอบเดิม ๆ ที่ต้องดูว่า มีแนวคิดอย่างไรในการเดินทางมาดำเนินคดี ในส่วนของ คมช.
และ รัฐบาล จะดูเรื่องความสงบเรียบร้อยประเทศที่จะเกิดขึ้น ยังไม่มีข้อยุติจากผู้ใหญ่ว่า จะให้ดำเนินการอย่างไร

เมื่อถามว่า คมช. เชื่อหรือไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะยุติบทบาททางการเมือง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ประเด็นนี้
ยังไม่ได้มีการหารือกัน ซึ่งต้องรอ ประธาน คมช. และ รัฐบาลหารือร่วมกันก่อน หลังจากหารือกันแล้ว
และดูสภาพถ้าไม่เกิดความวุ่นวาย และมีวัตถุประสงค์ที่จะเดินทางกลับมาให้การกับทางศาล และมีการชี้ข้อมูลความผิด
หรือสั่งฟ้องที่จะมาให้การตามขั้นตอนของอนุกรรมการไต่สวน ทั้งนี้ถ้าเข้ามาแล้วไม่มีเหตุการณ์อะไรก็จะเป็น
ข้อพิจารณาด้านอื่นได้ เช่น สิทธิของท่าน ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาแล้วมีผลต่อความมั่นคง ความวุ่นวายก็อย่ากลับ

เมื่อถามว่า ในฐานะเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า
ในเรื่องนี้ไม่ว่าความเป็นเพื่อน หรือ ความเป็นญาติของใครก็ไม่เกี่ยว ไม่สามารถมาใช้ได้ ถ้าใช้ความเป็นเพื่อน
สั่งได้ก็จะสั่งแต่ทั้งนี้ค่อยมาว่ากันอีกทีขณะนี้ยังไม่ได้คิด

เมื่อถามว่า ตร.ได้ชี้แจงหรือไม่ว่ากลุ่มที่เชิญมาสอบปากคำเมื่อไหร่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า คงจะมีการประสานงานกัน
ในเร็ว ๆ นี้ เพราะยังมีสีอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

เมื่อถามว่า คมช.เชื่อหรือไม่ว่าจะสามารถสาวไปถึงผู้บงการใหญ่ได้ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า อยากให้ถึง เชื่อหรือไม่รู้
แต่อยากให้ถึงผู้บงการ ตั้งแต่ผู้ประดิษฐ์ ผู้นำไปวาง และผู้บงการ อยากให้ถึงทั้งนั้น เพื่อให้สังคมได้รับประโยชน์ตรงส่วนนี้

เมื่อถามว่า กลัวหรือไม่หากจับผู้บงการไม่ได้จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำซากแบบนี้อีก พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนประมาณการณ์แล้ว
ไม่น่าจะเกิดแล้ว เมื่อถามว่า การแถลงข่าววันนี้มั่นใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตำรวจทำได้ดี
ซึ่งวันนี้จะสามารถปล่อยตัวได้หลายคน และเหลือประมาณอีก 4-5 คน

เมื่อถามว่าที่เหลือ 4-5 คน เป็นนายทหารสัญญาบัตรทั้งหมด พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่รู้จริง ๆ เมื่อถามว่า ผู้ที่ต้องสงสัย
ส่วนใหญ่อยู่ กอ.รมน. พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ ไม่เกี่ยว อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้เชื่อมถึงตัวผู้ดำเนินการ
ตั้งแต่ผู้ประดิษฐ์ ผู้นำไปวาง ขณะนี้ตนว่าตำรวจทำได้ดีแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังไม่ปล่อยกี่คน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เหลือแค่ 4-5 คน เมื่อถามว่า กรณีที่อาจเชื่อมโยงไปถึง
พล.อ.พัลลภ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถ้าพูดอย่างนี้ ดูตามหลักฐาน ยังมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะยังไม่มีการพูดจากหลักฐาน
ที่มีอยู่ เราจะไปพูดได้อย่างไร ถ้าจะพูดก็ต้องพูดว่าไม่ถึง ซึ่งต่อไปมีหลักฐานอะไรเชื่อมโยงถึง เช่นเรื่องการติดต่อกัน
หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ค่อยว่ากันอีกที

ส่วนกรณีที่ คตส.ขอหารือกับรัฐบาล และ คมช. เพื่อชี้แจงปัญหาที่บางหน่วยงานยังไม่ให้ความร่วมมือในเรื่อง
การตรวจสอบทุจริต พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า น่าจะไม่มี น่าจะเคลียร์หมดแล้ว ยังไม่มีการพูดเรื่องนี้ เพราะทุกส่วน
ต้องให้ความร่วมมือ ในที่ประชุม คมช. ไม่ได้พูดถึงกรณีที่ นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้
ถ้าจะมีก็ถือเป็นเรื่องปกติ คิดว่าน่าจะเป็นขั้นตอนว่าจะให้ใครเป็นผู้ที่ร้องทุกข์กล่าวโทษ

บิ๊กป็อกชี้บึ้มกรุงโยงคาร์บอมบ์ มั่นใจตร.มีหลักฐานไม่จับแพะ

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วย ผบ.ทบ.และผู้ช่วยเลขา คมช. กล่าวว่า เหตุวางระเบิดกรุงเทพช่วงปีใหม่ มีการเชื่อมโยง
กลุ่มคาร์บอมม์ เนื่องจากมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงชัดเจน ทำให้เชื่อมั่นเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอย่างรัดกุม
ไม่น่าเป็นการจับแพะ

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวด้วยว่า ช่วงเช้าวันนี้ ทีมสืบสวนได้เชิญตัวผู้ต้องสงสัยร่วมขบวนการวางระเบิดเป็นทหารอากาศ
มาให้ข้อมูลอีก 1 นาย รวมผู้ต้องสงสัยขณะนี้มีจำนวน 19 คน ทั้งทหารบก ทหารอากาศ และพลเรือน จากการสอบสวน
เบื้องต้นทุกคนให้การปฏิเสธ แต่เชื่อว่าหลายคนให้การเท็จ

เมื่อถามถึงการทำหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคดีนี้เป็นอย่างไร พล.อ.อนุพงศ์ กล่าวว่า ผบ.ตร.ใส่เกียร์เดินหน้า
สอบคดีนี้เต็มที่แล้ว

เมื่อถามว่าตำรจมีรายชื่อ พล.อ.พัลลภ และพล.อ.ชวลิต อยู่ด้วยหรือเปล่า พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ยังไม่มีพยานหลักฐาน
เกี่ยวกับบุคคลที่กล่าวถึง

ด้านนายไกรสร บารมีอวยชัย รักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี สั่งให้ดีเอสไอร่วมสืบสวนคดีลอบวางระเบิด 9 จุดในกรุงเทพฯและปริมณฑล เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.49 ว่า
ดีเอสไอพร้อมให้ความร่วมมือในเบื้องต้นดีเอสไอจะต้องรอคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจากนายกรัฐมนตรี
ว่าในคำสั่งดังกล่าวจะมอบหมายให้ดีเอสไอเข้าไปเสริมส่วนใดบ้าง จากนั้นจะประสานยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพื่อเข้าปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของนายกฯ

ทั้งนี้การสอบสวนคลี่คลายคดีลอบวางระเบิด เป็นงานหลักของตำรวจ ไม่ใช่คดีพิเศษ ดีเอสไอ จึงไม่มีอำนาจสอบสวน
ตามกฎหมาย แต่สามารถเข้าไปสนับสนุนในฐานะหน่วยราชการ เพราะเป็นคดีความมั่นคงที่ประชาชนให้ความสนใจ
โดยการทำงานจะต้องสอดคล้องในแนวทางเดียวกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการคลี่คลายคดี

นายไกรสร กล่าวอีกว่า หลังได้รับหนังสือคำสั่งจากนายกฯ ตนจะเรียกประชุมรองอธิบดีกรมสอบสวนคดี พิเศษ
เพื่อจัดชุดพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเข้าสนับสนุนการทำงานของตำรวจ อย่างไรก็ตามหากนายสุนัย มโนมัยอุดม
ว่าที่อธิบดีกรมสอบสวนฯเข้าปฏิบัติหน้าที่ก็จะมอบงานให้อธิบดีคนใหม่ทันที ส่วนจะมีการเสนอให้คดีลอบวาง
ระเบิดทั้ง 9 จุด เป็นคดีพิเศษหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะกรรมการคดีพิเศษ ซึ่งจะมีการประชุม
คณะกรรมการคดีพิเศษประจำเดือนมกราคม ในวันที่ 31 ม.ค.นี้ หากลงมติรับโอนคดีเป็นคดีพิเศษแล้ว
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะต้องโอนสำนวนคดีพร้อมหลักฐานทั้งหมดมาให้ดีเอสไอดำเนินการแทน
ทั้งนี้การโอนคดีอาจจะส่งผลกระทบต่อรูปคดี เพราะการสอบสวนของตำรวจ ที่กำลังมีความคืบหน้า
จะต้องหยุดชะงักลงทันที

ด้านนายสุนัย มโนมัยอุดม ว่าที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ได้รับการแจ้งเป็นการภายในว่า
ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา
แต่หนังสือเป็นทางการยังไม่ออกจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีมายังกระทรวงยุติธรรม ตนจึงยังไม่สามารถ
เข้าปฏิบัติหน้าที่ในกรมสอบสวนฯได้ สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีมอบให้ดีเอสไอเข้าร่วมคลี่คลายคดี
ลอบวางระเบิดนั้น ตนได้รับทราบมาว่า ดีเอสไอมีกลุ่มงานความมั่นคง ซึ่งจะส่งเจ้าหน้าที่คดีพิเศษเข้าไปร่วม
สืบสวนคดีความมั่นคงต่างๆ อย่างไม่เป็นทางการ เพื่อเตรียมข้อมูลหลักฐานหากต้องรับโอนเป็นคดีพิเศษ
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้หลักฐานสำคัญถูกบิดเบือน

“ผมจะผลักดันให้แก้กฎหมายสอบสวนคดีพิเศษ ให้ดีเอสไอมีอำนาจสืบสวนคดีที่ยังไม่เป็นคดีพิเศษ
เพื่อให้ดีเอสไอเข้าไปทำงานตั้งแต่เริ่มต้นคดี หลักฐานจะได้ไม่ถูกบิดเบือน โดยเฉพาะคดีสำคัญ
ซึ่งการทำงานของดีเอสไอจะเป็นการร่วมตรวจสอบการทำงานของตำรวจ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม
ยกตัวอย่างการจับกุมผู้ต้องหาคดีปล้นปืน หากดีเอสไอร่วมสืบสวนจะไม่มีการซ้อมผู้ต้องหาเกิดขึ้น”
นายสุนัย กล่าวและว่า ขณะนี้กฎหมายยังไม่ให้อำนาจดีเอสไอทำคดีที่ยังไม่รับโอนเป็นคดีพิเศษ
แต่เมื่อนายกฯสั่งการให้ดีเอสไอเข้าไปร่วมสอบสวน จะทำให้ดีเอสไอมีอำนาจเข้าไปทำงานในการตรวจสอบได้

ล่าสุดมีรายงานแจ้งว่า ตำรวจกองปราบได้นำกำลังเดินทางไปที่ จ.ลพบุรี เพื่อควบคุมตัวนายทหารชั้นประทวน
สังกัดกองทัพอากาศ มาสอบปากคำที่กองปราบปราม เนื่องจากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า อาจจะมีส่วน
เกี่ยวข้องกับคดีลอบวางระเบิด 9 จุด ใน กทม. หลังจากมีหลักฐานการใช้โทรศัพท์
----------------------------------------------------------

“สนธิ”การันตีลูกน้องไม่ผิด

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 25 มกราคม พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)
และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงกรณี
ที่มีทหารตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีลอบวางระเบิดพื้นที่กรุงเทพมหานครและนนทุบรี 9 จุดว่า
ตอนนี้เป็นเพียงการพิสูจน์คนที่ยังไม่ชัดเจน ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าใคร
เป็นผู้ต้องหาเพียงแต่มีข้อสงสัย แต่ยังไม่มีใครเป็นผู้ต้องหา

เมื่อถามว่า เบื้องต้นกองทัพตกเป็นจำเลยของสังคมไปแล้ว
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า จำเลยตรงนี้แก้ไขได้ เดี๋ยวผู้บัญชาการทหารบกจะแก้
เมื่อถามย้ำว่า มั่นใจว่าทหารที่ถูกควบคุมตัวไม่ใช่ผู้ต้องหาที่แท้จริง
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า “ผมมั่นใจอย่างนั้น เพราะยังไม่มีใครรับสารภาพ
เพียงแต่ยุทโธปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ คนที่มี
อาชีพนี้เขาก็มีอยู่ ไปที่บ้านผมก็มีกระสุนปืนอยู่”

เมื่อถามว่า หากเป็นการจับแพะ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร.ต้องรับผิดชอบ
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า “ยังเป็นไปตามที่พูดไว้”
เมื่อถามว่า ผบ.ตร.ระบุว่าไม่มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เอง ว่าใครดีหรือใครไม่ดี ตอนนี้เพิ่งเริ่มต้น

เมื่อถามว่า ในวันที่ 26 ม.ค.นี้ จะครบเวลาในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย
หากผลการสอบสวนยังไม่มีความคืบหน้าจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เป็นไปตามกฎหมาย ถ้าต้องปล่อยก็จะต้องปล่อย
เมื่อถามว่า ถ้ามีการปล่อยตัวแสดงว่าตำรวจทำงานไม่ได้ผลใช่หรือไม่
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า “ก็ดีเหมือนกัน ปล่อยเร็ว ผมจะได้ไปตั้งกรรมการสอบสวนผู้ต้องหา
ว่าเขามีพฤติกรรมอย่างไรเพิ่มเติม หมายถึงสอบกำลังพลของกองทัพบกในเรื่องของวินัยอีกที”

เมื่อถามว่า ในส่วนของตำรวจหากทำงานไม่เข้าเป้าจะมีวิธีการอย่างไร
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า “เดี๋ยว อย่าเพิ่ง ผมไม่ทะเลาะกับตำรวจ ผมไม่เอา”
เมื่อถามว่า การตั้งกรรมการด้านวินัยจะมีการตั้งหลังวันที่ 26 ม.ค.นี้ใช่หรือไม่
พล.อ.สนธิกล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการสอบสวนกำลังพลของตนเองสามารถทำได้อยู่แล้ว
ซึ่งเราต้องการความบริสุทธิ์ผ่องใสของลูกน้องตัวเอง เราต้องทำด้วยจะได้มายืนยันกัน

เมื่อถามว่า แนวคิดตั้งคณะกรรมการสอบคู่ขนานต้องตัดไปเลยหรือไม่
เพราะมีคณะกรรมการสอบของดีเอสไออยู่
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า คณะกรรมการของดีเอสไอ
ไม่ทราบว่านายกรัฐมนตรีสั่งการไปอย่างไร ซึ่งต้องคุยกับนายกรัฐมนตรีก่อน
ทั้งนี้ การทำงานคู่ขนานเป็นงานตรวจสอบคู่กันไป

พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ส่วนเรื่องของผู้มีอิทธิพลต้องมีการคุยกัน
ในระดับกองอำนวยการรักษาความมั่นคง (กอ.รมน.) โดยพยายามยึดถือแนวทางเดิม
ซึ่งแต่ละจังหวัดต้องกำจัดผู้มีอิทธิพลและผู้ค้ายาเสพติด ซึ่งขณะนี้กำลังทำอยู่
รายละเอียดต่างๆ อยู่ระหว่างกำลังเริ่มก้าวแรกของ กอ.รมน.

เมื่อถามว่า พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วย ผบ.ทบ.และผู้ช่วยเลขาธิการ คมช.
ระบุว่าทหารเลวสามารถชื้อได้ด้วยเงินคิดว่า คมช.สามารถสู้อำนาจเงินได้หรือไม่
พล.อ.สนธิ กล่าวว่า กำลังพัฒนาคนให้รู้จักความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง
ดังนั้น ความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองจะสร้างตรงนั้น ทั้งนี้ เชื่อว่า
สามารถสู้กับอำนาจเงินได้ เพราะทหารสร้างขึ้นมาให้มีอุดมการณ์ ตนมั่นใจว่าทำได้
----------------------------------------------------------

ปลดฟ้าผ่า! 'สุรยุทธ์' เซ็นเด้ง 'โกวิท' แล้ว

เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 5 ก.พ. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี
ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 25/2550 เรื่องให้ข้าราชการมาปฎิบัติ
ราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยในคำสั่งระบุว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11(4)
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2538
และมาตรา 72(1) แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี
จึงมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร.มาปฎิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
โดยให้ได้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน และให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ที่ปรึกษา(สบ.10)
เป็นผู้รักษาการแทน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
----------------------------------------------------------