บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


08 พฤษภาคม 2552

<<< ระบอบอภิสิทธิ์ "กู้แหลก แจกสะบัด ซัดภาษีอาน" >>>

ก็อย่างที่เป็นข่าวอย่างต่อเนื่องในรัฐบาลอภิสิทธิ์
มีการเร่งรัดออกฏหมายขยายเพดานการก่อหนี้สาธารณะ
จาก 50% ของ GDP ไปเป็น 60% ของ GDP
แสดงให้เห็นว่าอนาคตต้องการจะก่อหนี้สาธารณะเกิน 50% ของ GDP
ถึงต้องเร่งรัดแก้กฏหมายขยายเพดานการก่อหนี้สาธารณะ

มีโครงการแจกปลากระป๋อง แจกผ้าห่ม แจกชุดนักเรียน แจกเงิน 2,00 บาท
เรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี สารพัดทั้งแจกทั้งฟรี

และมีการรีดภาษีสารพัดเพราะง่ายดีและหาเงินวิธีอื่นไม่เป็น
แม้แต่แม่ค้าขายข้าวหลามยังโดนทั้งที่ไม่เคยโดนเก็บภาษีมาก่อน
ไหนจะเพิ่มภาษีน้ำมันจนทำให้ราคาน้ำมันแพงกว่าที่ควรจะเป็น
และในอนาคตจะเห็นการรีดภาษีที่หนักและโหดกว่านี้
ไม่เว้นแม้แต่ภาษีเงินได้ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
เมื่อมีการก่อหนี้มากเท่ากับเพดานการก่อหนี้ที่ขยายไป
ขนาดทุกวันนี้บออกว่ามีหนี้สาธารณะแค่ 39% ของ GDP
ยังไล่รีดภาษีขนาดนี้
แล้วถ้าขึ้นไปเลย 50% ของ GDP หล่ะ
ซึ่งเป็นจำนวนหนี้ที่เพิ่มขึ้นนับล้านล้านบาท
จะต้องหาเงินเพิ่มเพื่อมาใช้หนี้ภายหลังมากกว่าเดิมยังไง
การกู้นั้นง่ายมากแค่ไปขอกู้แล้วไปเซ็นต์สัญญาเงินกู้
การแจกยิ่งง่ายใหญ่ไม่ต้องคิดอะไรมากแจกๆให้หมด
ไม่ต้องใช้สมองมาก
แต่การใช้หนี้คืนนี่ซิ เป็นเรื่องยากกว่ามาก
ถ้าไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ด้วยวิธีอื่น
เป็นแต่รีดภาษีเพิ่มไปใช้หนี้
ก็จะทำความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านไปทุกหย่อมหญ้า
เพราะต้องเจอการรีดภาษีมหาโหด
และค่าครองชีพที่จะเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นไป

มาหยุดการทำร้ายตัวเองและทำร้ายประเทศไทย
ด้วยการเลิกให้ท้ายรัฐบาลนี้กันได้แล้ว
ถ้าทำงานเป็นแค่ กู้แหลก แจกสะบัด ซัดภาษีอาน
ควรหยุดทำงานแล้วกลับไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานที่บ้านดีกว่า
อย่าทำร้ายประเทศไทยไปมากกว่านี้เลย

โดย มาหาอะไร

---------------------------------------------

คลัง เล็งชงพรก.ขยายเพดานก่อหนี้สาธารณะ ไม่เกิน 60 %
โพสต์ ทูเดย์

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2552 16:09
ก.คลัง เตรียมชง พรก.ขยายเพดานก่อหนี้สาธารณะ ได้ไม่เกิน ร้อยละ 60 ของ GDP จากเดิมที่กำหนด ไว้ ไม่เกินร้อยละ 50 เสนอ ครม.เร็วๆนี้
นาย พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน. เตรียมเสนอพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การกู้เงินพิเศษต่อกระทรวงการคลัง เพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มอำนาจการกู้ยืมเงินให้มากขึ้น แต่กรอบการกู้เงินต้องมีเงื่อนไขว่า จะต้องเป็นกรอบชั่วคราว 2 - 3 ปี และต้องเป็นโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ที่รัฐบาลสามารถควบคุมได้ หรือกำหนดให้มีความคล่องตัวในการหาแหล่งเงินทุน ด้วยการอนุมัติกรอบเงินกู้จากต่างประเทศเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ กู้ในประเทศเป็นสกุลเงินบาท โดยสามารถกู้ได้จากสถาบันการเงิน หรือทำในรูปของตราสาร และต้องมีความคล่องตัวในการใช้จ่าย โดยเบื้องต้นคาดว่าจะเสนอให้มีการขยายเพดานการก่อหนี้สาธารณะให้ได้ไม่เกิน ร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จากปัจจุบันอยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 50 ของจีดีพี

นอก จากนี้ สบน. ยังอยู่ระหว่างจัดทำแผนการจัดหาแหล่งเงินทุน และแผนลงทุนตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะ 2 ของรัฐบาล โดยจะมีการปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการลงทุนร่วมภาครัฐและเอกชน (PPP) จากร้อยละ 5 เป็น ร้อยละ 18 ซึ่งจะดำเนินการให้เสร็จภายใน 1 เดือน

---------------------------------------------

ปีที่ 60 ฉบับที่ 18626 วันจันทร์ ที่ 19 มกราคม 2552

ปลากระป๋องปชป.ช่วยน้ำท่วมทำพิษชาวพัทลุงส่งคืน [13 ม.ค. 52 - 19:09]

วันนี้ (13 ม.ค.) นายนัน มุสิ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 ต.ชัยบุรี อ.เมือง พัทลุง กล่าวว่า มีชาวบ้านในพื้นที่ได้แห่คืนปลากระป๋องที่อยู่ถุงยังชีพได้รับแจกจากกระทรวง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวน 3 พันกระป๋อง หลังจากที่ชาวบ้านในพื้นที่ ต.ชัยบุรี จำนวนหลายรายเปิดรับประทานแล้วเกิดอารการคลื่นไส้และอาเจียนหลังเกิดเหตุดัง กล่าว

ต่อมา นางสุพีรา นุ้ยจันทร์ หัวหน้าสำนักงานพัฒนาสังคมฯ จ.พัทลุง ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบพร้อมรับประทานปลากระป๋องที่ชาวบ้านคืนมา ปรากฏว่าเกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นชาวบ้านที่ได้รับแจกในพื้นที่ ต.ปรางหมู่ ต.พญาขัน และ ต.ลำปำ อ.เมือง ก็แห่คืนปลากระป๋องไว้ที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน รวมจำนวน 6,500 กระป๋อง เพื่อส่งคืนสำนักงานพัฒนาสังคมฯ จ.พัทลุง และส่งต่อ นายวิฑูรย์ นามบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ต่อไป

สำหรับถุงยังชีพ ของกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ที่นำมาแจกให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมนั้น เดิมทีสิ่งของดังกล่าวเป็นของ นายวิฑูรย์ ได้มอบหมายให้ นายสุเทพ โกมลภมร ผู้ว่าราชการจังหวัดและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 3 คนในพื้นที่ลงแจกจ่ายเมื่อวานนี้

http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=118985

---------------------------------------------

บุญจง แจงแจกเงิน-มอบผ้าห่ม ทำตามนโยบายรัฐบาล

รัฐสภา 19 ก.พ. -การประชุมสภาผู้แทนราษฎร มี พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พิจารณากระทู้ถามสดเรื่อง การบริหารราชการแผ่นดินของนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยนายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ได้นำเทปบันทึกการให้สัมภาษณ์ ภาพการแจกเงินโดยภรรยานายบุญจง วีดิทัศน์นายบุญจงหาเสียง แจกผ้าห่ม แจกนามบัตรให้ประชาชน ที่มาร้องเรียนเรื่องความเดือดร้อน มาแสดง พร้อมถามว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจ ส.ส.หรือรัฐมนตรีในการสั่งการ

นาย บุญจง กล่าวชี้แจงว่า การมอบเงินนั้นเป็นเงินของรัฐบาลหรือเงินของหลวง และกระบวนการคัดเลือกบุคคลเข้ารับเงินเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของทางราชการ ส่วนที่ต้องไปมอบเงินที่บ้านของตน เพราะมีหน่วยราชการทำหนังสือขอใช้พื้นที่ที่บ้านพักของตน ซึ่งในการมอบเงินยังมีข้าราชการระดับสูงและตำรวจร่วมมอบด้วย ส่วนเรื่องการแจกผ้าห่มนั้น ตามกำหนดการเดิมเป็นการแจกเงินช่วยเหลือคนยากจน และได้จัดหาผ้าห่มเพิ่มเติม ซึ่งส่วนนี้ใช้เงินส่วนตัว ส่วนเสียงที่ปรากฏนั้น ไม่ใช่เสียงของตน การดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือคนยากจน.-สำนัก ข่าวไทย

อัพเดตเมื่อ 2009-02-19 15:42:29

---------------------------------------------

พท.เล็งเล่นงานรัฐบาล แจก2พันเข้าข่ายซื้อเสียงล่วงหน้า
« on: 16/01/09, 17:01 »
16:46น.

นาย พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงนโยบายแจกเงิน 2,000บาทของรัฐบาล ว่า พรรคเพื่อไทยได้มอบให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบว่าเข้าข่ายการซื้อเสียงล่วงหน้า หรือไม่ ผิดจากตอนที่แถลงนโยบายหรือไม่ หากเข้าข่ายซื้อเสียง พรรคเพื่อไทยก็จะดำเนินเอาผิดอย่างแน่นอน มาตรการดังกล่าวนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้ว ต่อไปอาจเกิดปัญหาเรื่องการเงินจนรัฐบาลอาจต้องหาทางรีดภาษีจากประชาชน หรือไม่ก็ต้องกู้เงินต่างประเทศ ไม่แตกต่างจากสมัยรัฐบาล นายชวน หลีกภัย ที่ต้องไปกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเข้ามาแก้ไข ซึ่งครั้งนี้อาจซ้ำรอยทำให้นายกฯคนต่อต้องเข้ามาใช้หนี้อีก เหมือนเป็นวงจรอุบาทว์ ที่เกิดจากรัฐบาลที่เป็นแต่ใช้ ไม่รู้จักหาเงิน

ที่มา: http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=358944

---------------------------------------------

ขึ้นภาษีน้ำมัน 26-80 สต.
วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 09:05
มติกบง. ขึ้นภาษีน้ำมันแก๊สโซฮอล์- ดีเซล(B2)80สต. B5-26สต.มีผลเที่ยงคืน

คณะ กรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) มีมติให้เรียกเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำมันเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่ม เติมอีกหลังเที่ยงคืนนี้ เพื่อลดภาระการชดเชยภาษีสรรสามิตน้ำมัน โดยจะเก็บจากแก๊สโซฮอลล์ 91 และ 95 ลิตรละ 80 สตางค์ ดีเซล B2 ลิตรละ 80 สตางค์ และดีเซล B5 ลิตรละ 26 สตางค์ ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศทั้ง 3 ชนิดปรับเพิ่มขึ้นอีกแม้สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวลดลงก็ตาม

ปัจจุบัน ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นดังนี้ เบนซิน 91 อยู่ที่ลิตรละ 26.74 บาท แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ลิตรละ 22.44 บาท แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ลิตรละ 21.64 บาท ดีเซล B2 อยู่ที่ลิตรละ 19.59 บาท และดีเซล B5 อยู่ที่ลิตรละ 18.09 บาท

นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน กล่าวว่า กรณีดังกล่าวไม่ส่งผลให้ราคาขายปลีกของราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น เนื่องจากได้มีการบริหารจัดการด้วยการนำไปหักกับค่าการตลาดที่สูงขึ้น ซึ่งผู้ค้าน้ำมันควรจะปรับลดราคาลงหลังจากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับ ตัวลดลง

ค่าการตลาด ณ วันที่ 19 ก.พ.เป็นดังนี้ แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ลิตรละ 2.63 บาท แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ลิตรละ 2.67 บาท แก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ลิตรละ 3.55 บาท แก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ลิตรละ 2.96 บาท ดีเซล B2 อยู่ที่ลิตรละ 2.27 บาท และดีเซล B5 อยู่ที่ลิตรละ 2.77 บาท

หลัง จากปรับอัตราเพิ่มการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ แล้วส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ลดการแบกรับภาระเหลือวันละ 50 ล้านบาท จากครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ก.พ.กองทุนน้ำมันฯ ต้องรับภาระสูงถึงวันละ 125 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันยังคงเหลือที่จะต้องมีการจัดเก็บอีกครั้งที่ 4 คือ แก๊สโซฮอล์ 95 ยังเหลือที่จะต้องจัดเก็บอีกลิตรละ 2.08 บาท แก๊สโซฮอล์ 91 อีกลิตรละ 2.08 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ E20 อีกลิตรละ 1.53 บาท แก๊สโซฮอล์ E85 อีกลิตรละ 5.70 บาท และดีเซล B2 อีกลิตรละ 0.78 บาท ซึ่ง กบง.จะรอดูสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกในช่วงขาลงเพื่อเรียกเก็บเงินเข้ากอง ทุนน้ำมันฯ อีกครั้งเพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภค

---------------------------------------------

ดูภาษีสารพัดที่เก็บในโครงสร้างราคาน้ำมัน
ทั้ง TAX ทั้ง VAT ไหนจะค่าการตลาดที่เพิ่มขึ้น
เพื่อได้รายได้เพิ่มจากปตท.ในตอนหลังอีก













---------------------------------------------

เล็งปรับภาษีน้ำมัน 2บาท/ลิตร

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังระบุว่า ครม.ยังเห็นชอบการขยับกรอบเพดานภาษีสรรพสามิตน้ำมันให้ ขึ้นอีก 2 บาทต่อลิตรทุกประเภท แต่จะขึ้นเมื่อใดนั้นต้องให้กรมสรรพสามิตออกประกาศอัตราใหม่ที่ชัดเจนก่อน คาดว่าจะมีผลในเร็วๆ นี้ และการที่ยังไม่มีการประกาศที่ชัดเจนก็เพราะหวั่นเกรงว่าจะมีการกักตุน น้ำมัน

รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังแจ้งว่า รายการภาษีสรรพสามิตอื่นที่จะปรับขึ้นจะเป็นภาษีบุหรี่ และภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยทั้งหมดอยู่ระหว่างสรุปรายละเอียด ซึ่งเฉพาะภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะปรับขึ้นในอัตรา 2 บาทต่อลิตรทุกประเภท พบว่าหากมีการปรับภาษีน้ำมันทุก ชนิดขึ้น 1 บาทต่อลิตร จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่ม 2,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 2.4 หมื่นล้านบาทต่อปี และหากปรับขึ้น 2 บาทต่ออลิตร จะทำให้มีรายได้เพิ่ม 4.8 หมื่นล้านบาทต่อปี

ด้าน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นการด่วนในช่วงบ่ายวันที่ 6 พฤษภาคม ก่อนที่จะประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในช่วงบ่ายเพื่อพิจารณาลดการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากกรณีกระทรวงการคลังได้เสนอต่อที่ประชุม

กระทรวงพลังงานจึงเตรียมลดเงินกองทุนน้ำมันเพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ โดยปัจจุบันกองทุนน้ำมันใน ส่วน เบนซิน 95 จัดเก็บ 7 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 อัตรา 5.70 บาท แก๊สโซฮอล์ อี 10 ในส่วนออกเทน 95, 91 อัตรา 2.35 และ 1.75 บาท บี 2 อัตรา 1.70 บาทต่อลิตร และกองทุนชดเชย อี 20 อัตรา 30 สต. อี 85 อัตรา 8 บาท บี 5 อัตรา 20 สตางค์ต่อลิตร ทั้งนี้ การขึ้นภาษีน้ำมันดัง กล่าวเป็นครั้งที่ 2 ของรัฐบาลชุดนี้ จากที่ก่อนหน้านี้ภาษีเบนซินอยู่ที่ประมาณ 4 บาทต่อลิตร เหตุผลหลักรัฐต้องการจัดเก็บรายได้สูงขึ้นจากปัญหารายได้หดหายเพราะเศรษฐกิจ หดตัว

ตัวแทนเหล้าฟันธงยอดขายฮวบ

ด้านความเคลื่อนไหวของกลุ่มเอเย่นต์เหล้า เบียร์ ภายหลังทราบข่าวการขึ้นภาษีดังกล่าวนั้น วันเดียวกัน นายสุรัตน์ พิพัฒน์ไชยศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ขอนแก่นเบียร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตราสิงห์ อาทิ เบียร์สิงห์ ลีโอ อาซาฮี ใน จ.ขอนแก่น เปิดเผยว่า การปรับขึ้นภาษีเหล้า เบียร์ ส่งผลกระทบต่อยอดขายของตัวแทนจำหน่ายแน่นอน เพราะหลังจากช่วงเทศกาลสงกรานต์แล้วก็จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตัวแทนจำหน่าย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ยอดขายจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงเดือนตุลาคม-เมษายน ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ทุกปี ดังนั้นจึงคาดว่าหลังการปรับภาษีและเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น ยอดขายของทางร้านน่าจะลดลงประมาณ 15-20% จากเดิมที่ก่อนจะขึ้นภาษียอดขายในช่วงโลว์ซีซั่นจะลดลงประมาณ 10% ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจไม่ดี การปรับขึ้นภาษีทำให้ราคาขายแพงขึ้น เชื่อว่าผู้บริโภคน่าจะลดปริมาณการดื่มลงเช่นเดียวกัน

ขณะที่นายทวีวัฒน์ รติรมย์พันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชียงใหม่ ซี.ดี.ซัพพลาย จำกัด ตัวแทนจำหน่ายสุรา เบียร์ ทั้งในและต่างประเทศรายใหญ่ในภาคเหนือ กล่าวว่า เชื่อว่าจะมีผลกระทบตามมาอย่างแน่นอนหลัง ครม.มีมติปรับขึ้นเพดานภาษีเหล้าและเบียร์ โดยตลาดเหล้าที่มีราคาแพงจะหดตัวลง ส่วนตลาดระดับล่างจะได้รับอานิสงส์ เพราะคนหันมาซื้อของถูกดื่มแทน

นายทวีวัฒน์ กล่าวอีกว่า ตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจภาพรวมตลาดเหล้า เบียร์ มียอดขายลดลงกว่า 30-40% หากรัฐบาลปรับเพิ่มเพดานภาษี คาดว่ายอดขายจะลดลงจากเดิมอีก แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ต้องรอดูสถานการณ์อีกระยะหนึ่งว่าหลังปรับขึ้น ภาษีแล้วราคาเหล้า เบียร์แต่ละยี่ห้อจะปรับขึ้นเท่าใด

ด้านนายอภินันท์ ศิริโชติ กรรมการผู้จัดการบริษัทเมืองใต้พาณิชย์ จำกัด เอเย่นต์จำหน่ายเบียร์สิงห์รายใหญ่ของภาคใต้ เปิดเผยว่า การปรับขึ้นภาษีเหล้า เบียร์ เพิ่มขึ้นประมาณ 6-7% ซึ่งจะส่งผลให้ต้องปรับราคาขายเพิ่มขึ้น 3-5 บาท เนื่องจากเป็นราคาที่ผู้บริโภคพอจะรับได้ แต่หากมีการปรับสูงมากไปกว่านี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายแน่นอน อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องรอความชัดเจนเรื่องราคายืนยันอีกครั้งเพื่อนำไปประเมินว่าจะส่งผล กระทบต่อยอดจำหน่ายมากน้อยขนาดไหน

ชี้เงินค่าธรรมเนียมศาลรัฐใช้ได้

วันเดียวกัน ที่สำนักงานศาลยุติธรรม ถ.รัชดาภิเษก นายพินิจ สุเสารัจ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวภายหลังลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางกฎหมาย การศาล และการบริหารงานศาลยุติธรรม ระหว่างสำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงานศาลประชาชนสูงสุดแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมจะยืมเงินค่าธรรมเนียมศาล มาแก้ปัญหาขาดแคลนงบประมาณ ว่าเงินค่าธรรมเนียมศาล เป็นเงินที่ประชาชนยื่นฟ้องคดีแพ่ง ต้องนำเงินมาวางเป็นหลักประกัน ซึ่งตามกฎหมายเดิมกำหนดไว้ในอัตราร้อยละ 2.5 แต่ไม่เกิน 2 แสนบาท แต่ในกฎหมายที่มีการแก้ไขใหม่ให้วางค่าธรรมเนียมศาลจำนวนน้อยลง

“เงินค่าธรรมเนียม ที่ศาลนำส่งกระทรวงการคลัง ถือเป็นรายได้ของแผ่นดิน ไม่ใช่รายได้ของศาล ซึ่งในแต่ละปีมีประมาณ 2,000 ล้านบาท แต่หากรวมเงินที่ได้จากค่าปรับในคดีอาญา จาก พ.ร.บ.การพนัน และพ.ร.บ.ศุลกากร หลังจากจ่ายค่าสินบนนำจับให้เจ้าพนักงานร้อยละ 50 แล้ว ก็จะมีเงินที่ศาลส่งให้กระทรวงการคลังปีละประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งหากรัฐบาลจะนำเงินค่าธรรมเนียมศาล ซึ่งถือเป็นรายได้ของแผ่นดินไปใช้จ่าย และถือเป็นอำนาจของรัฐบาล สำนักงานศาลยุติธรรมคงไม่สามารถคัดค้านหรือแสดงความเห็นได้” นายพินิจกล่าว

---------------------------------------------

คมชัดลึก :คอเหล้าอ้วกครม. ขึ้นภาษีเหล้า-เบียร์-บรั่นดี เผยเบียร์ปรับ 4-5 บาท -เหล้าขาว 1.75-2 บาท ขณะที่เหล้า 4-5 บาท ส่วนบรั่นดี 19 บาทต่อขวด เผยมีผลทันทีตั้งแต่เที่ยงคืน 6 พ.ค. เตรียมรีดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยอีก พร้อมจ่อปรับภาษีน้ำมัน 2 บาทต่อลิตร ตั้งเป้าหาเงินเข้ารัฐ 7 หมื่นล้าน ด้านผู้ประกอบการเชื่อยอดขายฮวบ ขณะที่เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ยืนยันเงินค่าธรรมเนียมศาล-เงินค่าปรับคีดอาญา 5,000 ล้านบาทรัฐสามารถนำไปใช้ได้ เหตุเป็นเงินของแผ่นดิน

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รมว.คลัง) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตเครื่อง ดื่มแอลกอฮอล์ในสินค้าประเภทเบียร์ บุหรี่และบรั่นดี เพื่อเป็นการเพิ่มฐานการจัดเก็บรายได้ให้แก่รัฐบาล เพิ่มความจูงใจในการลดการบริโภครวมทั้งลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของรัฐบาล ในอนาคต โดยมติ ครม.ในครั้งนี้จะมีผลในเวลา 24.00 น.วันที่ 6 พฤษภาคมนี้ ส่วนภาษีน้ำมันยังไม่ขอเปิดเผยเรื่องการปรับกรอบการขึ้นเพดานภาษีสรรพสามิต น้ำมัน เพราะเป็นความลับยังไม่สามารถแถลงให้ทราบได้

“การปรับเพิ่มภาษีเหล้า เบียร์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนเพิ่มรายได้ของรัฐบาล เพื่อนำมาใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวตามแผนปฏิบัติการ ไทยเข้มแข็ง 2555 เพื่อเสริมฐานรายได้ของรัฐบาลให้ปรับเพิ่มสูงขึ้น และในการปรับเพิ่มภาษีแต่ละประเภทรัฐบาลจะคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนในวง กว้างเป็นหลัก โดยในครั้งนี้จะเน้นการปรับเพิ่มภาษีเฉพาะในส่วนที่กรมสรรพสามิตดูแลเท่า นั้น” นายกรณ์กล่าว

ด้าน นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า อัตราภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ประกาศขึ้นในครั้งนี้จะส่งผลต่อ ราคาขายปลีกของเบียร์ เหล้าและบรั่นดี ดังนี้ ราคาขายปลีกเบียร์จะปรับเพิ่มขึ้น 4-5 บาทต่อขวด เหล้าขาวปรับขึ้น 1.75-2 บาทต่อขวด เหล้าผสม ปรับขึ้น 4-5 บาทต่อขวด และบรั่นดีเพิ่มขึ้น 19 บาทต่อขวด ซึ่งผลจากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในครั้งนี้จะทำให้ รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 6.3 พันล้านบาท

ทั้งนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวยังไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจใน ระยะยาวตามแผนที่รัฐบาลวางไว้ กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิตยังมีแผนปรับขึ้นภาษีในส่วนของกรมสรรพสามิต อีกครั้งในเร็วๆ นี้ เพื่อให้รายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอีก 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังมองภาษีที่จะต้องมีการปรับเพิ่มขึ้นควรจะอยู่ในกลุ่ม สินค้าฟุ่มเฟือยที่อยู่ในความดูแลของกรมสรรพสามิต

ผู้ประกอบการจ่อปรับราคา

วันเดียวกัน นายฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ ผู้อำนวยการการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเบียร์ สิงห์ ลีโอ สิงห์ไลท์ กล่าวว่า การปรับขึ้นภาษีเบียร์เต็มเพดานจาก 55 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ เป็น 60 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ หรือโดยเฉลี่ยแล้วมีผลต่อต้นทุนปรับเพิ่มขึ้น 3-5 บาทต่อขวด ซึ่งหากบริษัทแบกรับภาระไม่ไหวคงต้องปรับราคาสินค้าตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และคงต้องปรับราคาขึ้นตามภาษี

นายฉัตรชัยกล่าวว่า รัฐบาลปรับขึ้นภาษีเบียร์เต็มเพดานครั้งนี้อาจทำให้ผู้บริโภคกินเหล้าขาว แทน เพราะอัตราการจัดเก็บตามปริมาณที่เพิ่มขึ้น 120 ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ จากเดิม 110 ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ นั้นยังไม่เต็มเพดานภาษีที่ตั้งไว้ 400 ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ทั้งที่เป็นตลาดที่มีคนดื่มมากสุดมีมูลค่านับแสนบ้านบาท

หวั่นเอื้อกลุ่มทุนรายใหญ่

นายฉัตรชัย ยังตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีหน้าโรงงานเพิ่มขึ้นโดยที่ไม่ได้มีการประกาศออกมาอย่าง เป็นทางการ พร้อมกับการปรับภาษีใหม่ โดยเบียร์สิงห์ปรับขึ้น 42.9% จากเดิม 36.5% เบียร์ลีโอปรับขึ้น 31.6% จากเดิม 22.2% นั้น จะส่งผลทำให้ผู้ประกอบการเบียร์ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 8-10 บาทต่อขวด ส่งผลทำให้ราคาเบียร์ใกล้เคียงกับเหล้าขาว ถ้าปรับราคาหน้าโรงงานราคาเบียร์สิงห์ขนาด 630 มล. จะขยับขึ้นไปอยู่ที่ขวดละ 58-60 บาทจากเดิมขวดละ 50 บาท ส่วนเบียร์ลีโอจะขยับขึ้นขวดละ 49-50 บาทจากเดิมราคาขวดละ 41 บาท

"ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่มีการปรับราคาหน้าโรงงาน โดยที่ไม่ได้ถามผู้ประกอบการ ตรงนี้เท่ากับรัฐบาลได้ภาษี 2 เด้ง แต่สำหรับผู้ประกอบการทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 2 ต่อที่สำคัญมันไม่น่าถูกต้องในทางปฏิบัติ ถือเป็นสิ่งที่ผิดปกติ ซึ่งเราพร้อมที่จะตรวจสอบและต่อสู้เพื่อความถูกต้อง"

นายวิสุทธิ์ โลหิตนาวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท กราน-มอนเต้ จำกัด และนายกสมาคมไทยไวน์ กล่าวว่า การปรับภาษีทุกครั้งจะส่งผลให้เหล้าหนีภาษี หรือเหล้าเถื่อน ทะลักเข้ามาในประเทศมากขึ้น เนื่องจากเกิดช่องว่างของราคาเพิ่มขึ้น มีผลทำให้คนนิยมหันไปซื้อเหล้าหนีภาษีเยอะขึ้น แทนที่รัฐบาลจะได้ภาษีจากผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นกลับลดลง เพราะการบริโภคเหล้า เบียร์ ไวน์ ที่เสียภาษีถูกต้องลดลงเพราะสินค้าราคาสูงขึ้น ขณะที่สัดส่วนของการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละชนิดมีสัดส่วนที่ ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดช่องว่างและความเลื่อมล้ำในการคิดคำนวณภาษี ในฐานะผู้ประกอบการมองว่ารัฐควรให้ความสำคัญกับการดูแลปัญหาเหล้าเถื่อนที่ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

"เจริญ" ดูท่าทีคู่แข่งก่อนปรับราคา

แหล่งข่าวจากวงการเหล้าขาว กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเหล้าขาว โรงใหญ่ยังไม่ได้ปรับราคาขึ้น เพราะรอดูความเคลื่อนไหวของคู่แข่งก่อนที่จะปรับราคา แต่อย่างไรก็ตามการปรับภาษีครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบกับกลุ่มนายเจริญมากนัก ถ้าเทียบกับคู่แข่ง เนื่องจากอัตราภาษีที่ปรับขึ้นถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่น ทั้งๆ ที่ควรจะปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่านี้ เพราะมีอัตราการบริโภคสูงกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่นและทุกครั้งที่ ปรับภาษีเหล้าขาวปรับน้อยมาก

ส่วนการปรับภาษีอัตราภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบล่าสุด พบว่ากลุ่มเบียร์ขยับอัตราการจัดเก็บตามมูลค่าเป็น 60 ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์จากเดิม 55 ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ซึ่งเต็มเพดานแล้ว ส่วนกลุ่มเหล้าขาว ขยับอัตราการจัดเก็บตามปริมาณเป็น 120 ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ จากเดิม 110 ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ซึ่งยังไม่เต็มเพดานภาษีที่ตั้งไว้ 400

ส่วนสุราผสมขยับอัตราการจัดเก็บตามปริมาณเป็น 300 ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ จากเดิม 280 ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ซึ่งยังไม่เต็มเพดานภาษีที่ตั้งไว้ 400 เช่นกัน ขณะที่บรั่นดี ขยับอัตราการจัดเก็บตามมูลค่าเป็น 48 ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ จากเดิม 45 ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ซึ่งยังไม่เต็มเพดานที่ตั้งไว้ที่ 50

---------------------------------------------

พ่อค้าตุนชา-กาแฟ ดักขึ้นภาษี-ราคาพุ่ง3บ.

นาย สมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าปลีก-ส่ง เปิดเผยว่า ได้รับการแจ้งจากผู้ผลิตเครื่องดื่ม ชา กาแฟ กระป๋องว่าอาจจะมีการปรับราคาขึ้น จากการที่กระทรวงการคลังอาจมีมาตรการเพิ่มภาษีสรรพสามิต ซึ่งการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตย่อมส่งผลให้ราคาของกาแฟ และชา ทั้งในรูปแบบกึ่งสำเร็จรูปและแบบสำเร็จรูปเพิ่มราคาขึ้นอย่างทันทีแน่นอน อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นราคาของสินค้าจะส่งผลกระทบต่อผู้ค้ารายย่อยในช่วง สั้นๆ เนื่องจากขณะนี้มีผู้ค้ารายย่อยที่ซื้อสินค้าประเภท บุหรี่ เหล้า ชา กาแฟ ที่จะมีการจัดเก็บภาษีเพิ่มตุนสินค้าไว้แล้ว แต่เพิ่มขึ้นในปริมาณ 1-2 เท่า เท่านั้น เพราะการกักตุนสินค้ามากจะทำให้ผู้ประกอบการเสี่ยงต่อการขาดทุนได้ในภาวะที่ ประชาชนชะลอการจับจ่ายสินค้า

ด้านนายนภดล ศิวะบุตร ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกาแฟ ภายใต้ยี่ห้อ เนสกาแฟ กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการเครื่องดื่มกาแฟหลายรายได้หารือเรื่องการเก็บภาษีสรรพ สามิตแล้ว และไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของกระทรวงการคลัง เพราะจะกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งอาจต้องปรับขึ้นราคาขายปลีกอีก 2-3 บาท

นาย ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชาเขียวโออิชิ และกาแฟคอฟฟิโอ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่รัฐจะเก็บภาษีสรรพสามิตจากเครื่องดื่มชา และกาแฟ เพราะเป็นผู้ประกอบการคนไทยที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ 100% หากมีการเก็บภาษีอาจทำให้ราคาขายปรับตัวสูงขึ้น 3-5 บาท และกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวลงอย่างแน่นอน

รายงานข่าว เปิดเผยว่า คณะทำงานพิจารณาการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต ที่มี น.ส.สุภา ปิยะจิติ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน จะประชุมเพื่อพิจารณาการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตสินค้าบาป หรือประเภทซินแทค รวมถึงการปรับขึ้นภาษีเครื่องดื่มชาและกาแฟ ในวันศุกร์ที่ 13 มี.ค.นี้ โดยในส่วนของเครื่องดื่มชา-กาแฟหากจะจัดเก็บภาษี เพียงออกประกาศอธิบดียกเลิกจากการเป็นสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษี ก็สามารถเก็บภาษีได้ทันที และหากเก็บภาษีเต็มเพดาน 20% อาจทำให้ราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกระป๋องหรือกล่องละ 2-3 บาท ขณะที่รัฐบาลจะมีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นปีละ 1,000-2,000 ล้านบาท

เนื้อหาโดย : ข่าวสด

---------------------------------------------

14:40 น. พท.ค้านขึ้นภาษีนมผง ผลักภาระประชาชน
อังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 14:46 น. — Breaking News : ข่าวด่วน

นาย วิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย แถลงกรณีมีข่าวว่าคณะรัฐมนตรีจะขึ้นภาษีนมผงว่า การที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณากำหนดภาษีนมผงให้สูงขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแปลก ปลอมในนมโรงเรียนนั้น ถือเป็นเรื่องไม่ปกติและถือเป็นการเพิ่มภาระให้ผู้บริโภค ทั้งยังไม่ช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแปลกปลอมในนมโรงเรียน...

---------------------------------------------

สรรพสามิตจ่อขึ้นภาษีบาป21รายการ
รม ช.คลัง เผยกรมสรรพสามิตเตรียมปรับขึ้นภาษีสินค้าบาป 21 ชนิดรวมน้ำอัดลม แจงพิจารณาปรับโครงสร้างสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ไม่สร้างแรงกดดันให้ผู้ประกอบการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 ก.พ.) นพ.พฤติชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้กรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ เน้นเรื่องปรับภาษีสินค้าบาป (Sin Tax) 21 ชนิดรวมน้ำสี (น้ำอัดลม) ด้วย เนื่องจากยังมีเพดานปรับขึ้นอัตราภาษีได้อีกมาก อย่างไรก็ตามการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตจะพิจารณาให้สอดคล้องกับภาวะ เศรษฐกิจปัจจุบัน และไม่สร้างแรงกดดันให้กับผู้ประกอบการ

นพ.พฤติชัย กล่าวต่อว่า การตรวจสอบการเสียภาษีสรรพสามิตสถานบันเทิงและผับหลังเกิดกรณีซานติก้า ขณะนี้คณะกรรมการตรวจสอบได้ลงพื้นที่ไปแล้วประมาณ 140 แห่ง ในช่วงเวลา 21.00-02.00 น. พบว่าส่วนใหญ่มีการจดทะเบียนในลักษณะร้านอาหาร ซึ่งต้องรอผลการตรวจสอบของคณะกรรมการอีกครั้งว่า ร้านต่าง ๆ มีการดำเนินการที่ผิดกฎระเบียบหรือไม่ รวมถึงการพิจารณาคำนิยามตามกฎหมายด้วย.

ข่าว เดลินิวส์

---------------------------------------------

ขึ้นภาษีแอร์เก็บตามบีทียู
โพสต์ทูเดย์ — คนขี้ร้อนต้องจ่ายเพิ่ม เพราะสรรพสามิต แก้ กม.เก็บภาษีตามบีทียู ทำราคาแอร์แพงขึ้น

แหล่ง ข่าวกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้ปรับปรุงพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเครื่องปรับอากาศ จากเดิมที่จัดเก็บตามมูลค่าเพียงอย่างเดียว ในอัตรา 30% เป็นจัดเก็บตามปริมาณ หรือตามหน่วยบีทียูต่อชั่วโมง โดยคิดอัตราจัดเก็บที่หน่วยละ 0.30 บาท

ทั้งนี้ ในกฎหมายที่กำลังพิจารณาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวาระ 2 นั้น กำหนดให้คิดเสียภาษีทั้ง 2 แบบ แบบไหนต้องเสียภาษีมากกว่ากันก็ให้เสียแบบนั้น

แหล่งข่าวเปิดเผย ว่า การปรับเปลี่ยนวิธีการคิดภาษีใหม่นั้น มีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการสำแดงราคาต่ำ หลีกเลี่ยงการ เสียภาษี

“พิกัดภาษีที่เก็บใหม่นั้นหากเก็บภาษีเต็ม 30 สตางค์ต่อบีทียู ผู้เสียภาษีจะเสียภาษีใกล้เคียงกับอัตราปัจจุบัน ที่แม้กฎหมายจะให้เก็บ 30% แต่สรรพสามิตเก็บจริงแค่ 15% ในกรณีที่ผู้ประกอบการแจ้งราคาตามจริง แต่ยอดการเก็บภาษีตามบีทียูจะมากกว่าปัจจุบัน หาก ผู้ประกอบการแจ้งเสียภาษีต่ำกว่าความเป็นจริง” แหล่งข่าวเปิดเผย

ทั้ง นี้ ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการนำเข้าเครื่องปรับอากาศและสำแดงราคาต่ำมาก โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศนำเข้าจากประเทศจีน ทำให้การเสียภาษีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น การเก็บภาษีตามบีทียูนั้น จะทำให้ ผู้ประกอบการไม่กล้าที่จะแจ้งบีทียูต่ำกว่าเป็นจริง เพราะตรวจสอบได้ง่าย อีกทั้งใครติดแอร์ที่มีบีทียูสูงก็ต้องจ่ายมากกว่าคนที่ติดแอร์บีทียูต่ำ

“ เมื่อ เก็บภาษีตามบีทียูนั้น ทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการสูงขึ้นนั้น คงมีผลต่อราคาซื้อขายต่อเครื่อง แต่แอร์นั้นเป็นสินค้าทางเลือก และผู้ที่ใช้คือคนมีเงินพอจะจ่าย” แหล่งข่าวระบุ

ทั้งนี้ พ.ร.บ.สรรพสามิต ที่ใช้ในปัจจุบันเก็บภาษีเครื่องปรับอากาศ 15% ของมูลค่า จากที่เพดานกำหนดไว้สูงสุดเก็บได้ถึง 30% ในร่าง พ.ร.บ.สรรพสามิตฉบับใหม่ หากมีผลบังคับ จะคงการเก็บภาษีในส่วนมูลค่าเท่าเดิม และจะเพิ่มการเก็บภาษีตาม บีทียูไว้ไม่เกิน 30 สตางค์ต่อบีทียู ซึ่ง จะต้องออกเป็นประกาศกระทรวงอีกครั้งว่าจะเก็บบีทียูเท่าไหร่

แหล่ง ข่าวเปิดเผยว่า ร่าง พ.ร.บ.สรรพสามิตฉบับใหม่ยังมีการแก้ไขให้ รมว.คลังมีอำนาจประกาศราคา ซีไอเอฟสินค้าที่เห็นว่ามีการแจ้งราคาต่ำกว่าเป็นจริงได้ ซึ่งจะทำให้การเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แหล่งข่าวจากสภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า ทางกลุ่มเคยขอให้ลดการเก็บภาษีสรรพ สามิต เนื่องจากถือว่าเครื่องปรับอากาศเป็นสินค้าจำเป็นต่อชีวิต แต่ ก็ไม่เคยมีการพิจารณาในเรื่องนี้

---------------------------------------------

โวยสรรพากรรีดเลือดปูเรียกเก็บภาษีข้าวหลามข้างทาง

คม ชัดลึก : พิษณุโลก - พ่อค้าแม่ค้าขายข้าวหลามริมถนนโวย สรรพากรเรียกเก็บภาษี รีดเลือดกับปู โอดครวญขายแต่ละวันรายได้พอยังชีพเท่านั้น แถมยังต้องเสียภาษีให้กับอบต. รู้สึกท้อใจ รัฐน่าจะสนับสนุนให้เป็นสินค้าที่โดดเด่น ด้านสรรพากรแจงเป็นหน้าที่ตามกฏหมายที่ผู้ขายข้าวหลามข้างทางเข้ากฏเกณฑ์ ต้องจ่ายภาษี และที่ผ่านมาก็ไม่เคยเข้าสู่ระบบการจ่ายภาษี

วันที่ 2 มี.ค. 52 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน ม.6 ต.มะตูม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ว่ามีอาชีพขายข้าวหลามข้างทาง แต่ถูกทางเจ้าหน้าที่สรรพากรเรียก เก็บภาษีเพิ่ม ทั้งที่ไม่ได้มีรายได้มากมาย และเสียให้กับ อบต.เป็นประจำอยู่แล้ว จึงได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าบริเวณถนนสายพิษณุโลก-พรหมพิราม ช่วงก่อนถึงสำนักงานตำรวจภูธรภาค 6 มีการตั้งการตั้งแผงตั้งโต๊ะขายข้าวหลามอยู่ประมาณ 3-4 ราย จากการสังเกตนานๆจะเห็นรถยนต์ที่วิ่งผ่านไปมาจอดซื้อข้าวหลามสักคัน
จาก การสอบถามนางพยุง ณัฐาศิริพร อายุ 42 ปี อยุ่บ้านเลขที่ 48/1 ม.6 ต.มะตูม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ว่ามีอาชีพเผาข้าวหลามขายมาเป็นเวลา 11 ปี พอมีรายได้จากการขายข้าวหลามเลี้ยงครอบครัว แต่ก่อนขายกระบอกละ 5 บาท แต่ช่วงหลังได้เพิ่มราคาขายเป็นมัดๆละ 3 กระบอก ราคา 20 บาท เนื่องราคาวัสดุของที่ใช้เพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้กำไรอะไรมากนัก หากรู้จักเก็บประหยัดก็พออยู่ได้ ที่ผ่านมาตนได้เสียภาษีให้กับ อบต.มาตลอด นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีป้ายที่เขียนติดเอาไว้ 200 บาท ต่อมาต้องเอาออก เพราะไม่อยากมีภาระเพิ่มขึ้น เนื่องรายได้ไม่ได้มากเท่าไหร่
ส่วนการ เก็บภาษีข้าวหลาม ทางเจ้าหน้าที่ได้วัดขนาดของโต๊ะที่วางขายข้าวหลาม มีขนาดใหญ่มากแค่ไหน ทำให้ต้องเสียภาษีมากกว่าความเป็นจริง ซึ่งผู้ที่ขายข้าวหลามต่างรู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่มีเพียงแต่ อบต.มาเก็บ ยังมีเจ้าหน้ากรมทางหลวงมาตรวจสอบ ไม่ต้องการให้พวกตนขายข้าวหลาม เพราะอยู่บนไหล่ทางหลวง ทั้งที่ตนก็ไม่ได้สร้างร้านค้าอะไรถาวรบนทางถนนแต่อย่างใด เพียงเอาโต๊ะมาตั้งวางข้าวหลามขายเท่านั้น โดยมีร่มกางกันแดดเอาไว้ และไม่ได้ลงไปกีดขวางทางจราจรเลยแม้แต่น้อย ซึ่งไม่ทราบว่าหน่วยงานรัฐไม่ได้มองความเดือดร้อนของชาวบ้าน ทั้งที่ทำมาหากินโดยสุจริต มีอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้ก็น่าจะสนับสนุนส่งเสริมพวกตนต่างหาก
ด้าน นางหลำ อินทร์ปาน อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 104 ม.6 ต.มะตูม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก กล่าวด้วยความท้อแท้ใจว่า ที่ผ่านได้เสียภาษีส่วนหนึ่งให้กับ อบต.ไปแล้ว มีทั้งค่าป้าย ค่าภาษีโรงเรือน พอมาตอนหลังมีการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่สรรพากรว่า พ่อค้าแม่ค้าขายข้าวหลามมีรายได้มากต้องมีการเก็บภาษีอีก พวกตนไม่เข้าใจทำไมต้องมีการเก็บภาษีกันหลายหน่วยงาน เพราะรายได้จากการเผาข้าวหลามข้างทาง ไม่ได้มีรายได้มากมายอย่างที่ทางเจ้าหน้าที่สรรพากรคิด กัน เพราะต้องใช้จ่ายในการหาซื้อวัสดุอุปกรณ์มาทำ แต่ละวันก็พออยู่ได้ขอให้ไม่ขาดทุนก็พอแล้ว หากจะไปรับจ้างงานทั่วไปก็ไม่ไหว รายได้จากการเผาข้าวหลามก็พอจะอยู่ได้ไม่เดือดร้อน เราไม่ทำใหญ่โตหรือเปิดเป็นร้าน เพียงเอาโต๊ะมาตั้งวางขายเท่านั้น ทำไมรัฐไม่มาดูแลเรื่องอาชีพให้กับชาวบ้าน สนับสนุนเป็นสินค้าประจำอำเภอ หรือพยายามส่งเสริมให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น
นายวราพร ยิ้มสบาย เจ้าหน้าที่สรรพกร อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีกับแม่ค้าข้าวหลาม เป็นเงินได้ประเภททำอาหาร คนโสดถ้ารายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี ต้องเสียภาษี ถ้ามีคู่สมรสรายได้เกิน 60,000 บาทต่อปีต้องเสียภาษี สำหรับแม่ค้าข้าวหลาม ที่ หมู่ 6 ต.มะตูม รายได้น่าจะเกินกว่า 3 หมื่นบาท เนื่องจากการสำรวจทราบว่า ใช้ข้าวเหนียวสำหรับทำข้าวหลามวันละ 1 ถัง ราคาประมาณ 400-500 บาท ไม่รวมกะทิ น้ำตาล ไม้ไผ่ การขายต่อวันอย่างต่ำ 500 บาท คูณ 365 วัน หนึ่งปีจะมีรายได้กว่า 1 แสนบาทแน่นอน ตรงนี้เป็นกฎหมายปกติผู้มีเงินได้จากรายได้ทุกคนต้องยื่นเสียภาษี
สำหรับ กรณีแผงจำหน่ายข้าวหลาม พึ่งยื่นหนังสือตรวจสอบข้อมูลไปยังผู้เสียภาษี เพราะไม่เคยเข้าระบบการเสียภาษี ภาษีที่จัดเก็บของสรรพกรไม่มาก เพียงร้อยละ 50 สตางค์ ถ้าอายุเกิน 65 ปี รายได้ 1.5 แสนบาทก็ได้รับการยกเว้นภาษี อยากให้แม่ค้าข้าวหลาม เข้ามาพูดคุย การจัดเก็บภาษีไม่ได้จัดเก็บ 100 % ถ้าคำนวณต้นทุนกำไร อาจเสียภาษีไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น ตอนนี้แม่ค้าไม่มาพูดคุยสอบถาม และไม่เข้าใจกฏหมาย จึงไปร้องเรียนผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก และสื่อมวลชนหลายแขนง

---------------------------------------------

โดนสองเด้งเลย
ไม่ใช่แค่รัฐจ้องรีดภาษีอย่างเดียว
แต่กทม.ก็จ้องรีดภาษีกับเขาด้วย
เจอสองต่อเลยคนกรุง

+++++++++++++

กทม.เตรียมแก้ระเบียบจัดเก็บภาษีใหม่
* วันอังคาร 31 มีนาคม 2552 9:12

ม. ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อ วานนี้ ( 30 มี.ค.) ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยหลังการเป็นประธานประชุมเชิงวิชาการเรื่อง “วิกฤตเศรษฐกิจโลก กับ กรุงเทพมหานคร” ว่า กทม.มีแผนจะจัดเก็บภาษีน้ำมันตามเทศบัญญัติของท้องถิ่นพิเศษอย่าง กทม. สามารถจัดเก็บรายได้เพื่อนำมาพัฒนาเมืองได้โดยจะเสนอเก็บภาษีน้ำมันทุก ประเภทในอัตราลิตรละ 5 สตางค์ ต่ำกว่าหลายจังหวัดซึ่งจัดเก็บในอัตรา10 สต.

ผู้ ว่า กทม. กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวทำให้ กทม.มีรายได้เพิ่มขึ้นราว 500 ล้าน บาท หลังจากนี้ก็จะพิจารณาจัดเก็บภาษีเหล้า บุหรี่ และโรงแรม รวมถึงการจัดเก็บภาษีสนามบิน โดยภาษีในส่วนของเหล้า โรงแรม และสนามบิน กำลังมีการยกร่างเพื่อแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการ กทม.พ.ศ.2528 ซึ่งได้มีการแต่งตั้ง นายจรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานยกร่างอยู่

ผู้ว่าฯกทม. กล่าวด้วยว่า รายได้ของ กทม.จัดเป็น 1 ใน 4 ของรายได้ในระบบเศรษฐกิจไทย (รายได้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 9 ล้านล้านบาท ถ้า 1 ใน 4 เท่ากับ 2.8 ล้านล้านบาท) ทั้งนี้ในปี 2547 จีดีพี กทม.ขยายตัว 6.3% แต่นับจากปี 2548 เป็นต้นมา จีดีพีขยายตัวลดลงเหลือ 3.9, ในปี 2549 ขยายตัวเพียง 1.5 และปี 2550 ขยายตัวติดลบ 2.5% แสดงให้เห็นว่ามีสาเหตุจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบมาถึงและทำให้มี ผู้ว่างงานไม่น้อยกว่า 160,000 คน

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลที่เกิดขึ้น คือ มีเงินหมุนเวียนในระบบน้อยลง และรายได้ที่มาจากการท่องเที่ยวก็ลดลงเช่นกัน จากสถิติปี 2550 ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว 330,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้อยู่ที่ กทม.ถึง 180,000 ล้าน บาท แต่เมื่อเกิดวิกฤติ นักท่องเที่ยวหายไปแน่นอน เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากประเทศที่กำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งหากนักท่องเที่ยวลดลง 10% จากจำนวน 11 ล้านคน ก็เท่ากับว่า รายได้หายไป 15,000 ล้านบาท ถ้า 20% รายได้จะหายไปถึง 30,000 ล้านบาท

ผู้ ว่า กทม.กล่าวตอนท้ายว่า นอกจากนี้ การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลก็มีปัญหา เพราะจัดเก็บได้น้อยลง กทม.จึงต้องนำเงินสะสมออกมาใช้จ่ายเดือนละ 1,000 ล้านบาท และต้องพยายามหาแหล่งรายได้อื่นมาชดเชย ด้านสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า ปีนี้ กทม.จะขยายตัวติดลบ 3% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ สศค.ประเมินว่าเศรษฐกิจทั้งประเทศจะติดลบ 2.5%

http://www.chaoprayanews.com/2009/03/31/%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94/

---------------------------------------------

จากข้อมูลนี้ทำให้รู้ว่า
ถ้ารวมเงินที่รัฐจะกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสามอีก 1.4 ล้านล้านบาท
ตัวเลขหนี้สาธารณจะเฉียด 60% ของ GDP แน่นอน
ซึ่งอาเจนติน่าที่โดนบีบขายรัฐวิสาหกิจออกมาช่วงนั้น
หนี้สาธารณะก็อยู่ราวๆ 60% นี่แหล่ะ

++++++++++++++++

“กรณ์”เรียกหน่วยเก็บเงินปรับแผนใหม่

* วันพฤหัส 26 มีนาคม 2552 15:43
* เศรษฐกิจ

วันนี้( 26 มี.ค.52) นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เชิญผู้บริหารส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับจัดเก็บรายได้ เข้าหรือถึงสถานการณ์การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2552 หลังจากมีสัญญาณไม่ค่อยดีเกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้

นาย สมชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการคาดการณ์กันว่า การจัดเก็บรายได้ในปีนี้อาจต่ำกว่าเป้าหมาย 1.3 แสนล้านบาท แต่ขณะนี้หลายหน่วยงานส่งตัวเลขประมาณการมาแล้วพบว่าอาจจัดเก็บรายได้ต่ำ กว่าเป้าถึง 2 แสนล้านบาท โดย สศค.ได้ปรับคาดการณ์ จีดีพี.ในปี 52 มาที่ติดลบร้อยละ 3 ถึงลบร้อยละ 2 จากที่เคาว่าจะเติบโตร้อยละ 0.2

ทางด้าน นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณ (สบน.) กล่าว ว่า คาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ จีดีพี.ภายในสิ้นปีนี้จะปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 43 – 45 ของ จีดีพี.ซึ่งสูงกว่าเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 42 ของ จีดีพี. หาก จีดีพี.ขยายตัวติดลบมากกว่าคาดการณ์ก็จะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณต่อ จีดีพี.เพิ่มขึ้นอีก ตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมยอดเงินที่รัฐจะนำออกมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ สามอีก 1.4 ล้านล้านบาท

สำหรับ ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือน มกราคม 52 อยู่ที่ 3.54 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39.31 ของ จีดีพี. เพิ่มขึ้น 71.514 ล้านบาท จากเดือนธันวาคมปี 51

http://www.chaoprayanews.com/2009/03/26/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4/

---------------------------------------------