ยามที่เราเห็นพระอาทิตย์ตกดิน
จริงๆ แล้วตกดินจริงหรือไม่
เช่นเดียวกัน
ยามที่เราเห็นพระอาทิตย์ตกน้ำ
จริงๆ แล้วตกน้ำจริงหรือไม่
ซึ่งทุกท่านก็รู้ว่า
มันไม่ได้ตกดิน ตกน้ำ เหมือนที่ตาเราเห็น
เพราะว่าทุกท่านมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ถ้าเป็นยุคโบราณ ยุคที่เฃื่อว่าโลกแบน
เขาอาจเชื่อว่าตกดิน ตกน้ำจริงๆ ก็ได้
กรณีนี้ ชี้ให้เห็นว่า
ความรู้มีส่วนทำให้คนมีเหตุผล
ที่จะวิเคราะห์ว่า
จะเชื่อตามที่ตาเราเห็นหรือไม่
ดังนั้นการเห็นกับตาก็จริง
แต่อาจไม่เป็นอย่างที่เห็นก็ได้
อย่างกรณีที่เป็นมนุษย์
บางทีเขาอาจสร้างภาพให้เราเห็นอีกแบบ
แต่จริงๆ แล้วเขาอาจเป็นอีกแบบก็ได้
เพราะมนุษย์เล่ห์เหลี่ยมเยอะ
แต่ถ้ากรณีที่เป็นธรรมชาติ
ธรรมชาติอาจไม่ได้หลอกเรา
เพียงแต่เราเข้าใจไปเองว่าเป็นยังงั้นยังงี้
มีอีกกรณีหนึ่ง
ที่สายตาเราเห็นไม่ตรงกับความเป็นจริง
นั่นก็คือวัตถุสิ่งของที่อยู่ใกล้เรา
เราจะเห็นว่ามีขนาดใหญ่กว่าที่อยู่ตำแหน่งไกลกว่า
แม้เป็นวัตถุสิ่งของชนิดเดียวกันก็ตาม
แม้แต่ถนนยิ่งมองไปไกลๆ
เหมือนยิ่งแคบลง
แต่จริงๆ แล้วมันเท่าเดิมนั่นแหละ
อาจเพิ่มลดนิดหน่อยแต่ปกติเขาจะทำให้มันกว้างเท่าๆ กัน
แต่ก็นั่นแหละด้วยสายตาที่เห็น
ว่าข้างหน้าไกลๆ ทางแคบลง
แต่จริงๆ เมื่อไปถึงจุดนั้น
อาจพบว่ามันอาจแคบลงจริงๆ ก็ได้
เท่าเดิมก็ได้ หรือใหญ่กว่าเดิมยังได้เลย
ท่านจะรู้ก็ต่อเมื่อไปถึงจุดนั้นแล้ว
และลงมือตรวจวัดพิสูจน์ดู
กรณีของถนน
อาจให้ข้อคิดแก่พวกเราอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ถ้าเราเห็นถนนข้างหน้าตีบตันเล็กลงเรื่อยๆ
แล้วเรากลัวเราไม่กล้าไปต่อ
เราก็ไปไม่ถึงจุดหมายแน่นอน
แต่ถ้าเราเฉยๆ เหมือนขับรถไม่ได้รู้สึกอะไร
แถมบางคนอาจไม่ได้สนใจสังเกตุด้วยซ้ำ
ก็ขับไปได้เรื่อยๆ โดยไม่กลัวอะไร
แต่ถ้าไปเจอถนนที่ขาดหรือน่าอันตราย
อันนี้จงเชื่อสายตาที่เราเห็น
อย่าได้วิ่งผ่านไปจนตกข้างทางหรือตกเหว
เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้
แทนที่เราจะวิ่งฝ่าไปให้เกิดออันตราย
เราก็ลองหาทางเส้นใหม่ที่ปลอดภัยกว่าไปแทน
เสียเวลาหน่อยแต่ไม่ต้องมานั่งเสียใจกันภายหลัง
สรุป จะเห็นได้ว่า สิ่งที่เราเห็น
อาจไม่เป็นเหมือนที่เราคิด
หรืออาจเป็นเหมือนที่เราคิดก็ได้
จงอย่าเชื่อสายตาอย่างเดียว
โดยไม่ใช้เหตุผลในการคิดวิเคราะห์ประกอบด้วย
โดย มาหาอะไร
