บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


28 กันยายน 2552

<<< อย่าเน้นเปลือก มากกว่าแก่น >>>

แก่นแท้ของระบบสารสนเทศก็คือ ฐานข้อมูล(Database)
ไม่ใช่ตัวโปรแกรม หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์
หรือ โครงข่าย หรือ ตึกอาคารสถานที่ติดตั้งอะไร
เพราะว่าถ้าเกิดไฟไหม้
สามารถไปเช่าตึก ซื้อคอมพิวเตอร์มาติดตั้ง
รวมทั้งลงโปรแกรมใหม่ได้ภายในไม่กี่วัน
แล้วทำงานต่อไปได้แม้ขรุขระบ้าง แต่พอไปได้
ถ้าฐานข้อมูลไม่สูญหาย
เพราะมีการสำรองข้อมูลไว้หลายชุดหลายที่
ก็สามารถนำมาปรับปรุงข้อมูลทำงานต่อไปได้
แต่ถ้าฐานข้อมูลสูญหายหรือถูกทำลายไปหมด
คราวนี้ต้องมาดูว่า มีข้อมูลมากน้อยแค่ไหน
แล้วจะบอกได้ว่าความสูญเสียเกิดขึ้นมากน้อยขนาดใด
เผลอๆ ถึงขั้นล้มละลาย
ลองหลับตานึกภาพถ้าธนาคารแห่งหนึ่ง
ฐานข้อมูลลูกค้าทั้งฝากเงิน กู้เงิน หรือเรื่องชำระเงิน สูญหาย
แล้วมีลูกค้าเป็นล้านๆ บัญชี
เขาจะใช้เวลาเท่าไหร่
เพื่อจะให้ระบบธนาคารทำงานต่อไปได้
ลูกค้าจะรอไว้ไหมอาจใช้เวลาเป็นปีๆ
หรือไม่ถ้าเอกสารต้นฉบับเสียหายด้วย ก็จบกัน
จะเห็นได้ว่า
แก่นแท้ของระบบสารสนเทศอยู่ที่ฐานข้อมูล
จึงต้องให้ความสำคัญมากกว่าสิ่งอื่น

ลองมาดูระบบการเมืองบ้างว่า
แก่นแท้คืออะไร
แก่นแท้ของการเมืองก็คือ
อำนาจในการบริหารประเทศนั่นเอง
เพราะถ้าเมือไหร่มีอำนาจในการบริหารประเทศ
ได้เป็นรัฐบาลหรือเป็นนายกรัฐมนตรี
ก็ทำให้สามารถทำนั่นนี่ได้
สามารถทำตามฝันตามนโยบาย
ได้มากกว่าการเป็นฝ่ายค้าน
แต่บางคนอาจจะบอกว่า
มันก็จริงว่าแก่นแท้ทางการเมือง
คืออำนาจในการบริหารประเทศ
แต่จริงๆ เท่าที่เห็นสองสามปีมานี่
นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจ
แถมอาจจะโดนติดคุกบ้าง
โดนปลดบ้างสารพัด
บางคนก็โดนปล้นอำนาจไป
แล้วจะเรียกว่าเป็นแก่นแท้ได้ยังไง
ขอยืนยันว่า
อำนาจในการบริหารประเทศคือแก่นแท้แน่นอน
เพราะจะเห็นมีการเข้ามาแย่งชิงอำนาจไปบริหารแทน
แทนที่จะมีอำนาจโดยไม่ต้องมาแย่งชิง
แสดงว่าอำนาจในการบริหารประเทศอยู่ที่นายกแน่นอน
เพียงแต่รักษาอำนาจกันไว้ไม่ได้เท่านั้นเอง
แล้วจะมีทางรักษาอำนาจไว้ได้ยังไง
เพื่อไม่ให้โดนอำนาจนอกระบบมาเล่นงาน

วิธีรักษาอำนาจในการบริหารประเทศ
ก็ต้องทำให้ประชาชน
สามารถมาเป็นกำแพงหนุนหลังได้
และต้องเป็นกำแพงที่แข็งแกร่งด้วย
ไม่ใช่กำแพงไม้รวกพิงไม่ได้นานก็ล้มแล้ว
ต้องเป็นกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่
ที่สามารถต้านทานพายุได้ด้วย
ต่อให้ยืนพิงกำแพงไม่ไหว
ไปหลบหลังกำแพงก็ยังปลอดภัย

วิธีการทำให้ประชาชน
เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก
ในระบอบประชาธิปไตยก็คือ
ทำให้ประชาชนรักสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคเข้าไว้
ง่ายๆ เลยคือทำให้ประชาชนมีอุดมการณ์ประชาธิปไตย
ให้เขากล้าโต้เถียงกัน ไม่ใช่รอแต่รับคำสั่งแล้วทำตาม
กล้าคิดสร้างสรรสิ่งใหม่ๆ และกล้านำตนเอง
พูดไปพูดมาก็คือ 3กล้า 5มี อะไรที่เคยว่าไว้นั่นเอง
เพื่อที่เขาจะได้ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของเขา
นั่นก็เท่ากับว่าเขาออกมาเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้แล้ว
และถ้ามีประชาชนพร้อมสู้เพื่อประชาธิปไตยเกินครึ่งประเทศ
จะไม่มีใครคนใดกล้านำความอยุติธรรมมาใช้เด็ดขาด
จะไม่มีใครคนใดกล้าละเมิดสิทธิเสรีภาพเด็ดขาด
และจะไม่มีใครหน้าไหนกล้าทำรัฐประหารอีกเลย

แต่ที่ผ่านมานั้น
แทบไม่มีรัฐบาลไหนสนใจสร้างรากฐานประชาธิปไตย
เพื่อให้ประชาชนรักและพร้อมสู้เพื่อประชาธิปไตยเลย
ไม่มีหลักสูตร ไม่มีงบหนุนด้านนี้เท่าไหร่
ไม่มีสื่อสอนเรื่องนี้ ไม่มีการสนุบสนุนใดๆ อย่างจริงจังเลย
พอได้อำนาจแล้ว ก็กลัวประชาชนจะปีกกล้าขาแข็ง
ก็พยายามกดหัวบ้าง ทำให้ฉลาดช้าบ้าง สารพัด
โดยหารู้ไม่ว่า
พวกตนเองก็ใช่ว่าจะอยู่กันได้ยาวนาน
และการพยายามทำให้คนสั่งซ้ายหันขวาหันได้
เพื่อจะได้ง่ายกับการบริหาร
ถ้าพวกคุณทำได้พวกอื่นก็สั่งซ้ายหันขวาหันได้
พวกเขียวไปทั้งตัวยิ่งชำนาญที่จะใช้วิธีนี้
ก็มาแย่งอาชีพพวกนักการเมืองทำได้ทุกเวลา
แต่ถ้าทำให้สั่งซ้ายหันขวาหันไม่ได้
สนับสนุนการวิพากษ์วิจารณ์
สนับสนุนสิทธิเสรีภาพประชาชน
ตามหลักการประชาธิปไตยอย่างเต็มที่
ไม่มีคนที่ชอบสั่งซ้ายหันขวาหันคนไหน
อยากเข้ามาบริหารผู้คนที่สั่งซ้ายหันขวาหันไม่ค่อยได้หรอก
ถ้าพวกคุณฝึกบริหารในสภาวะแบบนี้ได้
ก็จะมีแต่พวกคุณและคนไม่กี่คนที่ทำได้
ไม่มีพวกชอบใช้กำลังทำแบบนี้ได้
เพราะการบริหารผู้คนแบบนี้
ต้องใช้สมองต้องใช้เหตุผลเป็นตัวนำ
ไม่ใช่ใช้กำลังเป็นตัวนำ

การล้างแค้นก็คือการล้างความแค้นของคนที่แค้นออกไปเท่านั้น
อาจทำอะไรเพื่อความสะใจเพื่อให้สมหวังคนที่แค้น
ส่วนการต้องการความยุติธรรม
ต้องการสิทธิเสรีภาพในการตัดสินใจของประชาชน
ไม่ได้ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง
แต่ทำเพื่อคนทุกคนในสังคม
ส่วนใครที่กำลังได้รับความอยุติธรรมอยู่
หรือกำลังถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพอยู่
จะได้รับผลพลอยได้ไปด้วย
ก็เป็นเรื่องที่ปกติแล้ว
เพราะทำเพื่อต้องการความยุติธรรมในสังคม
กับคนทุกคนไม่มียกเว้นใครคนใดคนหนึ่ง
และต้องการความมีสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย
กับคนทุกคนไม่มียกเว้นใครคนใดคนหนึ่งอีกเหมือนกัน

บางคนชอบแนวบู๊
อาจอยากเห็นการทำสงครามเพื่อจะได้แตกหักไวๆ
สงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้
แต่ถ้าเมื่อไหร่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ แล้ว
สงครามก็สงคราม
แต่ถ้ายังหลีกเลี่ยงได้
ยิ่งสู้กันในระบอบประชาธิปไตยแล้ว
สงครามแย่งชิงมวลชนเป็นสงครามขั้นสูงสุด
เพราะในระบอบประชาธิปไตยต้องใช้เสียงส่วนใหญ่
มีเสียงส่วนใหญ่สบายไปแปดอย่าง
อย่างที่เก้าไม่สบาย
ถ้ามวลชนไม่ได้ถูกฝึกให้ออกมาแสดงพลัง
เหมือนกับที่คนเสื้อแดงออกมาแสดงพลังกันนั่นแหล่ะ
ตอนนี้แม้มีคนหนุนจำนวนมาก
แต่เวลาแสดงพลัง กับมาน้อยกว่าพลังเงียบ
มีพลังเงียบมากๆ ก็คือพลังที่เงียบจริงๆ
ต้องแสดงให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราว
จะดีกว่าเงียบกริบกันอย่างเดียว

ถ้าเลือกแนวก่อสงคราม
คุณต้องมีกองกำลังติดอาวุธหลายหมื่นขึ้นไป
แล้วจะเอามาจากที่ไหน อาวุธทันสมัยหาได้ที่ไหน
ประเภทกองกำลังไม้หน้าสามขอร้องว่า
อย่าเหมาเรียกว่าเป็นกองทัพเลย มันดูหรูไป
และต้องฝึกโดยที่พวกนั้นไม่รู้ตัว
จนหาทางไปตัดตอนเสียก่อน
และต้องมีประเทศมหาอำนาจหนุนหลัง
เพื่อที่จะส่งอาวุธมาช่วยในการรบยืดเยื้อยาวนานได้
ทุนที่ใช้อีกมหาศาลใครจะควัก สารพัด
แล้วทำไมไม่คิดเลือกเส้นทางที่เกือบจะถึงแล้วหล่ะ

เส้นทางที่เกือบจะถึง
มาได้เกือบครึ่งเส้นทางแล้ว
แทนที่จะเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ แบบไม่รู้ชะตากรรม
เส้นทางเส้นนั้นก็คือ การสร้างมวลชน
อันที่จริงมีมวลชนคอยหนุนอยู่จำนวนมากอยู่แล้ว
แค่ 30% - 40% ก็มากโขแล้ว
ทำได้เกิน 50% ปิดเกมทันที
มวลชนที่ว่าต้องพร้อม
ออกมาส่งเสียง
ออกมาให้เขาเห็นหน้า
ออกมาท้าทายอำนาจบางเวลาด้วย
ไม่ใช่พร้อมแต่ลงคะแนนเสียงอย่างเดียว
ต้องพร้อมออกมารักษาสิทธิรักษาเสียงด้วย

ในช่วงที่เริ่มสร้างมวลชนนั้น
ไม่ควรนำพาหรือชักชวนกันไปทำสิ่งผิดกฏหมายเสียก่อน
การหามวลชนในระบอบประชาธิปไตยนั้น
ทำได้ง่ายมากถ้ารู้จักทำให้ถูกกฏหมาย
เช่น ถ้าคุณกำหนดกฏเกณฑ์ว่า
จะสร้างมวลชนมาสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง
แทนที่จะมาแนวว่าจะสร้างมวลชนมาล้มรัฐบาล
เพราะว่าการมาล้มรัฐบาล
ผิดกฏหมายหลายข้อแล้วแต่จะเอามาอ้าง
แล้วแต่จะเปิดพจนานุกรมตีความ
โดนแน่ๆ ยังไม่ทันโตก็เดี้ยงก่อนทุกที
พยายามสร้างเพื่อให้มีมวลชน
มาสนับสนุนพรรคไปก่อนก็ได้
แนวพวกนี้ปลอดภัย
แต่สร้างความน่าเกรงขามให้แก่ฝ่ายตรงข้าม
ชนิดกินไม่ได้นอนไม่หลับเอาทีเดียว
แค่มีคนเยอะๆ เคลื่อนไหวกันคึกคัก
แต่ไม่เน้นเคลื่อนไหวผิดกฏหมายอะไร
จะหาเรื่องไปจัดการก็ลำบากดูเป็นผู้ร้ายทันที
แบบนี้มีแต่สร้างมวลชนได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และคนที่คิดจะเล่นการเมือง
ก็ควรออกมานำ มาสร้างมวลชนในพื้นที่ตนเอง
เน้นเรื่องประชาธิปไตยเข้าไว้
อย่าเน้นเรื่องส่วนตน
เพราะถ้าเน้นเรื่องส่วนตน
ก็มีมวลชนแค่ไม่กี่หมื่นคนเป็นอย่างมาก
แต่ถ้าเน้นประชาธิปไตยแล้ว
ยามที่คนหนุนประชาธิปไตยโดนรังแก
มวลชนจากทั่วสารทิศ
จะออกมาแสดงพลังช่วยทุกคนได้
ตอนนี้อยู่ที่ว่าจะสร้างมวลชน
ที่ออกมาพร้อมสู้ประชาธิปไตยได้ยังไง
และพยายามเพิ่มให้มีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหยุด
ถ้าทำได้เส้นทางนี้ลงทุนน้อยกว่า
ได้ระบอบประชาธิปไตยแน่นอน
ไม่มีระบอบเผด็จการรูปแบบใหม่แฝงมา
และปลอดภัยกว่าวิธีการแรกแน่นอน
โอกาสอยู่แค่เอื้อม

สรุป
จงมุ่งไปสู่แก่นแท้ของอำนาจ
เปลือก กระพี้ เรี่ยราด อย่าได้สน
จงสร้างคนเพื่อเป็นฐานรากให้แข็งแกร่ง
เพื่อให้นักประชาธิปไตยแข่งกันก้าวสู่ที่สูงได้อย่างมั่นคง
จงสร้างคนเพื่อเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก
เพื่อเพิ่มพละกำลังจากเล็กไปสู่ใหญ่
เพื่อให้มั่นใจว่าจะรักษาอำนาจบริหารในระบอบประชาธิปไตยไว้ได้
ด้วยหวังว่าประชาธิปไตยไทย จะไม่ล้มลุกคลุกคลานอีกต่อไป

โดย มาหาอะไร