บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


02 ธันวาคม 2552

<<< ข้อคิดจากสงครามไหวไห่ >>>

"ผมขอสาบาน
จะสู้ให้กับลัทธิคอมมิวนิสต์จนตัวตาย
เราจะร่วมกันปลดปล่อย
เราจะทำเพื่อประเทศชาติ
พวกเราพร้อมจะตาย"

นี่คือคำกล่าวปฏิญาณ ของทหารใหม่
ที่มีการระดมพลจากแนวหลังสู่แนวหน้า
เพื่อมาทดแทนทหารเก่า
ของฝ่ายกองทัพเหมา เจ๋อตุง
ที่ถูกฝ่ายเจียง ไคเช็ก
ฆ่าตายหมดไปหลายหน่วย
ในสมรภูมิสงครามไหวไห่
หรือสงครามยึดภาคกลางของจีน
โดยการนำทัพของกองบัญชาการ
ที่มีเติ๋ง เสี่ยวผิง เป็นเลขาธิการ
ร่วมกับนายพลอีก 4 คน
จะเห็นได้ว่า
ไม่ได้กล่าวอะไรถึงเหมา เจ๋อตุง
และไม่ได้บอกว่าจะสู้เพื่อ เหมา เจ๋อตุง
แต่จะสู้เพื่อลัทธิและประเทศชาติเป็นสำคัญ

ผลของสงครามครั้งนี้
จบลงด้วยชัยชนะของกองทัพเหมา เจ๋อตุง
ซึ่งก็สูญเสียหนักทั้ง 2 ฝ่าย
ทหารฝ่ายเจียงตายในสมรภูมินี้ถึง 5 แสนคน
นอกนั้นบาดเจ็บหรือโดนจับเป็นเชลยอีกหลายแสนคน
ชัยชนะของกองทัพเหมาในการรบครั้งนี้
มีการกล่าวขานกันว่า
"ชนะสงครามเพราะล้อของรถเข็นที่ร่วมทำศึก"

เนื่องจากตอนต้นๆ ของศึกครั้งนี้
ฝ่ายกองทัพเหมาสูญเสียหนัก
ทหารตายหมดยกหน่วยหลายหน่วยรบ
จนต้องมีการระดมพลจากแนวหลัง
ด้วยคำขวัญที่ว่า
"ขอให้ขายบ้านขายช่อง แล้วออกสู่แนวหน้า"

ซึ่งปรากฏว่าได้ผล
คนนับล้านยอมขายบ้านหรือไม่ก็ทิ้งบ้านเรือน
บรรทุกสัมภาระใส่รถเข็นล้อเดียว
มาร่วมรบกับฝ่ายกองทัพเหมา
เขาว่าจำนวนผู้คนที่เข้ามาร่วมรบครั้งนี้
มีหลายล้านคน เฉพาะรถเข็นล้อเดียว
มีการบันทึกไว้ว่า ประมาณ 8 แสน 8 หมื่นกว่าคัน

มีงิ้วเปิดแสดงแม้แต่ในหลุมเพาะแนวหน้าที่กำลังรบ
ที่ถูกขุดเป็นโครงข่าย ยังมีลานแสดงงิ้วด้วย
แสดงว่าเขาให้ความสำคัญ
ในเรื่องการผ่อนคลายและปลุกใจไปในตัว
ซึ่งเห็นมีบางตอนเล่นจนคนดูของขึ้น
โวยวายเรื่องการถูกกดขี่ และความไม่เท่าเทียมกัน
จนปาข้าวของขึ้นไปบนเวที
แสดงว่าเล่นสมบทบาทจนคนอิน
เหมือนเป็นการตอกย้ำความอยุติธรรม
การกดขี่และความไม่เท่าเทียมกัน
เพื่อให้เกิดอาการอยากต่อสู้
อยากปลดปล่อยสังคม
ตามอุดมการณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์
ซึ่งหลายๆ เรื่องสามารถนำมาประยุกต์ใช้
ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้เหมือนกัน

การสื่อสารก็มีส่วนสำคัญ
ในสงครามปลดปล่อยเขาว่า
มีข้อมูลรับ-ส่งกันไปมา เป็นล้านๆ ครั้ง
มีการเข้ารหัสและแกะรหัสของแต่ละฝ่าย
เพื่อนำมาใช้ในการประเมินสถานการณ์
และวางแผนการรบให้กับฝ่ายตนเอง

ทหารระดับล่างที่ทำหน้าที่รบในแนวหน้า
ล้วนถูกฝึกให้รู้งานโดยไม่ต้องมีคนสั่งการ
ในขณะที่กำลังเข้าจู่โจมหรือรบติดพันกัน
เช่นกรณีทหารแบกสะพาน
เพื่อให้พวกเดียวกันวิ่งข้ามแม่น้ำ
ไปโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้อย่างรวดเร็ว
ถ้าบังเอิญคนไหนโดนยิงตาย
คนที่เพิ่งวิ่งผ่านมาจะกระโดดลงไป
ทำหน้าที่แบกสะพานนั้นต่อ

มีการสร้างอาวุธจากวัสดุที่หาได้ง่ายๆ
เช่นการสร้างปืนใหญ่
ก็ใช้ถังเหล็กเปล่าๆ ที่เอาไว้ใส่น้ำมัน
(ถังปั๊มหลอดตามต่างจังหวัด)
มาประยุกต์เป็นกระบอกปืนใหญ่
ใส่ลูกกระสุนดินปืนที่ห่อด้วยผ้า
ลักษณะเหมือนเหรียญบาท
แต่มีขนาดพอๆ กับความกว้างของถังน้ำมัน
ใส่กระสุนดินปืนลงไปแล้วจุดสายชนวน
ที่โผล่มาจากช่องด้านท้ายที่เจาะไว้
เพื่อให้สายชนวนโผล่มา
แค่นี้ก็มีปืนใหญ่เป็นร้อยๆ อัน
โดยไม่ต้องไปหาเหล็กที่ไหน
มาหล่อกระบอกปืนใหญ่
หรือปืนครกที่เราเคยเห็นกัน
จะเห็นได้ว่าตัวปืนครกมีหน้าที่
แค่ทำมุมกะระยะเท่านั้นเอง
นี่เป็นภูมิปัญญาในการสร้างอาวุธใช้เอง
เพื่อความประหยัดและหาได้ง่าย
ซึ่งผมดูโดยรวมๆ แล้ว
เขาสามารถเรียกกองกำลังของพวกเขา
ว่าเป็นกองทัพได้เต็มปากเต็มคำจริงๆ

โดย มาหาอะไร