บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


18 มีนาคม 2553

<<< มวลชนประชาธิปไตย ต้องไม่มีใครเป็นเจ้าของ >>>

จะขอเล่าถึงประสบการณ์
ที่ไปร่วมม็อบเรียกร้องประชาธิปไตยมา
ตั้งแต่ครั้งแรกในวันที่ 10 ธ.ค. 49
หลังรัฐประหารไม่กี่เดือน
และเป็นวันรัฐธรรมนูญด้วย
เราไปคนเดียวแบบกลัวๆ กล้าๆ
ไปถึงก็เห็นมีสารพัดม็อบเล็ก 4-5 ม็อบ
รอบสนามหลวงมีทั้งที่พวก คมช. ส่งมาป่วนด้วย
จากวันนั้นก็เริ่มมีการจับกลุ่มรวมกลุ่ม
เหลือประมาณ 3 กลุ่ม และสุดท้ายเหลือกลุ่มเดียว
คือคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ
ส่วนกลุ่มองค์กร 19 กันยา ต่อต้านรัฐประหารจำชื่อไม่ได้แล้ว
ไม่แน่ใจว่ายุบรวมกับ PTV หรือหายไปช่วงไหน
คือหลังจากชุมนุมไปได้หลายเดือน
ฝ่ายการเมืองที่นำโดยสามเกลอตอนนี้และจักรภพก็เข้ามา
ตอนนั้นเป็น PTV กลายมาเป็นนปก. นปช.
และล่าสุดคงเป็น นปช. 3 เกลอ ในที่สุด
ช่วงที่พีคสุดของคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ
ผู้ปราศรัยที่มีคนติดตามฟังมากที่สุดก็น่าจะเป็นมดชมพู
ชื่อที่ใช้ใน Pantip ช่วงนั้น
ต่อมาพอเป็น PTV หรือ นปก. หรือ นปช.
ผู้ปราศรัยที่มีคนติดตามฟังมากที่สุดก็คือ จักรภพ
ช่วงหลังณัฐวุฒิเริ่มมาปราศรัยหลังเป็นพิธีกร
และเริ่มเป็นดาวรุ่งแรงขึ้นมาอีกดวง
โดยมีจตุพรคู่คี่ๆ นำมาหน่อยๆ
จนถึง ณ เวลานี้ ต้องยอมรับว่า ณัฐวุฒิ
น่าจะเป็นผู้ปราศรัยที่มีแฟนคลับมากที่สุด
ซึ่งจะเห็นได้ว่า
จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและโอกาส
เช่นบางคนถูกโปรโมทให้ได้พูด
และมีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วย
บางคนถูกห้ามขึ้นเวที
บางคนไม่มีโอกาสได้ขึ้นเวทีอีก
อนาคตถ้าไม่มีสามเกลออีก
เช่นอาจจะติดคุกหรือหนีไปต่างแดนเหมือนจักรภพ
เพราะรัฐบาลหรือพวกอำมาตย์ตามมาเล่นงาน
ก็เชื่อได้ว่าจะมีดาวดวงใหม่ขึ้นมาแทน
ถ้าให้โอกาส หน้าใหม่ใจรักได้ขึ้นปราศรัยบ่อยๆ
ก็มีโอกาสมาทดแทนในยามที่ขาดแคลนผู้ปราศรัยเก่งๆ ได้

มวลชนประชาธิปไตย
ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยจริงๆ
จะไม่ยึดติดว่าใครจะเป็นแกนนำ
หรือใครปราศรัยไม่ปราศรัย
แต่จะยึดที่ว่า
ถ้าไม่ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
ก็จะหาวิธีการสู้ต่อไป อาจมีคนมาเป็นแกนนำ
แต่เป้าหมายต้องไปที่เดียวกันถึงได้รับการสนับสนุน
เช่น มาเป็นแกนนำเรียกร้องประชาธิปไตย
แต่มีเป้าหมายฝักใฝ่เผด็จการ
ถ้าชาวบ้านรู้วันไหนก็จะไม่ยอมรับ เป็นต้น
แม้บางทีอาจมีมวลชนมากมาย
บางทีอาจลดเหลือน้อยๆ ก็แล้วแต่สถานการณ์
แต่สูตรที่พอจะเห็นในการสร้างมวลชน ก็คือ

1. ต้องหาใครมาเป็นผู้นำที่ประชาชนศรัทธา
กรณีเสื้อแดงก็ยังต้องยอมรับว่าทักษิณ
เพราะมวลชนที่มาเพราะทักษิณนั้นเยอะจริงๆ
นอกนั้นก็ไม่ได้มาเพราะทักษิณแต่ไม่มากพอ
แต่ทักษิณนั้นมีทั้งผู้ต่อต้านมากและผู้สนับสนุนมาก
แต่ก็ยังถือว่าดีที่สุดในตอนนี้ที่จะมีพลังในต่อสู้
เพียงแต่วันนี้ทักษิณยังไม่สู้จริงๆ
เหมือนจะสู้แต่ยังไม่กล้าสู้เต็มที่นัก
แถมอาจทำให้เกิดการสะดุดได้ง่ายๆ ด้วย
เพราะความที่ยังไม่กล้าสู้เต็มที่นั่นเอง
แต่ก็ไปเร่งรัดทำอะไรไม่ได้มาก
เพราะคนแต่ละคนบุคลิกนิสัยหรือสถานภาพไม่เหมือนกัน
ซึ่งถ้าวันนี้ได้คนกล้าสู้แบบไม่เห็นหัวฝั่งตรงข้าม
ป่านนี้แหลกไปข้างหนึ่งแล้ว
แต่ว่าสักวันเขาจะพร้อมเมื่อถึงวันที่สิ้นสุดกันที
คงต้องรอไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้คงได้ผู้นำ
ที่มีบารมีพอสร้างมวลชนระดับรองๆ ไปก่อน
เช่นอาจเป็น ณัฐวุฒิ หรือ จักรภพ
ในช่วงก่อนทักษิณจะพร้อมสู้จริงๆ
ถ้าเป็นณัฐวุฒิก็คงชนได้ระยะหนึ่ง
เนื่องจากยังอยู่ในไทย
ยังไม่สามารถทำอะไรได้มาก
และจะหวังให้เรียกร้องอะไรมากก็ไม่ได้อีก
เพราะคดีก็น่าจะมีเพิ่มและเพียบอยู่แล้ว
ซึ่งอันที่จริงถ้าสร้างคนหนุนคนในลักษณะดาวเต็มฟ้า
ทั้งนักปราศรัยและแกนนำ
ใครมีอันต้องคดีก็ให้หยุดก่อนเหมือนโดนใบเหลือง
เพื่อให้ผู้เล่นที่สดๆ ลงไปลุยต่อแบบทุ่มเต็มที่
โดนอีกเปลี่ยนตัวลงไปอีก แบบนี้ไปเรื่อยๆ
แต่แนวทางนี้ต้องเป็นคนใจกว้างเท่านั้นถึงยอมรับได้
และไม่ยึดติดกับตำแหน่งด้วย
เพราะถึงผู้เล่นหน้าใหม่ลงไป
ถ้าทีมชนะก็ชนะทั้งทีม
แต่ถ้ายังทู่ซี้ปล่อยให้คนที่โดนใบเหลืองลงเล่นต่อ
ก็จะเป็นการทำให้บอบช้ำเต็มไปด้วยคดีมากมายไปเปล่าๆ
และอาจไม่กล้าทุ่มเต็มที่
เพราะกลัวโดนใบแดงได้
ก็ให้ไปเป็นผู้ฝึกสอนปั้นดาวรุ่งดวงใหม่
หรือโค้ชทำงานช่วยอยู่ด้านหลังจะดีกว่า
ส่วนคนที่โดนใบแดงประเภทคดีตัดสินเรียบร้อยอยู่ในไทยไม่ได้
ถ้าเป็นสมัยก่อนก็คงหมดโอกาสแต่สมัยเทคโนโลยี่ทันสมัย
สามารถโฟนอินเข้ามาได้ตลอดเวลาทุกที่ด้วย
ก็ทำให้ใบแดงทางการเมือง
กลายเป็นใบเบิกทางให้แรงได้ไร้ขีดจำกัดไป
แทนที่จะหมดสิทธิ์เคลื่อนไหวอะไรต่อไป
ถ้าหนีไปต่างประเทศได้สำเร็จ
กรณีถ้าเป็นจักรภพเมื่อไหร่
แสดงว่าเริ่มมีการแตกหักยกระดับความแรง
ในแง่ข้อเรียกร้องที่ยังไม่เกี่ยวกับความรุนแรงมากนัก
ส่วนอนาคตไม่แน่

2. ต้องได้รับการโปรโมทหรือโฆษณาหนุนช่วย
เหมือนสินค้าถ้าไม่ได้รับการโฆษณาใครจะรู้จัก
ถ้าสามารถโปรโมทเด็กรุ่นใหม่ๆ
ที่อาจเป็นพวกอายุมากๆ แล้วก็ได้
โดยเฉพาะนักพูด นักปราศรัย นักร้อง นักกวี อะไรเหล่านี้
เพื่อสำรองไว้เยอะๆ เหมือนการสร้างนักเตะดังๆ
หรือไปกว้านพวกมีแววมาฝึก
ก็จะมีตัวสำรองตุนไว้ไม่ขาดแคลน
ใครโดนใบเหลืองส่งคนใหม่ไปแทน
โดยทุกคนไม่ต้องกลัวว่าใครจะลืม
ต่อให้ติดทีมชาติครั้งเดียว
ก็พูดได้ตลอดแล้วว่าได้เคยติดทีมชาติมาแล้ว
เช่นเดียวกันถ้ามีแนวคิดที่จะขยายมวลชนหลายสาขาอาชีพ
ก็ต้องสร้างนักพูดจากอาชีพเหล่านั้นเยอะๆ
ทั้งกรรมกร พ่อค้าแม่ค้า ชาวไร่ชาวนา นิสิตนักศึกษา
ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ครูบาอาจารย์และอื่นๆ
สนับสนุนโปรโมทให้ดังขึ้นมาเรื่อยๆ
แต่ต้องมีการตรวจสอบอุดมการณ์ว่าจะสู้เพื่อประชาธิปไตย
ไม่ใช่พวกฝ่ายตรงข้ามส่งมาฝากไว้
แต่เรื่องพวกนี้ไม่ต้องกังวลมาก
เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีที่สุด
การที่เด็กๆ วัยรุ่น คลั่งไคล้ดารานักร้องมากๆ
ก็เพราะว่าเป็นดารานักร้องมีคนรู้จักและโด่งดัง
บางคนอาจคิดว่าเป็นฮีโร่ที่อยากเลียนแบบ
ซึ่งบางคนอาจชอบเพราะหน้าตาท่าทางน้ำเสียงหรือการแสดง
เหล่านี้แหล่ะวิธีสร้างดารา
ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับการสร้างคน
ให้กระบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยได้
เพราะจะทำให้มีการเลียนแบบและตามอย่าง
ถ้าเห็นรุ่นพี่ๆ ทำแล้วดีเด่นดังขึ้นมา
เป็นฮีโร่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
ก็จะมีการเอาอย่างตามรอยรุ่นพี่ๆ
คนเรียกร้องประชาธิปไตยต้องใจกว้าง
อย่าคิดกุมอำนาจไว้เฉพาะกลุ่มคน
เพราะจะไม่มีผลดีในระยะยาว
เช่น ถ้ามวลชนเชื่อทุกอย่างทำตามแกนนำ
หรือต้องมีแกนนำคนนั้นคนนี้ปราศรัย
ถึงจะออกมาร่วมชุมนุม
แล้วถ้าแกนนำคนนั้นเกิดโดนจับ
หรือเกิดเป็นอะไรตายขึ้นมา
ก็ต้องมาสร้างมวลชนขึ้นมาใหม่
เพราะมวลชนแกนนำคนนั้นก็สลายไปในที่สุด
เสียเวลาหาคนมาชักจูงให้ออกมาได้อีก
แถมถ้าเกิดแกนนำแตกคอกัน
ก็อาจพามวลชนบางส่วนแยกทางไปได้อีก
แต่ถ้ามาโดยไม่สนใจใครจะนำ
จะไม่ยึดติดและสามารถเปลี่ยนแกนนำได้ตลอดเวลา
ถ้าเห็นว่าไปต่อไม่ไหวแล้ว
ซึ่งแกนนำก็ต้องทำการบ้านมากขึ้น
เพื่อที่จะพิสูจน์ตนเอง
เพื่อให้มวลชนไว้ใจ
ทุกแนวทางควรชัดเจนไม่ลับลวงพลาง
เพราะมวลชนเยอะๆ ลับลวงพลางลำบาก
ยากแก่การเข้าใจตรงกัน
ถ้าเน้นอหิงสาจริงๆ แล้ว
สามารถบอกแนวทางได้ล่วงหน้า
ให้ประชาชนทราบได้ทั่วถึง
คนเห็นด้วยกับแนวทางนั้นๆ
ก็อาจเข้ามาร่วมด้วย
แนวอหิงสาจริงไม่ต้องกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามจะรุ้มาก
เพราะทุกวันนี้ก็อาจมาแฝงตัวอยู่ในม็อบเต็มไปหมดแล้วก็ได้
นอกจากแนวไม่อหิงสาเท่านั้นแหล่ะถึงต้องกังวลให้มาก
และความชัดเจนยังสามารถวัด
หรือบอกนัยยะทางการเมืองได้ดีด้วย
ต่อให้มาชุมนุมวันเดียวแล้วกลับก็ตาม
เช่นบอกให้มาแสดงพลังว่าใครเห็นด้วย
กับข้อเสนอ 1, 2 , 3
ซึ่งถ้าเป็นข้อเสนอที่แรงๆ แล้วมีคนกล้ามาเยอะๆ
เท่ากับเป็นนัยยะที่สำคัญที่จะประเมินได้ว่า
มวลชนพัฒนาการไปถึงไหนแล้ว
ดีกว่าการอุบเงียบแล้วมาบอกเมื่อมวลชนมาแล้ว
ข้อเรียกร้องที่ออกมาไม่สามารถนำไปอ้างได้ว่า
มวลชนเห็นด้วยทุกคนเหมือนกรณีแรก
ที่สามารถอ้างได้ว่าเห็นด้วยแน่ๆ
เห็นข้อเรียกร้องแล้วยังยอมดิ้นรนมากัน
และจำนวนคนที่มาก็มีนัยยะสำคัญอย่างยิ่งที่นำไปอ้างได้
ส่วนถ้าบอกว่าคนที่ไม่มา เยอะกว่า
มันก็แน่อยู่แล้วพวกไม่มาย่อมเยอะกว่า
แต่พวกที่เคลื่อนไหวกล้ามานี่
ในทางการเมืองถือว่าน่าจับตามากกว่า
คนที่อยู่เงียบๆ ก้มหน้าก้มตาทำมาหากินไปวันๆ
เพราะคนกลุ่มนี้ก็อาจสนับสนุนก็ได้
แต่ไม่ว่างมากับไม่สนับสนุนก็ได้
ถ้าจะเอามาเทียบกันก็ต้องจัดคนสนับสนุนรัฐบาล
ไปแสดงพลังอีกที่หนึ่งวัดว่าใครมากกว่ากัน
แต่มันก็อาจมีเรื่องการขนคนมาด้วย
แต่เสียงคนที่ต่อต้านรัฐบาล
ยิ่งมีคนออกมามากเท่าไหร่
รัฐบาลยิ่งต้องสั่นมากขึ้นเท่านั้น
ถึงแม้ว่าจะมีฝ่ายสนับสนุน
ที่ขนมาสนับสนุนพอๆ กันหรือมากกว่าก็ตาม
อันนี้เป็นธรรมชาติทางการเมือง
เหมือนที่ทักษิณโดนพวกพันธมิตร
ออกมาแสดงพลังขับไล่
ทั้งๆ ที่มีคนสนับสนุนพันธมิตรตอนนั้น
ไม่มากกว่าคนที่สนับสนุนทักษิณแน่ๆ
แต่คนที่สนับสนุนทักษิณจำนวนมาก
แต่เหมือนไม่มีพลังอะไรเลย
เพราะเป็นรัฐบาลมักเสียเปรียบในแง่ของม็อบแสดงพลัง

3. แนวทางในการรณรงค์ขยายผลเพื่อเพิ่มมวลชน
อันนี้ก็ต้องดูว่ามวลชนต้องการอะไร
หรือเราต้องการอะไรแล้วจะนำเสนอยังไง
ให้มวลชนเข้ามาร่วมด้วย
สิ่งแรกเลยต้องไม่รุนแรง
ต้องทำแบบการปราศรัยหาเสียง
ต้องทำให้เขารู้สึกว่าเขาเท่าเทียมกับผู้อื่น
ต้องให้เขามีโอกาสได้เสนอหรือพูดบ้าง
ไม่ใช่นั่งฟังอย่างเดียว
จะช่วยสร้างความรู้สึกกล้าที่จะเท่าเทียมกับผู้อื่น
ไม่จำเป็นต้องยอมก้มหัวให้ใคร
ไม่ว่าจะเป็นนายกหรือแกนนำอะไรก็ตาม
และให้เขากล้านำตนเอง
ไม่ใช่คอยแต่ฟังคำสั่ง
การสร้างมวลชนแบบค่อยแต่ฟังคำสั่ง
สุดท้ายก็จะไม่ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
ล้มพวกนั้นได้พวกนี้ขึ้นมา
ก็โดนกดหัวต่อเพราะต้องทำตามคำสั่ง
ไม่ได้มีวิญญาณเสรีชน
กล้าคิด กล้าทำ กล้านำตนเอง ติดตัวไปแต่อย่างใด
ไม่ใช่ชัยชนะที่ยั่งยืน
ไม่ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงแน่ๆ
และไม่ได้ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนอีกด้วย

ถ้าสามารถขยายมวลชนได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยไม่จำเป็นต้องพามารวมกันที่จุดเดียวบ่อยๆ ก็ได้
แต่ทำให้เห็นๆ เช่นอำเภอนั้น จังหวัดนี้
มีคนสนับสนุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่นานๆ ครั้งจัดม็อบใหญ่โชว์พลัง
ด้วยข้อเรียกร้องที่แรงๆ ที

ก็จะได้ความคึกคักฮึกเหิมขึ้นถ้ามีคนมาร่วมมากๆ
แสดงว่ามีพวกเดียวกันเห้นแนวเดียวกันมากๆ
เหมือนเป็นการทำโพลล์ไปในตัว
และสามารถเห็นการพัฒนาว่า

มีคนมาร่วมเพิ่มมากน้อยเพียงไร
แต่แนวทางพวกนี้ไม่สามารถปลุกม็อบแนวรุนแรงได้เลย
เพราะพอเดือดแล้วก็อยากจะแรงอย่างเดียว
อยากแตกหักไวไว ซึ่งแนวพวกนี้
ต้องเป็นแนวที่มีมวลชนมากๆ
พอที่เคลื่อนไหวแรงๆ ทีเดียว

ไม่กระปริดกระปรอย
และต้องปลุกแบบแรงจริงๆ เท่านั้น

แค่อยากแรงก็ไม่มีประโยชน์อะไร
แต่คงอีกนานแสนนาน
และไม่ควรปลุกให้แรงๆ ในตอนนี้

เพราะว่าจะคุมกันไม่อยู่
และจะพังกันก่อนที่มวลชนจะขยายตัวเพิ่ม

สรุปส่งท้าย
มวลชนประชาธิปไตย ต้องไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ต้องสามารถปรับเปลี่ยนแกนนำได้ตลอดเวลา
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ
โดยที่การเปลี่ยนแปลงใดๆ
จะต้องไม่มีผลกระทบทำให้มวลชนลดลงมากนัก
ถึงจะเป็นมวลชนประชาธิปไตย
ไม่ใช่มวลชนส่วนตัวของใคร

โดย มาหาอะไร
FfF