บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


29 เมษายน 2553

<<< ควันหลง สมรภูมิรบกลางกรุง >>>





นายจันทรา จันทร์สุข อายุ 34 ปี


นางกูลกิจ และ นายวสุ สุริยะแก่นทราย




"พร้อมพงศ์ ปลั่งกลาง"


รอยกระสุนปืน




















กระสุนปืนยึดจากทหาร



วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 23:50:01 น.  มติชนออนไลน์


"เจ็บนี้อีกนาน เจ็บนี้ไม่ลืม" เสียงฝากจาก "คนเสื้อแดง"

โดย สุชาฎา ประพันธ์วงศ์

หลังเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับฝ่ายทหารเมื่อ วันที่ 10 เมษายน มีผู้เสียชีวิต 25 คน เป็นพลเรือน 21 ราย ทหาร 4 ราย บาดเจ็บกว่า 800 คน เจ้าหน้าที่และพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง ผ่านไปกว่า 3 สัปดาห์แล้วสาเหตุการเสียชีวิตและบาดเจ็บยังไม่มีการชันสูตรว่าเกิดจากอะไร

โรงพยาบาลกลางนับว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีผู้ชุมนุมเข้ารับการรักษา อาการบาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะกันที่สี่แยกคอกวัวและหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา กว่า 146 ราย มีผู้ป่วยถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินกว่า 20 คน ขณะนี้ยังนอนพักรักษาตัวอีกประมาณ 5 ราย

เกิดอะไรขึ้นในวันที่เจ้าหน้าที่ทหาร เข้าไปสลายการชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายกันมากขนาดนี้ จากปากของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ท่ามกลางหมอกควันของแก๊สน้ำตา  ก่อนสับสวิตช์ดับไฟถนน  เสียงปืนดัง ระเบิดตูม สนั่นถนนราชดำเนิน ปิดฉากด้วยจลาจลนองเลือด

นายจันทรา  จันทร์สุข อายุ 34 ปี เรียนจบชั้น ป.6 อาชีพรับจ้าง หนึ่งในผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนอนพักรักษาอาการบาดเจ็บจากกระสุนปืนถูกยิงเข้า ที่ไหล่ซ้ายด้านหน้าทะลุลงปอดออกทางด้านหลัง เหตุเกิดที่แยกคอกวัว ยังคงนอนพักฟื้นเพราะอาการบาดเจ็บจากแผลที่ถูกยิงร่างกาย ยังไม่ฟื้นดีนัก กล่าวด้วยเสียงอ่อนเพลีย  "ลุกไม่ไหว พูดไม่ค่อยได้ เหนื่อย หายใจไม่ถนัดเหมือนแต่ก่อน"  เล่าถึงนาทีชีวิตเฉียดตายว่า



"ผมยืนประจันหน้าอยู่กับทหารที่แยก คอกวัว ประมาณแถว 4-5 ทางฝั่งคนเสื้อแดงที่กำลังผลักดันทหารไม่ให้เข้ามาสลายผู้ชุมนุม ระหว่างที่รอเข้าไปเสียบเพื่อให้เพื่อนที่อยู่แถวหน้าได้พัก ผมก็ถูกยิงร่วง ตัวชาเลือดไหลไม่หยุด รับรู้ทุกอย่างแต่ขยับตัวไม่ได้"

ทหารเพียบ !  พวกเรากำลังยืนเผชิญหน้ากับทหารกระสุนวิ่งมาจากด้านบนตึก กระสุนพุ่งเข้าที่ไหล่ซ้ายทะลุปอด น่าจะเป็นการยิงมาจากที่สูงเพราะกระสุนแทงลงด้านล่าง แต่ไม่รู้ว่าใครยิง เพราะว่าตอนนั้นดับไฟมืดไปหมด  เห็นแต่กลุ่มทหารกำลังผลักดันอยู่กับผู้ชุมนุม พอถูกยิงร่วงขยับไม่ได้เลย คนเสื้อแดงที่อยู่แถวนั้นก็พาตัวออกมานั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปส่งโรงพยาบาล พอมาถึงก็เห็นเพื่อนพี่น้องเสื้อแดงบาดเจ็บอยู่เต็มโรงพยาบาล

หมอให้นอนพักฟื้นอีกนาน ตอนนี้ห่วงพี่น้องเสื้อแดงที่ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ไม่คิดว่าทหารจะกล้ายิงประชาชน เสียใจที่รัฐบาลทำแบบนี้ ถึงวันนี้ยังไม่มีใครมาถามเรื่องวันเกิดเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรื่องนี้รัฐบาลต้องรับผิดชอบประชาชนที่หันหน้าเข้าหน้าเจ้าหน้าที่แล้วถูก ยิงหน้าอกแบบนี้

ยังต้องถามอีกหรือว่าใครยิง ?

การสลายการชุมนุมที่มีทั้งแก๊สน้ำตา เครื่องบิน (เฮลิคอปเตอร์) ทิ้งแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมไปทั่วพื้นที่ แล้วเคลื่อนทหารเข้ามาช่วงหัวค่ำ ปิดไฟถนนหมด แบบนี้จะให้ผู้ชุมนุมทำอย่างไร พวกเราจึงต้องสู้กันเต็มที่ผลักดันทหารออกไป

"นาทีนั้นไม่มีใครกลัวตายแล้ว ตายเป็นตาย วิ่งเข้าใส่อย่างเดียว เห็นภาพผู้ชุมนุมที่วิ่งเข้าไปต้านทหารไม่ให้เข้ามาถูกกระบองฟาด ถูกกระสุนปืน มันเป็นภาพที่เจ็บปวดมากสำหรับประชาชนคนหนึ่งที่ออกมาเรียกร้อง ต้องมารบกับทหารด้วยมือเปล่า"

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น เกิดหลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้ว มองไม่ค่อยชัด มีหลายคนถูกหามออกมาจากด่านหน้า

"ทำกับเราเหมือนเราไม่ใช่คน อยากยิงก็ยิง ถ้าไปทำกับพี่น้องเขาบ้างจะรู้สึกอย่างไร"

สำหรับค่ารักษาพยาบาล"ในหลวง" ออกให้รู้สึกดีใจมาก คนเสื้อแดงรักเจ้าไม่คิดจะล้มล้างสถาบันแต่อย่างใด มาถามชาวบ้านกันบ้าง ไม่ใช่คิดกันเอง" นายจันทราที่เปลี่ยนจากท่านอนพยายามลุกขึ้นมานั่งคุยพร้อมกับชี้รอยกระสุน ที่หัวไหล่ให้ดูก่อนจะหมดแรงล้มลงนอนบนเตียงอย่างเมื่อยล้าที่เตียงนอนผู้ ป่วยชาย ชั้น 8 ห้องพัดลม 

ที่ชั้น 9 ยังมีผู้ป่วยคนเสื้อแดงที่นอนไม่รู้สึกตัวบนเตียงคนไข้มีภรรยาคอยดูแลให้ กำลังใจไม่ห่างมีพยาบาลที่ดูแลอย่างใกล้ชิด นาง กูลกิจ สุริยะแก่นทราย อายุ 58 ปี นอนเฝ้าสามี นายวสุ สุริยะแก่นทราย อายุ 59 ปี ชาวบุรีรัมย์ที่ย้ายมาอยู่ปทุมธานีเกือบ 40 ปี




สามีที่นอนไม่รู้สึกตัวเนื่องจากถูกของแข็งฟาดจนกะโหลกศีรษะร้าว มีเลือดคลั่งในสมอง และแขนขวาถูกตีมีรอยเขียวช้ำ ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ แพทย์ระบุว่าเป็น "อัมพาต" 

ข่าวร้ายที่นางกูลกิจได้รับหลังจาก ที่พลัดพรากจากสามีในวันเกิดเหตุนองเลือด 10 เมษายน 

"หลังจากที่แยกย้ายกันตอนเที่ยงสามี ยังไม่ได้กินข้าว พอได้ยินว่าทหารกำลังเตรียมบุก ก็เดินลุยไปสกัดทหารมือเปล่า อยู่แนวหน้า ส่วนดิฉันอยู่เฝ้าเต็นท์ทำกับข้าวรอพวกผู้ชายที่ออกไปทำธุระ(ต้านทหาร) หลังจากนั้นมีเครื่องบิน(เฮลิคอปเตอร์)บินมา 2 ลำโยนแก๊สน้ำตาลงมาควันลอยเต็มพื้นที่ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอะไร ไปโบกมือให้เครื่องบิน  ควันที่ลอยตัดกับแสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้ามันสวยดีไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ไม่นานก็แสบตา วิงเวียน คลื่นไส้ "

อีกไม่นานเกิด เหตุชุลมุน คนหนีตาย มีคนมาดึงให้ไปหลบในที่ปลอดภัย แต่ไปไหนไม่ได้ เพราะต้องรอสามีอยู่ในเต็นท์ กลัวว่าสามีกลับมาแล้วจะหาไม่เจอ ต้องดื่มน้ำ อมน้ำ บ้วนน้ำสลับกันอยู่อย่างนี้  เอากระดาษทิชชูซับน้ำปิดลูกตาไว้เพราะเอาผ้าให้ผู้ชายที่ไปอยู่แนวหน้าแล้ว 




สภาพวันนั้นเหมือนสนามรบ  บางคนเอาน้ำน้ำซาวข้าวล้างหน้า เชื่อว่าล้างพิษได้ บางคนคว้าน้ำอะไรได้ก็ช่วยกันล้าง ปะพรม เท่าที่พวกเราจะหาได้ช่วยเหลือกันไป

หลังจากควันแก๊สน้ำตาลอยลงมาปกคลุม พื้นที่เกือบหมดแล้ว มีเครื่องบินวนมาอีกรอบแต่ไม่ได้เข้ามาตรงกลางที่ชุมนุม กลับบินวนรอบๆและไปหยุดที่หลักคาตึก (แต่ไม่อยากบอกว่าเขามาปล่อยอะไรลงมา เพราะเราไม่มีกล้องเก็บภาพไว้เป็นหลักฐานพูดไปก็ไม่ดีไม่มีประโยชน์)

เครื่องบินหายไป 1-2 ชั่วโมง มีเสียงปืนดังขึ้นเกิดเหตุระเบิดที่แยกคอกวัว จากนั้นคนเสื้อแดงช่วยกันขนผู้บาดเจ็บเลือดโชก ออกมาจากที่เกิดเหตุที่แยกคอกวัว กับโรงเรียนสตรีวิทยา พากันนั่งมอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าไปหลายราย

ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียว คือ ทำไมทำกันขนาดนี้ รัฐใช้อำนาจเกินไปแล้ว เพื่อนๆผู้ชุมนุมหลายคนดึงให้ออกจากเต็นท์เพราะอยู่ใกล้พื้นที่อันตราย  แต่ไปไม่ได้ต้องรอสามี จนกระทั่งดึกสามียังไม่กลับมา จึงกลับไปที่บ้านให้หลานช่วยโทรเช็คตามโรงพยาบาลให้ ภาวนาว่าอย่างน้อยให้เจอศพก็ยังดีอย่าให้ทหารต้องเอาไปเลย

"สัญญากันไว้ว่าเราตั้งใจทำความดี ถ้าทำดีแล้วไม่ได้ดีขอให้ตายไปเลยอย่าได้พิการหากพิการจริงๆ ขอให้หมอฉีดยาตาย" 



แต่เมื่อมาเห็นสามีในสภาพพิการแบบนี้ก็ทำไม่ลง 

มาเจอสภาพลงความรู้สึกตันไปหมด บอกไม่ถูก  ทำใจไว้แล้ว พวกเรามือเปล่าไม่มีใครมีอาวุธ ยังไงก็เชื่อว่าความจริงต้องเป็นความจริง

"มีคนเอาค้อนตอกตะปูมาเทให้ผู้ชุมนุม ถามว่าฝีมือใครพวกเราไม่เคยทำเลย"

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พวกเราผู้ชุมนุมได้บทเรียน

บทเรียนในการหาวิธีป้องกัน "แก๊สน้ำตา"  บอกต่อกันว่า ให้อมน้ำแล้วบ้วนน้ำทิ้ง หลังจากนั้นให้กินน้ำมะพร้าวตามเพื่อล้างพิษจะช่วย ไม่ให้เจ็บคอ เป็นหวัด น้ำมูกไหล  

ไม่เข็ดหรอ ?

เราภูมิใจที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ เสียใจบ้างเพราะเรายังเป็นคนอยู่  สองผัวเมียที่จับมือกันมาชุมนุมเรียกร้องขอความเป็นธรรมตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม โดยมีสาเหตุจูงใจ คือ ความไม่ยุติธรรมในสังคม

สมัยที่สนามบินดอนเมืองยังไม่ปิดให้บริการขอแค่เดินผ่านออกมาซื้อ อาหารยังไม่อนุญาตแต่พวกที่เข้าไปปิดสนามบินกลับไม่มีความผิด ไม่ติดคุกแล้วยังได้เป็นรัฐมนตรีอีก

ที่รัฐบาลมากล่าวหาว่าคนเสื้อแดงจ้องล้มเจ้า ถาม กลับบ้างไหมว่าพวกไหนกันแน่ไม่จงรักภักดี นอนฟังข่าวกันสองคนผัวเมียได้ยินว่าไปปลุกในหลวงตอนตี 1 ตี 2 ไป ปลุกในหลวงเพื่อแต่งตั้งคณะปฏิวัติ ทำไมไม่มีความเกรงใจ จากนั้นมาเราตั้งใจกันไว้ว่า ใครก็ตามที่มีความตั้งใจเรียกร้องความยุติธรรม จะขอเป็นแนวร่วมด้วยเพื่อทำให้กฎหมายเป็นธรรม  

ไม่เคยได้รับเงินค่าจ้างแม้แต่บาท เดียวให้ธรณีสูบก็ได้ถ้าโกหก พวกเราเดินทางไปกลับปทุมธานีกับสะพานผ่านฟ้า  ควักเงินตัวเองทั้งนั้น วันละ 200 บาท อาศัยเต็นท์จากเสื้อแดงต่างจังหวัดที่ทำอาหารกินกันแบบไม่มีหวง  สลึงเดียวก็ไม่ได้หากได้จริงขอให้ธรณีสูบไปเลย ย้ำอีกครั้ง

บ้านเมืองไม่ยุติธรรมจะเอาความสงบมาจาก ที่ไหน บิดเบือนทุกอย่าง บางคนที่ไม่ชอบแนวทางของเราก็ด่าว่าเราสารพัดแต่เราไม่สนใจ เพราะเราเชื่อมั่นในความยุติธรรม

การได้มาชุมนุมถือว่า "คุ้มเกินคุ้ม"  ไม่ต้องมองว่าจะชนะวันนี้วันพรุ่งนี้ มองแค่ว่า "ความดีต้องชนะความชั่ว"  คนคิดไม่เหมือนกัน ที่เขามาว่าเราสะใจที่เห็นเราตายก็เพราะเขาไม่เข้าใจ มันโหดร้ายเกินไปเหมือนไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ  "ขอ แค่เอาชนะ สะใจ ขอให้อยู่ในตำแหน่งครบวาระ" 

รู้สึกภูมิใจมากที่ในหลวงออกค่ารักษาพยาบาลให้ไม่ คิดว่าจะได้อะไรตรงนี้ คิดแค่ว่าเตรียมเงินทำศพไว้คนละ 2500 บาท ค่าเผาแต่ไม่ต้องบอกใครเพราะเราพร้อมใจมาตรงนี้ ไม่ตายวันนี้ก็ตายพรุ่งนี้ เพื่อความยุติธรรมทำด้วยใจไม่มีอะไรต้องกลัวหรือเกรง ก่อนจะขอตัวไปดูอาการสามีที่เพิ่งย้ายออกจากห้องไอซียูมาอยู่ห้องพักฟื้นได้ แค่ 1 วันเท่านั้น

ที่ชั้น 10 โรงพยาบาลกลาง มีการ์ดเสื้อแดงที่นอนพักรักษาอาการบาดเจ็บจากกระสุนปืน แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ขณะที่การ์ดชายฉกรรจ์สวมเครื่องแบบเสื้อแดง ผูกผ้าพันคอ อันเป็นสัญลักษณ์การ์ดเต็มยศ กำลังคล้องบัตรประจำตัว นปช. สอบถามได้ความว่ากำลังเตรียมตัวจะกลับไปที่ชุมนุมอีกครั้งหลังจากอาการดี ขึ้นแล้ว

แทนที่จะกลับบ้านแต่ชายผู้นี้กลับ ขอกลับไปทำหน้าที่การ์ดดูแลผู้ชุมนุมต่อ  ลั่นไม่กลัวตาย!! 

ถ้าตายเพราะสิ่งที่ทำอยู่ขณะนี้ก็ภูมิใจ ชีวิตเกิดมาครั้งเดียวได้ทำเพื่อความถูกต้อง เพื่อส่วนรวม เราเลือกข้างอยู่ฝั่งมวลชน แม้จะถูกกระทำตอนนี้แต่เราต้องชนะอยู่แล้ว ตอนนี้ต้องสู้กันไปก่อน

"ใครที่ไม่เห็นด้วยกับเราแล้วออกมาต่อต้าน เขาก็บาดเจ็บล้มตายเหมือนกัน ฉะนั้นไม่ต้องมา สะใจ กับการสูญเสียชีวิตของประชาชนคนไทยด้วยกัน  ถ้าคุยกันไม่ได้ ไม่เข้าใจ ก็ไม่ว่ากัน ฝ่ายเราโดนฝ่ายเขาก็โดน คงเข้าใจความรู้สึกกันดี ไม่ต้องมาว่ากันให้เจ็บช้ำอีก" เสียงจากชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่พิทักษ์ด่านแสดงความเห็นเรื่องคนหลากสี


"พร้อมพงศ์ ปลั่งกลาง"  อายุ 42 ปี ชาว อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา ประกอบอาชีพค้าขายที่ตลาดนัดสี่มุม เมือง ทำหน้าที่การ์ด นปช. เล่าถึงที่มาของแผลเป็น จากกระสุนปืนเฉียดเป้า เฉี่ยวกระดูก เกือบตัดกล้ามเนื้อทะลุน่อง ต้องนอนโรงพยาบาลถึง 17  วัน ชี้ให้ดูรอยกระสุนที่ทะลุกางเกงยีนส์ ขณะต้านทหารที่ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา



ระหว่างที่เสื้อแดงเข้าไปยึดรถถังทหารคันที่ 1 ได้สำเร็จ ตนจึงทำหน้าที่ขึ้นไปปลดอาวุธปืนกลบนรถถัง ยังไม่ทันจะสำเร็จมีกระสุนปืนวิ่งมาจากรถถังคันที่ 6 เจาะเข้าที่ขาซ้ายล้มลงร่วงจากรถถังโชคดีที่ใส่หมวกกันน็อค

"ขาชาไปหมด ถูกกระสุนจริงยิงขนาด 12.56 ม.ม. เจ้าหน้าที่เริ่มยิงมวลชนเพื่อแย่งพื้นที่ เคลื่อนรถถังเข้ามาประชิด มีคนเสื้อแดงถูกยิงจำนวนมากช่วยขนกันออกมาปฐมพยาบาล"

"สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลไม่มีความสามารถ เอาทหารเข้ามาขู่ประชาชน ใช้ทหารที่เป็นเครื่องมือรัฐ รักษาอำนาจทำกับเราเหมือนไม่ใช่คน เสื้อแดงเจ็บปวด เจ็บแค้นมาก ตั้งแต่เหตุการณ์ "เมษา 52" แล้ว พวกเราถูกไล่ยิงเหมือนอาชญากร มาถึงวันนี้ก็ไม่ต่างกันและครั้งต่อไปก็คงเป็นเช่นกัน " 





กระสุนที่ยึดจากทหาร


คนร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เสียชีวิต ยังได้รับเกียรติ เรียกว่า "ผู้ ก่อความไม่สงบ" แต่คนเสื้อแดงที่ออกมาชุมนุมเรียก "ผู้ก่อการร้าย" แบบนี้มันยุติธรรมหรือไม่ เราเห็นรัฐบาลทำไม่ถูกต้องจึงออกมาเรียกร้อง ทำอะไรก็ผิดหมด ปิดทีวีไม่มีสื่อให้นำเสนอความคิดข้อเรียกร้อง

"รัฐบาลเกลียดประชาชนแบบนี้จะพัฒนาได้อย่างไร มาทำกับเราแบบนี้ แค้นอยู่แล้วประชาชนมือเปล่าแต่รัฐเอารถถังปืนมายิง เราก็ต้องต่อสู้โดยการขว้าง อิฐ ไม้ ไปใส่ทหาร  เข้าใจว่าทหารต้องทำตามวินัยและคำสั่งของรัฐบาล" 

"เราไม่ท้อ ถอยไม่ได้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้าเราถอยก็ต้องกลับไปสู่สภาพเดิมโครงสร้างเดิม ฐานอำนาจเก่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง" พ่อค้าตลาดสี่มุมเมืองยืนยันความตั้งใจ เดินทางมาคนเดียวเพื่อร่วมกับคนเสื้อแดงด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวหยุดขายของมา ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม เพราะไม่มีครอบครัวตัวคนเดียวจึงไม่มีอะไรให้ห่วง หยุดยาวใช้เงินเก็บ

ก่อนที่การ์ดหนุ่มผู้คมเข้มจะลาพยาบาลที่คอยดูแลและผู้ป่วยจากเตียง รอบๆที่อวยพร "ขอให้โชคดี" และพยาบาลสาวสวยอวยพรให้ "หลบกระสุนให้ดี" ส่วน บุรุษพยาบาลทวง "ซีดี" เหตุการณ์นองเลือดวันที่ 10 เมษายน ฉบับ "เสื้อแดง"

นี่คือเสียงสะท้อนจากคนที่กำลังน้อย กว่าและรู้ว่ากำลังต่อสู้กับอะไร
 
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1272458418&grpid=01&catid= 


------------------------------------------------------------------





นางวรนุช เชียงสาย


นางธนพร โพธิ์เนียม อายุ 46 ปี อาชีพค้าขายเรียนจบชั้น ป.6 กับนางสุภาวดี เถาตะกู อายุ 50 ปี


คุณยายชัชวลี ไทยทัน อายุ 64 กับคุณตาพร้อม ทับทิมพรรณ์ อายุ 67 ปี




"หมี"


ชาวอ.ส่องดาว


นายประดิษฐ กาละทอน


นางสมหมาย มาเกตุ อายุ 49 ปี ชาวสวนลำไย


สาวน.ส.ศิริณัฐชา ศรีชัย อายุ 18 ปี


นางบุญนิศา ไชยสาร อายุ 49 ปี






























สาวเชียงใหม่








ที่นอน


แช่ข้าวเหนียว


นอนบนรถ













วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 14:30:12 น.  มติชนออนไลน์



เปิดคำให้การของ "เสื้อแดง" ก่อน "พิพากษา"

โดย สุชาฎา ประพันธ์วงศ์

เปิดใจ รับฟังกัน  ตั้งคำถาม หาคำตอบ  เข้าอกเข้าใจ เห็นใจกัน กาวใจที่จะช่วยประสานรอยร้าวที่แตกระแหงไปทั่วทุกย่อมหญ้าให้บรรเทาเบาบางลง ได้ ไม่มีใครอยากลำบาก  เดือดร้อน ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น

"กระโดดงับผลประโยชน์ กระโดดถีบผลกระทบ"

คงปฎิเสธกลุ่มคนเสื้อแดงที่เข้ามาชุมนุมใน เมืองหลวงสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้คนกรุงเทพมหานครและคนบางกลุ่มที่ไม่ พอใจกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ต้องออกนอนเกะกะกลางถนน เคยมีใครไปถามไมทำไมคนกลุ่มนี้ต้องมาลำบากลำบนกันขนาดนี้

เพื่ออะไร 

"รัฐบาลนี้เราไม่ได้เลือก คนจนถูกทอดทิ้งมาแล้ว 4 ปี  ต้องอดทนกับอำนาจรัฐที่ยึดจากประชาชน วันนี้ต้องลุกขึ้นมาสู้เรียกร้องสิทธิ์ที่ถูกปล้นไปเพื่อขอประชาธิปไตยที่ ช่วยให้คนจนได้ "ลืมตาอ้าปากได้" รู้ว่าสิทธิ์และเสียงมีส่วนสำคัญทำให้พวกเขามีข้าวสารกรอกหม้อ ไม่ใช่ส่งลูกปืนกรอกปาก

ประชาธิปไตยของชาวบ้านการศึกษาไม่สูงส่ง เขารับรู้ได้ว่า "ทุกคนมีสิทธิ์ในสวัสดิการรัฐเท่าเทียมกัน  คนเดินดิน รู้ว่ายังมีถนนลูกรัง ลาดยางให้เดิน" แม้จะเป็นนโยบายประชานิยมเรื่องการเมืองแต่เป็นสิ่งที่ ประชาชนได้รับจริงๆ จากเงินงบประมาณแผ่นดินที่คนจนไม่เคยได้เข้าถึงตลอดชั่วอายุแต่แล้วต้อง ถูกกระชากออกไป

"ยามเจ็บไข้อยากหาหมอ แต่ไม่มีเงินบัตร 30 บาท ที่เคยรักษาทุกโรคตอนนี้รักษาไม่ได้แล้ว ศูนย์โอทอปกลายเป็นเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงสินค้า เงินที่เคยกู้มาลงทุนแบบไม่มีดอกเบี้ยไม่มีแล้ว พวกเราไม่มีเงินเดือนไปกู้ธนาคารไม่ได้ "

คนเสื้อแดงไม่ได้หวังจะให้นายกฯคน เดิมกลับมาบริหาร จะเป็นใครก็ได้ที่ไม่ลืมคนจนไม้เหยียบพวกเราให้จมดินไม่มองประชาชนเป็นโจร 

เหตุผลของคนเสื้อ แดงที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อแสดงไม่ใช่คนไร้ตัวตน 

กว่า 1 เดือนที่เวทีปราศรัยคนเสื้อแดงยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ผู้ชุมนุมที่กระจายอยู่รอบๆสี่แยกราชประสงค์ที่ย้ายมาจากสะพานผ่านฟ้ายัง ดำเนินชีวิตบนถนนโดยมีเต็นท์ผ้าใบบังแดดกันฝน มีเชือกฟางกั้นอาณาเขตส่วนตัว เป็นที่พักหลับนอน มีห้องน้ำชั่วคราวที่ไว้ชำระล้างร่างกาย ทำจากผ้าใบขึงกั้นเป็นฉากบังสายตา



กลิ่นอาหารปรุงเสร็จใหม่จากเตาแก๊ส เตาถ่าน เตาฟืน ลอยเตะจมูก มองเห็นคนกำลังเข้าแถวรอข้าวแกงตักใส่กล่องโฟมในเต็นท์ข้างเวที นางวรนุช เชียงสาย อายุ  45 ปี ชาวบางซื่อ แม่ค้าขายเครื่องหนัง ตลาดจตุจักร เรียนจบประถม 6  รับเป็นเจ้ามือเลี้ยง อาหารคนเสื้อแดง ทำมาตลอด 1 เดือนในการชุมนุมโดยควักเงินส่วนตัวครั้งละ 5-6 พันบาท

"เราไม่เดือดร้อนทำไปก็สบายใจดีเลี้ยงลูกเลี้ยงหมาได้เลี้ยงคน แค่นี้ไม่เป็นไร"

แม้จะไม่มีใครสนับสนุนให้มาชุมนุมแต่ก็อยากมา มาให้เห็นกับตาฟังคนอื่นพูดมามาก จึงอยากมาสัมผัสเอง พอได้มีเห็นก็ประทับใจ แกนนำไม่ได้ให้เด็กหรือผู้หญิงเป็นกำแพง แต่มีชายฉกรรจ์ที่อาสาเป็นคนนำป้องกันให้ผู้หญิงที่ทำหน้าที่หุงหาอาหารอยู่ ภายใน

"ผู้คนในม็อบ กินด้วยกัน นอนด้วยกัน ลำบากด้วยกัน พวกเราจะไม่ทิ้งกันจนกว่าเป้าหมายจะบรรลุเอาประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศ ไทย"

เราคนจนเคยผ่านความลำบากมามองเห็นว่าชาวบ้านเดือดร้อนกันจริง ถ้า ประชาชนอยู่ได้ประเทศชาติก็อยู่ได้ อะไรที่เราพอช่วยได้ก็ช่วยกันไป  จึงทำอาหารมาเลี้ยงผู้ชุมนุมตลอด ออกเงินเองทั้งหมด ถ้าเสียแค่นี้แล้วแลกกับเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ทำให้เรามีกินมีใช้ เพื่อได้ผู้นำคนใหม่ที่ประชาชนเป็นผู้เลือก

ที่ออกมาเรียกร้องเพราะอยากให้ทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) กลับมา แต่ถ้าไม่ได้กลับมาก็ไม่เป็นไร ขอแค่ผู้นำประเทศที่มองเห็นชาวบ้าน ดูแลชาวบ้านปราบยาเสพติดให้สิ้นซาก เหมือนกับสมัยทักษิณที่ทำให้ลูกเลิกยาบ้าได้ ถึง 3 คน ต้องขอบคุณ

หลายคนถามว่าทักษิณกับในหลวงจะอย่างไร อธิบายไปว่า "เทียบกันไม่ได้ เราเอาทักษิณมาใช้งานมาบริหารจะมาเทียบกับพระเจ้าอยู่หัวที่เราเทิดทูนไม่ ได้"

ที่เราต้องมาขับไล่รัฐบาลนี้นอกจาก เศรษฐกิจไม่ดีแล้ว นายกฯพูดตรงข้ามหมดทำให้คนเกลียดกัน ถึงเราจะเป็นแม่ค้าไม่มีความรู้แต่ทหารจะมายิงคนไม่ได้ ข่าวที่ออกมามีแต่เสื้อแดงทำร้ายทหาร แบบนี้นายกฯยังเป็นผู้นำของประชาชนอยู่หรือไม่ นายกฯนั่งบัญชาการอยู่ในกรมทหารส่วนเราชาวบ้านอยู่ในพื้นที่เห็นทุกอย่างคิด จะถามประชาชนบ้างไหม

หรือเห็นพวกเราไม่ ใช่คน?

"นายกฯต้องเป็นคนที่ประชาชนเลือก พวกเขาเลือกกันเองแบบนี้ไม่มีความเป็นธรรมแล้ว เราไม่ได้กากบาทเลือกประชาธิปัตย์มาบริหารประเทศ เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ ถ้ารัฐบาลต้องการปราบปรามประชาชนชน ทำไมไม่เรียกให้มารวมกันแล้วทิ้งระเบิดมาให้ตายกันให้หมดเลย ถ้าคิดจะล้างเผ่าพันธุ์คนเสื้อแดงแล้วก็ต้องฆ่าให้หมด ในเมื่อไม่เห็นค่าไม่เห็นว่าเราเป็นประชาชนก็ฆ่าทิ้งเสียให้หมด"

สิ่งที่แม่ค้าเครื่องหนังลูกสาวทหารเกิดในกรมทหารกรมสรรพา วุธ สะพานแดง บอกถึงเหตุและผลที่ต้องออกมาชุมนุมโดยไม่มีใครจ้างมาด้วยใจล้วนๆ

มาถึงกลุ่มคนเมืองกาญจนบุรี หญิงสาว 2 คนที่ทำหน้าที่เฝ้าข้าวของเครื่องใช้ภายในเต็นท์มีเพียงเสื่อและผ้ายางปูนอน นางธนพร โพธิ์เนียม อายุ 46 ปี อาชีพค้าขายเรียนจบชั้น ป.6 กับนางสุภาวดี เถาตะกู อายุ 50 ปี ภรรยา ตำรวจได้รับไฟเขียวจากสามีให้มาต่อสู้แม้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงแต่อยากมา ร่วมต่อสู้ บอกด้วยแววตามุ่งมั่นว่าถึงลำบากก็ต้องทน ต้องสู้ พวก เราย้ายจากถนนราชดำเนินมาปักหลัก กินนอนกันกลางถนนจนเริ่มจะชินแล้ว

หลังสถานการณ์สลายการชุมนุมทำให้เราไม่กล้ากลับ บ้านเลย เพราะเราเป็นพี่น้องกัน ชีวิตเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน จึงทิ้งกันไม่ได้

"เราทนเห็นความอยุติธรรมไม่ได้ จึงออกมาเรียกร้องสิทธิ์ตามประชาธิปไตย ดูแลคนไม่ทั่ว ทิ้งคนจนอุ้มคนรวย คิดจะมาเหลียวแลกันบ้างไหม พวกเราต้องการให้รัฐบาลยุบสภา เลือกตั้งใหม่เพื่อได้รัฐบาลที่ถูกต้องไม่ใช้ปล้นเข้ามา ไล่นายกฯเลือกตั้งให้ทหารเข้ามาแทนพอเลือกตั้งใหม่นายกฯทำกับข้าวก็มีความ ผิดแต่นายกฯฆ่าคนกลับไม่ผิด"

รัฐบาลที่เข้ามาต้องเป็นทักษิณหรือ ไม่ ?

"เป็น"แต่ถ้าไม่ได้ ใครก็ได้ที่ทำให้ประชาชนอยู่ได้ ทำให้คนรากหญ้าเป็นเหมือนประชาชนคนไทย ไม่ใช่กีดกันคนชนบทออกไป ทำให้เกิด 2 มาตรฐาน คนปิดถนนเป็นผู้ก่อการร้าย คนปิดสนามบินเป็นผู้ก่อการดี จะพูดจะทำอะไรก็อย่าคิดว่าประชาชนโง่ ไม่รู้เรื่อง เสื้อแดงทำอะไรผิดหมดแค่นี้ความรู้สึกคนมันก็แย่พอแล้ว "

สื่อวิทยุบอกว่าเสื้อแดงเป็น"ควาย" พูดแบบนี้เหมือนเราไม่ใช่คน บอกว่าพวกเรากินหญ้า มันกระทบจิตใจคนจนๆไม่มีพื้นที่ได้แสดงความคิดความเห็น ออกมาปรากฏตัวบนถนนยังไม่มีใครเห็นหัว แบบนี้สร้างความเคียดแค้นให้กับคนจนๆที่ทนมาหลายชั่วอายุคนแล้ว คำว่า "ควาย" มันหนักไปไหมกับชาวบ้านที่ออกมาเรียกร้องเพื่อปากท้องของตัวเอง ที่ยอมสละชีวิตเพื่อให้ประชาชนและลูกหลาน ที่นอนรอความหวังว่าชีวิตคนรุ่นต่อไปจะไม่ลำบากถึงจะไม่ร่ำรวยแค่โรงพยาบาล ที่เปิดรับ มีที่พึ่งในยามยากแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนจน

เรายอมรับได้ที่เรียกว่า"ไพร่ ทาส" เพราะเราเป็นพวกใช้แรงงาน

พวกเราห่วงว่าลูกหลานที่กำลังเรียนจบจะไม่มีงานทำ เมื่อก่อนรักษา 30 บาทรักษาทุกโรคได้ แต่ตอนนี้ไปรักษาไม่ได้แล้ว สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้บอกว่าเรียนฟรีแต่ทำไมพวกเรายังต้องควักเงินค่าเล่า เรียนลูกหลานอีก พวกเราให้โอกาสรัฐบาลนี้ทำงานแล้ว แต่ชีวิตคนรากหญ้าที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ กลับไม่ดีขึ้น เปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่ระบอบเก่าได้ทำไว้ให้ "ไม่ มีเงิน ไม่มีงาน" ดึงทุกอย่างจาก ชนบทไปเทให้คนเมืองหมด



ลำบากขนาดไหนก็ต้องทน 3 วันอาบน้ำครั้งเดียวเพราะมันไม่สะดวก ต้องทนร้อน  มีโอกาสก็กลับบ้านนอนพักเอาแรงก็มาใหม่ มีรถตู้ถึงเมืองกาญจน์ควักเงินตัวเอง บางครั้งก็นั่งรถไฟฟรี 

หญิงผู้เป็นเมียตำรวจบอกว่า ที่บ้านนอน แอร์แต่ต้องมาทนนอนแบบนี้ มีเงินแต่ก็ซื้อของไม่ได้เพราะห้างปิดหนีหมดมีแค่เอราวัณกับห้างอัมรินทร์ ที่ยอมให้พวกเราเข้าห้องน้ำแบบไม่รังเกียจเปิดให้เข้า 24 ชั่วโมง แม้เท้าจะเปื้อนโคลนย่ำพื้นแฉะๆ ร้องเท้าขาด รปภ.เปิดรับหมด

เสียงจากหญิง 2 คน ที่ระบายความอึดอัดถูกผลักให้เป็นที่รังเกียจของ "สังคม"


กิจกรรมบนเวทียังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ส่วนผู้ชุมนุมได้ผลัดเปลี่ยนกันไปที่หน้าเวทีรอฟังแกนนำแถลงข่าว ทางด้านหลังเวทีมีตายายคู่หนึ่งที่นั่งพับเพียบอยู่บนลัง กระดาษที่ปูทับพื้นที่เฉอะแฉะ มีพัดลม 1 ตัวที่สายไปมาทำให้อากาศตรงนั้นถ่ายเทและคลายร้อน คุณยายชัชวลี ไทยทัน อายุ 64  กับคุณตาพร้อม  ทับทิมพรรณ์  อายุ 67 ปี มีบัตรยืนยันว่าเป็นแดงแท้



ตาย-ยายไม่กลัวรึ ?

"แก่แล้ว กลัวทำไม อายุมากทั้งคู่แล้วจึงตัดใจ" คำตอบพร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนรอยเหี่ยวย่นของสองตายยายก่อนจะอธิบายต่อว่า

ที่ต้องกลัว คือ ความไม่ยุติธรรม ที่มันจะอยู่คู่กับชาติตลอดไป

"ได้ยินว่าเขาจะสลายก็ต้องรีบมาเสริมให้คนมากๆเขา จะได้ไม่กล้าเข้ามาทำอะไร" คุณยายบอกในขณะที่คุณตาพยักหน้าชมเชยอุดมการณ์ของคู่ทุกข์คู่ยาก ที่อาสามาเป็นยามเฝ้าเวทีเดินทางไปๆกลับๆระหว่างเวทีราชประสงค์กับบางกรวย โดยคุณตาเป็นโชว์เฟอร์ขับรถมาส่งและมานั่งเป็นเพื่อนกันคอยช่วยเหลืออยู่ ฝ่ายเสบียง

"ถ้ามีข่าวสลายก็ต้องปูผ้าพลาสติกนอน ด้วยกันตรงนี้" คุณยายชี้ไปตรงที่นอนอยู่ไหม่ไกลจากที่นั่งอยู่ภายใต้กล่องกระดาษที่ปูทับ

ยายรักคนเสื้อแดง มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ ประทับใจ ปกติไม่ชอบม็อบ แต่เราสบายใจที่จะทำเราทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ได้หวังว่าจะชนะ แค่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราไม่ได้คิดจะมาโค่นเจ้าอย่างที่ใครๆใส่ร้าย เวลาข่าวในพระราชสำนักมามีแค่ยกมือท่วมหัวกันทั้งนั้น

มาเรียกร้องอะไร ?

อยากให้ความจริงชนะความเท็จ อยากให้คนเสื้อแดงทำสำเร็จ เพื่อจะได้เห็นบ้านเมืองของเราเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่มีคนถูกเอารัดเอาเปรียบอีก นายกฯที่ไม่มีมาตรฐานในตัวเองแม้แต่คำพูดของตัวเองที่เคยเสนอให้คนอื่นทำแต่ พอถึงคราวตัวเองกลับเลี่ยง นั่งดูทีวีที่บ้านแล้วมาวิเคราะห์กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากอดีตจน ถึงปัจจุบันมองเห็นอะไรหลายอย่าง

"ดูจากทหารที่มีแค่กลุ่มเดียวเท่า นั้นที่ได้ดี การค้าขายรุ่งเรืองในไม่กี่ตระกูลจากได้สัมปทาน ทุกคนควรจะได้สิทธิเท่าเทียมกันถึงจะถูก"

คุณยายชัชวลีเป็นอดีตข้าราชการกรม สามัญศึกษา บอกต่อว่า คนเสื้อแดงที่ถูกกล่าวหาว่า โง่ เป็นรากหญ้า แม่ค้า เกษตรกร คนจน ความจริงแล้วมีคนหลายกลุ่มที่ออกมาช่วยกัน คนจนจริงๆคงไม่มีเงินค่ารถ ค่าใช้จ่ายมาชุมนุม แต่พวกเราที่พอจะมีก็ช่วยกันบริจาคอาหารค่ารถช่วยขนกันมาน้ำใจจริงๆ ใครที่ไม่มาเห็นก็อย่ามากล่าวหากัน มีคนขับรถป้ายแดงคันหรูขนอาหาร บริจาคเงินให้คนเสื้อแดง แต่ไม่อยากออกตัวเพราะไม่อยากสู่กับอันธพาล

"ถ้าทุกคนปรากฏตัวแฟร์ๆยุสภาเลือกตั้ง ใหม่ "

วัฒนธรรมไทยสอนให้เด็กโง่ถ้าเด็กรู้จักตั้งคำถาม เด็กจะรู้จักคิดไม่เชื่อครูหมดประเทศไทยคงไม่เป็นแบบนี้ พรรคประชาธิปัตย์มีจิตวิทยาสูงในการใส่ร้าย ดูถูกอีกฝ่าย โดยการให้สัญลักษณ์ "เสื้อเหลืองไฮโซ เสื้อแดงต่ำต้อย"  แต่ในความต่ำต้อยมันแสดงให้เห็นว่าคนเท่ากันหมด ไม่มีใครวิเศษกว่าใคร

คุณยายผู้มีการศึกษาสูงทนเห็นคนในประเทศ ถูก กดขี่ เอาเปรียบไม่ได้ จึงขอเสียสละชีวิตในบั้นปลายเพื่อมวลชน

สำหรับผู้ที่ทำหน้าที่เป็นการ์ดเสื้อแดงคอยชนและไล่ทหารไม่ให้เข้า สลายการชุมนุม อย่าง "พี่หมี" ที่กำลังแต่งตัวเตรียมพร้อมไปปกป้องค่ายด้วยชุดกระชับรัดกุม เดินทางมาร่วมเป็นการ์ดตั้งแต่วันแรกของการชุมนุม หลังจากที่ชีวิตเคยรุ่งเรืองในยุคประชาธิปไตยเฟื่องฟูในความคิดของเขา บอกว่าออกรถป้ายแดงได้ 4 คัน แต่ตอนนี้เหลือแค่ 2 คัน ถ้าทนต่อไปอีกคงไม่มีอะไรกิน

"เราต้องได้ประชาธิปไตยคืน ไม่อยากเห็นประเทศไทยมีสองมาตรฐานอีกต่อไป"

ถ้าวันนี้ผมตายก็ไม่กลัวเพราะผมได้มาทำสิ่งที่จะตกไปถึงลูกหลานของผมแล้ว ถึงไม่มีผม ภรรยาและลูกผมก็อยู่ได้ ตอนนี้ก็ผลัดกันไปขายของ แต่ต้องมานอนที่ชุมนุมทุกวัน เพื่อทำหน้าที่ดูแลมวลชน เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา พร้อมกับชี้ไปที่ผู้ชุมนุมบางส่วนที่นอนหลับกันเรียงรายริมถนนมี คนแก่และหญิงสาว




หากมีการเลือกตั้งใหม่แล้วพวกเราแพ้ก็พร้อม ถอยขอถ้าเลยว่าหากคิดว่าพวกเราเป็นคนส่วนน้อยก็ให้มาสู้กันในสนามเลือกตั้ง

มาดูชีวิตผู้เฒ่าผู้แก่เดินทางมาจากภาคอีสานที่นอนเรียงรายเฝ้า เต็นท์จาก อ.ส่องดาว จ.สกลนคร นายประดิษฐ กาละทอน อาชีพชาวนา กล่าวว่า มาชุมนุมต่อต้านความไม่ชอบธรรม ตอนนี้ของแพง พวกเราชาวบ้านเดือดร้อนสินค้าเกษตรตกต่ำ และรับไม่ได้ที่ไปยืมเงินต่างชาติ มาเพื่อแจก เป็นผลตอบที่ไม่คุ้มค่า พวกเราไม่ภาคภูมิใจเลยสักนิด

บัตรประกันสังคมที่มีไว้เฉพาะคนกินเงินเดือน แต่ชาวนาไม่มีอะไรเลย ชนชั้นกลางได้รับสิทธิ์มากมาย แต่คนรากหญ้ามากกว่ากลับไม่มีการรองรับตรงนี้ บัตร 30 บาทรักษาทุกโรคก็รักษาไม่ได้ที่ อ.ส่องดาวบัตรใช้ไม่ได้อีกแล้ว

แบบนี้ต้องยุบสภาอย่างเดียวทำงานแบบที่ไม่ดูแลคนแก่ประชาชนคนยากจนจะ เป็นนายกฯได้อย่างไร ปล่อยให้ยาเสพติดระบาดไปทั่ว ยุบกองทุนหมู่บ้านแล้วประชาชนจะเอาที่ไหนกินทำทุนชีวิตนี้ก็ต้องจนดักดาน อยู่อย่างนั้น เราไม่มีเงินเดือนที่จะไปกู้ธนาคารได้ "คน รวยมีหนี้ได้แต่คนจนห้ามมีหนี้หรืออย่างไร"  


เราไม่ได้มาเพื่อเอาทักษิณกลับคืน แต่อยากได้นายกฯที่เข้ามาดูแลพวกเราไปเยี่ยมเยียนกันบ้างไปดูว่าพวกเราลำบาก กันแค่ไหน

"พวกเสื้อแดงรักพ่อหลวงเสมอยกใส่หัวตลอด สมัยก่อนเวลาท่านไปหาพวกเราก้มกราบนั่งกับพื้นดินไม่ได้ยืนรับแบบคนกรุงแล้ว มาอ้างว่าจงรักภักดีกว่าพวกเรา"

วันนี้ประชาชนต้องการความเสมอภาค นายกฯอย่าถือตัวว่าเป็นคนดี คนเก่ง ผู้นำควรลดตัวลงมาเสวนากับประชาชน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นเด็ก ที่ทำให้คนแก่อย่างเราหมดหวังเ ข้าใจว่านายกฯคงเกิดในสังคมที่เจริญแล้วไม่มองสิ่งที่ต่ำกว่า ไม่รู้หรอกว่าประชาชนยากลำบากแค่ไหน

ชาว บ้านจากอ.ส่องดาวยังได้ขนข้าวเหนียว อาหารแห้ง ไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงในการ หุงหาอาหารนึ่งข้าวเหนียว มีมะละกอเป็นอาหารหลักไว้กินระหว่างชุมนุม  ชาวบ้านบางคนไม่ได้ใส่สีแดงแต่เป็นเสื้อที่เอามาจากบ้านนุ่งห่ม แม้จะเป็นเสื้อผ้าหลากสีแต่หัวใจสีแดง บางคนไม่มีเงินซื้อสีแดงมีเพียงเสื้อขาด วิ่น  คลุมร่างกาย และขอติดตามมากับรถคันที่จะมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ แบบเสื่อผืนหมอนใบ




เมื่อก่อนเราเดินดิน ลูกรัง ตอนนี้มีถนนลาดยาง  รู้แล้วว่าความเจริญคืออะไร  คำพูดที่คุณตาชาวอีสานฝากไว้ให้คิดต่อ

ถัดไปเป็นค่ายพักแรมของสาวๆชาวเหนือที่กำลังเตรียมเข้านอน หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเตรียมเสบียงมาทั้งวันและไปเขย่าตีนตบท่ามกลางแดด ที่ร้อนจัด นอนกันกลางแจ้ง ไม่มีมุ้งกันยุง น่าเสียดายผิวสวยๆจะถูกยุงกัด แต่บรรดาสาวๆบอกพร้อมกันว่า "สู้แม้ยุงกัดก็ ไม่กลัว" เสียงของสาวเสื้อแดงจากเมืองเชียงใหม่ที่นั่งรถบรรทุก 6 ล้อเคลื่อนจากเหนือเข้าสู่กรุงเทพเบียดเสียดกันมาเหมือน"ปลากระป๋อง" แล้วยังมานอนกลางถนนพื้นแข็งๆ อดทนกันมาเป็นเดือน

"ต่อให้จ้างก็ไม่มาหรอก"

สาวๆตอบหลังเจอคำถามแทงใจพร้อมกับ บอกว่า จริงอยู่เราไม่ใช่คนรวยแต่ก็ไม่ใช่คนจนทั้งหมดใครที่พอมีก็แบ่งกันช่วยกัน ออกค่าน้ำมันค่าอาหารลงขันกันคนละ 5 บาท10 บาท คนที่มาชุมนุมกลับบ้านไปกลายเป็น "วีรสตรี"(หัวเราะ)



นางสมหมาย มาเกตุ อายุ 49 ปี ชาวสวนลำไย ร่างท้วมหนึ่งในกลุ่มผู้ชุมนุมบอกว่าการมาครั้ง นี้ได้รับอนุมัติจากสามี พวกเรามาเพื่อประชาธิปไตย ชาวบ้านฉลาดแล้วข่าวสารที่นำเสนอเราคิดเป็นถึงจะบิดเบือนยังไงก็ตาม การที่รัฐบาลพยายามปิดสื่อเสื้อแดงยิ่งทำให้คนเป็นห่วงพี่น้องแห่กันมาเพิ่ม ขึ้น  เรียกว่ามาด้วยใจ มาด้วยอุดมการณ์ กลับบ้านไม่เกิน 4 วันก็ต้องมาใหม่เพราะว่าเป็นห่วง ข่าวที่ออกมาตรงกันข้ามเหตุการณ์ทั้งหมดเราอยู่ในพื้นที่รู้ดีทุกอย่าง

มันยิ่งทำให้คั่งแค้นถูกยิง แก๊สน้ำตา จนตอนนี้ไม่กลัวตาย ถูกใส่ร้ายจนชิน พวกเราไม่มีที่ระบาย ทำได้แค่ไปคุยกันระหว่างอาบน้ำ พร้อมกับระบายความรู้สึกแลกเปลี่ยนกัน ถึงกรณีที่สื่อรายงานบิดเบือน บอก ใครไม่ได้ก็ต้องคุยกันเอง

ถ้าเราไม่ออกมาสู้ครั้งนี้คงไม่มี โอกาสได้ลืมตาอ้าปากไม่ได้อยู่แล้ว เหมือนกับพ่อแม่พี่น้องเราที่เห็นกันอยู่ว่าเป็นอย่างไร ถึงจะลำบาก จะร้อน พวกเราทนได้ ร้อนก็เอาผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดหน้า นายกฯคนนี้เราไม่ได้เลือกมาต้องยุบสภา เลือกตั้งใหม่ เสียงยืนยันจากชาวสวนลำไย

นางบุญนิศา  ไชยสาร อายุ 49 ปี อาชีพผู้จัดการบ้านจัดสรร จ.อุบลราชธานีและลูกสาวน.ส.ศิริณัฐชา ศรีชัย อายุ 18 ปี เรียนที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ จ.นครราชสีมา ลูกสาวแวะมาเยี่ยมระหว่างปิดเทอม กำลังพลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากอาบน้ำ เสร็จบอกว่า อยู่เฉยไม่ได้จริงๆ แต่ก่อนไม่ได้สนใจอะไรมากมาย แต่กลัวว่าประชาธิปไตยจะย้อนกลับไปยุคเดิมประชาชนไม่ได้รับประโยชน์จากภาค รัฐ โครงการต่างๆที่เคยถึงประชาชนหายไปหมดแต่ไปเทให้กับคนชั้นกลาง



นางบุญนิศา ในฐานะคน มีการศึกษาเรียนจบปริญญาโทบริหาร ย้ำว่า พวกเราที่มาชุมนุมรู้ว่าไพร่มีจริง จิตใต้สำนึกมันบอกเราว่าระบบอำมาตย์มีจริง ข้าราชการที่เจ้ายศเจ้าอย่าง กดขี่ประชาชน พูดจาไม่ดี ดูถูกคนจน ตัวเหม็น ทำท่ารังเกียจ ไม่เหมือนกับยุคที่ทำให้ระบบบริการประชนเป็นเหมือนบริษัท ทุกคนได้รับสิทธิในการบริการอย่างเสมอภาค

ที่ต้อง ลุกขึ้นมาเรียกร้องไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อพี่น้องคนไทย ชาวนา ผู้ยากจน คงเพราะพ่อที่เป็นตำรวจสอนให้เราเป็นคนเถรตรงช่วยเหลือคนอื่นสอนให้มองคน เป็นคน

 

เช็คช่วยชาติ 2 พันที่ได้รับมายังไม่ใช้เลยเพราะรู้สึกว่าเอาเปรียบคนจนไม่ภูมิใจ อยากเห็นคนส่วนใหญ่ได้มากกว่า พี่น้องเราชาวนาที่ลำบากกว่าเราแต่ไม่ได้อะไรเลยแบบนี้ไม่ยุติธรรม จึงต้องออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อคนส่วนใหญ่ ถ้าคนที่เข้า มาบริหารจากเสียงข้างน้อยมันไม่ใช่ประชาธิปไตย และคนส่วนใหญ่ของประเทศคือคนจน ไม่ว่ารัฐบาลใดก็ตามที่เข้ามาบริหารประเทศคนกลุ่มแรกที่ต้องดูแลคือคนจนต้อง ให้เขามีสวัสดิการจากภาครัฐ  ถ้าประเทศอยู่ได้เราก็อยู่ได้

ความแตกต่างจังหวัดกับคนในเมืองมีความแตกต่าง กันมาก คนจนลืมตาอ้าปากไม่ได้เพราะไม่มีการศึกษา โอทอปซบเซา ยาเสพติดระบาด หากเราทำเพื่อคนหมู่มาก การที่รัฐบาลจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงทหารรวมกันแล้วเลือกตั้งใหม่ได้สบาย แต่รัฐบาลแสดงให้เห็นว่าประชาชนคนจนไม่ได้อยู่ในสายตา รัฐบาลกำลังคิดอะไรอยู่ 

เราทำหน้าที่คอยชงกาแฟ โอวัลตินให้ชาวบ้าน มาอยู่ที่นี่ก็ลำบากแต่เราก็ต้องทนเพื่อชาวบ้านเพื่อญาติพี่น้องชาวนา ใช้เงินส่วนตัวเดินทางมาชุมนุม พาการ์ดส่วนตัวมาคอยดูด้วย เพราะเราต้องพกเงินติดตัวด้วย เนื่องจากเอทีเอ็มแถวนี้ไม่มีเงินให้กดเลย หมดไปเยอะแล้วเหมือนกันแต่คุ้มถ้าจะแลกกับการวางรากฐานที่ดี
ทุกวันนี้ต้องคอยเตรียมตัวตั้งรับกับทหาร มือเปล่าจะไปสู้ รถถัง ปืนกล ได้อย่างไร


เสียงของคนจนที่ไม่อยากถูกผลักให้ตกขอบ อีกต่อไป


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1272006503&grpid=10&catid=02

------------------------------------------------------------------







ญาติ"บุญธรรม คลองผุย"


ครอบครัว"วางาม"


ภรรยานายสวาท อุ้มท้อง 6 เดือน


ยายคำกอง


นางสุภารัตน์ ทองผุย

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 19:10:19 น.  มติชนออนไลน์

เสียงกระซิบจาก"คนเสื้อแดง" อยากบอกดังๆ มีเลือด มีเนื้อ "เจ็บ" เป็นเหมือนกัน

โดย "ชฎา ไอยคุปต์"

โปรด อย่าถามว่าแค้นไหม ?

ไม่ว่าจะ "ลูก เล็ก เด็ก แดง พ่อ แม่ พี่ น้อง" ที่สูญเสียคนในครอบครัวไปจากเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและผู้ชุมนุมที่ สูญเสียญาติไปในเหตุการณ์ "เมษาวิปโยค" ความโศกเศร้า เสียใจ ยังคงเกาะกุมจิตใจไปพร้อมกับความเคียดแค้นคับอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประชาชนธรรมดาคงไม่อาจภาคภูมิใจกับการจากไปของลูก หลาน เยี่ยงชายชาติทหาร ที่ปฏิญาณตนว่าจะยอมพลีกายเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แม้จากไปยังมีลาภ ยศ คำสรรเสริญ เสียชีวิตในหน้าที่ ส่งต่อมาให้ครอบครัวให้พอคลายความเศร้าได้บ้าง สำหรับชาวบ้านคงไม่คิดว่าการมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ตามระบอบ ประชาธิปไตยจะต้องมากลายเป็นศพ นอนตายแบบหมาข้างถนน

นายสวาท วางาม อายุ 28 ปี  ผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ยืนถือธงสีแดงกลางวงคนเสื้อแดง  จู่ๆ ล้มลงท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จับจ้องภาพเลือดที่ไหลนองอยู่เต็มพื้นถนนกับศพ ที่ไม่ไหวติง หลังจากถูกซุ่มยิง จนเสียชีวิตระหว่างที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าสลายการชุมนุมเพื่อขอพื้นที่คืน

"เขาจะมาไล่พวกผมก็ต้องสู้ผลักดันทหารออกไป เขาใช้กระบองตีหน้าแข้งผม ยิงแก๊สน้ำตาใส่ ผมยืนสู้ร่วมกับพี่ชาย พวกเราตะลุยเข้าไปแบบไม่กลัว แต่ผมแสบตามากจึงออกมาหาน้ำล้างตา" นายวรเมธ วางงาม อายุ 15 ปี เล่านาทีก่อนที่พี่ชายนายสวาท จะเสียชีวิตว่าถ้าไม่กลับออกมาล้างตาและเจ็บขาเพราะถูกกระบองฟาดอาจจะไม่มี ชีวิตรอดกลับมาเช่นกัน เพราะจะอยู่ติดกับพี่ตลอดเพื่อทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ทหารบุกเข้ามาภายใน

รัฐบาล ยังไม่ยอมยุบสภาจะมาไล่แบบนี้ใครจะยอม พวกเราจึงต้องออกมาสู้แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นยิงกันแบบนี้

"พี่ผมต้องไม่ตายเปล่า"  นาทีที่ทหารบุกเข้ามาพวกเราล้มลุก คลุกคลาน แสบตา แต่ต้องสู้ ทหารมีโล่กำบังแต่พวกผมไม่มี แต่ผมไม่กลัวยิ่งเห็นทหารเอากระบองตียิงปืนใส่ผมลุยอย่างเดียว กล่าวเพียงเท่านี้เด็กชายที่เพิ่งจะก้าวข้ามมาใช้ "นาย"แสดงแววตาที่จริงใจแข็งกร้าวพร้อมกับชูภาพศพจากโทรศัพท์มือถือให้ดู 

สำหรับผู้เป็นพ่อ นายสำราญ วางาม ชาวสุรินทร์  ต้องสูญเสียลูกชายที่เป็นแรงงานหลักของบ้านไปว่า เสียใจมาก ไม่คิดว่าลูกชายจะมาตายแบบนี้ ครอบครัวเราเป็นคนยากจน มีที่ดินแค่ 1 ไร่ แต่ทำกินไม่พอลูกจึงต้องมาทำงานในกรุงเทพฯใช้แรงงาน แต่วันนี้พวกเราไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เหลือเพียงชีวิตแต่ก็ถูกพรากไปอีก ลูกชายผมเกิดวันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2525  แล้วมาตายในวันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2553

ประชาธิปไตยสำหรับคนยากจนอย่างผมอธิบาย อะไรไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่ารัฐบาลต้องยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนได้เลือกผู้นำที่คน ส่วนใหญ่ต้องการมาเป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนี้พวกผมเดือดร้อน ไม่มีอะไรจะกิน ผมเสียลูกชายไป 1 คน ไม่ขออะไรมากขอแค่รัฐบาลอย่าได้ฆ่าประชาชนเหมือนผักเหมือนปลาอีกเลย ถ้าชีวิตลูกชายของผมยังมีค่าพอจะแลกกับตำแหน่งได้ ขอให้ "ยุบสภา"

"ลูกชายผมยังลืมตาค้างแบบตายวัน แรก" ผมเป็นพ่อคงไม่อยากเห็นลูกนอนตายตาค้างแบบนี้ พวกเราจะสู้ต่อไปชุมนุมจนกว่าจะได้ประชาธิปไตยคืนมา เพื่ออนาคตของลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่

นางสาวอัมพิตา สมุทรติรัมย์ อายุ 28 ปี อุ้มท้อง 6 เดือน ภรรยานายสวาท วางาม อายุ 28 ปี ที่เสียชีวิตขณะถือธงต้านทหารถูกยิงที่ศีรษะเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ กล่าวว่า  เสียใจมากที่สามีไม่มีโอกาสได้ดูหน้าลูกสาวที่กำลังจะเกิดในอีก 4 เดือน สามีคงตายตาไม่หลับจนถึงตอนนี้ยังนอนตายตาค้าง ตอนนี้ครอบครัวของเราก็ลำบากมากขาดผู้นำครอบครัวไป โชคดีที่ยังมีน้าคอยดูแล ต่อไปคงต้องเลี้ยงลูกเอง ถ้าลูกคลอดออกมาคงต้องอธิบายว่าทำไมถึงไม่มีพ่อ ซึ่งจะบอกเล่าให้ลูกฟังทั้งหมด

นางสุภา รัตน์ ทองผุย ภรรยานายบุญธรรม คลองผุย ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวที่แยกคอกวัว กล่าวว่า ทุกครั้งที่มาชุมนุมนายบุญธรรม จะมาพร้อมลูกชายคนเล็ก แต่ครั้งนี้เขามาคนเดียว และบอกลูกชายว่า เดี๋ยวพ่อไปกลับ หลังจากนั้น ก็เห็นข่าวว่านายบุญธรรมเสียชีวิตแล้ว รู้สึกเสียใจมาก ยังช็อคไม่หายเลย

นาง สุภารัตน์  กล่าวว่า ก่อนหน้าเกิดเหตุร้ายก็ฝันว่าสามีถูกตามฆ่า เชื่อว่าเป็นฝันบอกเหตุ ต่อมาก็ได้รู้ว่าสามีเสียชีวิตแล้ว เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งอยู่กับสามีคนแรก ก็ฝันว่า สามีคนแรกถูกฆ่าต่อมาสามีคนแรกก็ตายเหมือนกัน จึงเชื่อในความฝันมาก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการเสียชีวิตของสามีเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ทหาร ไม่เกี่ยวกับชายชุดดำ ทั้งนี้ รัฐบาลไม่น่าสลายการชุมนุม เพราะแค่คำว่า "ขอยุบสภา" ไม่น่าจะพูดยาก

เมื่อ ถามว่า หากรัฐบาลยอมยุบสภาแล้ว จะเป็นไรต่อ นางสุภารัตน์ กล่าวว่า ต้องมีการเลือกตั้งอย่างยุติธรรม ให้ได้รัฐบาลขึ้นมา เมื่อถามต่อว่า หากได้รัฐบาลขึ้นมาแล้ว มีบางกลุ่มไม่เห็นด้วยและออกมาเรียกร้องให้ยุบสภาอีก นางสุภารัตน์ กล่าวว่า ก็ต้องดูกันอีกที

คุณยายคำกอง ทองผุย แม่ของนายบุญธรรม  อายุ 77 ปี บอกว่ายังรู้สึกเสียใจกับการจากไปของลูกชาย แต่ก็รู้สึกภูมิใจที่ลูกชายต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย  ภูมิใจมาก   รู้สึกโกรธแค้นเช่นกันที่ลูกชายต้องมาเสียชีวิตลงจากเหตุการณ์ครั้งนี้

คิดว่าทางออกที่ดีที่สุดของประเทศตอนนี้คืออะไร 

คุณ ยายคำกองบอกว่า รัฐบาลต้องยุบสภา เพราะตนเชื่อว่า จะทำให้ชาติสงบสุข อีกทั้งระบุว่า รัฐบาลชุดนี้ ตนไม่ได้เลือกตั้งมา อยากให้รัฐบาลที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง  เนื่องจากสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี เด็กในหมู่บ้านไม่มีคนดมกาว และโจร ขโมยก็ไม่เยอะ

ได้รับเงินช่วยเหลือค่าทำศพรวมทั้งหมดเท่าไหร่

ยาย คำกองกล่าวว่า ตนยังไม่เห็นเงินช่วยเหลือเลยสักบาท เนื่องจากลูกสะใภ้ (นางสุภารัตน์) เป็นคนจัดการทั้งหมด  ซึ่งตอนนี้ ตนมาพักอยู่กับลูกอีกคนที่มีบ้านอยู่ที่จ.ปทุมธานี โดยที่มาวันนี้ ทางพรรคเพื่อไทยก็เป็นคนส่งรถไปรับถึงบ้านพร้อมกับพาไปรับประทานอาหาร และก็เดินทางมาพร้อมกับลูกสะใภ้และหลานชายเพื่อมาขอความเป็นธรรมดังกล่าว


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1271764682&grpid=10&catid=02

------------------------------------------------------------------
Ff