บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


27 กันยายน 2553

<<< ต้องดูภาพจริงมากกว่าภาพลวงตา เวลากำหนดกลยุทธ์ >>>

จากกลยุทธ์สามก๊ก ที่แบ่งเป็น
พวกเขา พวกเรา พวกไม่รู้ไม่ชี้
ทำไมผมถึงแยกพวกที่เชียร์พวกเราเป็นพวกไม่รู้ไม่ชี้
ก็เพราะต้องการเห็นภาพจริงมากกว่าภาพลวงตา
เวลากำหนดกลยุทธ์อะไรจะได้ไม่ฮึกเหิมเกินจริง
หรือกำหนดสิ่งที่เกินกำลังกว่าจำนวนคนที่พร้อมร่วมด้วยช่วยกัน

ยกตัวอย่าง
ถ้าคุณมีเพื่อนอยู่พันคน
แต่จริงๆ มีคนพร้อมออกแรงช่วยสร้างบ้านให้คุณสักหลัง
ไม่กี่สิบคน แล้วคุณคิดจะสร้างปราสาทใหญ่โต
มันจะเกินกำลังไปไหม ถ้าไม่คิดเรื่องไปจ้างเขาทำ
จะให้เพื่อนๆ ร่วมแรงร่วมใจกันสร้าง
แต่ถ้าคุณรู้แล้วว่า คนนั้นก็ไม่ช่วยแน่คนนี้ก็หนีแน่
คนนู้นของให้กำลังใจอย่างเดียว
รวมๆ แล้วมีคนพร้อมช่วยไม่กี่สิบคน
เมื่อรู้ภาพจริงตัดภาพลวงตาออกไป
คุณก็สามารถเปลี่ยนแผนใหม่
มาสร้างบ้านดินดีกว่าด้วยกำลังคนขนาดนี้
สร้างได้สบายมากๆ แถมไม่มีวิศวกร สถาปนิก
ก็สร้างได้ง่ายๆ ออกมาสวยน่าอยู่เหมือนกัน
ทำให้กว้างๆ อย่างกะวังได้ด้วย

เช่นเดียวกันกับม็อบเสื้อแดง
กรณีพวกเรา ผมคิดเฉพาะ
คนที่พร้อมออกมาเคลื่อนไหว
ก็คือคนที่เคยมาร่วมกับม็อบเสื้อแดง
ส่วนคนที่นั่งเชียร์อยู่กับบ้าน
ส่วนใหญ่ผมตีให้เป็นพวกไม่รู้ไม่ชี้
ซึ่งในพวกไม่รู้ไม่ชี้ก็อาจมีคนที่เชียร์พวกเขา
แต่ไม่ออกมาร่วมเคลื่อนไหว รวมทั้งพวกเป็นกลาง
สรุปเป็นกลุ่มคนที่เยอะที่สุด
แต่ไม่เคลื่อนไหวให้มีผลกับพวกเขาพวกเรา
ถ้าวันไหนมีคนไปปลุกคนพวกนี้มาเป็นพวก
ถ้าเป็นพวกเขาพวกเราก็ถือว่าปกติ
ที่สองพวกนี้จะไปดึงพวกไม่รู้ไม่ชี้ออกมา
แต่ก็ออกมาได้เฉพาะพวกที่เชียร์ฝ่ายตนเอง
แต่ไม่เคยกล้าออกมาร่วมเท่านั้น
การไปดึงพวกอื่นม้เป็นพวก
ยากลำบากแสนเข็ญเอาเรื่อง
แค่ให้เขาเปลี่ยนขั้วก็สุดยากอยู่แล้ว
การจะดึงเขามาร่วมม็อบนี่สุดหินเลยทีเดียว
แต่ถ้าพวกที่เชียร์กันอยู่แล้ว
ยังพอมีโอกาสลุ้นให้เขาออกมาช่วยได้

แต่ถ้ามีกลุ่มคนแอบอ้างว่าเป็นกลางบ้างแหล่ะนั่นนี่บ้างแหล่ะ
พยายามมาดึงคนกลุ่มนี้ออกมาเคลื่อนไหว
ถ้ามีคนออกมาพวกนี้ก็ไม่จัดอยู่ในกลุ่มไม่รู้ไม่ชี้แล้ว
แต่จะจัดอยู่ในกลุ่มพวกเขา หรือ พวกเรา แล้วแต่ว่า
จะเข้าทางกลุ่มไหนมากกว่ากัน
พวกนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นพวกไม่รู้ไม่ชี้อีกต่อไป

การแยกคนจากสภาพความเป็นจริงกรณีม็อบเสื้อแดง
แทนที่จะเหมารวมเป็นสิบล้านคน
แล้วกำหนดกลยุทธ์ซะราวกับว่าทั้งสิบล้านคนจะออกมาช่วย
โอกาสพลาดพลั้งทำไม่ได้ตามที่หวังมีสูงมากๆ
แต่ถ้ากำหนดกลยุทธ์โดยดูจำนวนคนที่เป็นภาพจริง
ภาพลวงตาตัดออก ถ้าจะละเอียดเข้าไปอีก
กรองจากภาพจริง ว่าไม่มีคนสามารถชี้นิ้วสั่งได้จริงๆ มีเท่าไหร่
ก็จะกำหนดกลยุทธ์ได้ถูกต้องเข้ากับม็อบมากที่สุด
ถามว่าทำไมต้องกรองคัดคนที่สามารถชี้นิ้วสั่งให้หยุดให้เดินหน้าออกไป
ก่อนทำการประเมินสถานการณกำหนดกลยุทธ์
เพราะถ้าวันหนึ่งกำลังเข้าได้เข้าเข็มแล้วเขาเกิดไปต่อรอง
หรือกดดัน ข่มขู่หรืออะไรก็แล้วแต่กับคนที่ชี้นิ้วบงการคนในม็อบได้
วันนั้นคนที่ทำตามคนบงการชี้นิ้วสั่งการได้
ก็อาจจะหยุดไม่ร่วมสู้ต่อไปได้แล้วจะเคว้งเหมือนโดนปล่อยเกาะ
ในขณะที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม แล้วจะเสียขบวนจนแพ้ในศึกนั้นอีก

บางคนอาจแย้งว่า
ถ้าตัดคนที่สั่งซ้ายหันขวาหันออกไปได้
แล้วสงครามแม่ทัพก็ไม่เหลือใครอ่ะซิ
ก็ใช่ ถูกต้องในสงคราม
ต้องสั่งซ้ายหันขวาหันได้จะดี
แต่ต้องมีแม่ทัพกล้าสู้กับแม่ทัพฝ่ายข้าศึกด้วย
ถ้าแม่ทัพยังไม่กล้าสู้กลัวยังต้องสร้างภาพ
หลอกคนในกองทัพว่ายังอาลัยอาวรณ์แม่ทัพข้าศึกไม่กล้าสู้
ผมว่าไม่มีทหารในกองทัพออกไปสู้กับแม่ทัพแบบนี้หรอก
ตายฟรีแน่นอน
เพราะคนที่ยังกลัวอาลัยอาวรณ์เกรงขามแม่ทัพข้าศึก
เราจะเชื่อใจได้ยังไงว่า
ไม่สั่งให้เราไปตาย เพื่อให้แพ้พวกข้าศึก
มันต้องมีแม่ทัพที่ไม่กลัว คนเขาถึงจะพร้อมสู้สุดกำลัง

แต่กลยุทธ์ที่ว่าผมเน้นเกี่ยวกับเรื่องม็อบเป็นหลัก
ไม่ได้เอาไปใช้กับเรื่องสงครามเต็มรูปแบบนัก
กรณีเรื่องคัดคนที่สั่งซ้ายหันขวาหันออกไป
ถ้าเป็นกรณีสงครามแบ่ง 3 ก๊ก ก็คล้ายกัน
แค่ดูทหารหรือคนที่พร้อมเป็นทหารฝ่ายเรา
กับฝ่ายเขา ส่วนพวกไม่รู้ไม่ชี้
คือพลเมืองทั้งสองฝั่ง ที่ไม่ได้ออกมาสู้รบด้วย
แต่ไม่แยกเพศ เพราะว่า
จากประวัติศาสตร์มีผู้หญิงกล้า
ออกมารบแนวหน้าบ่อยๆ และเยอะด้วยในหลายๆ ศึก
ดังนั้นดูที่คนพร้อมสู้เป็นหลัก ไม่แยกเพศหรือวัย
แล้วถึงจะประเมินสถานการณ์ออก

ดังนั้นการประเมินคนที่พร้อมสู้ด้วยได้แม่นยำถูกต้อง
จะทำให้การกำหนดกลยุทธ์ได้ดีขึ้น
และถูกต้องกับสถานการณ์จริงๆ มากขึ้น

ปล. การแบ่งกลุ่มตามที่ว่ามานี้
ใช้ในการประเมินเพื่อกำหนดแนวทางการต่อสู้เท่านั้น
ไม่ได้ให้ไปผลักไส ไล่กลุ่มที่ยังถูกควบคุมสั่งการได้ออกไป

โดย มาหาอะไร
FfF