พิสูจน์ "น้องโบว์" ไม่ใช่แก๊สน้ำตา พฐ.สรุปผลตรวจ สารบึ้มคนละชนิด (ข่าวสด)
กองพิสูจน์หลักฐานสรุปผลพิสูจน์ "น้องโบว์" พันธมิตรแล้ว ตรวจพบ "ซี-โฟร์" ในเสื้อยืดสีเหลืองและเสื้อชั้นใน ซึ่งไม่ตรงกับแก๊สน้ำตาของตำรวจทั้งชนิดยิงและขว้าง ซึ่งมีสารวัตถุระเบิดชนิด "อาร์ดีเอ็กซ์" เป็นส่วนประกอบเท่านั้น ไม่มี "ซี-โฟร์" แต่อย่างใด
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ รายงานข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งว่า กองพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สรุปผลตรวจพิสูจน์วัตถุพยานที่พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ส่งมาให้ตรวจพิสูจน์ซึ่งเป็นเสื้อผ้าของน.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ น้องโบว์ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ประกอบด้วยเสื้อยืดสีเหลือง 1 ตัว เสื้อชั้นในสีครีม สภาพฉีกขาด 1 ตัว กางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน สภาพฉีกขาด 1 ตัว โดยมีจุดประสงค์ในการตรวจพิสูจน์ต้องการทราบว่า มีสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของวัตถุระเบิดติดอยู่วัตถุของกลางทั้งหมดนี้หรือไม่
รายงานข่าวแจ้งว่า พ.ต.ท.สมภพ พุฒศรี นักวิทยาศาสตร์ สบ.3 กลุ่มงานตรวจเคมี ฟิสิกส์ และชีววิทยา กองพิสูจน์หลักฐาน ได้ตรวจพิสูจน์ด้วยวิธีการตรวจทางกายภาพ ตรวจทางเคมี ใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ใช้ไอออนสแกนตรวจหากลุ่มวัตถุระเบิดเบื้องต้น ใช้เครื่อง เอฟทีไออาร์, จีซี-เอ็มเอส, เอ็กซ์อาร์เอฟ ตรวจยืนยันใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสรุปผลการตรวจ ได้ผลการตรวจออกมาว่า ตรวจพบสารเคมีที่เป็นวัตถุระเบิดชนิดซี-โฟร์ติดอยู่ที่เสื้อยืดสีเหลือง และเสื้อชั้นในสีครีมที่ส่งมาตรวจ และตรวจพบสารเคมีชนิด อาร์ดีเอ็กซ์ ซึ่งเป็นสารประกอบวัตถุระเบิดติดอยู่ที่กางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากข้อมูลทางเทคนิคของ กองพิสูจน์หลักฐาน ระบุว่าแก๊สน้ำตาทั้งชนิดยิง และชนิดขว้างที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีใช้จะมีสารวัตถุระเบิดชนิด อาร์ดีเอ็กซ์ เป็นส่วนประกอบเท่านั้น ซึ่งไม่มี ซี-โฟร์ เป็นส่วนประกอบแต่อย่างใด และกรณีที่พบสารวัตถุระเบิดชนิด ซี-โฟร์ ที่เสื้อชั้นในและเสื้อยืดของน.ส.อังคณานั้น เพราะตรวจพบวัตถุทรงกลมที่เหลือจากการระเบิดไม่สมบูรณ์บริเวณรอยไหม้สีดำของเสื้อชั้นในและเสื้อยืดดังกล่าว และเมื่อนำวัตถุทรงกลมนั้นมาตรวจปรากฏว่าเป็นสารวัตถุระเบิดชนิด ซี-โฟร์ ส่วนในวัตถุพยานที่ได้จากผู้บาดเจ็บรายอื่นพบเฉพาะสาร อาร์ดีเอ็กซ์ เท่านั้น ซึ่งสารวัตถุระเบิดชนิด ซี-โฟร์ เป็นสารวัตถุระเบิดต่างชนิดจากสารวัตถุระเบิดชนิด อาร์ดีเอ็กซ์ เพราะมีสารเคมีประกอบต่างชนิดกัน
วันเดียวกันที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. กล่าวถึงการออกหมายจับเพิ่มเติม 21 แกนนำกลุ่มพันธมิตรกรณีบุกยึดทำเนียบรัฐบาลว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ที่มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตการออกหมายจับครั้งนี้ล่าช้าเพราะผู้ใหญ่ในรัฐบาลให้ดึงเรื่องไว้นั้น ยืนยันว่าไม่มี ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน การออกหมายจับต้องออกหมายเรียกก่อน คนที่ออกมาให้ข่าวคงเอาขั้นตอนสุดท้ายมาตอบสื่อมวลชนก่อน ยืนยันไม่มีใบสั่งใดๆ เกี่ยวกับการทำงานเรื่องนี้
ที่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข่าวที่ว่านายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ อาจเป็น 1 ใน 21 แกนนำพันธมิตรที่จะถูกออกหมายจับว่า ไม่ทราบเรื่อง และไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องอะไรตอนนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงต้องว่าไปตามกระบวนการ
ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้านายกษิตถูกออกหมายจับจริง ต้องออกจากตำแหน่งรมต.หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องการออกหมายจับอะไร ต้องรอให้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อน จากนั้นค่อยมาดูกัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก มติชนออนไลน์
http://hilight.kapook.com/view/34209
กองพิสูจน์หลักฐานสรุปผลพิสูจน์ "น้องโบว์" พันธมิตรแล้ว ตรวจพบ "ซี-โฟร์" ในเสื้อยืดสีเหลืองและเสื้อชั้นใน ซึ่งไม่ตรงกับแก๊สน้ำตาของตำรวจทั้งชนิดยิงและขว้าง ซึ่งมีสารวัตถุระเบิดชนิด "อาร์ดีเอ็กซ์" เป็นส่วนประกอบเท่านั้น ไม่มี "ซี-โฟร์" แต่อย่างใด
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ รายงานข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งว่า กองพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สรุปผลตรวจพิสูจน์วัตถุพยานที่พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ส่งมาให้ตรวจพิสูจน์ซึ่งเป็นเสื้อผ้าของน.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ น้องโบว์ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ประกอบด้วยเสื้อยืดสีเหลือง 1 ตัว เสื้อชั้นในสีครีม สภาพฉีกขาด 1 ตัว กางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน สภาพฉีกขาด 1 ตัว โดยมีจุดประสงค์ในการตรวจพิสูจน์ต้องการทราบว่า มีสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของวัตถุระเบิดติดอยู่วัตถุของกลางทั้งหมดนี้หรือไม่
รายงานข่าวแจ้งว่า พ.ต.ท.สมภพ พุฒศรี นักวิทยาศาสตร์ สบ.3 กลุ่มงานตรวจเคมี ฟิสิกส์ และชีววิทยา กองพิสูจน์หลักฐาน ได้ตรวจพิสูจน์ด้วยวิธีการตรวจทางกายภาพ ตรวจทางเคมี ใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ใช้ไอออนสแกนตรวจหากลุ่มวัตถุระเบิดเบื้องต้น ใช้เครื่อง เอฟทีไออาร์, จีซี-เอ็มเอส, เอ็กซ์อาร์เอฟ ตรวจยืนยันใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสรุปผลการตรวจ ได้ผลการตรวจออกมาว่า ตรวจพบสารเคมีที่เป็นวัตถุระเบิดชนิดซี-โฟร์ติดอยู่ที่เสื้อยืดสีเหลือง และเสื้อชั้นในสีครีมที่ส่งมาตรวจ และตรวจพบสารเคมีชนิด อาร์ดีเอ็กซ์ ซึ่งเป็นสารประกอบวัตถุระเบิดติดอยู่ที่กางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากข้อมูลทางเทคนิคของ กองพิสูจน์หลักฐาน ระบุว่าแก๊สน้ำตาทั้งชนิดยิง และชนิดขว้างที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีใช้จะมีสารวัตถุระเบิดชนิด อาร์ดีเอ็กซ์ เป็นส่วนประกอบเท่านั้น ซึ่งไม่มี ซี-โฟร์ เป็นส่วนประกอบแต่อย่างใด และกรณีที่พบสารวัตถุระเบิดชนิด ซี-โฟร์ ที่เสื้อชั้นในและเสื้อยืดของน.ส.อังคณานั้น เพราะตรวจพบวัตถุทรงกลมที่เหลือจากการระเบิดไม่สมบูรณ์บริเวณรอยไหม้สีดำของเสื้อชั้นในและเสื้อยืดดังกล่าว และเมื่อนำวัตถุทรงกลมนั้นมาตรวจปรากฏว่าเป็นสารวัตถุระเบิดชนิด ซี-โฟร์ ส่วนในวัตถุพยานที่ได้จากผู้บาดเจ็บรายอื่นพบเฉพาะสาร อาร์ดีเอ็กซ์ เท่านั้น ซึ่งสารวัตถุระเบิดชนิด ซี-โฟร์ เป็นสารวัตถุระเบิดต่างชนิดจากสารวัตถุระเบิดชนิด อาร์ดีเอ็กซ์ เพราะมีสารเคมีประกอบต่างชนิดกัน
วันเดียวกันที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. กล่าวถึงการออกหมายจับเพิ่มเติม 21 แกนนำกลุ่มพันธมิตรกรณีบุกยึดทำเนียบรัฐบาลว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ที่มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตการออกหมายจับครั้งนี้ล่าช้าเพราะผู้ใหญ่ในรัฐบาลให้ดึงเรื่องไว้นั้น ยืนยันว่าไม่มี ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน การออกหมายจับต้องออกหมายเรียกก่อน คนที่ออกมาให้ข่าวคงเอาขั้นตอนสุดท้ายมาตอบสื่อมวลชนก่อน ยืนยันไม่มีใบสั่งใดๆ เกี่ยวกับการทำงานเรื่องนี้
ที่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข่าวที่ว่านายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ อาจเป็น 1 ใน 21 แกนนำพันธมิตรที่จะถูกออกหมายจับว่า ไม่ทราบเรื่อง และไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องอะไรตอนนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงต้องว่าไปตามกระบวนการ
ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้านายกษิตถูกออกหมายจับจริง ต้องออกจากตำแหน่งรมต.หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องการออกหมายจับอะไร ต้องรอให้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อน จากนั้นค่อยมาดูกัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก มติชนออนไลน์
http://hilight.kapook.com/view/34209
-------------------------------------------------------
สภาพการตายของ นางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ( โบว์ )
เพื่อเป็นหลักฐานสำหรับผู้ไม่เข้าใจเหตุการณ์นี้ในอนาคต
เนื่องจากมีการบิดเบือนสาเหตุการตายกันอย่างมาก
โดยเฉพาะการที่ระบุว่า ตายเพราะแก๊สน้ำตา
แต่น่าจะเป็นวัตถุระเบิดอื่นในกระเป๋ามากกว่า
เนื่องจากแก๊สน้ำตาคงไม่สามารถยิงวิ่ถีโค้งเข้าใต้ซอกรักแร้ได้
และอานุภาพก็ไม่ร้ายแรงอย่างที่เห็น
เนื่องจากม็อบเสื้อแดงเคยเจอมาแล้วหลายครั้งไม่มีใครเป็นอะไร
นอกจากเจ็บตายเพราะกระสุนยางและกระสุนจริงซะมากกว่า
เพื่อเป็นหลักฐานสำหรับผู้ไม่เข้าใจเหตุการณ์นี้ในอนาคต
เนื่องจากมีการบิดเบือนสาเหตุการตายกันอย่างมาก
โดยเฉพาะการที่ระบุว่า ตายเพราะแก๊สน้ำตา
แต่น่าจะเป็นวัตถุระเบิดอื่นในกระเป๋ามากกว่า
เนื่องจากแก๊สน้ำตาคงไม่สามารถยิงวิ่ถีโค้งเข้าใต้ซอกรักแร้ได้
และอานุภาพก็ไม่ร้ายแรงอย่างที่เห็น
เนื่องจากม็อบเสื้อแดงเคยเจอมาแล้วหลายครั้งไม่มีใครเป็นอะไร
นอกจากเจ็บตายเพราะกระสุนยางและกระสุนจริงซะมากกว่า
จากภาพในการชันสูตรศพ
พบว่ามีรูโหว่ลึก
ช่วงราวนมกับต้นแขนซ้ายด้านใน
คล้ายๆ มีการระเบิดที่ตรงจุดนี้
จากหลักฐานท่าที่ตายในที่เกิดเหตุ
ไม่พบว่ากระเป๋าด้านขวาจะฉีกขาด
แสดงว่าวัตถุระเบิดจะต้องอยู่ทางด้านซ้าย
มีการตั้งข้อสันนิษฐานไว้ 2 กรณีคือ
1. กรณีของหมอพรทิพย์ ที่ยืนยันว่า
น้องโบว์ตายเพราะถูกของแข็งยิงเข้าใส่
ซึ่งของแข็งที่ว่าคือแก๊สน้ำตาแบบยิง
ได้มีการทดสอบการยิงแก๊สน้ำตา
แล้วท้าว่าใครไม่เชื่อผลให้เอาตัวเองไปลองทดสอบ
ให้เจ้าหน้าที่ยิงใส่ดูก็ได้อะไรทำนองนั้น
แต่ข้อสันนิษฐานนี้ มีข้อน่าสังเกตุคือ
เมื่อน้องโบว์ถูกยิงด้วยแก๊สน้ำตาแล้วมันระเบิดใส่น้องโบว์
จนเป็นแผลเหวอะตามรูปสภาพศพที่นำมาลงไว้ให้ดูด้านบน
ทำไมน้องโบว์ตายในท่าหมอบแบบนั้นได้
อีกเรื่องหนึ่ง ทำไมเจาะจงทดสอบเฉพาะการยิงแก๊สน้ำตา
ว่ามีอานุภาพแรงไม่แรงยังไง
ไม่ว่าผลออกมายังไง ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้อยู่ดี
แต่สร้างความเคลือบแคลงให้สาธารณชนเพ่งเล็งมาที่แก๊สน้ำตา
ถามว่า ทำไมไม่ทดสอบขว้างระเบิดปิงปองที่พบเกลื่อนในที่เกิดเหตุ
รวมทั้งวางระเบิดปิงปองเอาไว้แล้วเอาอะไรไปทับดู
จะได้รู้ผลการทดสอบวัตถุที่น่าสงสัยทั้งสองชนิด
ว่าอันไหนร้ายแรงทำให้เกิดแผลลักษณะนี้ได้
ไม่ใช่เลือกทดสอบเฉพาะแก๊สน้ำตา
แล้วเที่ยวท้าว่าใครไม่เห็นด้วยให้ไปยืนเป็นหุ่นทดสอบ
ถ้าเช่นนั้น คนอื่นที่เขาคิดว่าเป็นเพราะระเบิดปิงปอง
ถ้าเขาจะท้าบ้างว่า
ใครไม่เห็นด้วยว่าเป้นเพราะระเบิดปิงปอง
ก็ไปเป็นหุ่นหรือใช้มือหรือลำตัว
กระแทกระเบิดปิงปองกับพื้นดู จะกล้าไหม
2. กรณีข้อสันนิษฐานที่ว่า
น้องโบว์อาจช่วยแอบซ่อนระเบิดปิงปอง 1 ลูก
ให้พรรคพวกที่นำมาฝากไว้คนละลูกสองลูก
ดังภาพที่ปรากฏจำนวนมากที่ยังถือระเบิดปิงปองค้างเอาไว้
ไม่กล้าโยนทิ้งเพราะกลัวจะไปโดนคนอื่นอีก
หรือโดนลูกหลงได้ ถ้าไม่มีแรงขว้างไปไกลๆ
โดยอาจซุกซ่อนไว้ที่กระเป่าเสื้อด้านซ้าย(ถ้ามี)
กระเป๋าสะพายอีกอัน(ถ้ามี) หรือในบริเวณเสื้อยกทรง
แล้วช่วงที่ตกใจหมอบหลบแก๊สน้ำตา
จนเกิดการกระแทกทำให้มันเกิดระเบิด
และท่าที่ตายก็คือท่าที่หมอบอย่างเรียบร้อย
ต้องตายขณะหมอบท่านี้พอดี
ถ้าถูกยิงตายไม่มีทางจะจบท่าด้วยท่านี้ได้แน่นอน
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกยิงหรือถูกอะไรกระแทก
บริเวณซี่โครงแนวเดียวกับราวนมทางด้านซ้าย
แล้วตายท่าหมอบคุดคู้แบบที่เห็น
เนื่องจากไม่มีการทดสอบให้นำระเบิดปิงปองที่ว่า
มากดทับระเบิดปิงปองทั้งสองด้าน
เช่นนำไม้หน้าสามมาประกบระเบิดปิงปอง
แล้วดูผลของแรงระเบิดว่าใกล้เคียงกับลักษณะบาดแผลหรือไม่
จึงทำให้ข้อสันนิษฐานเรื่องระเบิดปิงปองมีน้ำหนัก
เพราะสอดคล้องกับท่าการตาย
และผลพิสูจน์สารประกอบระเบิดทางวิทยาศาสตร์
ที่ติดอยู่ที่เสื้อและยกทรง
-------------------------------------------------------
พิสูจน์หลักฐานตร.สรุปผลตรวจ เสื้อ "น้องโบว์" มีสาร "ซีโฟร์" ไม่มีอยู่ในระเบิด "แก๊สน้ำตา" 7 ตุลาฯ
กองพิสูจน์หลักฐานสรุป เสื้อยืด-เสื้อชั้นใน"โบว์" เหยื่อพันธมิตรฯ พบสารเคมี"ซีโฟร์" เผยแก๊สน้ำตาไม่มี
สารชนิดนี้ ส่วนกางเกงติดสารประกอบวัตถุระเบิดอาร์ดีเอ็กซ์ ซึ่งพบอยู่ในผู้บาดเจ็บรายอื่นด้วย
รายงานข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) แจ้งเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ว่า กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ได้
สรุปผลการตรวจพิสูจน์วัตถุพยานที่พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ได้ส่งมาให้ตรวจพิสูจน์ ซึ่งเป็นเสื้อผ้าของ
น.ส.อังคณา ระดับปัญญา หรือน้องโบว์ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ประกอบด้วย เสื้อยืด
สีเหลือง 1 ตัว เสื้อชั้นในสีครีมสภาพฉีกขาด 1 ตัว กางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน สภาพฉีกขาด 1 ตัว เพื่อตรวจพิ
สูจน์ว่ามีสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของวัตถุระเบิดติดอยู่ที่ วัตถุของกลางทั้งหมดนี้หรือไม่ ทั้งนี้ พฐ.ตรวจพบ
วัตถุทรงกลมที่เหลือจากการระเบิดไม่สมบูรณ์บริเวณรอยไหม้สีดำของ เสื้อชั้นในและเสื้อยืดของ น.ส.อังคณา
รายงานข่าวแจ้งว่า วัตถุทรงกลมดังกล่าว พ.ต.ท.สมภพ พุฒศรี นักวิทยาศาสตร์ สบ.3 กลุ่มงานตรวจเคมี
ฟิสิกส์ และชีววิทยา กองพิสูจน์หลักฐานได้ทำการตรวจพิสูจน์ ด้วยวิธีการตรวจทางกายภาพ ตรวจทางเคมีใช้
เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ใช้ไอออนสแกนในการตรวจหากลุ่มวัตถุระเบิดเบื้องต้นโดยใช้ เครื่อง FTIR,GC-MS,
XRF ได้ผลว่า ตรวจพบสารเคมีที่เป็นวัตถุระเบิดชนิดซีโฟร์ (C-4) ติดอยู่ที่เสื้อยืดสีเหลืองและเสื้อชั้นในสีครีม
ที่ส่งมาตรวจ และตรวจพบสารเคมีชนิด RDX ซึ่งเป็นสารประกอบวัตถุระเบิดติดอยู่ที่กางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน
ส่วนแก๊สน้ำตาทั้งชนิดยิง และชนิดขว้าง ที่ สตช.มีใช้ จะมี RDX เป็นส่วนประกอบเท่านั้น ไม่มีสารซีโฟร์
นอกจากนี้ วัตถุพยานที่ได้จากผู้บาดเจ็บรายอื่น ก็ตรวจพบเฉพาะสาร RDX เท่านั้น
https://sites.google.com/site/rungsira/kkk/luk-rabeid-ni-ka-mux-thex
------------------------------------------------------
แม่น้องโบว์ พ้นขีดอันตราย คาดอีก 3-4 วัน ไม่มีอาการแทรกซ้อนกลับบ้านได้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 ตุลาคม 2551 16:19 น.
แพทย์ ศิริราชเผย "วิชชุดา" แม่น้องโบว์ และผู้ได้รับบาดเจ็บที่รักษาตัวที่ ศิริราชฯ รวม 5 ราย พ้นขีดอันตรายแล้ว คาดไม่มีอาการแทรกซ้อน ภายใน 3-4 วัน กลับบ้านได้ ขณะที่รพ.จุฬาฯ มีคนไข้รักษารวม 5 ราย ย้ายมาจากรพ.พระมงกุฎฯ 2 ราย
วันที่ 11 ตุลาคม นพ.สนั่น วิสุทธิศักดิ์ชัย รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า ขณะนี้ยังเหลือผู้บาดเจ็บที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 5 ราย ซึ่งทั้งหมดเข้ารักษาตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ประกอบด้วยนายยูชุบ ไกรรมย์ อายุ 33 ปี มีเลือดออกที่ตาดำนางวิชชุดา ระดับปัญญาวุฒิ อายุ 56 ปี มารดา น.ส.อังคณา ที่เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บนิ้วเท้าซ้าย ขาด 2 นิ้ว มีสะเก็ดระเบิดตามตัว นายเมธี นราธนากร อายุ 61 ปี นายวิษณุศักดิ์ เที่ยมเศวต อายุ 46 ปี และนายณรงค์ กันชำนาญสุพรรณ ทั้ง 3 ราย บาดแผลลึกตามตัว
"ทุกรายอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่อยู่ระหว่างรอดูอาการ หากภายใน 3-4 วันนี้ ไม่มีอาการแทรกซ้อนก็สามารถกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้"นพ.สนั่นกล่าว
ด้าน รศ.นพ.ธีระพงศ์ เจริญวิทย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ฝ่ายบริหาร รักษาการผู้อำนวยการ รพ.จุฬาฯ และล่าสุดมีผู้บาดเจ็บมารักษาตัวที่ รพ.จุฬาลงกรณ์เพิ่มอีก 2 ราย คือ นายกฤตยวัทน์ รุณทิวา ถูกสะเก็ดระเบิดบนใบหน้า และมีแผลบวมเป็นหนอง ย้ายมาจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และนายอัฎฐพล ประเสริฐธนะชัย ได้รับบาดเจ็บจากการถูกวัตถุไม่ทราบชนิดกระแทกที่เบ้าตาซ้าย และเพิ่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเมื่อวานนี้( 10ต.ค.) ได้ให้การรักษาตามอาการ แต่ยังไม่ได้รับรายงานว่าผู้ป่วยทั้งหมดมีอาการเป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้น รวมทั้งหมดขณะนี้มีผู้บาดเจ็บรักษาตัวที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ 5 ราย
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9510000121006
-------------------------------------------------------
เปิดใจพ่อน้องโบว์ จะให้ผมเรียกร้องกับใครลูกผมเป็นผู้หญิง มีแต่มือเปล่า
เรา ประชาชนมือเปล่า ทำอะไรล่ะ มีแต่มือเปล่า มีอะไรไปสู้อะไรกับใคร และเป็นผู้หญิง เอาอะไรไปสู้กับเขามั้ย มีอะไรจะไปสู้บ้างหรือไม่ มีแต่มือเปล่าที่เดินอยู่
นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ บิดา ของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์ อายุ 28 ปี เรียนจบมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ คณะบริหารธุรกิจ ซึ่งมีบาดแผลฉกรรจ์ที่บริเวณสีข้างด้านซ้ายและทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิต ขณะถึงโรงพยาบาล ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเก็บตกจากเนชั่นในเช้าวันนี้ มีรายละเอียดคำต่อคำดังนี้
ทราบข่าว น้องโบว์ เสียชีวิตตอนกี่โมง
ประมาณทุ่มเศษ ๆ
ใครเป็นคนแจ้งให้ทราบ
คุณแม่ของเขา คุณแม่เขาขอรถจากที่พาแม่เขาไปส่งที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะคุณแม่ของเขาก็บาดเจ็บ
ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย เพราะตามข่าวบอกว่าคุณพ่อพาน้องโบว์ , น้องสาว และคุณแม่ ไปส่งที่ชุมนุม
ใช่ครับ ผมพาไปที่หลัง ทำเนียบรัฐบาล แล้วเค้าก็เดินไป เพราะปกติเขาก็อยู่ใน ทำเนียบรัฐบาลๆ และพอวันนี้(7 ต.ค.) เขาเกิดไป ผมก็นึกว่า เขาจะอยู่ในทำเนียบฯ เราก็ไม่ได้ไปห้ามปรามอะไรเขา ทีนี้เขานึกว่าไม่มีอะไร เขาก็เดินไปที่ลานพระบรมรูปทรงม้า
คุณแม่เขาเล่าให้ฟังว่าโดน แก๊สน้ำตา แล้วคุณแม่ก็ลงไปทับลูก คุณแม่ก็คิดว่า ลูกไม่เป็นอะไรก็เอาตัวป้องกันไว้ ปรากฎว่า แม่เขาจับไปนึกว่ามือหลุดไป แต่จริงๆ มันไม่ใช่ มันโดน สะเก็ดระเบิด หรือระเบิด ด้านซ้ายของสีข้าง เนื้อมันแหวะไปเลย
มันคือสะเก็ดจากแก๊สน้ำตาหรือเปล่า
มันไม่ใช่ แก๊สน้ำตา ๆ เพราะลูกสาวคนเล็กของผมก็โดน สะเก็ดระเบิด โดนที่มือและขาผมถามหน่อยว่า ถ้าเป็น สะเก็ดแก๊สน้ำตา มันจะเป็นถึงขนาดนั้นหรือ ผมขอถามหน่อย ๆ มันจะมี ระเบิด ถึงโดนสีข้างคนให้ถึงกับตายได้เลยหรือ มันเป็นอย่างนั้นเลยหรือครับ ผมไปดูศพของลูกสาวเองเลย ผมบอกว่า ผมขอดูหน่อย มันเป็นอย่างงัย โดนสีข้างด้านซ้าย ใกล้หัวใจเหมือนกัน แผลใหญ่พอสมควร
พอเกิดเหตุคุณแม่ก็ส่งน้องโบว์ไปที่โรงพยาบาลเลยหรือเปล่า
คุณแม่ไม่ได้ส่ง คุณแม่ไปอีกทางหนึ่ง น้องโบว์ไปอีกทางหนึ่ง คุณแม่เขาไปที่ศิริราช น้องโบว์ไปที่โรงพยาบาลรามา ผมตามหาตั้งเป็นชั่วโมงๆ น้องสาวไปที่โรงพยาบาลราชวิถี
น้องโบว์ไปถึงโรงพยาบาลยังมีสติอยู่หรือไม่
คงจะเสียชีวิตก่อนแล้ว ผมก็ไม่ทราบตรงนี้ เพราะโรงพยาบาลไม่ได้แจ้งผมตรงนี้เลย
ตอนที่คุณจินดาไปส่งภรรยาและลูก ตอนนั้นกี่โมง
ประมาณ 6 โมงกว่าๆ นิดหน่อย เขาคงคิดว่าไม่มีอะไรแล้ว เขาถึงเดินไปที่หน้า บช.น.
ปกติแล้ว 3 แม่ลูก เขาจะไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ อยู่แล้วหรือเปล่า
ก็มีไปด้วย แม่เขาก็ไปเมื่อวานนี้ (7 ต.ค.) แม่เขาไปตอนเช้าประมาณตี 3 แล้วเขาก็กลับมาบ้านแล้ว กลับมาบ้านช่วงตอนเย็นจะมาอาบน้ำ ผมก็บอกว่าถ้าจะไปก็ไปอาบน้ำก่อน เขาบอกว่าไม่เอา ลูกสาวอาบน้ำแล้วก็เลยไป เราก็คิดว่าเขาอยู่ในทำเนียบฯ มันคงไม่มีอะไรหรอก ทีนี้เขาเดินออกไปข้างนอกมันเลยมีปัญหาขึ้นมาทันที ปกติผมก็ไปร่วม ชุมนุม
คุณแม่เขาโทรมาจากโรงพยาบาล บอกว่าไม่รู้ว่าลูกเขาเสียหรือเปล่า เพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าลูกเขาเสียหรือเปล่า ตอนที่เขาโทรหาผม ผมก็โทรติดต่อเขาไม่ได้แล้ว ผมก็ตามหาว่าลูกผมอยู่ที่ไหน ผมจึงรู้ว่าลูกผมเสีย และผมต้องมาตามหาแม่เขาอีกไปอยู่ที่ โรงพยาบาลศิริราช อาการของน้องสาว เขายังเดินได้ มีแผลเย็บอยู่ ที่มือกับที่ขา คุณแม่มีบาดแผลหัวนิ้วโป้งเท้าแตกร้าว และขาหลังด้านซ้าย ขณะนี้ทั้งน้องสาวและคุณแม่ยังอยู่ที่โรงพยาบาล
ทราบข่าวว่าทางพันธมิตรฯ เขาจะขออนุญาติคุณจินดานำศพของลูกสาวไปรดน้ำศพในทำเนียบฯ
ผมว่าผมไม่เอาดีกว่า ผมไม่สบายใจ จะให้ลูกไปวัดเลย สงสารลูก ไม่เอาดีกว่า
แสดงว่าตอนแรกพันธมิตรฯ ติดต่อมา
ติดต่อครับ เขาก็ขอเป็นเจ้าภาพทุกอย่าง แต่ผมตัดสินใจทีหลังว่า ไม่เอาดีกว่า เพราะเขาก็ยังยุ่งๆ กับเรื่องพวกนี้อยู่ ไม่อยากรบกวนเขา เขาก็ช่วยทุกอย่างๆ แต่เราเห็นว่าเขากำลังยุ่งๆ อยู่ ผมบอกว่า ไม่เอาดีกว่า รบกวนเขา เราจัดการของเราดีกว่า
อยากจะเรียกร้องความรับผิดชอบจากใครหรือเปล่า
แล้วจะให้เรียกร้องกับใครละครับ ใครเป็นผู้ทำล่ะครับๆ คุณก็คิดดูว่าใครเป็นผู้ทำ ของเราประชาชนมือเปล่า ทำอะไรล่ะ มีแต่มือเปล่า มีอะไรไปสู้อะไรกับใคร และเป็นผู้หญิง เอาอะไรไปสู้กับเขามั้ย มีอะไรจะไปสู้บ้างหรือไม่ มีแต่มือเปล่าที่เดินอยู่ ทำอะไรได้บ้าง ผมมีลูกสามคน และน้องโบว์ตอนนี้อายุประมาณ 28 เขาทำงานแล้ว
ปกติครอบครัวของคุณจินดามาร่วมชุมนุมที่ทำเนียบฯนานหรือยัง
ก็มีไปเรื่อยๆ
เท่าที่ติดตามข่าวรู้สึกหรือไม่ว่า สถานการณ์มันค่อนข้างแรง
อันนั้นมันช่วงเช้า เราก็ไม่คิดว่าช่วงเย็นๆ จะมียิงอะไรกันอีกใช่หรือไม่ ช่วงเช้าๆ เขาก็ไปหน้าทำเนียบฯ ไปหน้ารัฐสภา เราก็นึกว่าเรื่องมันจบแล้ว เห็นเขาบอกเขาสลายออกมาแล้ว หมายถึงว่าเขาเคลื่อนพลออกไปจาก รัฐสภา แล้ว แล้วทำไมยังมายิงกันอีก
ขอบคุณเนื้อหาข่าวคุณภาพจาก กรุงเทพธุรกิจ
http://www.fwdder.com/topic/71930
-------------------------------------------------------
พ่อ "น้องโบว์" เหยื่อตำรวจเลวเปิดใจ ลูกสาวโดนสะเก็ดระเบิดทั้งคู่ คนหนึ่งตายอีกคนบาดเจ็บ ภรรยายังหาไม่พบ เผยน้องโบว์เรียนจบบริหารธุรกิจ เอแบค ช่วยกิจการของครอบครัว อัดตำรวจยิงประชาชนมือเปล่า ถามหาคนรับผิดชอบ
นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ บิดาของนางสาวอังขณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์ ผู้เสียชีวิต ได้เดินทางมารับศพที่รพ.รามาธิบดี เปิดเผยว่า ขับรถมาส่งน้องโบว์พร้อมน้องสาว และภรรยา (นางวิชุดา ระดับปัญญาวุฒิ) ที่บริเวณด้านหลังของทำเนียบรัฐบาล ด้านคลองผดุงกรุงเกษม เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. จากนั้นก็ขับรถกลับบ้าน และได้รับการติดต่อจากน้องโบว์ครั้งสุดท้ายเมื่อเวลา 18.30 น. จนกระทั่งมาทราบข่าวว่าลูกสาวเสียชีวิต โดยระหว่างที่ติดต่อลูกสาวไม่ได้ ก็คิดว่าอาจจะได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเสียชีวิต ทราบจากน.ส.สุภาพรน้องสาวของน้องโบว์ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด มีแผลบริเวณแขน ขา และคางเช่นกัน ทราบว่าน้องโบว์ถูกสะเก็ดระเบิด เข้าด้านซ้ายของลำตัว ระหว่างที่เดินอยู่แถวลานพระบรมรูปทรงม้า
นายจินดากล่าวต่ออีกว่า น้องโบว์เรียนจบจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ คณะบริหารธุรกิจ ทำธุรกิจส่วนตัวกับครอบครัว โดยในคืนนี้ได้รับแจ้งจากแพทย์ว่ายังไม่สามารถนำร่างของน้องโบว์ออกจากร พ.ได้เนื่องจากต้องรอการชันสูตรพลิกศพก่อน ส่วนพิธีบำเพ็ญกุศลตามประเพณีนั้น ขณะนี้ยังคิดอะไรไม่ออก
ล่าสุด 21.50 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจินดาพบเบาะแสของนางวิชชุดาผู้เป็นภรรยาแล้ว ปรากฎว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส และกำลังรับการผ่าตัดอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช
"ถามผมว่าจะไปเรียกร้องอะไรกับใคร แล้วใครจะมารับผิดชอบ ตำรวจยิงประชาชนมือเปล่าแบบนี้ ข่าวก็ไม่มีออก ไม่มีฟรีทีวีช่องไหนออกอากาศ แล้วผมจะเรียกร้องอะไร ไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนเข้ามา มันก็โกงกินด้วยกันทั้งหมด"
ด้านนายแว่น พันธมิตรจากจังหวัดลพบุรี ซึ่งถูกส่งตัวมารักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาลรามาธิบดีในช่วงเช้า โดยโดนระเบิดที่มือ จนต้องตัดมือขวาทิ้ง กำลังรอออกจากรพ.ในช่วงค่ำวันนี้ เปิดเผยว่ามาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรที่สะพานมัฆวานมาโดยตลอด
สำหรับครั้งนี้เพิ่งเดินทางมาถึงจังหวัดลพบุรีเมื่อวานนี้ และได้ออกไปชุมนุมที่หน้ารัฐสภาเมื่อเช้า ระหว่างที่ชุมนุมอยู่นั้น ได้มีแท่งระเบิดสีเขียวตกลงมาข้างๆ จึงใช้มือปัดออกไป ทำให้มือถูกแรงระเบิดจนแหลก ซึ่งขณะนั้นก็มีสติ หลังจากออกจากรพ.รามาธิบดี จะเดินทางไปทำเนียบเพื่อไปให้กำลังใจพี่น้องที่นั้น จากนั้นจึงจะเดินทางไปรักษาตัวต่อที่รพ.จ.ลพบุรี
สำหรับจิตใจของตนยังเข้มแข็งดีอยู่ และฝากบอกรัฐบาลว่า ไม่ต้องมาช่วยเหลืออะไร ไม่ได้อยากได้อะไรจากรัฐบาลนี้ทั้งสิ้น เพราะหากรัฐบาลมีน้ำใจ ก็คงไม่ทำเช่นนี้กับประชาชน
http://www.stock2morrow.com/archive/index.php/t-820.html
-------------------------------------------------------
ยังไม่เห็นแม้นเงาของผู้ฆ่า..
Hot News, Monday to Sunday, 3.30 am - 24.00 pm.
อีกครั้งพบกับนักรบแนวหน้าของการเมืองภาคประชาชน ที่อยู่ในหัวใจของคนไทยทุกๆคนตลอดไป-ย้ำถึงคำถามว่า..ใครมาทำร้ายเขากันแน่?..จากวันนั้นถึงวันนี้ วีรชนคนกล้าคนแรกเป็นสตรี ชื่อ อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ (น้องโบว์ )และคนที่สองชื่อพ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี( สารวัตรจ๊าบ )-ทั้งสองวีรชนคนกล้าที่สูญเสียชีวิตในวันที่ 7 ตุลาคาคม๒๕๕๑ เพราะความป่าเถื่อนของรัฐบาลหน้าเนื้อใจเสือ นั่นคือ รัฐบาลหุ่นเชิด-ขายชาติ รัฐบาลแฟมิลี่ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ชื่อ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งมีหลายๆ คนเรียกอีกที่ว่า -สมชาย วงษ์ชินวัตร -
การใช้กำลังอาวุธปราบปราม การชุมนุมของประชาชนอย่างรุนแรง ป่าเถื่อน ใจดำอำมหิตโหดร้าย ฆ่าคนบริสุทธิ์ นั้นคือการกระทำที่ไม่ใช้มนุษย์-จากการกระทำทั้งหมด ถามหาความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบนั่นคือ สมชาย วงศ์สัวสดิ์ และคณะรัฐบาลหุ่นเชิด ต้องลาออกทั้งคณะ นั้นยังไม่พอ ตระกูล วงษ์ชินวัตร จะต้องไม่มีสิทธิ์เล่นการเมืองอีกต่อไป..ไปให้พ้นจากเมืองไทย
ไม่มีรัฐบาลที่ไหนในโลกใบนี้ ที่ไม่มีความรับผิดชอบ การทำงานอย่างอื่นไม่ต้องไปทำแล้ว..ไม่ต้องบริหารบ้านเมืองทั้งหมดอีกต่อไปแล้ว..การกระทำทั้งหมดในเหตุการณ์การสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ๒๕๕๑ นั้นชัดเจน เป็นนักฆ่า อำมหิตโหดมาก-ทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลป่าเถื่อนที่สุด ส่งผลชัดเจนไม่ต้องบริหารบ้านเมืองไทยอีกต่อไปแล้ว
ขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุดอีกครั้งมา ณ.ที่นี่..ถึงครอบครัวผู้ที่เสียชีวิตและทั้งสองวีรชนคนกล้า จะอยู่ในหัวใจของประชาชนชาวไทยทุกคนตลอดไป…นี่คือการสรุปเนื้อหาบางส่วน ของบรรยายกาศทั้งหมดอีกครั้ง จากใจถึงใจ..ที่ทุกๆคนไม่มีวันลืม…
สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ไปในการพระราชทานเพลิงศพ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ-ทรงชม น้องโบว์ เป็นเด็กดี ช่วยชาติ ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถพ้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงทอดผ้าไตร ในพิธีพระราชทานเพลิงศพ น้องโบว์ อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ พร้อมทรงโปรดฯ ให้ครอบครัวน้องโบว์เข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิด ก่อนเสด็จกลับ ทรงมีพระราชปฏิสันถาร กับสนธิ ลิ้มทองกุล ด้วยสีพระพักตร์ยิ้มแย้ม "พ่อน้องโบว์" เผยทรงชม ลูกสาวเป็นเด็กดี ช่วยชาติช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์
โดยเมื่อเวลา ๑๖.๑๗ น.ของวันที่ ๑๓ ต.ค.๒๕๕๑ที่ผ่านมาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อักครราชกุมารี ในการพระราชทานเพลิงศพ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ การสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ ๗ ต.ค.๒๕๕๑ ที่ผ่านมาโดยมี นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ บิดา น.ส.ดารณีและ น.ส.สุภาภรณ์ น้องสาวของ น.ส.อังคณา ทั้งสองคน รับเสด็จ
พิธีพระราชทานเพลิงศพจัดขึ้นที่วัดศรีประวัติ ถนนริมคลองมหาสวัสดิ์ ต.ปลายบาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี มีกลุ่มพันธมิตรและประชาชนจำนวนมากมาร่วมงาน โดยมีการตั้งแถวและถือธงชาติไทยรอรับเสด็จจนเต็มสองฝั่งถนน และเมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาถึง ประชาชนที่มารอรับเสด็จ ต่างพร้อมใจเปล่งเสียง ทรงพระเจริญ อย่างกึกก้อง
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงทอดผ้าไตรและทรงวางดอกไม้จันทน์พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุศาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินมายังพลับพลาที่ประทับ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ครอบครัว ระดับปัญญาวุฒิ เข้าเฝ้าฯ อย่างใกล้ชิด โดนมีพระราชปฏิสันถารกับครอบครัวของ น.ส.อังคณาอยู่นาน ๒๐ นาที
การเสด็จฯ มาพระราชทานเพลิงศพในครั้งนี้- เพื่อเป็นการพระราชทานน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ซึ่งตลอดมาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระเมตตาต่อพสกนิกรอยู่แล้ว ดังเห็นได้จากกรณีครูจูหลิง เป็นต้น และในกรณี น.ส.อังคณา หรือน้องโบว์ นั้น มีความจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์มาโดยตลอด สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงพระราชทานน้ำพระราชหฤทัยเป็นครั้งสุดท้ายแก่ น.ส.อังคณาด้วยการเสด็จฯ มาพระราชทานเพลิงศพในครั้งนี้
นอกจากกลุ่มประชาชนที่มาร่วมพิธีแล้วยังมีนายทหาร นายตำรวจระดับสูง อาทิ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร
ส่วนคณะขององคมนตรีที่มาเผารับเสด็จประกอบด้วย พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ น.พ.เกษม วัฒนชัย นายพลากร สุวรรณรัฐ นอกจากนี้ นายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ ห้วหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม.และทีม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายกรณ์ จาติกวณิช นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.สงขลาและกลุ่ม ส.ว. อาทิ น.ส.รสนา โตสิตระกูล คุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง.รวมไปถึงแกน นำและผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ ประกอบไปด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายสุริยะใส กตะศิลา
สำหรับบรรยากาศโดยทั่วไป แกนนำพันธมิตรประชาชนธิปไตย ได้เดินมาถึง ยกเว้นท่าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ต้องอยู่เฝ้าทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งประชาชนในเครือข่ายพันธมิตรฯ นำโดย นายศรัณยู วงศ์กระจ่าง และ จอย ศิริลักษณ์ ผองโชค ได้เดินทางมาร่วมงานอย่างเนืองแน่น จนล้นไปถึงปากซอยเข้าวัดศรีประวัติ ต่อมาเวลาประมาณ ๑๖.๔๐ น. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ได้เสด็จกลับ ได้เสด็จฯกลับ โดยมีแกนนำพันธมิตรฯ เขาแถวเฝ้ารอส่งเสด็จฯระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินผ่าน สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชปฏิสันถาร กับนายสนธิล้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯอยู่ชั่วครู่ จากนั้นได้เสด็จฯกลับ
หลังจากนั้นผบ.เหล่าทัพได้ทยอยเดินทางกลับ โดยระหว่างที่พล.อ.อนุพงษ์ เดินออกมาประชาชนได้ชูมือตบขึ้นมาเขย่าไล่พร้อมตะโกนถามว่า ทหารยังอยู่ข้างประชาชนหรือเปล่า เรารอคุณอยู่นะ ยังทนไหวอีกเหรอ ทั้งต้องเห็นประชาชนเป็นอย่างนี้ -นอกจากนี้เมื่อขบวนรถของพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำลังเคลื่อนตัวออกนอกวัดประชาชนจำนวนมากซึ่งเข้าใจผิดว่าตำรวจที่อยู่ในรถคือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจ ได้ชูมือตบ ขึ้นมาขับไล่พร้อมตะโกนว่า พัชรวาท ไอ้มาตกรตำรวจฆ่าประชาชนออกไป
ส่วนทางด้าน นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ บิดานางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ น้องโบว์ เปิดเผยว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับสั่งและชมว่า ลูกสาวเป็นเด็กดี ช่วยชาติ ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตนได้กราบทูลฯกลับไปว่ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูง ที่ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ มานอกจากนี้ท่านยังตรัสอีกว่า เป็นห่วงพันธมิตรทุกคน ไว้จะฝากดอกไม้ไปเยี่ยมพันธมิตร
นายจินดา กล่าวอีกว่า พระองค์ท่านยังทรงรับสั่งว่า ขอให้กำลังใจกับครอบครัวและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับทราบแล้วและเงินที่เป็นค่ารักษา ในหลวงเป็นผู้พระราชทานให้ ขณะเดียวกัน บรรยายกาศภายในวัดมีการแจกหนังสือไว้อาลัย ๓ เล่ม ได้แก่ ดอกไม้พันธมิตร ซึ่งเป็นการรวมบทความและบทกวีจากศิลปินหลายคน ที่เขียนขึ้นเพื่อไว้อาลัยให้แก่น้องโบว์ และหนังสือ ชัยชนะประชาชน เป็นการรวบรวมความสำเร็จของพันธมิตรจากการชุมนุมในครั้งนี้ และในเวลา ๑๗.๓๐ น. วันเดียวกัน นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ พร้อมลูกสาวคือน.ส.ดารณี น.ส.สุภาภรณ์และนายกฤษณะ วนิชชีวะ เพื่อนสนิทของ น.ส.อังคณา เดินทางโดยรถตู้มาที่วัดสุทธิวาสวรารามหรือ วัดช่องลม ตำบลท่าฉลอม อ.เมืองสมุทรสาคร
มีกลุ่มพันธมิตรฯ ตำบลท่าฉลอมและกลุ่มพันธมิตรฯสมุทรสาครประมาณ ๑๐๐ คนมารอรับลงเรือที่หน้าวัดแล่นออกสู่ปากอ่าวห่างออกไปประมาณ ๑ ชั่วโมง น.ส.ดารณี กับน.ส.สุภาภรณ์ น้องของ น.ส.อังคณาได้นำอัฐิของพี่สาวลอยลงน้ำ พร้อมกับโปรยดอกไม้ลงทะเลเป็นการไว้อาลัยครั้งสุดท้ายท่ามกลางความโศกเสร้า เสียใจเสร็จจึงเดินทางกลับ
สรุปเนื้อหาบางส่วนของบรรยายกาศอีกครั้งด้าน พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี (สารวัตร จ๊าบ) เมื่อ ๑๔ ต.ค ๒๕๕๑ ณ.วัดโสมนัสฯ กรุงเทพฯ-พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ได้แสดงธรรม มีดังนี้สารวัตรเมธี กำลังทำบุญ ทำกุศลทำสิ่งที่มีคุณค่า ต่อมวลมนุษยชาติ ต่อคนในประเทศ เขาเสียสละ…อย่างสารวัตรจ๊าบ..นี่ทำดี..สำนึกดี ได้กระทำกรรมดี รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว เป็นคนมีความสามารถ มีความรู้ เรียนเก่ง ทำงานก็ดี แต่ไปขัดกับคนไม่ดี จึงเห็นว่าทางนี้ไม่เจริญ ไม่รุ่งทำงานไม่ได้ ลำบาก ก็จึงเลิก
คนเราจะทำสัมมาอาชีพใดๆก็ตาม ก็จะต้องทำให้เกิดกุศล สารวัตรจ๊าบมีภูมิปัญญา จึงลาออกมาทำงานส่วนตัวอิสระ ที่ไม่ต้องมีพลังกดดัน หรือมีพลังมาบังคับ พยายามพากเพียรทำสิ่งที่ดีมาตลอดชีวิต อายุแค่ไม่ถึง ๔๐ ดีก็สิ้นชีวิต แต่ระยะเวลาที่ พ.ต.ท.เมธี ได้กระทำไปนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่ดี เพราะงั้นบางคนมองอย่างตื้นๆง่ายๆ ว่า สารวัตรจ๊าบถูกฆ่าตาย เป็นการตายโหง ตายไม่ดีแน่นอนเขาไม่อยากตายอย่างนี้ แต่คนที่ทำให้เขาตายนั่นต่างหากทำไม่ดี ไม่ใช่สารวัตรจ๊าบ การทำไม่ดี ทำบาป คนนั้นได้บาปไปแต่สารวัตรจ๊าบกำลังทำบุญ ทำกุศล ทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อมวลมนุษยชาติ ทำกุศลต่อคนในประเทศ เขาเสียสละ
เห็นได้ชัดเลยว่าสร้างกุศลมีภูมิปัญญาเลือกงานที่ตนเอง เข้ามาร่วมชุมนุม ตนเองเป็น พ.ต.ท.มาทำงานเหมือนพลทหาร พลตำรวจ สิบเอก สิบตรี สิบโท ไม่ได้อวดตัวอวดตน ไม่ได้เบ่งอะไร ไม่มีคนรู้จักด้วยซ้ำไป หลายคนเข้าใจผิดด้วยว่าไอ้หมอนี่มาจากไหน รูปร่างหน้าตา บุคคลิกต่างๆ ไม่ได้แสดงท่าทางเบ่งว่าฉันเป็นนายตำรวจเก่านะ นี่เป็นคุณสมบัติอันดีงามของ พ.ต.ท.เมธีและทำงานอย่างเสียสละ ไม่มีรายได้ เบี้ยเลี้ยง แต่ทำอย่างเต็มกำลัง แม้ลำบากยากเย็น ต่อสู้ จนในที่สุด ไปขัดแย้งโดนหมายหัว สุดท้ายก็สำเร็จตามที่ฝ่ายโน้นต้องการที่จะจัดการและใส่ร้ายว่าหอบระเบิดมาเองต่างๆ นานาเป็นต้น
ซึ่งเรื่องนี้ต้องรอดูผลการพิสูจน์ว่า พ.ต.ท.เมธี หอบระเบิดมาจริงหรือเปล่า หรือใครมาทำร้ายเขากันแน่?… แต่การตายของ พ.ต.ท.เมธี เป็นกุศล เป็นบุญที่เขามีจิตวิญญาณ มีน้ำใจ มีความตั้งใจ เจตนาที่จะเสียสละสร้างสรรอย่างแท้จริง และได้ลงมือลงแรงทุมเททั้งจิตวิญญาณ เรี่ยวแรง ความสามารถทั้งหมดที่มี จนวินาทีสุดท้าย เขาได้ตายในสนามรบ เพราะงั้นต้องเชิญชูยกย่องจริงๆแล้วเขาไม่ได้ทำงานนี้เป็นงานปลายมือก่อนตายแล้วก็โก้ งานที่ทำมาก่อนนี้ไม่ได้ดีอย่างนี้ ไม่ใช่ พ.ต.ท.เมธีทำงานดีเพื่อมนุษยชาติ ต่อสู้ตั้งมูลนิธิ สมาคม ตั้งก๊ก ตั้งกลุ่ม ทำงานออกมา
แม้แต่สมัยที่รับราชการตำรวจอยู่ก็ตามใครที่รู้จักประวัติของเขา จะรู้ว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต ไม่ได้โกง ไม่ได้ทุจริต เพราะฉะนั้น แม้จะอายุไม่ถึง ๔๐ แต่เขาได้หอบเอาบุญ หอบทรัพย์อันประเสริฐติดตัวไป อาตมาไม่สามารถตีเป็นตัวเลขหรือเป็นภาษาคนได้ แต่เขาได้หอบเอาบุญกุศลไปยิ่งกว่าคนที่มีอายุยืนยาวถึง ๖๐ บ้าง ๘๐ บ้าง ที่ก่อนตายก่อกรรมสร้างกุศลบ้าง สร้างอกุศลบ้าง บวกลบคูณหารแล้ว อาตมาว่าแม้จะมีอายุยืนยาว คนส่วนมาก็ไม่ได้บุญ ไม่ได้กุศล ไม่ได้สิ่งที่ดีงามเท่ากับสารวัตรเมธีนี้ที่มีอายุแค่ ๔๐ปี ที่ได้ประกอบกรรมกุศลอันยิ่งใหญ่ก่อนตาย
ถ้าผู้ที่มีตาดีรู้จักกรรมที่แท้จริง จะมองออก นี่เป็นสัจจะที่สำคัญ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงอยากจะเตือนสติผู้ที่ได้ฟังธรรมฟังเทศน์วันนี้ว่า ชีวิตเกิดมาแล้วก็ตายๆ ทุกคน ต้องตาย เพราะฉะนั้นอย่าไปเห็นแก่ลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุขที่เป็นกามเป็นอัตตาเลย..
บรรยากาศด้านงานพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี-สำหรับบรรยากาศงานพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี หรือสารวัตรจ๊าบ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม๒๕๕๑ ที่เมรุวัดโสมนัสวรวิหาร ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ ๑๔ ตุลาคม เป็นต้นมา ได้มีเหล่าบรรดาพันธมิตรฯ นับหมื่นคน เดินทางมาร่วมไว้อาลัยกันแน่นขนัดเต็มพื้นที่วัดโดยก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้น ได้มีสมณะโพธิรักษ์ แห่งวัดพุทธสถานสันติอโศก แสดงปาฐกถา..
จากนั้นตัวแทนพันธมิตรฯอ่านคำไว้อาลัย ก่อนที่วงดนตรีกรรมาชน บรรเลงเพลงเทียนแห่งธรรม มีแกนนำพันธมิตรฯทั้ง ๕ พร้อมด้วยแกนนำ พันธมิตรฯรุ่น ๒ นำโดยนายศิริชัย ไม้งาม รวมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำทีม ส.ส.ประชาธิปัตย์ อาทินาย กรณ์ จาติกวณิชย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ พล.ต.อ.ประทิน สันติปะภพ อดีต ส.ว. นายการุญ ใสงามอดีต ส.ว.นายไชยวัฒน์ สินธุวงศ์ นายเทิดภูมิ ใจดี มาร่วมพิธี โดยมี นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมาตรี เป็นประธานในพิธี
จนถึงกระทั่งเวลา ๑๕.๓๕ น.ภายหลังจากที่ส.ส.เพ็ญพิมล ใสงาม ภรรยาได้อ่านคำไว้อาลัย พ.ต.ท.เมธี สามีเสร็จสิ้น กลุ่มพันธมิตรฯที่มาร่วมงานนับหมื่นคนได้นำมือตบมาตบรัวกันอย่างพร้อมเพรียง จนเสียงดังสนั่นไปทั่ววัด โดยผู้มาร่วมงานศพได้รับแจกหนังสือตำรวจพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นการรวบรวมประวัติของ พ.ต.ท.เมธีพร้อมด้วยบทกวีและคำไว้อาลัย รูปถ่ายของสารวัตรจ๊าบ แจกให้ผู้ที่มาร่วมไว้อาลัยอีกด้วย น.ส.เพ็ญพิมลเปิดเผยว่า รู้สึกซาบซึ้งพระมหากรุณาธิคุณที่ได้พระราชทานเพลิง ให้กับสามี -ภาพสุดท้ายที่ประทับใจในตัวสามีคือ ภาพที่เป็นหัวหน้าการ์ดคอยดูแลไม่ให้พันธมิตรฯประทะกับเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ตนยังยืนยัน แม้จะสูญเสียสามีไปอย่างไม่มีวันกลับ ก็จะมาชุมนุมกับพันธฯต่อไป
ทั้งนี้ ภายในงานเต็มไปด้วยความโศกเศร้า พันธมิตรฯ จำนวนมากได้ความโศกเศร้า พันธมิตรฯ จำนวนมากได้มาร่วมงานแน่นขนัด ทำให้พื้นที่เมรุฌาปนกิจศพเล็กลงถนัดตา โดยประชาชนทั้งนั่งและยืนเต็มพื้นที่ นอกจากนี้ นายประทิป ขจัดพาลศิลปินเพื่อชีวิต ได้ร้องเพลง ซึ่งแต่งขึ้นเฉพาะพระราชทานเพลิงศพ สารวัตรจ๊าบ รวมไปถึงมีการขับร้องเพลง เทียนแห่งธรรม โดยมีพันธมิตรฯ ที่ไปร่วมงานได้นำมือตบมาตบเป็นจังหวะตามและยังมีการอ่านกลอนที่แต่งโดยบุตรของพ.ต.ท.เมธีด้วย ทั้งนี้การ์ดพันธมิตรฯ ได้บวชหน้าศพให้สารวัตรจ๊าบจำนวน ๑๙ รูปด้วย -จากข่าวอโศกปักษ์แรก-หลัง ตุลาคม ๒๕๕๑-
http://www.bunniyom.com/two_hero.html
-------------------------------------------------------
พธม แฉหมดเปลือกระเบิดปิงปอง
วันอาทิตย์, ตุลาคม 12, 2008
การ์ดพันธมิตรแฉหมดเปลือก ระเบิดปิงปองคือสาเหตุที่ทำให้แขนขาขาด
ทีมข่าวไทยอีนิวส์
12 ตุลาคม 2551
แกนนำสั่งให้ฝากระเบิดปิงปองไว้กับผู้ชุมนุม วางแผนเตรียมไว้ใช้เพื่อทะลวงประตูทำเนียบบุกจับตัวคณะรัฐบาล แต่เสียแผนซะก่อนเพราะตำรวจใช้แก๊สน้ำตา ทำให้ผู้ชุมนุมแตกฮือและมองไม่เห็น ระเบิดจึงระเบิดฉีกร่างและอวัยวะของพธม.โดยไม่ตั้งใจ วอนแกนนำ อย่าใช้ระเบิดอีกเพราะอันตรายมาก
การ์ดอาสาพันธมิตรฯ ใช้นามแฝงว่า "ตาลโตน" เปิดเผยผ่านเว็บไซต์พันทิปหมดเปลือก ถึงสาเหตุของระเบิดที่เกิดขึ้นขณะที่ตำรวจกำลังสลายการชุมนุมด้วยการยิงแก๊ส น้ำตาเมื่อวันที่ 7 ต.ค. โดยกล่าวว่าตนเองเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ และได้ไปร่วมชุมนุมในวันที่ 7 ต.ค.ด้วย
"ผมเจ้าของกระทู้ ยอมรับว่าเป็นผู้หนึ่งที่เข้าร่วมกับ พธม.และได้ไปบุกกับเขาในวันที่ 7 แต่อยู่ด้านหลัง ส่วนเพื่อนที่ไปด้วยอยู่ด้านหน้า ตอนนี้นอนอยู่บ้าน หลังออกจากโรงพยาบาลจุฬาฯเมื่อวันศุกร์ เพราะวิ่งหนีแก๊สน้ำตาตำรวจ และวิ่งไปเตะระเบิดปิงปองที่การ์ดทำหล่นไว้ที่พื้น นิ้วเท้าขาดไป 3 นิ้ว ขนาดใส่รองเท้าหนังหุ้มข้อ"
"เขาเล่าให้ฟังว่าได้เห็นการ์ดอาสาใส่ ไว้ในกระเป๋าคาดเอว ตอนบุกปะทะตำรวจก็ควักขึ้นมา แต่พอโดนแก๊สน้ำตา มันแสบตามาก เพราะไม่มีแว่นตา ช่วงนั้นชุลมุน บางคนก็ปล่อยลงพื้น บางคนก็ขว้างไปแบบไม่รู้ทิศทาง บางลูกหล่นโดนเท้ากันเอง บางลูกไม่ระเบิดก็มีคนมาเหยียบ เท้าแหลก มีแต่เสียงระเบิดและเสียงร้องระงม เขาได้รับการช่วยเหลือ มารู้ทีหลังว่ามีน้องผู้หญิงคนหนึ่งล้มทับระเบิดในกระเป๋าหนีบ เขาเสียใจมาก แต่มีคนของ พธม.มาเยี่ยมและสัญญาว่าจะให้เงินช่วยเหลือ 5 พันบาท และขอร้องแกมบังคับไม่ให้เล่าเหตุการณ์ให้ใครฟัง มิฉะนั้นเดือดร้อนทั้งครอบครัวแน่ พร้อมทั้งจดชื่อที่อยู่และขอเสื้อผ้าที่สวมวันเกิดเหตุไปหมด"
" เพื่อนมันกลัวมากเลยขอออกจากโรงบาลก่อนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับเงิน 5 พัน โทรบอกให้ผมเอาเสื้อผ้าไปให้มัน เรามาปรึกษากันเมื่อเย็น เพราะมีเพื่อนอีกกลุ่มในกองทัพธรรมเรื่องแจกระเบิดรุ่นใหม่ในวันที่ 13 เลยเป็นห่วงเพื่อนๆ ที่ยังอยู่ในทำเนียบ และเราสองคนสัญญาว่า เราจะไม่เข้าร่วมกับ พธม. PAD อีกแล้ว เพราะเข็ดกับเหตุการณ์วันที่ 7 จริงๆ นึกไม่ถึงว่าอานุภาพจะร้ายแรงขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าแค่เสียงดังแบบประทัด ที่ไหนได้ รุนแรงมากๆครับ อยากฝากให้เพื่อนๆบอกต่อด้วยครับ อย่าใกล้วัตถุกลมสีดำมัน อย่านำใส่กระเป๋าเด็ดขาด"
เตือนเพื่อนผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ อย่ารับฝากอะไรจากการ์ดโดยเด็ดขาด
คุณ ตาลโตน ยังได้กล่าวเตือนต่ออีกว่า อย่ารับฝากอะไรจากใครในการเข้าร่วมชุมนุม พร้อมเปิดเผยยุทธวิธีของพันธมิตรฯหมดเปลือก
" ขอฝากต่อจากกระทู้ข้างล่างที่โพสต์เมื่อตอนดึก เช้านี้คงมี Y.Pad มาอ่านกันก็เตือนอีกครั้ง อย่ารับฝากวัตถุใดๆ จากการ์ดอาสา ทางที่ดีอย่าอยู้ด้านหน้า เช้านี้จะขอเล่าเหตุการณ์ที่ประสพมาเอง จริงๆแล้วไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์วันที่ 7 แต่เป็นเพราะอุบัติเหตุด้วยความไม่ตั้งใจ จุดหมายที่วางไว้คือให้ผู้หญิง คนแก่ และเด็กเป็นแถวหน้า การ์ดบางส่วนปะปนประกบไป เรียกไม้ 1+3 การ์ดอาสาตามหลังเรียกไม้ 2 มีป้ายฟ้าและผ้าพันคอเหลือง พวกนี้จะมีระเบิดปิงปองใส่กระเป๋าคาดเอวและถุงย่ามหูสั้นคล้องไหล่หนีบ รักแร้ใส่ระเบิดปิงปอง"
"การ์ดไม้ 3 คือพวกผ้าพันคอขาว มีเหล็กแป๊ป ไม้คมแฝก ให้ทั้งหมดนั่งรอหน้ารัฐสภารอให้คณะรัฐบาลเข้าสภาจนหมดจึงเคลื่อนม็อบไม้ 1 ยันประชิดกำแพงโล่ ให้การ์ดฟ้าเหลืองไม้ 2 ใช้ระเบิดปิงปองที่มีแต่เสียงไม่อันตราย โยนเข้ากลุ่มตำรวจเพื่อเปิดทางกำแพงโล่ ให้ผู้หญิง เด็ก คนชรา ขยายปีกซ้ายขวา กันตำรวจ การ์ดไม้ 3 จะบุกทะลวงกลางเข้าจับตัวคณะรัฐบาลแล้วให้รอคำสั่งจากแกนนำ ทำเพื่อยั่วยุให้ทหารออกมาปฏิวัติ มิได้คิดฆ่าใครทั้งสิ้น แต่เหตุการณ์พลิกผันไม่เป็นไปตามแผน"
"ขณะที่ม๊อบ 1+3 กำลังรุกเข้า ยังไม่ทันใกล้กำแพงโล่ ตำรวจดันยิงแก๊สน้ำตาเข้ามา ทำให้กลุ่มไม้ 1+3 สำลักควันแสบตาถอยกลับอย่างเร็ว ช่วงนั้นทำให้การ์ดไม้ 2 ที่กำระเบิดเตรียมขว้างถอยไม่ทัน ชุลมุนดันกันล้มลงเหยียบกันมั่วไปหมด ทำให้ระเบิดปิงปองระเบิดพร้อมกัน เสียงร้องระงม บางคนก็พยายามโยนระเบิดออก บางคนก็ตะโกนให้กำไว้อย่าโยนพวกเราจะเหยียบกันเอง อย่าโยนๆ"
"นี่แหละคือที่มาของมือเท้าขาดบาดเจ็บล้มตาย ตำรวจก็ไม่รู้ว่าเรามีระเบิดปิงปอง เราก็ไม่รู้ว่าตำรวจจะกล้ายิงแก๊สน้ำตา เพราะแกนนำก็บอกแล้วว่ารัฐบาลไม่กล้าใช้ความรุนแรงเหมือนตอนนายกฯสมัคร แต่เหตุการณ์พลิกผันเป็นอุบัติเหตุ ส่วนใครผิดถูกก็เชิญท่านตัดสินกันเอง แต่วิงวอนวันที่ 13 นี้อย่าใช้ระเบิดอีกเลย ฝากถึงY.Pad ทุกคนให้ระวังตัวด้วยครับ.....อย่าอยู่หน้า ให้อยู่แนวหลังหรือทางที่ดีบอกปัดพี่ๆ หัวหน้ากลุ่มไปเลยว่า ติดงาน ไม่สบายจะไม่เสียน้ำใจ..."
"อยากเตือนก่อนเพราะป่านนี้ตำรวจและสื่อ ยังไม่กล้าออกมาบอกความจริงอะไรเลย มีแต่บอกว่ามันเป็นพวงกุญแจ หรือกรอบพระเครื่อง น้องบางคนอาจเข้าใจผิดนำมาใกล้ตัวไม่ระวังอาจมีเหตุการณ์แบบเดิมอีก...เป็น ห่วงครับ."
Posted by editor01 at 10/12/2008 11:33:00 หลังเที่ยง
จากคุณ : paopaonoi50
-------------------------------------------------------Hot News, Monday to Sunday, 3.30 am - 24.00 pm.
อีกครั้งพบกับนักรบแนวหน้าของการเมืองภาคประชาชน ที่อยู่ในหัวใจของคนไทยทุกๆคนตลอดไป-ย้ำถึงคำถามว่า..ใครมาทำร้ายเขากันแน่?..จากวันนั้นถึงวันนี้ วีรชนคนกล้าคนแรกเป็นสตรี ชื่อ อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ (น้องโบว์ )และคนที่สองชื่อพ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี( สารวัตรจ๊าบ )-ทั้งสองวีรชนคนกล้าที่สูญเสียชีวิตในวันที่ 7 ตุลาคาคม๒๕๕๑ เพราะความป่าเถื่อนของรัฐบาลหน้าเนื้อใจเสือ นั่นคือ รัฐบาลหุ่นเชิด-ขายชาติ รัฐบาลแฟมิลี่ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ชื่อ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งมีหลายๆ คนเรียกอีกที่ว่า -สมชาย วงษ์ชินวัตร -
การใช้กำลังอาวุธปราบปราม การชุมนุมของประชาชนอย่างรุนแรง ป่าเถื่อน ใจดำอำมหิตโหดร้าย ฆ่าคนบริสุทธิ์ นั้นคือการกระทำที่ไม่ใช้มนุษย์-จากการกระทำทั้งหมด ถามหาความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบนั่นคือ สมชาย วงศ์สัวสดิ์ และคณะรัฐบาลหุ่นเชิด ต้องลาออกทั้งคณะ นั้นยังไม่พอ ตระกูล วงษ์ชินวัตร จะต้องไม่มีสิทธิ์เล่นการเมืองอีกต่อไป..ไปให้พ้นจากเมืองไทย
ไม่มีรัฐบาลที่ไหนในโลกใบนี้ ที่ไม่มีความรับผิดชอบ การทำงานอย่างอื่นไม่ต้องไปทำแล้ว..ไม่ต้องบริหารบ้านเมืองทั้งหมดอีกต่อไปแล้ว..การกระทำทั้งหมดในเหตุการณ์การสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ๒๕๕๑ นั้นชัดเจน เป็นนักฆ่า อำมหิตโหดมาก-ทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลป่าเถื่อนที่สุด ส่งผลชัดเจนไม่ต้องบริหารบ้านเมืองไทยอีกต่อไปแล้ว
ขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุดอีกครั้งมา ณ.ที่นี่..ถึงครอบครัวผู้ที่เสียชีวิตและทั้งสองวีรชนคนกล้า จะอยู่ในหัวใจของประชาชนชาวไทยทุกคนตลอดไป…นี่คือการสรุปเนื้อหาบางส่วน ของบรรยายกาศทั้งหมดอีกครั้ง จากใจถึงใจ..ที่ทุกๆคนไม่มีวันลืม…
สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ไปในการพระราชทานเพลิงศพ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ-ทรงชม น้องโบว์ เป็นเด็กดี ช่วยชาติ ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถพ้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงทอดผ้าไตร ในพิธีพระราชทานเพลิงศพ น้องโบว์ อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ พร้อมทรงโปรดฯ ให้ครอบครัวน้องโบว์เข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิด ก่อนเสด็จกลับ ทรงมีพระราชปฏิสันถาร กับสนธิ ลิ้มทองกุล ด้วยสีพระพักตร์ยิ้มแย้ม "พ่อน้องโบว์" เผยทรงชม ลูกสาวเป็นเด็กดี ช่วยชาติช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์
โดยเมื่อเวลา ๑๖.๑๗ น.ของวันที่ ๑๓ ต.ค.๒๕๕๑ที่ผ่านมาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อักครราชกุมารี ในการพระราชทานเพลิงศพ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ การสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ ๗ ต.ค.๒๕๕๑ ที่ผ่านมาโดยมี นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ บิดา น.ส.ดารณีและ น.ส.สุภาภรณ์ น้องสาวของ น.ส.อังคณา ทั้งสองคน รับเสด็จ
พิธีพระราชทานเพลิงศพจัดขึ้นที่วัดศรีประวัติ ถนนริมคลองมหาสวัสดิ์ ต.ปลายบาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี มีกลุ่มพันธมิตรและประชาชนจำนวนมากมาร่วมงาน โดยมีการตั้งแถวและถือธงชาติไทยรอรับเสด็จจนเต็มสองฝั่งถนน และเมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาถึง ประชาชนที่มารอรับเสด็จ ต่างพร้อมใจเปล่งเสียง ทรงพระเจริญ อย่างกึกก้อง
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงทอดผ้าไตรและทรงวางดอกไม้จันทน์พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุศาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินมายังพลับพลาที่ประทับ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ครอบครัว ระดับปัญญาวุฒิ เข้าเฝ้าฯ อย่างใกล้ชิด โดนมีพระราชปฏิสันถารกับครอบครัวของ น.ส.อังคณาอยู่นาน ๒๐ นาที
การเสด็จฯ มาพระราชทานเพลิงศพในครั้งนี้- เพื่อเป็นการพระราชทานน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ซึ่งตลอดมาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระเมตตาต่อพสกนิกรอยู่แล้ว ดังเห็นได้จากกรณีครูจูหลิง เป็นต้น และในกรณี น.ส.อังคณา หรือน้องโบว์ นั้น มีความจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์มาโดยตลอด สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงพระราชทานน้ำพระราชหฤทัยเป็นครั้งสุดท้ายแก่ น.ส.อังคณาด้วยการเสด็จฯ มาพระราชทานเพลิงศพในครั้งนี้
นอกจากกลุ่มประชาชนที่มาร่วมพิธีแล้วยังมีนายทหาร นายตำรวจระดับสูง อาทิ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร
ส่วนคณะขององคมนตรีที่มาเผารับเสด็จประกอบด้วย พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ น.พ.เกษม วัฒนชัย นายพลากร สุวรรณรัฐ นอกจากนี้ นายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ ห้วหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม.และทีม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายกรณ์ จาติกวณิช นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.สงขลาและกลุ่ม ส.ว. อาทิ น.ส.รสนา โตสิตระกูล คุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง.รวมไปถึงแกน นำและผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ ประกอบไปด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายสุริยะใส กตะศิลา
สำหรับบรรยากาศโดยทั่วไป แกนนำพันธมิตรประชาชนธิปไตย ได้เดินมาถึง ยกเว้นท่าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ต้องอยู่เฝ้าทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งประชาชนในเครือข่ายพันธมิตรฯ นำโดย นายศรัณยู วงศ์กระจ่าง และ จอย ศิริลักษณ์ ผองโชค ได้เดินทางมาร่วมงานอย่างเนืองแน่น จนล้นไปถึงปากซอยเข้าวัดศรีประวัติ ต่อมาเวลาประมาณ ๑๖.๔๐ น. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ได้เสด็จกลับ ได้เสด็จฯกลับ โดยมีแกนนำพันธมิตรฯ เขาแถวเฝ้ารอส่งเสด็จฯระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินผ่าน สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชปฏิสันถาร กับนายสนธิล้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯอยู่ชั่วครู่ จากนั้นได้เสด็จฯกลับ
หลังจากนั้นผบ.เหล่าทัพได้ทยอยเดินทางกลับ โดยระหว่างที่พล.อ.อนุพงษ์ เดินออกมาประชาชนได้ชูมือตบขึ้นมาเขย่าไล่พร้อมตะโกนถามว่า ทหารยังอยู่ข้างประชาชนหรือเปล่า เรารอคุณอยู่นะ ยังทนไหวอีกเหรอ ทั้งต้องเห็นประชาชนเป็นอย่างนี้ -นอกจากนี้เมื่อขบวนรถของพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำลังเคลื่อนตัวออกนอกวัดประชาชนจำนวนมากซึ่งเข้าใจผิดว่าตำรวจที่อยู่ในรถคือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจ ได้ชูมือตบ ขึ้นมาขับไล่พร้อมตะโกนว่า พัชรวาท ไอ้มาตกรตำรวจฆ่าประชาชนออกไป
ส่วนทางด้าน นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ บิดานางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ น้องโบว์ เปิดเผยว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับสั่งและชมว่า ลูกสาวเป็นเด็กดี ช่วยชาติ ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตนได้กราบทูลฯกลับไปว่ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูง ที่ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ มานอกจากนี้ท่านยังตรัสอีกว่า เป็นห่วงพันธมิตรทุกคน ไว้จะฝากดอกไม้ไปเยี่ยมพันธมิตร
นายจินดา กล่าวอีกว่า พระองค์ท่านยังทรงรับสั่งว่า ขอให้กำลังใจกับครอบครัวและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับทราบแล้วและเงินที่เป็นค่ารักษา ในหลวงเป็นผู้พระราชทานให้ ขณะเดียวกัน บรรยายกาศภายในวัดมีการแจกหนังสือไว้อาลัย ๓ เล่ม ได้แก่ ดอกไม้พันธมิตร ซึ่งเป็นการรวมบทความและบทกวีจากศิลปินหลายคน ที่เขียนขึ้นเพื่อไว้อาลัยให้แก่น้องโบว์ และหนังสือ ชัยชนะประชาชน เป็นการรวบรวมความสำเร็จของพันธมิตรจากการชุมนุมในครั้งนี้ และในเวลา ๑๗.๓๐ น. วันเดียวกัน นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ พร้อมลูกสาวคือน.ส.ดารณี น.ส.สุภาภรณ์และนายกฤษณะ วนิชชีวะ เพื่อนสนิทของ น.ส.อังคณา เดินทางโดยรถตู้มาที่วัดสุทธิวาสวรารามหรือ วัดช่องลม ตำบลท่าฉลอม อ.เมืองสมุทรสาคร
มีกลุ่มพันธมิตรฯ ตำบลท่าฉลอมและกลุ่มพันธมิตรฯสมุทรสาครประมาณ ๑๐๐ คนมารอรับลงเรือที่หน้าวัดแล่นออกสู่ปากอ่าวห่างออกไปประมาณ ๑ ชั่วโมง น.ส.ดารณี กับน.ส.สุภาภรณ์ น้องของ น.ส.อังคณาได้นำอัฐิของพี่สาวลอยลงน้ำ พร้อมกับโปรยดอกไม้ลงทะเลเป็นการไว้อาลัยครั้งสุดท้ายท่ามกลางความโศกเสร้า เสียใจเสร็จจึงเดินทางกลับ
สรุปเนื้อหาบางส่วนของบรรยายกาศอีกครั้งด้าน พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี (สารวัตร จ๊าบ) เมื่อ ๑๔ ต.ค ๒๕๕๑ ณ.วัดโสมนัสฯ กรุงเทพฯ-พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ได้แสดงธรรม มีดังนี้สารวัตรเมธี กำลังทำบุญ ทำกุศลทำสิ่งที่มีคุณค่า ต่อมวลมนุษยชาติ ต่อคนในประเทศ เขาเสียสละ…อย่างสารวัตรจ๊าบ..นี่ทำดี..สำนึกดี ได้กระทำกรรมดี รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว เป็นคนมีความสามารถ มีความรู้ เรียนเก่ง ทำงานก็ดี แต่ไปขัดกับคนไม่ดี จึงเห็นว่าทางนี้ไม่เจริญ ไม่รุ่งทำงานไม่ได้ ลำบาก ก็จึงเลิก
คนเราจะทำสัมมาอาชีพใดๆก็ตาม ก็จะต้องทำให้เกิดกุศล สารวัตรจ๊าบมีภูมิปัญญา จึงลาออกมาทำงานส่วนตัวอิสระ ที่ไม่ต้องมีพลังกดดัน หรือมีพลังมาบังคับ พยายามพากเพียรทำสิ่งที่ดีมาตลอดชีวิต อายุแค่ไม่ถึง ๔๐ ดีก็สิ้นชีวิต แต่ระยะเวลาที่ พ.ต.ท.เมธี ได้กระทำไปนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่ดี เพราะงั้นบางคนมองอย่างตื้นๆง่ายๆ ว่า สารวัตรจ๊าบถูกฆ่าตาย เป็นการตายโหง ตายไม่ดีแน่นอนเขาไม่อยากตายอย่างนี้ แต่คนที่ทำให้เขาตายนั่นต่างหากทำไม่ดี ไม่ใช่สารวัตรจ๊าบ การทำไม่ดี ทำบาป คนนั้นได้บาปไปแต่สารวัตรจ๊าบกำลังทำบุญ ทำกุศล ทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อมวลมนุษยชาติ ทำกุศลต่อคนในประเทศ เขาเสียสละ
เห็นได้ชัดเลยว่าสร้างกุศลมีภูมิปัญญาเลือกงานที่ตนเอง เข้ามาร่วมชุมนุม ตนเองเป็น พ.ต.ท.มาทำงานเหมือนพลทหาร พลตำรวจ สิบเอก สิบตรี สิบโท ไม่ได้อวดตัวอวดตน ไม่ได้เบ่งอะไร ไม่มีคนรู้จักด้วยซ้ำไป หลายคนเข้าใจผิดด้วยว่าไอ้หมอนี่มาจากไหน รูปร่างหน้าตา บุคคลิกต่างๆ ไม่ได้แสดงท่าทางเบ่งว่าฉันเป็นนายตำรวจเก่านะ นี่เป็นคุณสมบัติอันดีงามของ พ.ต.ท.เมธีและทำงานอย่างเสียสละ ไม่มีรายได้ เบี้ยเลี้ยง แต่ทำอย่างเต็มกำลัง แม้ลำบากยากเย็น ต่อสู้ จนในที่สุด ไปขัดแย้งโดนหมายหัว สุดท้ายก็สำเร็จตามที่ฝ่ายโน้นต้องการที่จะจัดการและใส่ร้ายว่าหอบระเบิดมาเองต่างๆ นานาเป็นต้น
ซึ่งเรื่องนี้ต้องรอดูผลการพิสูจน์ว่า พ.ต.ท.เมธี หอบระเบิดมาจริงหรือเปล่า หรือใครมาทำร้ายเขากันแน่?… แต่การตายของ พ.ต.ท.เมธี เป็นกุศล เป็นบุญที่เขามีจิตวิญญาณ มีน้ำใจ มีความตั้งใจ เจตนาที่จะเสียสละสร้างสรรอย่างแท้จริง และได้ลงมือลงแรงทุมเททั้งจิตวิญญาณ เรี่ยวแรง ความสามารถทั้งหมดที่มี จนวินาทีสุดท้าย เขาได้ตายในสนามรบ เพราะงั้นต้องเชิญชูยกย่องจริงๆแล้วเขาไม่ได้ทำงานนี้เป็นงานปลายมือก่อนตายแล้วก็โก้ งานที่ทำมาก่อนนี้ไม่ได้ดีอย่างนี้ ไม่ใช่ พ.ต.ท.เมธีทำงานดีเพื่อมนุษยชาติ ต่อสู้ตั้งมูลนิธิ สมาคม ตั้งก๊ก ตั้งกลุ่ม ทำงานออกมา
แม้แต่สมัยที่รับราชการตำรวจอยู่ก็ตามใครที่รู้จักประวัติของเขา จะรู้ว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต ไม่ได้โกง ไม่ได้ทุจริต เพราะฉะนั้น แม้จะอายุไม่ถึง ๔๐ แต่เขาได้หอบเอาบุญ หอบทรัพย์อันประเสริฐติดตัวไป อาตมาไม่สามารถตีเป็นตัวเลขหรือเป็นภาษาคนได้ แต่เขาได้หอบเอาบุญกุศลไปยิ่งกว่าคนที่มีอายุยืนยาวถึง ๖๐ บ้าง ๘๐ บ้าง ที่ก่อนตายก่อกรรมสร้างกุศลบ้าง สร้างอกุศลบ้าง บวกลบคูณหารแล้ว อาตมาว่าแม้จะมีอายุยืนยาว คนส่วนมาก็ไม่ได้บุญ ไม่ได้กุศล ไม่ได้สิ่งที่ดีงามเท่ากับสารวัตรเมธีนี้ที่มีอายุแค่ ๔๐ปี ที่ได้ประกอบกรรมกุศลอันยิ่งใหญ่ก่อนตาย
ถ้าผู้ที่มีตาดีรู้จักกรรมที่แท้จริง จะมองออก นี่เป็นสัจจะที่สำคัญ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงอยากจะเตือนสติผู้ที่ได้ฟังธรรมฟังเทศน์วันนี้ว่า ชีวิตเกิดมาแล้วก็ตายๆ ทุกคน ต้องตาย เพราะฉะนั้นอย่าไปเห็นแก่ลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุขที่เป็นกามเป็นอัตตาเลย..
บรรยากาศด้านงานพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี-สำหรับบรรยากาศงานพระราชทานเพลิงศพ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี หรือสารวัตรจ๊าบ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม๒๕๕๑ ที่เมรุวัดโสมนัสวรวิหาร ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ ๑๔ ตุลาคม เป็นต้นมา ได้มีเหล่าบรรดาพันธมิตรฯ นับหมื่นคน เดินทางมาร่วมไว้อาลัยกันแน่นขนัดเต็มพื้นที่วัดโดยก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้น ได้มีสมณะโพธิรักษ์ แห่งวัดพุทธสถานสันติอโศก แสดงปาฐกถา..
จากนั้นตัวแทนพันธมิตรฯอ่านคำไว้อาลัย ก่อนที่วงดนตรีกรรมาชน บรรเลงเพลงเทียนแห่งธรรม มีแกนนำพันธมิตรฯทั้ง ๕ พร้อมด้วยแกนนำ พันธมิตรฯรุ่น ๒ นำโดยนายศิริชัย ไม้งาม รวมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำทีม ส.ส.ประชาธิปัตย์ อาทินาย กรณ์ จาติกวณิชย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ พล.ต.อ.ประทิน สันติปะภพ อดีต ส.ว. นายการุญ ใสงามอดีต ส.ว.นายไชยวัฒน์ สินธุวงศ์ นายเทิดภูมิ ใจดี มาร่วมพิธี โดยมี นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมาตรี เป็นประธานในพิธี
จนถึงกระทั่งเวลา ๑๕.๓๕ น.ภายหลังจากที่ส.ส.เพ็ญพิมล ใสงาม ภรรยาได้อ่านคำไว้อาลัย พ.ต.ท.เมธี สามีเสร็จสิ้น กลุ่มพันธมิตรฯที่มาร่วมงานนับหมื่นคนได้นำมือตบมาตบรัวกันอย่างพร้อมเพรียง จนเสียงดังสนั่นไปทั่ววัด โดยผู้มาร่วมงานศพได้รับแจกหนังสือตำรวจพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นการรวบรวมประวัติของ พ.ต.ท.เมธีพร้อมด้วยบทกวีและคำไว้อาลัย รูปถ่ายของสารวัตรจ๊าบ แจกให้ผู้ที่มาร่วมไว้อาลัยอีกด้วย น.ส.เพ็ญพิมลเปิดเผยว่า รู้สึกซาบซึ้งพระมหากรุณาธิคุณที่ได้พระราชทานเพลิง ให้กับสามี -ภาพสุดท้ายที่ประทับใจในตัวสามีคือ ภาพที่เป็นหัวหน้าการ์ดคอยดูแลไม่ให้พันธมิตรฯประทะกับเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ตนยังยืนยัน แม้จะสูญเสียสามีไปอย่างไม่มีวันกลับ ก็จะมาชุมนุมกับพันธฯต่อไป
ทั้งนี้ ภายในงานเต็มไปด้วยความโศกเศร้า พันธมิตรฯ จำนวนมากได้ความโศกเศร้า พันธมิตรฯ จำนวนมากได้มาร่วมงานแน่นขนัด ทำให้พื้นที่เมรุฌาปนกิจศพเล็กลงถนัดตา โดยประชาชนทั้งนั่งและยืนเต็มพื้นที่ นอกจากนี้ นายประทิป ขจัดพาลศิลปินเพื่อชีวิต ได้ร้องเพลง ซึ่งแต่งขึ้นเฉพาะพระราชทานเพลิงศพ สารวัตรจ๊าบ รวมไปถึงมีการขับร้องเพลง เทียนแห่งธรรม โดยมีพันธมิตรฯ ที่ไปร่วมงานได้นำมือตบมาตบเป็นจังหวะตามและยังมีการอ่านกลอนที่แต่งโดยบุตรของพ.ต.ท.เมธีด้วย ทั้งนี้การ์ดพันธมิตรฯ ได้บวชหน้าศพให้สารวัตรจ๊าบจำนวน ๑๙ รูปด้วย -จากข่าวอโศกปักษ์แรก-หลัง ตุลาคม ๒๕๕๑-
http://www.bunniyom.com/two_hero.html
-------------------------------------------------------
วันอาทิตย์, ตุลาคม 12, 2008
การ์ดพันธมิตรแฉหมดเปลือก ระเบิดปิงปองคือสาเหตุที่ทำให้แขนขาขาด
ทีมข่าวไทยอีนิวส์
12 ตุลาคม 2551
แกนนำสั่งให้ฝากระเบิดปิงปองไว้กับผู้ชุมนุม วางแผนเตรียมไว้ใช้เพื่อทะลวงประตูทำเนียบบุกจับตัวคณะรัฐบาล แต่เสียแผนซะก่อนเพราะตำรวจใช้แก๊สน้ำตา ทำให้ผู้ชุมนุมแตกฮือและมองไม่เห็น ระเบิดจึงระเบิดฉีกร่างและอวัยวะของพธม.โดยไม่ตั้งใจ วอนแกนนำ อย่าใช้ระเบิดอีกเพราะอันตรายมาก
การ์ดอาสาพันธมิตรฯ ใช้นามแฝงว่า "ตาลโตน" เปิดเผยผ่านเว็บไซต์พันทิปหมดเปลือก ถึงสาเหตุของระเบิดที่เกิดขึ้นขณะที่ตำรวจกำลังสลายการชุมนุมด้วยการยิงแก๊ส น้ำตาเมื่อวันที่ 7 ต.ค. โดยกล่าวว่าตนเองเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ และได้ไปร่วมชุมนุมในวันที่ 7 ต.ค.ด้วย
"ผมเจ้าของกระทู้ ยอมรับว่าเป็นผู้หนึ่งที่เข้าร่วมกับ พธม.และได้ไปบุกกับเขาในวันที่ 7 แต่อยู่ด้านหลัง ส่วนเพื่อนที่ไปด้วยอยู่ด้านหน้า ตอนนี้นอนอยู่บ้าน หลังออกจากโรงพยาบาลจุฬาฯเมื่อวันศุกร์ เพราะวิ่งหนีแก๊สน้ำตาตำรวจ และวิ่งไปเตะระเบิดปิงปองที่การ์ดทำหล่นไว้ที่พื้น นิ้วเท้าขาดไป 3 นิ้ว ขนาดใส่รองเท้าหนังหุ้มข้อ"
"เขาเล่าให้ฟังว่าได้เห็นการ์ดอาสาใส่ ไว้ในกระเป๋าคาดเอว ตอนบุกปะทะตำรวจก็ควักขึ้นมา แต่พอโดนแก๊สน้ำตา มันแสบตามาก เพราะไม่มีแว่นตา ช่วงนั้นชุลมุน บางคนก็ปล่อยลงพื้น บางคนก็ขว้างไปแบบไม่รู้ทิศทาง บางลูกหล่นโดนเท้ากันเอง บางลูกไม่ระเบิดก็มีคนมาเหยียบ เท้าแหลก มีแต่เสียงระเบิดและเสียงร้องระงม เขาได้รับการช่วยเหลือ มารู้ทีหลังว่ามีน้องผู้หญิงคนหนึ่งล้มทับระเบิดในกระเป๋าหนีบ เขาเสียใจมาก แต่มีคนของ พธม.มาเยี่ยมและสัญญาว่าจะให้เงินช่วยเหลือ 5 พันบาท และขอร้องแกมบังคับไม่ให้เล่าเหตุการณ์ให้ใครฟัง มิฉะนั้นเดือดร้อนทั้งครอบครัวแน่ พร้อมทั้งจดชื่อที่อยู่และขอเสื้อผ้าที่สวมวันเกิดเหตุไปหมด"
" เพื่อนมันกลัวมากเลยขอออกจากโรงบาลก่อนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับเงิน 5 พัน โทรบอกให้ผมเอาเสื้อผ้าไปให้มัน เรามาปรึกษากันเมื่อเย็น เพราะมีเพื่อนอีกกลุ่มในกองทัพธรรมเรื่องแจกระเบิดรุ่นใหม่ในวันที่ 13 เลยเป็นห่วงเพื่อนๆ ที่ยังอยู่ในทำเนียบ และเราสองคนสัญญาว่า เราจะไม่เข้าร่วมกับ พธม. PAD อีกแล้ว เพราะเข็ดกับเหตุการณ์วันที่ 7 จริงๆ นึกไม่ถึงว่าอานุภาพจะร้ายแรงขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าแค่เสียงดังแบบประทัด ที่ไหนได้ รุนแรงมากๆครับ อยากฝากให้เพื่อนๆบอกต่อด้วยครับ อย่าใกล้วัตถุกลมสีดำมัน อย่านำใส่กระเป๋าเด็ดขาด"
เตือนเพื่อนผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ อย่ารับฝากอะไรจากการ์ดโดยเด็ดขาด
คุณ ตาลโตน ยังได้กล่าวเตือนต่ออีกว่า อย่ารับฝากอะไรจากใครในการเข้าร่วมชุมนุม พร้อมเปิดเผยยุทธวิธีของพันธมิตรฯหมดเปลือก
" ขอฝากต่อจากกระทู้ข้างล่างที่โพสต์เมื่อตอนดึก เช้านี้คงมี Y.Pad มาอ่านกันก็เตือนอีกครั้ง อย่ารับฝากวัตถุใดๆ จากการ์ดอาสา ทางที่ดีอย่าอยู้ด้านหน้า เช้านี้จะขอเล่าเหตุการณ์ที่ประสพมาเอง จริงๆแล้วไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์วันที่ 7 แต่เป็นเพราะอุบัติเหตุด้วยความไม่ตั้งใจ จุดหมายที่วางไว้คือให้ผู้หญิง คนแก่ และเด็กเป็นแถวหน้า การ์ดบางส่วนปะปนประกบไป เรียกไม้ 1+3 การ์ดอาสาตามหลังเรียกไม้ 2 มีป้ายฟ้าและผ้าพันคอเหลือง พวกนี้จะมีระเบิดปิงปองใส่กระเป๋าคาดเอวและถุงย่ามหูสั้นคล้องไหล่หนีบ รักแร้ใส่ระเบิดปิงปอง"
"การ์ดไม้ 3 คือพวกผ้าพันคอขาว มีเหล็กแป๊ป ไม้คมแฝก ให้ทั้งหมดนั่งรอหน้ารัฐสภารอให้คณะรัฐบาลเข้าสภาจนหมดจึงเคลื่อนม็อบไม้ 1 ยันประชิดกำแพงโล่ ให้การ์ดฟ้าเหลืองไม้ 2 ใช้ระเบิดปิงปองที่มีแต่เสียงไม่อันตราย โยนเข้ากลุ่มตำรวจเพื่อเปิดทางกำแพงโล่ ให้ผู้หญิง เด็ก คนชรา ขยายปีกซ้ายขวา กันตำรวจ การ์ดไม้ 3 จะบุกทะลวงกลางเข้าจับตัวคณะรัฐบาลแล้วให้รอคำสั่งจากแกนนำ ทำเพื่อยั่วยุให้ทหารออกมาปฏิวัติ มิได้คิดฆ่าใครทั้งสิ้น แต่เหตุการณ์พลิกผันไม่เป็นไปตามแผน"
"ขณะที่ม๊อบ 1+3 กำลังรุกเข้า ยังไม่ทันใกล้กำแพงโล่ ตำรวจดันยิงแก๊สน้ำตาเข้ามา ทำให้กลุ่มไม้ 1+3 สำลักควันแสบตาถอยกลับอย่างเร็ว ช่วงนั้นทำให้การ์ดไม้ 2 ที่กำระเบิดเตรียมขว้างถอยไม่ทัน ชุลมุนดันกันล้มลงเหยียบกันมั่วไปหมด ทำให้ระเบิดปิงปองระเบิดพร้อมกัน เสียงร้องระงม บางคนก็พยายามโยนระเบิดออก บางคนก็ตะโกนให้กำไว้อย่าโยนพวกเราจะเหยียบกันเอง อย่าโยนๆ"
"นี่แหละคือที่มาของมือเท้าขาดบาดเจ็บล้มตาย ตำรวจก็ไม่รู้ว่าเรามีระเบิดปิงปอง เราก็ไม่รู้ว่าตำรวจจะกล้ายิงแก๊สน้ำตา เพราะแกนนำก็บอกแล้วว่ารัฐบาลไม่กล้าใช้ความรุนแรงเหมือนตอนนายกฯสมัคร แต่เหตุการณ์พลิกผันเป็นอุบัติเหตุ ส่วนใครผิดถูกก็เชิญท่านตัดสินกันเอง แต่วิงวอนวันที่ 13 นี้อย่าใช้ระเบิดอีกเลย ฝากถึงY.Pad ทุกคนให้ระวังตัวด้วยครับ.....อย่าอยู่หน้า ให้อยู่แนวหลังหรือทางที่ดีบอกปัดพี่ๆ หัวหน้ากลุ่มไปเลยว่า ติดงาน ไม่สบายจะไม่เสียน้ำใจ..."
"อยากเตือนก่อนเพราะป่านนี้ตำรวจและสื่อ ยังไม่กล้าออกมาบอกความจริงอะไรเลย มีแต่บอกว่ามันเป็นพวงกุญแจ หรือกรอบพระเครื่อง น้องบางคนอาจเข้าใจผิดนำมาใกล้ตัวไม่ระวังอาจมีเหตุการณ์แบบเดิมอีก...เป็น ห่วงครับ."
Posted by editor01 at 10/12/2008 11:33:00 หลังเที่ยง
จากคุณ : paopaonoi50
สภาพผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากที่แขนขาขาด
ถามว่าตำรวจขว้างและยิงแก๊สน้ำตาได้แม่น
ลงตรงแขนและขาพอดี มีเยอะแยะแบบนี้หรือ
น่าจะเกิดจากการกำระเบิดปิงปองแล้วมันเกิดระเบิด
หรือไม่ก็เหยียบระเบิดปิงปองที่ทำตกกันเกลื่อนแถวนั้น
ตรงตามคำสารภาพของการ์ดพันธมิตร
และลุงคนที่ขาขาดที่บอกว่าไปเหยียบโดนอะไรแถวนั้นเข้า
-------------------------------------------------------
ลุงขาขาด โผล่สัมภาษณ์ ไม่ได้สร้างภาพปรักปรำ ตำรวจ
พันธมิตรฯขาขาดเปิดใจ ช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและขาที่หายไป เผยไม่แน่ใจขาขาดเพราะอะไร เนื่องจากขณะนั้นแก๊สน้ำตาลอยอยู่เต็มไปหมด ระบุนับจากนี้ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร อยากได้ขาเทียมเพื่อจะทำให้เดินได้เหมือนเดิม พร้อมจวกตำรวจสลายการชุมนุมรุนแรงเกินไป
วันนี้(10 ต.ค.) ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี นายแกละ(นามสมมติ) ซึ่งได้รับบาดเจ็บสูญเสียขาข้างขวาจากเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา เปิดเผยว่า ในวันนั้น ช่วงเวลาประมาณ 06.20 น.ที่บริเวณหน้ารัฐสภา ตนเองกำลังเดินอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ประมาณ 3-4 คน จากนั้นในจังหวะที่กำลังก้าวเท้าเหยียบลงไปบนพื้นโดยมองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่หรือไม่ เนื่องมีควันของแก๊สน้ำตาลอยอยู่เต็มไปบน รวมทั้งแก๊สน้ำตาทำให้แสบตา แต่เมื่อก้าวเท้าเหยียบลงไปก็เกิดระเบิดและขาก็กระเด็นหายไป ซึ่งขณะนั้นตนเองรู้สึกช็อกเป็นอย่างมาก
จากนั้นเมื่อสติเริ่มกลับคืนมา จึงได้เขย่งขาข้างที่เหลือไปนั่งอยู่ที่ข้างประตู ซึ่งความรู้สึกขณะนั้นไม่รู้สึกเจ็บ และขอยืนยันว่า ก่อนหน้านี้ตนเองมีอวัยวะครบ 32 ประการ ไม่ได้ขาด้วนมาก่อนตามที่มีข้อสงสัยกัน ซึ่งหลังจากนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปประกอบอาชีพหรืออาชีพทำมาหากินอะไร เพราะการไม่มีขาก็ถือเป็นอุปสรรค ก็รู้สึกเครียดบ้างเล็กน้อยและอยากได้ขาเทียมเพื่อที่จะได้เดินได้เหมือนเดิม
“ผมเป็นการ์ดของพันธมิตรฯ เป็นคนศรีสะเกษ แต่มาทำงานที่มาบตาพุดและเข้าร่วมกับพันธมิตรฯ ระยอง ตอนที่ก้าวเหยียบลงไปไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร เพราะมองไม่เห็น จากนี้คงต้องกลับไปรักษาตัวที่บ้านที่ศรีสะเกษ ก็ขอให้พันธมิตรฯสู้ต่อไป ผมขอฝากไปถึงตำรวจด้วยว่าขอให้ยุติความรุนแรง เพราะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงเกินไป ตำรวจบอกว่าไม่รุนแรงแล้วทำไมผู้ชุมนุมจำนวนกว่า 400 คนถึงได้รับบาดเจ็บ ช่วงที่ผ่านมาก็มีพันธมิตรฯ เดินทางมาเยี่ยมจำนวนมากและรับปากที่จะหาผู้ที่กระทำผิดทำให้ขาของผมขาดมาลงโทษให้ได้”
นายแกละกล่าวด้วยว่า สำหรับเพื่อนที่มาด้วยกัน รวมทั้งคนที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ก็ล้มลงหลายคน โดยเพื่อน 2 คนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ตนได้รับบาดเจ็บมากที่สุด
สำหรับบรรยายการเข้าเยี่ยมนายแกละนั้น วันนี้บรรดาญาติๆ ซึ่งเดินทางมาจากศรีสะเกษก็ได้เดินทางเข้าเยี่ยม โดยแม่ของนายแกละ อายุ 57 ปี กล่าวว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าลูกมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ทราบแต่ว่าลูกมาทำงานอยู่ที่ระยอง ซึ่งโดยปกติแล้วเขามีอะไรก็จะคุยกับพ่อ ตนเองก็ทราบข่าวจากการดูโทรทัศน์แล้วก็เห็นรายชื่อผู้ที่ถูกระเบิดตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ก็ได้เดินทางเข้ามาเยี่ยมที่กรุงเทพฯ ทันที โดยมาถึงตอนเช้าวันที่ 8 ตุลาคม ซึ่งพอรู้ว่าลูกขาดขาดก็รู้สึกตกใจ
“ลูกดีๆ มีร่างกายครบถ้วนก็กลายมาเป็นแบบนี้ ต่อไปจะทำมาหากินอะไร ก็อยากให้ตำรวจเข้ามาช่วยอะไรบ้าง แล้วก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ตำรวจทำรุนแรงเกินไป”แม่นายแกละกล่าว
เรียบเรียงจากเว็บไซต์ ผู้จัดการ
ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.oknation.net/blog/tyty1789/2008/10/08/entry-2
http://news.hunsa.com/detail.php?id=12173
-------------------------------------------------------
ดูตัวอย่างแรงระเบิด จากประทัด น้องๆ ระเบิดปิงปอง
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมเขาไม่ทดสอบอานุภาพระเบิดปิงปอง
ที่พบในที่เกิดเหตุจำนวนมากในวันนั้น ให้ประชาชนเห็น
ประทัดทำเองบึ้มมือขาด-นศ.ดับสลด
จะไว้เล่นยี่เป็ง บ้านพังยับเยิน
สลดนักศึกษาโดนประทัดบึ้มใส่ร่างดับสยอง เผยเป็นนัก ศึกษาวิทยาลัยเทคนิคลำพูน วัยแค่ 15 ปี ใช้ลูกปิงปอง บรรจุ ดินระเบิดเตรียมไว้เล่นในงานลอยกระทง ตร.สันนิษฐาน ทำประทัดด้วยความไม่ระมัดระวังจนเกิดเหตุบึ้มจนเสียชีวิต ขณะที่บ้านพักเสียหายไปด้วย
เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 29 ต.ค. พ.ต.ท. สุรศักดิ์ ขันแก้ว พงส.(สบ 3) สภ.ป่าซาง จ.ลำพูน รับแจ้งจากร.พ.ป่าซาง ว่า มีคนถูกประทัดยักษ์ระเบิดใส่เข้ามารักษาตัว และเสียชีวิต หลังรับแจ้งแล้วรายงานให้กับผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นจึงนำกำลังเดินทางไปร.พ.
เมื่อไปถึงพบศพผู้ตาย ทราบชื่อคือนายณัฐพล เศรษฐเมือง อายุ 15 ปี อยู่บ้านเลขที่ 26/1 ม.6 ต.มะกอก อ.ป่าซาง นักศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคลำพูน นอนเสียชีวิตบนเตียงคนไข้ สภาพมือขาดทั้งสองข้าง มีบาดแผลที่ใบหน้า และลำตัวหลายแห่ง มีคราบเขม่าดินปืนเต็มตัว แพทย์ระบุว่าเสียชีวิตเพราะถูกแรงระเบิดอย่างรุนแรงมาก
จะไว้เล่นยี่เป็ง บ้านพังยับเยิน
สลดนักศึกษาโดนประทัดบึ้มใส่ร่างดับสยอง เผยเป็นนัก ศึกษาวิทยาลัยเทคนิคลำพูน วัยแค่ 15 ปี ใช้ลูกปิงปอง บรรจุ ดินระเบิดเตรียมไว้เล่นในงานลอยกระทง ตร.สันนิษฐาน ทำประทัดด้วยความไม่ระมัดระวังจนเกิดเหตุบึ้มจนเสียชีวิต ขณะที่บ้านพักเสียหายไปด้วย
เมื่อเวลา 23.30 น. วันที่ 29 ต.ค. พ.ต.ท. สุรศักดิ์ ขันแก้ว พงส.(สบ 3) สภ.ป่าซาง จ.ลำพูน รับแจ้งจากร.พ.ป่าซาง ว่า มีคนถูกประทัดยักษ์ระเบิดใส่เข้ามารักษาตัว และเสียชีวิต หลังรับแจ้งแล้วรายงานให้กับผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นจึงนำกำลังเดินทางไปร.พ.
เมื่อไปถึงพบศพผู้ตาย ทราบชื่อคือนายณัฐพล เศรษฐเมือง อายุ 15 ปี อยู่บ้านเลขที่ 26/1 ม.6 ต.มะกอก อ.ป่าซาง นักศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคลำพูน นอนเสียชีวิตบนเตียงคนไข้ สภาพมือขาดทั้งสองข้าง มีบาดแผลที่ใบหน้า และลำตัวหลายแห่ง มีคราบเขม่าดินปืนเต็มตัว แพทย์ระบุว่าเสียชีวิตเพราะถูกแรงระเบิดอย่างรุนแรงมาก
นางสิงหา เศรษฐเมือง อายุ 38 ปี มารดาผู้ตายให้การว่า ที่บ้านเปิดเป็นร้านขายของชำ ก่อนเกิดเหตุตนขายของอยู่หน้าบ้าน ส่วนนายณัฐพลนั่งทำประทัดอยู่ภายในบ้าน โดยใช้ดินระเบิดใส่เข้าไปในลูกปิงปอง เตรียมไว้เล่นในงานลอยกระทงปีนี้ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นภายในบ้าน เสาอิฐปูน รวมทั้งฝ้าเพดานหลุด พังกระเด็นมาถึงหน้าบ้าน เมื่อวิ่งไปดูก็พบลูกชายนอนอยู่ในสภาพมือขาดทั้งสองข้าง มีบาดแผลเลือดออกเต็มตัว นอนร้องครวญครางอยู่ จึงรีบนำตัวส่งร.พ. ก่อนจะเสียชีวิต คาดว่าคงเกิดจากความผิดพลาดระหว่างทำประทัดยักษ์
ต่อมาช่วงเช้าวันที่ 30 ต.ค. พ.ต.ท.พงษ์ศธร ยะปัญญา สารวัตรกองพิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.ลำ พูน พร้อมเจ้าหน้าที่ เข้าตรวจสอบบ้านที่เกิดเหตุอีกครั้ง พบลูกปิงปองที่บรรจุดินระเบิดพร้อมใช้งานอีก 2 ลูกตกอยู่ในที่เกิดเหตุ และยังพบลูกปิงปองที่ยังไม่ได้บรรจุดินระเบิดอีกจำนวนหนึ่ง เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่า ระหว่างนายณัฐพลทำประทัดด้วยความไม่ระวัง และประมาท ทำให้เกิดระเบิดขึ้นเสียชีวิตดังกล่าว
ภาพและข่าวจากข่าวสด
http://www.cm108.com/bbb/index.php?showtopic=36255
-------------------------------------------------------
โดย มาหาอะไร