บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


16 ธันวาคม 2553

<<< ถ้าแก้โครงสร้างใหม่ไม่ได้ ก็ต้องทนอยู่ภายใต้โครงสร้างเดิม >>>

จากผลเลือกตั้งซ่อมล่าสุด
ผลออกมาส่วนใหญ่ ส.ส. พรรคเดิมได้
ส่วนพรรคเพื่อไทยหลายพื้นที่มีลุ้นแต่ต้องพ่ายในที่สุด
ถือเป็นเรื่องปกติในการเลือกตั้งซ่อม
เพราะพรรคพวกรัฐบาลเขาอาจฮั้วกันเทคะแนนเสียงให้กัน
ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับการเลือกตั้งปี 49
ที่ผู้สมัคร ทรท. จะต้องแข่งกับคะแนนโนโหวต
ซึ่งผลออกมาหลายพื้นที่สู้เสียงโนโหวตไม่ได้ แต่ได้เป็น ส.ส.
เพราะโนโหวตถึงมีมากน้อยแค่ไหนก็คือไม่มีเสียงอะไร
แค่แสดงออกเพื่อความสะใจเท่านั้น
แต่ถ้าเขาใช้วิธีสุมหัวกัน แต่ไม่โนโหวต
แต่เลือกคนของพรรคใดพรรคหนึ่ง
โดยฮั้วกันไม่ส่งลงพื้นที่ที่ตนเองไม่ชนะแน่
พท. ยังไงก็ไม่ได้คะแนนเสียงเกินครึ่ง

อันที่จริงดูจากคะแนนเสียงรัฐบาลตอนนี้แล้ว
ต่อให้ไม่ใช้วิธีฮั้วกัน แบบไม่ส่งลงแข่งแล้วเทคะแนนให้กัน
พท. ก็ได้ ส.ส. ไม่ถึงครึ่งอยู่ดี เพราะมีพวกแปรพักตร์ไปหลายสิบคน
แถมยังมีเตรียมจะเผ่นอีกหลายคนแต่ยังไม่กล้าเปิดตัวออกมา
จะว่าไปแล้วในการเลือกตั้งปี 48 ซึ่งเป็นปีที่ทักษิณฮ็อตสุดสุด
จน ทรท. ได้เสียงเกินครึ่งพรรคเดียว
ในปีนั้นมีผลมาจากการรวมหลายพรรคเข้าด้วยกัน
เช่น ความหวังใหม่ ของบิ๊กจิ๋ว
และหลายๆ พื้นที่ชนะได้เป็น ส.ส. ก็จริงแต่คะแนนไม่ถึงครึ่ง
แต่ได้เป็นเพราะมีหลายพรรคแข่งกันแบบเสรีไม่มีการฮั้วกัน
ทำให้คะแนนแตกกระจายถึงมีเสียงไม่ถึงครึ่งก็มีโอกาสชนะได้
มีลักษณะแบบนี้หลายเขตทั่วประเทศ
จะเห็นได้ว่าขนาดช่วงฮ็อตที่สุด ถ้าเจอการสุมหัวรุม
ก็อาจต้องเสียจำนวน ส.ส. ไปจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว

แล้วปัจจุบัน ซึ่งผ่านการถูกโจมตีทางการเมือง
จากปี 48 มาถึงวันนี้ เสียคะแนนนิยมไปมากพอสมควร
โดยอาจเสียไปเพราะกระแสการโจมตี
กับเสียไปเพราะการแปรพักตร์ของ ส.ส. เดิม
แฟนคลับของ ส.ส. คนนั้นก็หันหลังให้ตาม ส.ส. คนนั้น
มองยังไงก็ไม่มีทางฮ็อตได้เหมือนปี 48
แถมหัวหน้าพรรคก็ไม่ชัดเจน
เราว่าไม่กล้าเลือกเพราะกลัวพรรคแตกเร็ว
มากกว่ากลัวฝ่ายตรงข้ามเล่นงานอย่างที่อ้าง
เพราะมีหลายกลุ่มชูหัวหน้าพรรคมารวมแล้วหลายคน
เลือกคนไหนก็อาจมีผลทำให้เกิดอาการกระเพื่อมในพรรคได้ทั้งนั้น
จึงต้องยื้อจนใกล้วันเลือกตั้ง เพื่อให้คนที่จะแปรพักตร์คิดหนัก
เพราะอาจมีปัญหาเรื่องข้อกฏหมายในการย้ายพรรคกับวันลงสมัครรับเลือกตั้ง
ต่างๆ เหล่านี้ล้วนทำให้เชื่อได้ว่า
พรรค พท. จะไม่ได้เสียงข้างมากเกินครึ่งหนึ่งในสภาแน่นอน
แต่อาจได้เสียงมากกว่าพรรคอื่นๆ เหมือนเดิม

เนื่องจากการเมืองปัจจุบันไม่ได้เป็นการเมืองเหมือนแต่ก่อน
ที่พรรคไหนชนะมาก็มีสิทธิ์ได้เป็นรัฐบาลชัวร์ๆ
ถ้าลองเขาหน้าด้าน ถีบสมชายตกเก้าอี้แล้วแย่งเก้าอี้ไปประเคนอภิสิทธิ์แล้ว
งวดหน้า มีเหตุผลอะไรถึงเชื่อว่าเขาจะไม่ทำแบบเดิมอีก
และมีเหตุผลอะไรถึงเชื่อว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะกล้าหือ
กับผู้จัดการรัฐบาลตัวจริง ที่ไม่ใช่พวก ส.ส.
เพราะงวดที่แล้วก็ไม่กล้าหือ อนาคตอีกร้อยปีก็ไม่กล้าหืออยู่นั่นแหล่ะ
ถ้าโครงสร้างยังเป็นแบบปัจจุบัน
หือขึ้นมาก็โดนแจกทั้งคดี ลูกปืน นั่นนี่เพียบ
เนื่องจากปัจจุบันการเมืองเปลี่ยนไปแล้ว
เป็นลักษณะประหัตประหารให้สิ้นซากกันไปข้างหนึ่งให้ได้
เหมือนกับการเมืองช่วงยุคสงครามเย็นในบางประเทศ
จะมีการใช้อำนาจทั้งบารมี เงิน และอาวุธ
เข้ามาแทรกแซงการเมืองอย่างโจ่งแจ้งมากขึ้น

ดังนั้นใครคิดจะหวังว่า พท. จะชนะเลือกตั้งงวดหน้าในปี 2554 (ถ้ามี)
โปรดทำใจได้เลย เพราะงวดที่แล้วมีเสียงข้างมาก
โดนเขาถีบตกเก้าอี้แย่งเก้าอี้ไป ยังไปปรองดองกับเขาได้
งวดหน้าถ้าโดนอีก ก็อาจโกรธในช่วงแรกๆ
แต่สักพักก็คงกลับไปปรองดองอีกเหมือนเดิม
เพราะยังไงก็ไม่กล้าสู้อยู่แล้ว โดนขนาดนี้แล้วยังไม่กล้า
ก็คงไม่กล้าตลอดไปนั่นแหล่ะ
สุดท้ายพรรค พท. จะแตกเป็นพรรคเล็กพรรคน้อย
สมหวังที่ผู้มีอำนาจต้องการ
เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่ยังไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง
ยังพร้อมยอมรับสภาพทุกอย่างที่โดนกระทำ
การก่อม็อบก็ไม่ได้เน้นปลูกฝั่งการลุกขึ้นสู้อะไรมากนัก
เน้นเฉพาะงาน คือจบแล้วก็จบกันเป็นงานๆ
เพียงแต่ชาวบม็อบบางคนเขาเอาชีวิตไปเสี่ยงตายมา
เขาก็เลยไม่คิดจะจบตามนักการเมืองไป
ซึ่งจุดนี้จะเป็นตัวชี้ขาดในอนาคต

เนื่องจากไม่สามารถพึ่งนักการเมืองได้
เพราะส่วนใหญ่ยังไม่กล้าสู้กล้าชนมากนัก
ก็คงเหลือแต่กลุ่มคนที่รวมๆ แล้วเรียกสั้นๆ ว่าคนเสื้อแดง
เพราะมันมีหลายสี ในช่วงกีฬาสีการเมืองไทยขณะนี้
ซึ่งหลายคนอาจจะมีแนวของตนเองหรือหลายสี
แต่ก็ยังมาช่วยกันหนุนเสื้อแดงเพราะคนมากย่อมดีกว่าคนน้อย
และแนวทางเริ่มจะใกล้กันเข้าไปทุกวันแล้ว
เรียกว่ายิ่งสู้กันไปนานๆ เดี๋ยวแนวทางก็ไปในแนวเดียวกัน
เพราะพวกที่มีแนวทางล้ำหน้าชาวบ้านก็คือพวกที่เคยสู้มาก่อน
อาจจะเคยสู้มาตั้งแต่ 14 ตุลา 6 ตุลา หรือพฤษภาทมิฬ
ก็เลยเกิดอุดมการณ์จากการหล่อหลอมโดยธรรมชาติในการต่อสู้
ดังนั้นพวกที่พึ่งลุกขึ้นสู้ไม่กี่ปีไม่กี่เดือนมานี้
อาจยังมีอุดมการณ์ไม่ถึงสิ่งที่คนรุ่นก่อนไปถึงแล้ว
แต่ยิ่งสู้ด้วยกันไปนานๆ
เดี๋ยวก็จะเกิดการหล่อหลอมโดยธรรมชาติไปเอง
จนอุดมการณ์ใกล้เคียงกันหรือตรงกันในที่สุด

กลุ่มนี้น่าจะเป็นหลักในการต่อสู้
ส่วนพรรคหรือนักการเมืองก็คงแอบช่วยอยู่ด้านหลัง
หรือไม่ก็นิ่งเฉยตามฟอร์ม
แต่ถ้าวันไหนใกล้ชนะต่อให้แตกเป็นสารพัดพรรค
ก็คงกลับตัวมาหนุนกันแทบไม่ทัน
เนื่องจากการต่อสู้ทางการเมืองเปรียบเหมือน 3 ก๊ก
จะมีก๊กเรากับก๊กเขาเท่านั้นที่สู้กัน
ส่วนก๊กอื่นหรือไม่คิดเคลื่อนไหวอะไร
แม้จะมีมากสุดแต่ก็ต้องยอมรับสภาพตอนจบ
ไม่ว่าก๊กเราหรือก๊กเขาชนะ
คือถ้าก๊กเขาชนะก็คงเป็นแบบพม่าหรือแซงพม่าก็ได้แต่เนียนกว่า
แต่ถ้าก๊กเราชนะโอกาสที่ประชาชนจะมีสิทธิมีเสียงมากขึ้น
และมีประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ในอนาคตต่อไป
ก๊กอื่นๆ หรือคนที่ไม่เคลื่อนไหว จะจำยอมรับสภาพ
โดยที่พวกเขาสละสิทธิ์ไม่คิดต่อสู้เพื่อเลือกเส้นทางด้วยตัวเอง

ในช่วงยุคมืดการเมืองไทยอีกหลายปีต่อไปนี้
บางทีจำเป็นต้องยอมรับสภาพเพราะไม่รู้จะทำยังไง
เมื่อเห็นพวกกินกันมูมมามโดยไม่สนใจสายตาประชาชน
ประชาชนหาหลักฐานฟ้องไปก็รอดหมด
เพราะผู้มีอำนาจหนุนหลัง ให้กินได้แบบเสรีไม่มีคดีอะไร
อาจต้องเสียทั้งงบประมาณมากมายโดยไม่น่าเสีย
อาจต้องเสียภาพลักษณ์ของประเทศ
อาจต้องเสียน้ำตากันอีกหลายๆ รอบ
และอาจต้องเสียอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย
เพราะระยะสุดท้ายของไดโนเสาร์
มันมักจะฟาดงวงฟาดหางไล่กระทืบและดิ้นทุรนทุราย
หลายสิ่งหลายอย่างอาจโดนหางเลขถูกทำลายไปได้
สังเกตุจากสัตว์เวลาใกล้จะตายแล้วจินตนาการจะเห็นภาพ

อาจต้องทนกันไปอีกหลายปีกับรัฐบาลลักษณะนี้
คล้ายๆ สมัยยุคเปรมเป็นนายก
พรรคไหนชนะมายังไงก็ต้องให้เปรมเป็นนายก
ไม่เช่นนั้นก็ไม่ได้ร่วมรัฐบาลเพราะไม่ได้เสียงเกินครึ่งของสภา
แต่งวดนี้อาจจะเนียนกว่า
คือพรรคไหนชนะมาไม่รู้
แต่พรรคที่ผู้มีอำนาจหนุนเท่านั้นถึงจะได้เป็นรัฐบาล
เพราะโครงสร้างเป็นแบบนี้
กกต. ตัดสินหลายคดีช่วยอีกพรรคเล่นอีกพรรคยังไง
ก็ยังยอมรับให้เป็นกกต. เพื่อโดยเล่นอีกในงวดหน้า
รธน. ปปช. ศาล ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจใหญ่
และอีกมากมายในโครงสร้างนี้
ซึ่งพวกนี้แหล่ะช่วยทำให้โครงสร้างแปลกๆ แบบนี้อยู่ได้
ถ้าไม่คิดแก้ไขโครงสร้างให้มันดี
ไปเสียเวลานั่งไล่บี้ทีละองค์กร
อีกชาติหนึ่งก็เหมือนเดิม
สมมุติไปไล่บี้ให้ กกต. ออกได้หมด
เดี๋ยวก็อาจได้ กกต. ชุดใหม่แต่ใจรับใช้ผู้มีอำนาจเหมือนเดิม

ดูๆ แล้วต้องทำทุกวิถีทางสู้เพื่อแก้ รธน.
ให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงให้ได้
เพื่อจัดระเบียบองค์กรต่างๆ ใหม่หมด
ซึ่งคงไม่ใช่แก้แค่มาตรา 2 มาตราแบบที่ทำกัน
แต่ต้องแก้ทั้งฉบับทั้งระบบโครงสร้าง
เพื่อไม่ให้มีอำนาจเผด็จการแฝงกายอยู่ในมาตราใดเลย
และทุกองค์กรจะต้องให้ประชาชนตรวจสอบได้ทั้งหมด
แบบนี้แล้วยังพอมีหวังว่าการเมืองจะดีขึ้น
โดยที่พรรคใดมาเป็นรัฐบาลก็ต้องอยู่ภายใต้อำนาจประชาชน
ไม่ใช่ไปอยู่ใต้อำนาจอื่นใดแล้วไม่เห็นหัวประชาชนแบบทุกวันนี้

โดย มาหาอะไร
FfF