บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


14 มีนาคม 2554

<<< ผมไม่เชื่อว่าม็อบในโอวาทผู้มีอำนาจ จะกล้าต่อกรกับผู้มีอำนาจจริงๆ >>>

ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องหรือกระทบกับผู้มีอำนาจ
การกระทำปัจจุบันและอดีตบางทีมันบอกถึงอนาคตได้เหมือนกัน
ใครไม่เชื่อติดตามต่อไปไม่เกิน ปีสองปีนี้ได้ตาสว่างกันเองแน่ๆ
ตอนนี้อาจยังมองไม่เห็นสำหรับบางคน
พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าเสี้ยมทำให้แตกแยก
แต่ต้นตอของความแตกแยก สืบไปสืบมาจนถึงต้นตอ
จะพบว่าเริ่มมาจากฝ่ายไหนกันแน่

และขอพูดตรงๆ เลยน่ะ แบบเอาความจริงมาพูดกันไปเลย
ถ้าเกิดรัฐประหาร หรือโดนยุบพรรค หรือโดนโกงเลือกตั้งอีก
หลายคนเชื่อว่าจะเกิดม็อบออกมาต่อต้านรุนแรงแตกหักอะไร
ผมว่าไม่เกิดอะไรก็ได้ ตราบใดผู้นำม็อบเสื้อแดงตัวจริง
ยังกลัวเพราะอาจมีทรัพย์สินญาติพี่น้องในไทยเยอะ
และเขาคงไม่ได้เกิดมาเป็นนักต่อสู้
แนวเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศก็เป็นได้

ม็อบเสื้อแดงคนเยอะก็จริง แต่มันเป็นภาพลวงตา
เวลาเกิดเหตุ เช่นแกนนำโดนจับขังคุก
มีคนกล้าไปเย้วๆ หน้าเรือนจำระดับหลายพันคนเท่านั้น
ยิ่งแถวศาล ประมาณหลักหลายร้อยคนเท่านั้นเอง
ยกเว้นครั้งหลัง ที่หลอกม็อบใหญ่
ไปตั้งต้นแถวนั้นหรือยกไปหยุดแถวนั้น
แต่เป็นม็อบใหญ่ ที่มีการระดมพลเข้ามาช่วย
แต่ประเภทกล้าไปเองเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไร มีน้อยมาก
เพราะฝึกกันมาแบบนั้นเอง โทษใครไม่ได้
แล้วถ้าวันหนึ่งอยากรู้ว่าพวกสู้เพื่อประชาธิปไตยจริงๆ
กับมวลชนนักการเมืองสู้เพื่อพรรคและพวกของนักการเมือง
ต่างมีเท่าไหร่ วันที่เกิดแตกคอกันเองระหว่างสองกลุ่มก็จะรู้เอง
ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีบ้างแล้ว แต่มวลชนก็ยังไม่มากกว่าพวกพันธมิตร
ที่แตกคอกับนักการเมืองแล้วในตอนนี้

มวลชนนักการเมืองไม่ใช่พวกที่เขาหนุนค่ารถมาเท่านั้น
ยังรวมไปถึงพวกที่ไปเองแต่พร้อมเดิมตามนักการเมืองทุกอย่าง
ถ้าเราเอาความจริงมาพูดกันตั้งแต่วันนี้
เราจะเตรียมตัวได้ดีกว่าการคิดแบบภาพลวงตา
เห็นม็อบใหญ่คนเยอะ แล้วคิดฝันไปไกลเกินจริง
แต่ถ้าทำม็อบเปลี่ยนไปอากแนวเดิม อาจฝันได้ไกลขึ้นก็ได้
ปัจจุบันคนมาร่วมเยอะก็เพราะมีการระดมพลเข้ามาเยอะ
และสถานการณ์ทั่วไป ต้องไม่มีการปะทะหรือว่ามีอะไรรุนแรง
ไม่งั้นจำนวนมากจะมามุกกูไม่รู้กูป่วยขึ้นมาทันที
ถ้าให้มาฟังปราศรัยอย่างเดียว บางคนถึงจะกล้าออกมา
มีแบบนี้เยอะๆ เพื่อความสวยงามกับนำไปต่อรองได้
แต่ต้านรัฐประหารกับรื้อโครงสร้างไม่ได้หรอก

เหมือนแม่น้ำสองสาย สายหนึ่งมีปลาทองอาศัยอยู่ล้านตัว
กับอีกสายหนึ่งมีปลาปิรันย่าอาศัยอยู่ 100 ตัว
แม่น้ำสองสายนี้สายไหนน่ากลัวกว่ากัน
แล้วถ้าสายที่มีปลาปิรันย่าอยู่มีเป็นหมื่นเป็นแสนตัว
เวลาจะต้องลุยน้ำข้ามฝั่งไป
แบบไหนจะรู้สึกน่ากลัวและกดดันมากกว่ากัน

ส่วนเรื่องการเลือกตั้งที่พวกนักการเมืองหวัง
จริงๆ แล้วมันเข้าทางฝ่ายตรงข้าม
ไม่มีทางได้เกินครึ่ง ไม่มีกระแสฟีเว่อร์ขนาดนั้นในชั่วโมงนี้
ต้นทุน ส.ส. เก่าให้ 200 คนรักษาเก้าอี้ได้หมดก็บุญแล้ว
และสมมุติได้เพิ่มมาอีกหลายสิบคน แต่โดนสอยโดนแขวน
หรือแจกใบแดงสกัด เรียกว่าโดนแกล้งสารพัดแน่นอน
ยิ่งถ้าแพ้แล้วยอมรับสภาพ ก็ไม่ต่างอะไรกับ
การพามวลชนมาเลิกม็อบต่อต้านผู้มีอำนาจแบบเป็นพิธีดีๆ นี่เอง

แทนที่จะบอยคอตอาศัยเหตุความไม่เป็นธรรมในการแก้รธน.
จนต้วเองเสียเปรียบและกรรมการไม่โปร่งใสทั้งหลาย
ก็ชุดเดิมอยู่กันพร้อมหน้า กติกาก็ของเดิม
ผู้มีอำนาจทุกระดับถูกบังคับให้ช่วยผู้มีอำนาจใหญ่
ยิ่งระดับผู้ว่าลงมา ที่จะช่วยให้อีกฝ่ายชนะ
เท่ากับเปิดโอกาสให้พวกผู้มีอำนาจ
ได้มีลุ้นกลับมามีอำนาจอย่างชอบธรรมแถมลดแรงต่อต้านดีๆ นี่เอง
แม้คะแนนพรรคร่วมปัจจุบันแต่ละพรรคจะได้น้อยกว่าพรรคเพื่อไทย
แต่ไม่มีกติกาบอกว่าสุมหัวกันระหว่างเสียงน้อยๆ
จนเสียงเกินครึ่งเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้หนิ
และงวดที่แล้วที่โดนปล้นอำนาจไปก็มุกนี้ไม่ใช่หรือ
แล้วถ้าเขาใช้มุกเดิมจะทำไมเขาหรือ
ก็เห็นยอมรับสภาพง่ายๆ
แถมทำม็อบไปทำม็อบมาใกล้เลือกตั้ง
ก็กลับมาลุ้นเลือกตั้งเพื่อถูกโกงอีก

แทนที่บอยคอตปลุกคนให้เห็นว่า กติกาก็โกง กรรมการก็โกง
เลือกภายใต้สถานการณ์แบบนี้มีแต่จะโดนปล้นชัยชนะ
สิ่งที่ชาวบ้านต้องการและอยากหวังให้พรรคได้เป็นรัฐบาลก็หมดสิทธิ์ง่ายๆ
นอกจากจะออกมาช่วยกันลุยทำโครงสร้างประเทศให้ดีก่อน
ยิ่ง ส.ส. กล้าออกหน้าพามวลชนออกมาเยอะๆ ด้วยแนวลุกขึ้นสู้
คือทำให้พร้อมสู้ถ้าโดนปราบ โดนสลาย
ถ้าประกาศคว่ำบาตรและยื่นคำขาดให้แก้กติกาให้ดี
พร้อมให้เปลี่ยนกรรมการใหม่ ไม่เปลี่ยนดันทุรังต่อไปก็แตกหักโดยธรรมชาติ
เพราะคนเกือบค่อนประเทศไม่ได้สนับสนุนการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้
จะดันทุรังเลือกตั้งไปก็ไม่สง่างาม ไม่มีคนยอมรับผลเลือกตั้งจำนวนมาก
มีปัญหามากมายตามมาแน่นอน ที่สำคัญสถานการณ์จะบีบฝ่ายตรงข้าม
ให้เลือกว่าจะแตกหักหรือจะยอมคายอำนาจ
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกในเวลานี้เ
ยิ่งทำให้ได้เปรียบถือไพ่เหนือฝ่ายตรงข้ามแล้ว
เพียงแต่ใจไม่ถึง โดนเขาเกมาไม่กล้าเกกลับกลัวแพ้เอง
โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่หนุนฝ่ายประชาธิปไตยขณะนี้
ไม่มีอุดมการณ์สู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงเลยไม่กล้าสู้แบบนี้
ชอบแบบง่ายๆ ไม่เสี่ยง เล่นการเมืองไปวันๆ
พร้อมยอมรับสภาพโดนโกงยังไงก็ยอมรับได้
ขอให้คงสภาพเล่นการเมืองต่อไปได้
หรือนำไปต่อรองผลประโยชน์ได้บ้าง ก็พอใจแล้ว
จึงไม่จำเป็นต้องมีประชาธิปไตยที่แท้จริงอะไรก็ได้แบบนั้น
ที่สำคัญถ้าคิดว่าเลือกตั้งงวดนี้ชนะชัวร์แน่นอน
ในช่วงเวลาหลายเดือนก่อนรัฐบาลนี้หมดวาระ
ซึ่งพวกนี้จะยื้อจนผ่านงบประมาณปีหน้าได้สำเร็จ
นั่นแหล่ะถึงค่อยยุบสภามีเวลามากมายในช่วงนี้
ที่จะบอยคอตล่วงหน้าและเร่งให้ทำกติาและหากรรมการให้ดีก่อน
ถึงเวลาเลือกจริงต่อให้ยื้อข้ามไปอีกปี
สถานการณ์ก็จะยิ่งบานปลายเข้าไปอีก
ดีกว่าไปหนุนให้พวกนั้นครองอำนาจแบบชอบธรรม
ผ่านการเลือกตั้งแบบสกปรกแบบที่กำลังทำอยู่นี้
รอมาได้หลายปีทำไมไม่คิดทำให้มันดีทีเดียว
ค่อยไปเลือกก็ยังทัน ยังไงคนหนุนมากก็ชนะอยู่แล้ว
โอกาสดีที่สุดแล้วตอนนี้

ผมฟังปราศรัยเวทีใหญ่ครั้งล่าสุด
สิ่งหนึ่งที่ณัฐวุฒิไม่ได้บอกคือ
ถ้าแพ้เลือกตั้งจะทำยังไงหรือเป็นยังไง
มองแค่ด้านเดียวว่าจะชนะแน่
ทั้งๆ ที่โดนเขาจ้องจะโกงซะขนาดนั้น
และต้นทุน ส.ส.เก่า ลดน้อยลงไม่ถึง 200 ขณะนี้
กระแสวันนี้ก็ไม่ได้แรงเหมือนปี 48
ที่เลือกตั้งชนะมาถล่มทลาย 19 ล้านเสียง
และอีกหลายๆ อย่าง โอกาสแพ้มีสูงมาก
และจะไปกันต่อไม่เป็น
จะเป็นเหมือนพวกขี้แพ้ชวนตีมากกว่า
และเคยได้เป็นรัฐบาลมาแล้วสองครั้งหลัง
แต่แก้รัฐธรรมนูญ 50 ไม่ได้ แม้แต่มาตราเดียว
แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์แก้ได้เพราะแก้เข้าทางฝ่ายผู้มีอำนาจ
งวดหน้าต่อให้ชนะถล่มทลายแค่ไหนก็ไม่กล้าอยู่ดี
เพราะไม่กล้าคิดชนกับผู้มีอำนาจอยู่แล้ว
เลิกฝันได้เลยตามขั้นตอนที่มีแกนนำอีกคนบอกว่า
จะชนะเลือกตั้งครั้งนี้ให้ได้
ล้วขั้นต่อไปแก้ไข รธน.50
แล้วค่อยโค่นอำมาตย์ทีหลัง

ทุกวันนี้แค่มาตรา 112 ยังไม่กล้าแม้แต่จะแตะเท่าไหร่เลย
มันก็บ่งบอกถึงอนาคตได้ว่า ไม่กล้าทำอะไรหรอก
เพราะอดีตและปัจจุบันมันสามารถทำนายอนาคตได้พอสมควร
แค่มาตราเดียวยังไม่กล้าแตะอย่างอื่นก็หวังไม่ได้
ถ้าบอกว่าแตะตอนนี้กลัวเสียคะแนนเสียง
แล้วหลังเลือกตั้งชนะมาไปแตะตอนนั้น
ไม่กลัวเสียคะแนนเสียงหรือ
และประชาชนตอนเลือกไม่มีเรื่องนี้
จะกล้ามาเสนอภายหลังไม่กลัวโดนด่าตอนหลังหรือ

สรุปว่าแกนนำหลายคนพูดดี พูดได้น่าฟังหลายคนด้วย
แต่ดูจากการกระทำแล้วคิดว่าทำไม่ได้อย่างที่พูด
เหมือนที่เรามองอภิสิทธิ์นั่นแหล่ะ
พูดเก่ง โน้มน้าวเก่ง น่าเชื่อถือ
แม้แต่จตุพรที่ว่าแน่ๆ เจอกันในสภายังเอาไม่ลง
ขนาดหลักฐานชัดยังดิ้นหลุดไปได้
แต่การกระทำเป็นลักษณะพูดอย่างทำอีกอย่าง
หรือดีแต่พูด และตราบใดยังทำตัวเป็นม็อบในโอวาทผู้มีอำนาจ
จะมาโม้ให้ฟังยังไงว่าอนาคตจะกล้าสู้กับพวกนั้น
ใครจะเชื่อก็เชื่อไปไม่ว่ากัน ส่วนตัวขอบอกว่าไม่เชื่อ
การกระทำจะพิสูจน์คำพูดได้ และกาลเวลาจะพิสูจน์คนได้เหมือนกัน
รอให้ถึงสิ้นปีนี้อาจจะเห็นอะไรดีๆ อีกเยอะ
พูดตอนนี้อาจยังมองไม่เห็นกัน

อีกอย่างถ้าวิจารณ์แกนนำหรือผู้บริหารองค์กรม็อบเสื้อแดงไม่ได้
เพราะกลัวแตกแยก กลัวนั่นนี่ ผมว่าถ้ายึดหลักการแบบนี้
มาใช้กับองค์กรระดับประเทศคงไปแตะอภิสิทธิ์ไม่ได้เหมือนกันน่ะ
เพราะจะทำให้ประเทศแตกแยก อภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน
เพราะรัฐบาลนี้ก็อ้างได้ว่ากำลังต่อสู้กับปัญหาเศรษฐกิจอย่ามาขัดแข้งขัดขาอะไร
คือถ้าเป็นม็อบประกาศว่าจะเรียกร้องเฉพาะผลประโยชน์พรรคและพวกเท่านั้น
ก็จะไม่ไปแตะเลย แต่เห็นว่าจะเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงอะไรด้วย
การอภิปราย หรือวิจารณ์การทำงานของผู้บริหารทุกองค์กร
ไม่เว้นแม้แต่ในม็อบ ก็คือประชาธิปไตยที่แท้จริงส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญ
ไม่มีที่ไหนในโลกที่พูดได้เต็มปากว่าเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว
แต่ห้ามใครมาวิจารณ์นั่นนี่ ต่อผู้บริหารองค์กรหรือผู้บริหารระดับประเทศ
ถ้าสิ่งที่ถูกประชาชนหรือมวลชนวิจารณ์ มันไม่จริง
ก็สามารถโต้แย้งกลับได้ทุกประเด็น แต่การห้ามลักษณะปิดปาก
ด้วยคำพูดสวยหรูประเภทเดี๋ยวทำให้แตกแยก
การปิดปากแบบนี่แหล่ะตัวการทำให้แตกแยกของจริง
เพราะถ้าคิดจะเป็นนักประชาธิปไตยแล้ว
โดนใครมาห้ามลักษณะจะปิดปาก
ก็คงเกิดอาการต่อต้านกันขึ้นมาแน่นอน

บางคนบอกว่าชูประเด็นต่อต้าน 112 จะโดนข้อหาล้มเจ้า
แล้วจะโดนรัฐประหารนั่นนี่ แล้วตอนนี้ นปช. โดนกี่ข้อหาแล้วครับ
ทั้งล้มเจ้าก็เคยโดนมาแล้ว ผู้ก่อการร้ายก็โดนมาแล้ว
ล่าสุด โดนหลอกด่าว่าเป็นคอมมิวนิสต์อีกด้วย
3 ข้อหาแรงๆ ทั้งนั้นที่เวทีใหญ่โดน
ในขณะที่เวทีเล็กโดนแค่ 2 ข้อหาใหญ่ๆ
คือล้มเจ้ากับเป็นคอมมิวนิสต์ ไม่มีผู้ก่อการร้าย
เพราะไม่ได้นำในการเคลื่อนพลปีที่แล้ว เพราะคนน้อยกว่า
จะเห็นได้ว่า ข้อกล่าวหามีครบทุกข้อกล่าวหาหลักๆ แล้ว
ก่อนจะพูดเรื่อง 112 ด้วยซ้ำ ดังนั้นข้ออ้างที่ว่า
ถ้าไม่พูดเรื่อง 112 เวทีใหญ่จะมีภาพลักษณ์ดีขึ้น
จึงไม่เป็นความจริง เพราะฝ่ายตรงข้ามและมวลชนของเขา
พร้อมเชื่อทุกข้อกล่าวหาเพื่อทำลายฝ่ายเสื้อแดงอยู่แล้ว
ถ้ามัวแต่กลัวชาตินี้ก็ไปไม่ถึงไหน มาฟังปราศรัยแล้วกลับไปวันๆ
จัดอีกกี่สิบปีก็ไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีข้อเรียกร้อง
ประเภทกล้าด่าแต่ไม่กล้าเรียกร้อง
กับแบบมีข้อเรียกร้องแล้วไม่ต้องปราศรัยอะไรเลย
แค่คนไปร่วมชุมนุมกันยังจะดีกว่าอีก
กดดันฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่าอีกถ้าคนเยอะพอๆ กัน
ถ้าคิดจะชุมนุมแล้วไม่กดดันอะไร
ก็คงเป็นการชุมนุมที่เรื่อยเปื่อยแบบไม่หวังผลอะไร

ส่วนเรื่องกลัวจะเข้าทางสมัย 6 ตุลา
แค่ 6 ศพยังเอาตัวไม่รอดโยนกันไปโยนกันมา
ทำแบบ 6 ตุลาวันไหน ก็เข้าทางเท่านั้นเอง
พ.ศ. นี้ กับ พ.ศ. นั้น มันต่างกัน
วิธีที่เคยทำแล้วได้ผล พ.ศ. นั้น
มาทำ พ.ศ. นี้ ผลอาจไม่จบเหมือนเดิมก็ได้
และคิดว่าคงไม่จบแบบเดิม
นี่ก็คือไพ่อีกใบที่ถืออยู่เหนือฝ่ายตรงข้าม
ขาดแค่ใจไม่ถึงจึงไม่กล้าเกกลับ
ยอมหมอบดื้อๆ ซะยังงั้น

โดย มาหาอะไร
FfF