ธปท.หวั่นรบ.ใหม่ก่อหนี้ซ่อนเร้น เตือนอัดฉีดผ่านแบงก์รัฐมากเกิน ส่งซิกทยอยขยับดบ.ปีนี้อีก3ขยัก
วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 10:53:47 น.
แบงก์ชาติเผยอัตราว่างงาน มิ.ย.ลดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ดันบริโภคครึ่งปีหลัง เล็งขยับเป้าเงินเฟ้อปีนี้ ส่งสัญญาณขยับ ดบ.อีก 3 ครั้ง ห่วง รบ.ใหม่กระตุ้น ศก.ผ่านแบงก์รัฐ ก่อหนี้ซ่อนเร้น เสี่ยงเกิดฟองสบู่ ด้าน ก.พาณิชย์เชื่อเงินเฟ้อทั้งปีไม่เกิน 3.7% จับตาพลังงาน-ค่าเงิน เตือนกระแสวิตกป่วนเศรษฐกิจ
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปาฐกถาพิเศษเรื่อง มองเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้ง ว่า ในการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือนมิถุนายนของ ธปท.ในวันที่ 29 กรกฎาคม พบว่าในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ยังมีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกด้าน ทั้งอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จะส่งผลให้การบริโภคในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ยังไปได้ต่อ และคาดว่าส่งออกทั้งปีจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 20%
นายไพบูลย์กล่าวว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง เกิดขึ้นพร้อมความเสี่ยงด้านเสถียรภาพ และแรงกดดันเงินเฟ้อด้านราคาที่เพิ่มขึ้น จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ทำให้ในช่วง 1-2 ไตรมาสข้างหน้า เงินเฟ้อพื้นฐานในบางเดือนอาจสูงกว่าเป้า แม้ว่ารัฐบาลจะขยายมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ ซึ่งเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ส่งผลให้ทิศทางนโยบายการเงินคงต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นและภาคอสังหาริมทรัพย์ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อีก 3 ครั้งในปีนี้
ในการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจในวันที่ 29 กรกฎาคมนี้ คงเห็นการปรับคาดการณ์เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น นโยบายด้านการเงิน การคลัง และอัตราแลกเปลี่ยน จึงควรลดการกระตุ้นเศรษฐกิจ พยายามจัดการให้แรงกระตุ้นเศรษฐกิจสอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า หากรัฐบาลชุดใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจร้อนแรง นายไพบูลย์กล่าว
นายไพบูลย์กล่าวว่า มาตรการที่น่าเป็นห่วงและต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ นโยบายผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ที่คิดเป็นวงเงินสูงถึง 4 แสนล้านบาท คิดเป็น 20% ของงบประมาณภาครัฐ ส่วนนี้จะเป็นภาระหนี้ซ่อนเร้น ไม่ได้อยู่ในหนี้สาธารณะ แต่จะเป็นภาระต่อภาษีและประชาชนในระยะข้างหน้า
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงยืนยันเป้าหมายเงินเฟ้อปีนี้เป็นไปตามคาดการณ์ คือขยายตัวที่ 3.2-3.7% โดยจับตา 2 ปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลต่อเงินเฟ้อ คือราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งแนวโน้มเงินเฟ้อครึ่งปีหลังของปีนี้ คาดว่าจะชะลอตัวจากครึ่งปีแรก โดยไตรมาส 3 จะลดต่ำกว่าประมาณการที่คาดไว้ 3.6% ส่วนเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมนี้คาดว่าจะขยายตัว 3.5% เพราะราคาสินค้าเริ่มปรับตัวใกล้เคียงกับราคาแนะนำที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้ รวมถึงการใช้มาตรการต่างๆ เข้าไปดูแลเรื่องราคาสินค้า
ส่วนกรณีที่มีความตื่นตระหนกของหน่วยงานราชการและนักวิชาการต่อการขยายตัวของเงินเฟ้อสูงเกินเป้าหมายนั้น นายยรรยงกล่าวว่า เป็นสิ่งที่น่าห่วงมาก เพราะจะส่งผลต่อจิตวิทยาของคนในประเทศและสร้างความปั่นป่วนให้กับระบบเศรษฐกิจ เหมือนกระแสตื่นตระหนกสินค้าน้ำตาลทราย น้ำมันปาล์ม จนทำให้เกิดการขาดแคลนจากการกักตุนจริง ทั้งที่ปริมาณสินค้ามีเพียงพอต่อการบริโภค
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1311825305&grpid=03&catid=&subcatid=
-----------------------------------------------------
เก็บข่าวนี้ไว้ยันในอนาคต
ว่าตัวการที่พยายามทำให้เศรษฐกิจหดตัวลง
ก็คือคนพวกนี้ไม่ใช่รัฐบาล
เพราะพยายามอย่างยิ่งยวดทันที
หลังรู้ว่าจะได้รัฐบาลยิ่งลักษณ์
ในขณะที่ช่วงอยู่ในรัฐบาลอภิสิทธิ์
ปล่อยให้กู้มาเป็นล้านๆ บาท
ทำงบขาดดุลหลายแสนล้านมากมาย
มาถลุงกระตุ้นเศรษฐกิจ
พอจะเปลี่ยนรัฐบาลปุ๊บ
ห่วงเงินเฟ้อขึ้นมาทันที
การขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ก็จะทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มขึ้น
เพิ่มกว่าขึ้นค่าเรงอีกสำหรับบางธุรกิจ
ของมันก็แพงขึ้น
มันจะแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้ยังไง
และคนที่ตกงานอยู่
หรือธุรกิจที่ทำมาค้าขายไม่ได้
ถึงขนาดกะหนีไปตายเอาดาบหน้ากับรัฐบาลใหม่
แทนที่จะเกาะรัฐบาลเก่า
จะได้ทำมาค้าขายได้เพิ่มขึ้น
คนตกงานน้อยลง
ก็จะถูกบีบให้เกิดสภาวะเงินฝืดแรงขึ้น
คือฝืดอยู่แล้วมาเจอพวกบอกว่า
ตอนนี้กำลังเกิดเงินเฟ้อ
เลยทำให้มันฝืดเบิ้ลเข้าไปอีก
แล้วจะทำมาค้าขายดีขึ้นได้ยังไง
หาทางเปลี่ยนผู้ว่า ธปท.
ก่อนจะโดนวางยาหนักกว่านี้
ถ้าเศรษฐกิจดีค้าขายดี
เกิดเงินเฟ้อแบบแท้จริงก็ยังขายได้
คนพอมีเงินซื้อ
แต่ถ้าเกิดเงินฝืดขายของไม่ได้
คนไม่มีเงินจะซื้อ
แล้วมาตะแบงว่าเกิดเงินเฟ้อแล้ว
โดยดูตัวเลขงบประมาณสมัยอภิสิทธิ์
กู้มาล้านล้านกว่าบาท
เอามาถลุงหรือนำมาซื้ออาวุธเพิ่ม
หรือไปทำโครงการขนาดใหญ่
ก็ต้องซื้อของนอกด้วย
ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบ
ไม่เต็มที่แถมหมุนกันอยู่แถวตลาดบน
ตลาดล่างได้แต่มอง
นานๆ มีตกลงมาใส่พวกเขาที
เงินเฟ้อที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าการปั่นราคาน้ำมันปาล์ม
จนมันแพงขึ้น เพราะการปล่อยปละละเลย
และรัฐอยากภาษีเพิ่มอีก
ถ้าลดราคาน้ำมันลงตามนโยบายรัฐบาลนี้
เพิ่มอัตราเงินเดือนหรือรายได้ขั้นต่ำ
แต่ถ้ามีนโยบายลดรายจ่ายด้านอื่นชดเชย
รวมไปถึงหาทางจัดการพวกฮั้วน้ำมันปาล์มได้
แบบนี้มันจะเฟ้อตรงไหน
เดี๋ยวราคามันก็ตกลงมาหมดแหล่ะ
ยิ่งถ้าประกาศไม่หนุนเอทานอล
ราคาขายน้ำมันปาล์มจะร่วงทันที
พวกกักตุนก็จะเจ๊งไปตามๆ กัน
แถมค่าเงินบาทกำลังแข็งค่าขึ้น
การเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
ก็คือการส่งเสริมให้เงินบาทแข็งค่าเร็วขึ้น
กองทุนต่างชาติจะโยกเงินมาฝาก
และทำกำไรจากตลาดหุ้นไปพลางๆ
การป้องกันเงินบาทแข็ง
เขาต้องลดอัตราดอกเบี้ย
นี่ทำสวนก็ยิ่งสนับสนุนให้เขาโยกเงินเข้าประเทศ
เพื่อมาเก็งกำไรค่าเงินบาทมากขึ้น
ทำให้บาทแข็งเร็วขึ้นไปอีก
ถ้ากลัวเกิดฟองสบู่ตลาดหุ้น
ก็ต้องหาทางสกัดเงินกองทุนนอก
ไม่ให้ไหลเข้าประเทศมากๆ
เพราะเขาจะได้กำไรตอนขนออก
ทั้งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและหุ้น
เมื่อแนวโน้มเงินบาทแข็งแบบนี้
สินค้าต่างประเทศทั้งหมด
โดยเฉพาะที่มาจากอเมริกาหรือยุโรป
ที่ค่าเงินลดลงเทียบกับบาท
ก็จะราคาถูกลงกว่าเดิม
เท่ากับซื้อของนอกได้ถูกขึ้น
ไปเที่ยวนอกได้ถูกลง มันเฟ้อยังไง
มันเฟ้อเฉพาะคนที่มีเงินเดือนสูงๆ
ส่วนระดับล่างเขากำลังจะตาย
และมีจำนวนมากด้วย
ไม่งั้นคงไม่ชนะรัฐบาลอภิสิทธิ์
ที่ทั้งแจกทั้งแถมแหลกแบบนั้นมาได้หรอก
เงินเฟ้อแค่ 3-4% ทำผวา
ประเทศเกษตรกรรมแบบไทย
สามารถคุมสินค้าอุปโภคบริโภค
ให้ราคาเหมาะสมได้
ต่อให้เงินเฟ้อแบบแท้จริงอีก 10%
ก็ไม่ถึงกับตาย นี่เฟ้อ 3-4%
แบบรวมพวกเฟ้อเทียม
ที่สามารถทุบให้หยุดเฟ้อได้ด้วยนโยบายของรัฐ
เช่นจัดการพวกฮั้ว พวกตุน
และลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันลงมา
ทุกอย่างจะราคาถูกลงกว่าเดิม
ข้าวแกงไม่กล้าขยับขึ้นมาก
เผลอๆ จะเห็น 20-25 บาท กลับมาอีก
ไม่ใช่ไต่ 30 ขึ้นแบบปัจจุบันนี้
เพราะถ้าต้นทุนเขาถูกขืนคงอัตราแพงไว้
เดี๋ยวมีคู่แข่งยกเว้นทำอร่อยจริงคนซื้อต้องง้อ
ก็ถือว่าเป็นเรื่องเงินเฟ้อของคนมีเงิน
แต่คนทั่วไปมีทางเลือกที่ถูกลง
สำหรับทางการเมืองแล้ว
เงินฝืดมีผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล
ทั้งปัจจุบันและอนาคตเรียกว่า
หมดอนาคตทางการเมืองไปเลย
ถ้าทำให้เกิดเงินฝืด
ส่วนเงินเฟ้อถ้าเฟ้อไม่มากคนยังมีเงิน
ก็เลี่ยงไปซื้อสินค้าอื่นมากินมาใช้ทดแทนได้
ขอฟันธงว่า
รัฐบาลนี้กำลังจะเจอการเตะสกัดขาอย่างแรง
ในขณะที่รัฐมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพราะเห็นว่าระดับรากหญ้าธุรกิจทำมาหากินลำบาก
แต่หน่วยงานอิสระพวกนี้
กลับพยายามทำตัวต่อต้านด้วยนโยบายทางการเงิน
ที่พวกตนเองสามารถออกได้เองไม่ต้องรอรัฐบาล
ในขณะที่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์
ก็หนุนให้กู้ หนุนให้แก้กฏหมาย
ขยายเพดานหนี้สาธารณะสารพัด
หนุนจนกระทั่งเห็นว่าพวกอื่นจะมาเป็น
ถึงกลับลำมาแย้งนโยบายที่หนุนมาแต่ต้นแทบจะทันที
แบบนี้เข้าลักษณะมีงานทางการเมือง
ที่สำคัญเศรษฐกิจอเมริกายามนี้
รวมทั้งยุโรปกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก
นั่นหมายถึงส่งออกกำลังเข้าสู่การชะลอตัว
รวมไปถึงการท่องเที่ยว
จะมีคนประสบปัญหาว่างงานอีกเท่าไหร่
ยังจะมากลัวเงินเฟ้อแทนเงินที่จะกลัวเงินฝืด
ที่จะทำให้คนตกงานมากมาย คนค้าขายไม่ได้
เห็นวิธีสำรวจการว่างงาน
ก็ส่อให้เห็นความไม่มีมาตราฐาน
สามารถกำหนดขึ้นลงตามใจคนได้ด้วย
เพราะใช้วิธีสำรวจหรือทำโพลล์
ยุคสมัยนี้ยังคิดจะใช้วิธีโบราณกันอีก
<<< ข้อเท็จจริงที่ควรรู้ เรื่อง วิธีสำรวจภาวะคนว่างงาน เขาทำกันยังไง >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2010/02/blog-post_18.html
แทนที่จะใช้วิธีมาตรฐานเหมาะสมกับยุคสมัย
ฝากรัฐบาลนี้ช่วยสังคายนาให้ที
วิธีสำรวจคนว่างงานแบบในอดีตเชื่อถือไม่ได้
สามารถทำตามใจผู้บริหารประเทศได้
อยากให้ผลออกมาดีก็ดีได้
เพราะทำมาจากการสำรวจหรือทำโพลล์ดีๆ นี่เอง
วิธีที่ควรจะเป็น
ต้องกำหนดเว็บไซด์ทางการสำหรับคนว่างงาน
ประชาสัมพันธ์ตามสื่อทีวี วิทยุ นสพ.
ให้รับรู้ทั่วกันว่า
ใครว่างงานให้มาลงทะเบียน
และกรอกประวัติสำหรับการสมัครงานทิ้งไว้
รัฐจะถือตัวเลขในเว็บเป็นตัวเลขการว่างงานที่แท้จริง
ใครเล่นเน็ตไม่เป็น ไปที่กรมแรงงาน
แต่ละจังหวัดหรืออำเภอป้อนข้อมูลให้
หรือให้ลูกหลานสอนก็ได้
ให้ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ช่วยลงทะเบียนให้ก็ได้
ไม่กี่บาทเดี๋ยวนี้เหลือชั่วโมงละไม่กี่สิบบาทแล้ว
ใครไม่กรอกแสดงว่า
ไม่ต้องการอยากมีงานทำ
ไม่ถือเป็นบุคคลว่างงานที่แท้จริง
ผู้รับจ้างทั่วไปแรงงานเกษตรต่างๆ
ที่ไม่มีงานทำ ก็มาลงทะเบียนทิ้งไว้
และหาวิธีเชื่อมโยงตรวจสอบ
กับฐานข้อมูลประกันสังคม
ว่าคนพวกนี้มีงานทำยัง
อัพเดตสถานะทุกอาทิตย์หรือทุกวันได้ยิ่งดี
กรณีแรงงานนอกประกันสังคม
ก็ต้องระบุและมาอัพเดตสถานะ
ว่าตนเองมีงานทำหรือยัง
หรือหาทางนำเข้าประกันสังคมให้หมด
โดยอาจให้รัฐเปิดบริษัทเฉพาะกิจ
สำหรับแรงงานภาคการเกษตรแรงงานไร้ฝีมือแรงงานทั่วไป
ใครต้องการแรงงานให้มาคัดคนไป
เรียกว่าพยายามนำเข้าประกันสังคมให้หมด
ค่อยๆทำไปเดี่ยวก็มีหนทางเก็บข้อมูลได้ครบ
และน่าเชื่อถือตรวจสอบได้ด้วย
แถมรัฐยังสามารถนำข้อมูลคนว่างงาน
ในสาขาวิชาชีพต่างๆ มากำหนดนโยบาย
สร้างงานให้กับสาขานั้นเช่น
จบศิลปะมาก็อาจให้ทำผลงานศิลปะมาขายรัฐ
ในราคาที่เหมาะสมประดับตามที่สาธารณะ เป็นต้น
สาขาอื่นก็เหมือนกัน สามารถรับรู้ได้ว่า
มีคนตกงานที่จังหวัดไหน
และอยากไปทำงานที่ไหนสาขาไหน
จะได้ส่งเสริมอุตสาหกรรม
หรืออาชีพได้ถูกต้อง
นี้จะเป็นการแก้ปัญหาคนตกงาน
ได้อย่างจริงจังที่สุดในโลกด้วย
เพราะยังไม่เคยมีประเทศไหนทำมาก่อน
ส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีเดียวกับไทยที่ทำตอนนี้
เน้นสำรวจสุ่มนั่งเทียน
ไม่คิดแก้ปัญหาคนว่างงานจริงจัง
แถมพวกชอบทำตามตำรานิยม
จะไม่ทำให้มีคนตกงานหายตกงานหมด
เพราะกลัวเงินเฟ้อซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
คนที่อยากทำงานต้องทำให้เขามีงานทำ
ให้ได้หมดทุกคนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
แล้วถ้าเกิดสาขาไหนขาดแคลนมันมีวิธีแก้
แบบง่ายๆ ก็นำเข้าแรงงานสาขานั้นจากต่างประเทศ
เพราะความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจ
ของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน รวมไปถึงข้อจำกัด
ดังนั้นเลิกกลัวเงินเฟ้อเพราะอัตราว่างงานเข้าใกล้ 0% ได้แล้ว
ไม่เช่นนั้นก็ยังปล่อยปละละเลยให้มีคนตกงานไว้แบบทุกวันนี้
ที่สำคัญมันยังโยงถึงหลักสูตรการศึกษาระดับ ปวช. ปวส. และป.ตรี
ว่าสาขาไหนมีความต้องการในเว็บทางการต้องมีที่รับสมัครงาน
ตำแหน่งที่บ.ต่างๆ ต้องการรับสมัครด้วย
จะได้ข้อมูลมากำหนดหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้อง
มองอนาคตกันออกว่าเรียนมามีงานทำแน่สาขานี้
หรือเรียนมาตกงานแน่เยอะเกิน
ก็ไปเรียนสาขาอื่นรวมไปถึงลดประมาณการสอนลง
ควรมีการปรับปรุงปรับเปลี่ยนหลักสูตรเสมอๆ
ไม่ใช่เคยสอนมายังไงจำนวนคนเท่าไหร่แต่ละปี
ก็ทำเหมือนๆ เดิม เป็นหลัก แบบไม่สนใจว่า
ความต้องการตลาดต้องการสาขาไหน แบบปัจจุบัน
ทำกันได้ไร้สาระมาก
ถ้าทำแบบที่ว่าจะสามารถแก้ปัญหาแรงงานได้ทั้งระบบ
สุดท้ายนี้อยากฝากข้อคิดไปถึงนักการเมืองรุ่นใหม่ว่า
กระทรวงเกรดเอของนักการเมืองรุ่นเก่าที่ชอบแย่งกันเป็น
ส่วนใหญ่เน้นกระทรวงที่มีเงินงบประมาณมากๆ
เผื่อได้ค่าน้ำชา ใต้โต๊ะ หรือได้รับเหมาอะไรกันซะมากกว่า
แต่กระทรวงเกรดเอของอาชีพนักการเมือง
หรือพรรคการเมืองมืออาชีพคือ
กระทรวงที่สามารถช่วยปัญหาปากท้องคนได้มากๆ
นั่นคือกระทรวงเกรดเอ
เพราะนั่นหมายถึงฐานเสียงที่จะมีมากขึ้น
เพื่อจะทำให้พรรคเป็นที่นิยมไปตลอดกาล
ไม่ใช่เน้นฉาบฉวยมาเป็นเพื่อความโก้
หรือมาหากินกับงบประมาณแล้วไปแจกซื้อเสียงแบบในอดีต
ยุคสมัยใหม่น่าจะเป็นแบบที่เราว่า
โดย มาหาอะไร
FfF
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.