06 ตุลาคม 2554

<<< ยังจำได้ไหมเหตุการณ์ปี 2549 ชาวไทยพร้อมใจใส่เสื้อเหลือง สถาบันกษัตริย์ลือเลืองระบือไกล และจบลงด้วยประชาธิปไตยถูกปล้นไป >>>

คนใส่เสื้อเหลืองเริ่มขยายวงกว้าง
หลังรัฐบาลทักษิณรณรงค์เชิญชวนให้ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ
ใส่เสื้อเหลืองในวันจันทร์ หลังจากนั้นไม่นาน
กระแสเสื้อเหลืองก็ฟีเว่อร์
มีข่าวจากบริษัทที่ผลิตเสื้อเหลืองขายในช่วงนั้นว่า
ประมาณการเสื้อเหลืองที่ถูกจำหน่ายมีหลายสิบล้านตัว
เรายังจำได้ว่าเคยไปยืนต่อแถวเบียดกันซื้อเสื้อนาโน่
ที่มีคุณสมบัติพิเศษอะไรไม่รู้ตัวละหลายร้อยบาท
ในช่วงกระแสฟีเว่อร์เสื้อเหลืองในช่วงเวลานั้น

และรัฐบาลทักษิณอีกเหมือนกัน
ที่จัดงานฉลองการครองราชย์ 60 ปีของในหลวง
อย่างยิ่งใหญ่และโด่งดังไปทั่วโลก
สามารถเชิญระดับกษัตริย์ทั่วโลก
ให้มาชุมนุมในประเทศไทยได้
แทบจะหาคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ยากมากๆ
น้อยคนที่จะสามารถเชิญกษัตริย์ทั่วโลกมาร่วมงานได้
ไม่ว่าจะรัฐบาลชุดไหนของไทยก็ไม่เคยมีใครทำได้แบบนี้
งานฉลองในปีนั้นยิ่งใหญ่สมบูรณ์แบบสุดๆ
ชื่อเสียงสถาบันกษัตริย์ไทยขจรขจายไปแทบทั่วทุกมุมโลก

แต่แล้วเหตุการณ์การปล้นประชาธิปไตยในวันที่ 19 กันยายน 2549
ก็ได้เปลี่ยนโฉมหน้าประเทศไทยไปตลอดกาล
หลายสิ่งหลายอย่าง ยากแก่การหวนกลับคืนไปเป็นเหมือนเดิม

เรื่องสอนใจให้รู้ว่า
คนที่บงการและร่วมขบวนการทำรัฐประหารนั้น
เขาไม่สนใจว่าจะอยู่ในช่วงไหนเวลาใดสำคัญยังไง
ไม่สนใจว่าปีนั้นเป็นปีมหามงคลสุดๆ ยังไง
ไม่สนใจว่าจะอยู่ในช่วงเวลาใกล้เลือกตั้งหรือไม่
ไม่สนใจว่ารัฐบาลนั้นๆ จะทำให้คนรักสถาบันมากขึ้นหรือไม่
ไม่สนใจอะไรเลย สนใจแค่คนสั่งให้ทำก็ทำตามอย่างเดียว
แถมพวกที่ชอบออกมาปฏิเสธเสียงแข็งว่า
ไม่คิดจะทำก็เป็นพวกที่ไม่มีอำนาจในการคิดว่า
จะทำหรือไม่ทำ สั่งให้ทำก็เห็นทำทุกที

หลังจากเหตุการณ์ปล้นประชาธิปไตย
พฤติกรรมใครหลายๆ คนก็เปลี่ยนไป
ไม่ใช่แค่หลายคนแต่เป็นคนจำนวนมาก
ที่มีอาการเปลี่ยนไป เช่น
เสื้อเหลืองไม่กล้าใส่กลัวเป็นพวกพันธมิตร
เพราะกลุ่มพันธมิตรใช้สัญลักษณ์เสื้อเหลือง
ในการต่อสู้เพื่อล้มรัฐบาลทักษิณ
เราก็แทบไม่ใส่อีกเลยนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ 5 ปีแล้ว
พึ่งมาช่วงปีหลังๆ ที่ยอมใส่แต่ไม่เหลืองทั้งตัวมีแซมหลายๆ สี
หรือนาฬิกาสุดโปรดเรือนเป็นหมื่นในวันนั้นยี่ห้อ SUUNTO
สายรัดมันสีเหลืองเลยเลิกใส่มาตั้งนาน
เดี๋ยวนี้ใส่เรือนละร้อยสองร้อยบาท พังก็ทิ้ง
นิสัยเปลี่ยนไปจริงๆ เลยเรา

เคยบริจาคเงินให้สภากาชาดหักเงินผ่านบัตรเครดิต ทุกๆ เดือน
ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้รวยแต่ให้หักเดือนละหลายร้อยบาท
หลังวันปล้นประชาธิปไตยไม่นานไปยกเลิก
กว่าจะเลิกได้ยึกยักตั้งนาน เสมือนหนึ่งว่าเราเป็นลูกหนี้
เลิกไม่ได้ง่ายๆ โยนกันไปโยนกันมา
ระหว่าง บ. บัตรเครดิตกับสภากาชาด
แต่เราเสียงแข็งนี่เป็นการบริจาค
ไม่อยากบริจาควันไหนก็ต้องบอกเลิกได้ทันที
สุดท้ายหลายเดือนกว่าจะเลิกได้
วันนั้นก็รู้สึกตะขิดตะข่วนใจ
คิดว่าเราพาลเกินไปหรือเปล่า
แต่หลังจากเห็นสองมาตรฐานสภากาชาด
ขนคนมาช่วยม็อบพันธมิตรเต็มที่
แต่ม็อบเสื้อแดงไม่เคยเห็นหัว
เลยไม่รู้สึกผิดที่ตัดสินใจเลิกบริจาคในวันนั้น

อันที่จริงกว่าที่เราจะมาชอบสีแดงก่อนมีกีฬาสีการเมืองไทย
สมัยก่อนผมชอบสีเหลืองเพราะสมัยประถมอยู่สีเหลือง
เลยรู้สึกเชียร์ สีนี้ฝังใจ พอขึ้นมัธยม กีฬาสีอยู่สีชมพูทั้งห้อง
ใส่สีชมพูทุกอาทิตย์ ก็เริ่มมาชอบสีชมพูด้วย
แถมที่โรงเรียนใช้สีชมพูฟ้าเหมือนสวนกุหลาบ
ก็เลยชอบสองสีนี้ ยังไม่มีตรงไหนเกี่ยวข้องกับสีแดงเลย
พอมาอยู่มหาลัยเกือบเอ็นท์ไม่ติดไปติดที่สุดท้ายเลือดเทาแดง
เลยเริ่มมีชอบสีแดงขึ้นมาบ้างแล้ว
และหลังจากจบมาเวลาเลือกซื้อของ
ไม่ว่าจะถูกหรือแพงก็ขอให้แดงไว้ก่อน
รถยังสีแดง แล้วพอมีกีฬาสีการเมืองไทยใหม่ๆ
หลังรัฐประหารม็อบยังสีเหลืองเหมือนทีมจัดม็อบทีมเดียวกัน
กับม็อบพันธมิตรยังรู้สึกตะงิดๆ ต่อมาเริ่มมีรณงรงค์สีแดง
ก็แดงบ้างไม่แดงบ้างแต่ก็ดำเสียส่วนใหญ่
หลังจากม็อบเสื้อแดงจุดติดก็เริ่มแดงทั้งปี
แต่พึ่งมาซาๆ หลังใส่แดงไปเจอเหตุการณ์หวุดหวิดโดนรุม
ขณะตามไปพัทยาพอดีเขาเลิกแล้วแต่ขับรถหลงในเมืองพัทยา
เจอวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินผ่านหน้ารถมีเป็นสิบคนถือท่อแป๊บคนละอัน
แล้วพอเลยมาหน่อยพวกนั้นตะโกนว่าเฮ้ยพวกเสื้อแดง ตกใจมาก
พอดีขบวนเสื้อแดงผ่านมาเลยขับข้ามเลนไปร่วมขบวนด้วยเลย
ก็เลยไม่เน้นแดงแล้วหลังจากผ่านเหตุการณ์วันนั้น
มาเป็นแนวแล้วแต่อารมณ์แทนใส่ได้ทุกสียกเว้นสีที่ไม่ชอบ

ปกติคนเราสามารถเปลี่ยนความคิดความชอบได้
ตามสถานการณ์และความจำเป็นรวมถึงสิ่งแวดล้อมด้วย
แต่ 19 กันยา ทำให้ใครหลายๆ คนเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
ทำให้คนกลุ่มหนึ่งหูตาสว่างมาก ยากที่จะกลับไปมืดมัวอีก
และทำให้เรามาไกลเกินกว่าจะไปเป็นเหมือนเดิม

โดย มาหาอะไร
FfF