ในยุคหนึ่งของโลกใบนี้
ได้มีสงครามเย็นเกิดขึ้น
เป็นความขัดแย้งในลัทธิการเมือง
ฝ่ายหนึ่งยึดถือลัทธิประชาธิปไตย
มีชื่อเล่นๆว่า ฝ่ายขวา
อีกฝ่ายยึดถือลัทธิคอมมิวนิสต์
ชื่อเล่นๆ ว่าฝ่ายซ้าย
ในยุคนั้นมีมหาอำนาจที่เป็นพี่เบิ้มฝ่ายประชาธิปไตยคือสหรัฐ
และพี่เบิ้มฝั่งคอมมิวนิสต์มีโซเวียตและจีน
มี 2 สายเนื่องจากแตกคอกัน
ในยุคสงครามเย็นประเทศต่างๆ
ต้องเลือกข้างไม่เลือกขวา ก็ต้องเลือกซ้าย
พวกที่อยู่กลางๆ ส่วนใหญ่จะโดนผลักโดนแทรกแซง
จนเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเป็นรัฐบาลที่พี่เบิ้มฝ่ายต่างๆ หนุนหลังอยู่
ในยุคนี้มีการสะสมอาวุธร้ายแรงเช่น อาวุธนิวเคลียร์กันจำนวนมาก
ทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าลงมือก่อน
ต่างคุมเชิงและเล่นสงครามประสาทกันเป็นส่วนใหญ่
หรือไม่ก็ทำสงครามแย่งชิงมวลชนโฆษณาชวนเชื่อ
ซึ่งทำกันอย่างแพร่หลายผ่านสื่อต่างๆ
และการไปประลองกำลังกันที่ประเทศอื่นๆ
เช่นกรณีเวียตนาม ที่ทั้งฝ่ายซ้าย และ ฝ่ายขวาถล่มกัน
โดยผ่านการถือหางฝ่ายเวียตนามเหนือและเวียตนามใต้
และอีกหลายๆ ประเทศ ที่บางครั้งก็ค่อนข้างเนียน
คือจะหนุนการทำปฏิวัติรัฐประหารโดยแอบช่วยกันลับๆ
เพื่อไม่ให้รู้โฉมหน้าพี่เบิ้มที่หนุนหลัง
แต่ก็เป็นที่รู้กัน ในประชาชนบางส่วนในประเทศนั้น
บางทีถ้าเป็นการแทรกแซงแบบเนียนๆ
พี่เบิ้มก็ไม่อยากออกหน้าให้รู้ว่าตัวเองหนุนตรงๆ
เพราะมันอาจขัดกับสิ่งที่ตัวเองโฆษณาชวนเชื่อไว้
เช่น กรณีอเมริกาที่ชวนเชื่อว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
แล้วถ้าคนทั่วไปรู้ว่า
หนุนหลังการทำปฏิวัติรัฐประหารในประเทศต่างๆ
ก็อาจเสื่อมศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยได้
ซึ่งยุคนั้นจะเนียนมากจนแทบไม่รู้ว่ามีพี่เบิ้มหนุนอยู่
หมดยุคสงครามเย็นแล้วถึงมีข่าวสารเผยแพร่อย่างแพร่หลาย
ให้รับรู้ถึงเบื้องหลังในอดีต
ความรู้เรื่องเพิ่มเติม
เรื่องที่มาของคำว่า ฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา
-----------------------------------------------------
ฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คำ ว่า ฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา ในทางการเมือง มีที่มาจากในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ในช่วงสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (ราว ค.ศ. 1790) ประเทศฝรั่งเศสมีสมัชชาแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภาประกอบด้วยตัวแทนจากหลายภาค ส่วน
ภายในห้องประชุมสมัชชา กลุ่มตัวแทนกรรมกร ชาวไร่ชาวนา ถูกจัดให้นั่งทางด้านซ้ายของท่านประธานสมัชชา (Left-wing) ขณะที่ตัวแทนของขุนนาง ทหาร นักบวช และคนร่ำรวย นั่งทางด้านขวา (Right-wing)
ข้อเรียกร้อง-เสนอแนะ ของตัวแทนของคนยากจน หรือที่เรียกในสมัยนั้นว่า ไพร่กระฎุมพี ก็จะถูกเรียกว่าข้อเรียกร้องของ ฝ่ายซ้าย ส่วนอะไรที่เป็นข้อเสนอของฝ่ายคนร่ำรวยหรือขุนนางทหาร หรือพวกศักดินา ก็จะถูกเรียกว่าข้อเรียกร้องของ ฝ่ายขวา
ต่อมาจนถึงยุคการปฏิวัติรัสเซียและจีน มีการตีความ ไพร่กระฎุมพี เปลี่ยนเป็นชนชั้นกรรมาชีพ และศักดินา เปลี่ยนเป็นนายทุน
ทำ ให้อธิบายได้ว่า รัสเซียและจีน กลายเป็น ฝ่ายซ้าย คือฝ่ายที่คนจนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ในขณะที่อเมริกา และประเทศค่ายประชาธิปไตย เป็น ฝ่ายขวา คือฝ่ายที่คนรวยเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
นัยสำคัญอื่นๆ
คำว่า ฝ่ายซ้าย และ ฝ่ายขวา อาจใช้ได้หลายนัยสำคัญ เช่น
* ในทางการเมือง ประชาธิปไตย = ขวา, คอมมิวนิสต์ = ซ้าย
* ในทางเศรษฐกิจ การค้าเสรี = ขวา, การผูกขาด = ซ้าย
* ในทางสังคม พวกอนุรักษนิยม = ขวา, พวกหัวก้าวหน้า = ซ้าย
ฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา ในประเทศไทย
ฝ่าย ซ้ายเก่า คือกลุ่มคนที่เป็นคอมมิวนิสต์ ช่วงตั้งแต่ตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2475 จนถึงยุคที่ถูกสลายหลังจาก จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปราบปรามอย่างหนัก จนทำให้ต้องหลบหนีเข้าไปอาศัยอยู่ในป่า ตัวอย่างบุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของฝ่ายซ้ายเก่า เช่น จิตร ภูมิศักดิ์ ทองใบ ทองเปาด์ อัคนี พลจันทร์ พโยม จุลานนท์ เป็นต้น
ซ้าย ใหม่ ต่อมาอาจกล่าวได้ว่ากลุ่มฝ่ายซ้ายใหม่ คือ นักศึกษายุคสายลมแสงแดด จนถึงช่วง 14 ตุลา และ 6 ตุลา โดยกลุ่มคนกลุ่มนี้ไม่ได้รับอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแต่ เพียงอย่างเดียว แต่ว่ายังได้รับอิทธิพลจากฮิปปี้อเมริกัน ขบวนการบุปผาชน การต่อต้านสงครามเวียดนามของฝั่งประเทศตะวันตก
ซ้ายใหม่ หลังจากวันเวลาผ่านไป ซ้ายเก่า และซ้ายใหม่ข้างต้น ถูกนับรวมเป็น ซ้ายเก่าทั้งหมด และได้มีกลุ่มฝ่ายซ้ายใหม่เกิดขึ้น คือ กลุ่มคนที่มีแนวคิดการเมืองก้าวหน้าทั้งมวล เช่น สิทธิสตรี รัฐสวัสดิการ มาร์กซิสต์ เป็นต้น กลุ่มซ้ายใหม่นี้ไม่ได้รับอิทธิพลจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเลย เพราะเป็นกลุ่มที่ถูกเรียก หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยุติบทบาทไปแล้ว ถือว่าเป็นซ้ายใหม่
ฝ่าย ขวา คือกลุ่มคนที่เป็นคนในชนชั้นศักดินา ขุนนาง ทหาร ผู้ที่มักถูกเรียกว่าว่าเป็นฝ่ายขวา เช่น สมัคร สุนทรเวช สนธิ ลิ้มทองกุล สุรยุทธ์ จุลานนท์ สพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นต้น จากการตั้งนิยามแบบกว้างของฝ่ายซ้ายว่า กลุ่มคนฝ่ายขวา คือกลุ่มที่ไม่ยอมรับการเลือกตั้ง หรือการเรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใช้ พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ (มาตรา 7) ในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี (จากเหตุการณ์ก่อนการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549) แต่การนิยามเช่นนี้อาจไม่ถูกต้องครบถ้วนเสมอไป
ฝ่ายซ้าย-ฝ่ายขวา กับระบอบประชาธิปไตย
โดย ภาพรวมอาจมองได้ว่า ระบอบประชาธิปไตย เป็นแบบกลางๆ และค่อนไปทางซ้าย คือสามารถมีได้ทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา แต่อาจแยกกลุ่มคนในระบอบประชาธิปไตยออกเป็นหลายกลุ่มย่อย เช่น กลุ่มที่นิยมการเลือกตั้ง แต่ถ้ากีดกัน เพศที่สาม สตรี คนข้ามชาติ คนจน ก็จะนับว่าเป็นสายกลางค่อนไปทางขวา และกลุ่มคนชั้นสูงที่มีความเห็นใจกับคนจน คนด้อยโอกาส และได้สังคมสงเคราะห์ให้กับพวกเขา แต่สนับสนุนระบบสวัสดิการสังคม ก็นับเป็นพวกฝ่ายขวาเช่นกัน
-------------------------------------------
บางคนไม่รู้นึกว่าตัวเองถูกจัดอยู่ในพวกฝ่ายขวา
เที่ยวด่าพวกฝ่ายซ้ายซะไม่มีดี
แต่ถ้าดูถึงพฤติกรรม และความคิด
อาจถูกจัดว่าเป็นพวกเดียวกับฝ่ายซ้ายเหมือนกัน
จากตัวอย่างนี้
* ในทางการเมือง ประชาธิปไตย = ขวา, คอมมิวนิสต์ = ซ้าย
* ในทางเศรษฐกิจ การค้าเสรี = ขวา, การผูกขาด = ซ้าย
* ในทางสังคม พวกอนุรักษนิยม = ขวา, พวกหัวก้าวหน้า = ซ้าย
ดังนั้นการที่บางคนถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกฝ่ายซ้าย
ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะมีความผิดอะไรแค่คิดไม่ตรงกัน
เผลอๆ พวกที่ไปด่าคนอื่นนั่นแหละ
จะมีหัวคิดเป็นพวกฝ่ายซ้าย
แต่ไม่รู้ตัว เช่น พวกพันธมิตรบางกลุ่ม
ที่ต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
นี่ก็ถือเป็นแนวพวกฝ่ายซ้ายเหมือนกัน
แต่เที่ยวไปชี้นิ้วด่าพวกอื่น
ว่าเป็นฝ่ายซ้ายอย่างเมามัน
ไหนๆ วันนี้ก็มาแนวสาระจังแล้ว
ก็มาสาระจังอีกเรื่อง
บางคนอาจสงสัยว่า
ทำไมประเทศที่ยึดประชาธิปไตย
ถึงไม่ถูกกับประเทศที่ถือแนวคอมมวินิสต์
ยิ่งในยุคสงครามเย็นด้วยแล้ว
ใครถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์
เหมือนเป็นพวกสมควรตาย
พระบางรูปบอกฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่ผิดก็ยังมี
ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาออกมาต่อต้านทุกรูปแบบ
สมัยเด็กๆ โดนล้างสมองมาว่า
พวกคอมมิวนิสต์เป็นเหมือนพวกยักษ์พวกมารเลวร้ายหาดีไม่เจอ
ทั้งที่จริงๆ แล้วยิ่งในยุคปัจจุบัน
ถ้าพูดถึงระบบเศรษฐกิจแล้ว
แทบไม่ต่างกันผสมกันจนมั่วไปหมด
เช่นกรณีประเทศคอมมิวนิสต์อย่างจีนเวียตนามลาว
เดี๋ยวนี้ใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเต็มขั้นกันแล้ว
บางทีอาจได้ข่าวจีนกับเวียตนามแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
ให้ต่างชาติถือหุ้น 100% ในบางกิจการก็ยังมี
เรียกว่าวันนี้เผลอๆ จะแซงหน้าไทยแลนด์แดนทะเลาะกันไปแล้ว
และหลายประเทศในยุโรปก็ใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
เรียกว่ามันสลับขั้วกันแล้วไม่ตรงตามบทเรียนสมัยเก่าๆ สักเท่าไหร่
ที่บอกว่าคอมมิวนิสต์จะใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
ประชาธิปไตยจะใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เป็นต้น
ความเห็นส่วนตัว
จริงเท็จยังไงก็วิเคราะห์กันต่อไป
สิ่งที่ทำให้ฝ่ายที่อ้างว่าถือหางฝ่ายประชาธิปไตย
ไม่ชอบหรือเกลียดหรือต้องต่อต้านพวกคอมมิวนิสต์
น่าจะมาจากหลายสาเหตุ
เรื่องแรก น่าจะมาจากแนวคอมมิวนิสต์ไม่เอาศาสนา
เรียกว่าจะย้อนยุคไปก่อนที่จะมีศาสนาต่างๆ
ถามว่าดีไหมก็มีข้อดีข้อเสีย
ข้อดีก็คือจะทำให้ไม่เกิดความขัดแย้งทางศาสนา
คือไม่คิดว่าศาสนาของตนดีกว่าอีกศาสนา
จนเผยแพร่ลักษณะรุกรานจนอาจกลายเป็นสงคราม
ซึ่งสมัยก่อนก็มีสงครามครูเสด
ที่ถือว่าเป็นสงครามเกี่ยวกับศาสนา
ระหว่างคริสต์กับอิสลาม
ที่จริงยังมีอีกหลายสงคราม
ที่เป็นลักษณะนี้เพียงแต่ว่าจบเร็วและกลืนกันเร็ว
และอนาคตน่าจะมีสงครามครูเสด2 เป็นแน่
เพราะว่าดูแล้วมันมีแนวโน้มไปแนวๆ นั้นอีก
ข้อเสียก็คือถ้าทุกคนไม่มีศาสนายึด
ก็อาจทำให้มีการทำผิดศีลธรรมกันได้แบบอิสระไม่กลัวบาปกรรม
สังคมก็จะเละเทะไปหมดเหมือนก่อนมีศาสนา
และก็เป็นแนวอุดมคติอยู่ในโลกแห่งความฝันมากกว่าความจริง
เพราะคนที่เขานับถือศาสนาอยู่แล้วรวมไปถึงผู้นำทางศาสนาต่่างๆ
ย่อมออกมาต่อต้านทุกรูปแบบ โดยอาจทำผ่านรัฐบาลประเทศต่างๆ
เช่นรัฐบาลอเมริกา ซึ่งก็อาจมีทั้งผู้นำศาสนาผู้สนับสนุนศาสนาต่างๆ
หรือตัวประธานาธิบดีก็น่าจะเป็นสาวกในศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
ย่อมจะไม่เห็นด้วยและออกมาต่อต้านทุกวิถีทาง
นี่คือสาเหตุแรกเดาเอาจริงเท็จประการใดชี้แนะได้ความเห็นส่วนตัว
อาจไม่ถูกทั้งหมด
ข้อสองเรื่องเศรษฐกิจ
กรณีสังคมนิยม 100% ตามโลกอุดมคติของคอมมิวนิสต์
จะมีมากกว่าเรื่องรัฐสวัสดิการธรรมดา
แต่จะรวมไปถึงการยึดทรัพย์สินของทุกคนมาเป็นของรัฐ
คือต้องการจะให้ทุกคนเท่าเทียมกันไม่รวยไม่จนกว่ากัน
ทำงานตามที่รัฐสั่งแล้วนำผลประโยชน์มาแบ่งกัน
ใครทำไม่ทำก็ได้เท่าเทียมกัน
ซึ่งนี่ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
ที่คนมีเงินไม่ชอบแต่คนไม่มีเงินเฉยๆ บางทีแอบเชียร์
สาเหตุสุดท้าย
อันนี้จะเป็นลักษณะเฉพาะประเทศไทย
หรือบางประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์
คือกลัวสถาบันถูกล้ม
เพราะประเทศที่ปกครองระบอบคอมมิวนิสต์สมัยก่อน
ไม่มีประเทศไหนมีสถาบันกษัตริย์อยู่
ก็เลยคิดว่าถ้ามีคอมมิวนิสต์ก็ไม่มีสถาบัน
ส่วนประเทศประชาธิปไตยก็ส่วนใหญ่ในโลกนี้
ก็ไม่มีสถาบันกษตริย์อยู่
แต่ประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
ก็ยังมีอยู่และอยู่ได้ในหลายประเทศ
สั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความเรื่องพวกนี้อธิบายมากไม่ได้
จึงเป็นที่มาของนโยบายรัฐบาลในอดีตเผลอๆ จะรวมปัจจุบันด้วย
คือการยัดเยียดให้คอมมิวนิสต์เป็นยักษ์เป็นมารต้องกำจัดทิ้ง
แล้วก็เอาข้อหาเหล่านี้ไปยัดให้กับศัตรูทางการเมือง
แล้วก็หาทางกำจัดทิ้ง
ปัจจุบันก็กำลังรื้อฟื้นแนวคิดนี้
แม้ว่าพวกที่ถูกยัดเยียดว่าเป็นพวกฝ่ายซ้าย
จะเป็นพวกที่มีแนวคิดเสรีนิยม ทุนนิยมสุดขั้วก็ตาม
แต่ก็จะยัดเยียดเพื่อจะหาทางทำลายล้าง
คิดได้แค่ 3 ข้อในตอนนี้
เนื่องจากตอนนี้ไม่มีระบอบการปกครองแบบไหน
ระบบเศรษฐกิจแบบใดที่ดีที่สุดในโลก
ทุกระบบระบอบล้วนแล้วแต่มีปัญหามากบ้างน้อยบ้าง
แต่ดูแล้วแนวทางที่ดีที่สุด
น่าจะยึดระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยไว้ก่อน
แล้วช่วยกันปรับปรุงลัทธิประชาธิปไตยใหม่ขึ้นมา
โดยการนำข้อดีของแต่ละระบอบในอดีตมาใช้
และแก้ไขข้อเสียของแต่ละระบอบ
ก็น่าจะช่วยทำให้มีความยืดหยุ่นและเป็นที่ยอมรับกันได้มากขึ้น
อย่างกรณีข้อดีของลัทธิคอมมิวนิสต์
ก็มีเหมือนกันที่เขาเน้นคนเน้นสังคม
ต้องการให้สังคมสงบสุขทุกคนอยู่ดีมีความสุข
ตามความใฝ่ฝันของลัทธินี้
แต่แนวทางที่ใช้กลายเป็นข้อเสีย
เนื่องจากทุกคนยังมีกิเลส
ไม่ได้บรรลุตัดขาดจากความโลภความอิจฉา
ความอยากดีอยากเด่นกว่าคนอื่น
และอื่นๆ การบังคับให้คนตัดขาดย่อมไม่ได้ผล
ย่อมถูกต่อต้านมากกว่าการที่คนตัดขาดทางโลกจริงๆ
แล้วสมัครใจไปบวชเป็นพระในพุทธศาสนา
ดังนั้นแนวทางของคอมมิวนิสต์จึงกลายเป็นแนวทางต้องบังคับ
ต้องมีคนบงการชีวิตเลยกลายเป็นเผด็จการ
คนไม่ชื่นชอบนักจะชื่นชอบเฉพาะยุคแรกรุ่นพ่อรุ่นแม่
ที่อาจชอบตัดขาดได้และรักอุดมการณ์
แต่พอถึงรุ่นลูกรุ่นหลานแล้วอาจมีปัญหา
เพราะเขาอาจไม่ชอบกับสภาวะแวดล้อมที่พ่อแม่ชอบ
เหมือนกับรุ่นพ่อรุ่นแม่เบื่อโลกในเมือง
พากันไปตั้งรกรากในดินแดนห่างไกล
อยู่กันอย่างมีความสุขซึ่งก็เป็นชีวิตที่น่าอิจฉา
จนมีลูกแล้วลูกเติบโตขึ้นมาไม่รู้สึกสนุกด้วย
เพราะห่างไกลความเจริญ เจ็บป่วยไปโรงพยาบาลลำบาก
และอยากเข้าไปสู่เมืองที่มีความเจริญมีแสงสี
เข้าตำราคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า
อย่างกรณีข้อเสีย 3 ข้อที่คิดออก
ก็สามารถแก้ไขได้ดังนี้
อย่างข้อแรกเรื่องไม่เอาศาสนาใดเลย
แบบนี้เหมือนเป็นคนที่เจอปัญหาแล้วต้องการหนีปัญหา
มากกว่าจะแก้ปัญหาและอยู่กับปัญหานั้นๆ ให้ได้
ซึ่งตอนนี้จากข่าวที่ได้รับรู้มา
คนในหลายประเทศในยุโรป
เริ่มมีคนไม่นับถือศาสนาเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะที่อังกฤษ
ถ้าเปลี่ยนใหม่เป็นนับถือทุกศาสนาทุกคำสอนที่ดี
ไม่ว่าจะเป็นใครบอกกล่าว
ไม่ว่าจะเจ้าลัทธิใดๆ หรือคนที่ประสบความสำเร็จ
นักปราชญ์หรือแม้แต่เด็กประถม
ถ้าสามารถคิดและแนะนำแนวทางที่มีค่าน่าทำตาม
ก็สามารถยึดเป็นหลักในการดำเนินชีวิตได้
ไม่ยึดติดอะไรแต่คนที่นับถือศาสนาใดๆ
ก็ยังคงยึดหลักศาสนาตนเองไปตามปกติ
ไม่จำเป็นต้องเลิกก็ได้
ถ้าเป็นแนวนี้แต่ละศาสนาจะมีคนแบบนี้
ที่คอยมาประสานสัมพันธ์กันอยู่
และไม่ได้ละทิ้งศีลธรรมกลับไปสู่อดีตยุคมนุษย์ถ้ำ
นึกจะปล้ำใครก็ทำกันแบบเป็นเรื่องปกติแบบในยุคดึกดำบรรพ์
ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ
ก็ควรยึดแบบผสมแบบทางสายกลางเป็นหลัก
แต่ถ้าในประเทศนั้นๆ มีคนมีแนวคิดรุนแรง
จะไปซ้ายไปขวาให้ได้
ก็ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ
ให้แต่ละพวกไปอยู่ไปสร้างบ้านเมืองตามฝันของตนเอง
จะไปแนวยูโทเปียเต็มขั้น หรือจะทุนนิยมสุดขั้ว
ก็แยกๆ กันไปทำรุ่นพ่อแม่อาจชอบแนวนั้น
รุ่นลูกอยากย้ายไปอยู่อีกแนวก็สามารถทำได้
ส่วนเรื่องการถูกยัดเยียดเรื่องคอมมิวนิสต์เพื่อจะทำลายล้าง
ก็ต้องยึดหลักประชาธิปไตย
นำลัทธิประชาธิปไตยไปเป็นแนวทางเผยแพร่
ก็ช่วยแก้ข้อกล่าวหาเหล่านั้นได้เปลาะหนึ่ง
โดยถ้าสามารถแนะนำอธิบายให้ประชาชนที่ยังไม่สนใจอะไร
หรือเชื่อมาผิดๆ ให้สามารถเข้าใจแนวทางประชาธิปไตย
ว่าจะทำให้พวกเขามีศักดิ์ศรี มีชีวิตที่ดีขึ้นยังไง
ก็จะยิ่งช่วยให้พวกซาตานที่แปลงร่างมาเป็นเทวดา
แล้วเที่ยวมาเผยแพร่ประชาธิปไตยทั้งๆ ที่ชอบเผด็จการ
กลายเป็นพวกตลกในสายตาประชาชนมากขึ้น
ที่สำคัญวันนี้ได้ผ่านการปลุกระดมมาแล้วทั้งฝ่ายเหลืองและแดง
คนที่ลุกขึ้นมาก็ลุกขึ้นมาแล้ว
ส่วนพวกที่ไม่ลุกก็ไม่ลุกแล้ว
อาจมีเหลือบางพวกที่เขาจ้างมา
หรือจ้างด้วยภาษีรัฐหรือแฝงตัวมา
เพื่อมาในลักษณะชาวบ้าน
เพื่อจะมาถล่มฝ่ายประชาธิปไตยในอดีต
ก็ไม่ง่ายเหมือนอดีต
และการหว่านเงินไปซื้อตัวซื้อใจชาวบ้าน
เช่นพวกอสม.ได้ 600 บาท ได้ไม่กี่เดือนแต่มีคนหลายแสน
พวกกำนันผู้ใหญ่บ้านได้เงินเพิ่ม
และพวกกอ.รมน.ที่รับเพิ่มอีกหลายหมื่น
รวมไปถึงพวกลูกเสือชาวบ้าน
พวกที่จะลุกขึ้นมาก็มีลักษณะแบบการจัดตั้งซะมากกว่า
ดังนั้นต้องแนะนำแนวทางประชาธิปไตยให้ถึงกลุ่มเหล่านี้ด้วย
เพื่อให้เขารักในศักดิ์ศรี
ไม่ยอมอยู่ฝ่ายที่มองพวกเขาเหมือนเป็นทาส
ซื้อได้ด้วยเงินทองแต่ปฏิบัติกับเขา
ดูถูกเรื่องสิทธิทางการเมืองแบบไม่ใยดี
เช่น จะให้พวกจบปริญญาตรีมีสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น
หรือพรรคที่เขาเลือกโดนโค่น
แล้วยัดเยียดพรรคที่เขาไม่ได้เลือกมาแทน เป็นต้น
โดย มาหาอะไร
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.