www.matichon.co.th
วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11335 มติชนรายวัน
คลังแจ้งหนี้สาธารณะ"พุ่ง" "4.46ล้านล้าน"
หลังกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ นายกฯยันไม่เสียหาย
" กรณ์"เตรียมแจง ครม. หนี้สาธารณะปี"53 พุ่ง 4.46 ล้าน ล. คิดเป็น"จีดีพี"สูง 44.67% เหตุ รบ.ก่อหนี้ใหม่ฟื้นฟู ศก. คลังชี้ยังอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนไม่เกิน 50% นายกฯลั่นไม่ทำประเทศเสียหาย คุยใช้หนี้ได้หลัง ศก.ฟื้น นัดถก ครม.ศก. 25 มี.ค. ตั้งเป้า 3 ปี ลงทุนเมกะโปรเจ็คต์ 1.4 ล้านล้านบาท ชดเชยเศรษฐกิจโลกวูบ ดันแผนกู้นอก 7 หมื่น ล. เข้าสภาสัปดาห์นี้
@ รบ.ดันกู้นอก7หมื่น.ล.เข้าสภา
นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ถึงการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทย เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 22 มีนาคม ว่า ในสัปดาห์หน้ารัฐบาลเสนอกรอบการเจรจาเงินกู้จากต่างประเทศประมาณ 7 หมื่นล้านบาท เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนอย่ากังวลกับการกู้เงิน เพราะรัฐบาลทุกยุคก็ทำเช่นนี้ สิ่งสำคัญคืออย่าทำให้เกิดผลกระทบการเงินการคลังของประเทศในวันข้างหน้า และเมื่อกู้เงินมาแล้วต้องใช้ให้คุ้มค่า
" ทั้งนี้ จากการนำตัวเลขต่างๆ มาดูเห็นว่าการที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว ทำให้การค้าหดหายไปร้อยละ 20-30 จึงจำเป็นต้องหาเงินมาชดเชยในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น ในช่วง 3 ปีข้างหน้าตั้งใจว่ารัฐบาลต้องเป็นผู้ลงทุนประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท โดยรายละเอียดโครงการต่างๆ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง โครงการถนนไร้ฝุ่น โครงการลงทุนขนาดใหญ่ด้านแหล่งน้ำ โครงการชลประทานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและสาธารณสุขด้วย ฯลฯ จะเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. เศรษฐกิจในวันที่ 25 มีนาคม"
@ รับ2-3ปีหนี้คนไทยอาจพุ่ง60%
นาย อภิสิทธิ์กล่าวยืนยันว่า การกู้เงินจากต่างประเทศไม่ได้เป็นเพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใน รอบแรกไม่ได้ผล แต่ต้องมองถึงการแก้ไขปัญหาในระยะกลางและระยะยาว ทั้งนี้มั่นใจว่าหลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นมา เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นมา ไทยจะมีความพร้อมในการแข่งขัน และมีรายได้เพียงพอที่จะย้อนกลับไปชำระหนี้ได้สบายๆ แต่ยอมรับว่าหนี้สินของคนไทยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้ามีโอกาสพุ่งสูงถึงร้อยละ 60 ขณะนี้จึงต้องมองหาทางเลือกอื่นๆ คือ การเก็บภาษีเหล้าเบียร์
" ขอยืนยันว่าผมเข้ามาเป็นรัฐบาลในช่วงวิกฤตครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 เราไม่เคยทำให้ประเทศชาติเสียหายในระยะยาว ตรงกันข้ามจะดูแลในเสถียรภาพความมั่นคงเป็นอย่างดี โดยผมได้ปรึกษาอย่างใกล้ชิดกับทางกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยตลอดเวลา" นายอภิสิทธิ์กล่าว
นาย อภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า เช็คช่วยชาติ 2,000 บาท เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทจะถึงมือประชาชนในวันที่ 26 มีนาคมนี้ ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะมีการตั้งโต๊ะรับซื้อเช็คในราคาต่ำกว่า 2,000 บาทนั้น ถ้าใครมีข้อมูลขอให้แจ้งมาที่รัฐบาลเพื่อจะได้เข้าไปติดตามดูแล อย่างเมื่อ 2-3 วันก่อน ได้รับแจ้งว่ามีคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม แต่จู่ๆ ชื่อก็ไปโผล่ในระบบ จึงสั่งการให้ตรวจสอบทันที
@ เร่งสกัดวิกฤตสังคม-ฟื้นศก.
วัน เดียวกัน เวลา 10.00 น. ที่อิมแพค เมืองทองธานี นายอภิสิทธิ์เป็นประธานเปิดโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่า ทางเศรษฐกิจในสังคมและชุมชน หรือโครงการ "ต้นกล้าอาชีพ" มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายนัที เปรมรัศมี ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายสมชาย ชุ่มรัตน์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ฯลฯ เข้าร่วม
ทั้ง นี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจกำลังเกิดขึ้นทั่วโลกและกระทบมาถึงประเทศไทย รัฐบาลนี้ได้ตั้งเป้าหมายสำคัญไว้ 2 ประการคือ 1.จะไม่ทำให้วิกฤตเศรษฐกิจลุกลามไปเป็นวิกฤตของสังคม หรือวิกฤตชีวิตของประชาชน ดังนั้น ปัญหาการว่างงานจึงเป็นปัญหาสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องดูแล ภายใต้นโยบายประคับประคองเศรษฐกิจเพื่อลด หรือชะลอการเลิกจ้างให้ได้มากที่สุด พร้อมชดเชยดูแลผู้ที่ถูกปลดออกจากงานไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนมากเกินไป และ 2.เศรษฐกิจที่ฟื้นจากวิกฤตต้องเป็นเศรษฐกิจที่ดีกว่าเดิมในแง่ของความสมดุล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืน และสอดคล้องกับแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เหล่านี้คือที่มาของโครงการต้นกล้าอาชีพ
@ เชื่อต้นกล้าอาชีพช่วย5แสนคน
นาย อภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า หลักการสำคัญของโครงการต้นกล้าอาชีพคือการสร้างโอกาสใหม่ให้กับทุกคนที่ได้ รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ด้วยการทำงานอย่างบูรณาการ โดยใช้งบฯกลางปี 6.9 พันล้านบาท เพื่อฟื้นฟู ฝึกอบรม และสร้างโอกาสให้ประชาชนไม่น้อยกว่า 5 แสนคน โดยให้เข้ารับการฝึกอบรมทักษะที่หลากหลาย อาทิ ด้านเกษตร การผลิต การบริการ การท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์ คมนาคม ก่อสร้าง ฯลฯ มีการเตรียมงานรองรับหลังจากนั้น โดยให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม นอก จากนี้หากผู้เข้าร่วมโครงการนำความรู้และทักษะต่างๆ กลับไปทำงานที่ภูมิลำเนาเดิมของตน โดยไม่ต้องมาแสวงหาแย่งโอกาสกันในเมือง ก็จะมีเงินทุนสนับสนุนการเริ่มต้นชีวิต หรือธุรกิจใหม่ให้ ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เกิดความสมดุล มีการกระจายโอกาสและ รายได้ไปสู่ชนบทมากขึ้น
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโครงการ "ต้นกล้าอาชีพ" จะเปิดให้ประชาชนอายุ 18-60 ปี สมัครเข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรพัฒนาความสามารถฝีมือแรงงานกว่า 1,000 หลัก สูตร ใน 8 กลุ่มวิชาชีพ โดยผู้ที่ได้รับคัดเลือกจะได้รับการฝึกอบรมฟรีหมด และยังได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงและค่าเดินทางด้วย ทั้งนี้ จะเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้ รุ่นแรกเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 18-24 มีนาคม และรุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 11 - 22 พฤษภาคม ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายช่วยผู้ว่างงานในปี 2552 จำนวน 2.4 แสนคน และในปี 2553 อีก 2.6 แสนคน
@ หนี้สาธารณะปี"53พุ่ง4.46ล้านล.
แหล่ง ข่าว จากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 มีนาคม นี้ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง จะรายงานแนวโน้ม หนี้สาธารณะคงค้างในปีงบประมาณ 2552-2553 ให้ที่ประชุมรับทราบ โดยคาดการณ์ ว่า เมื่อถึงสิ้นปีงบประมาณ 2552 (30 กันยายน 2552) หนี้สาธารณะประเทศจะอยู่ที่ 4,063,011 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 4,460,401 ล้านบาท เมื่อสิ้นปีงบประมาณ (30 กันยายน 2553) เนื่องจากมีการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจ เพราะรัฐบาลฟื้นฟูเศรษฐกิจและกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายและการลง ทุนที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศ สามารถขยายตัวได้
"เมื่อ พิจารณายอดหนี้สาธารณะเปรียบเทียบกับผล ผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี) พบว่า หนี้สาธารณะต่อ จีดีพี เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2552-2553 จะมีสัดส่วนที่ 42.73% และ 44.67% ตามลำดับ ส่วนของภาระหนี้ต่อ งบประมาณจะอยู่ที่ระดับ 10.20% ในปีงบ ประมาณ 2552 และ 12.20% ในปีงบ ประมาณ 2553 โดยกระทรวงการคลังยืนยันว่าแม้ภาระหนี้ต่องบประมาณจะมีมากขึ้น แต่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี และภาระหนี้ต่องบประมาณยังคงอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนด ให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี มีสัดส่วนไม่เกิน 50% และภาระหนี้ต่องบประมาณมีสัดส่วนไม่เกิน 15%" แหล่งข่าวกล่าว
แหล่ง ข่าวกล่าวว่า ส่วนสถานะหนี้สาธารณะล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 มีจำนวน 3,415,564.96 ล้านบาท คิดเป็น 37% ของจีดีพีที่มีค่าเท่ากับ 9,232,200 ล้านบาท โดยหนี้ทั้งหมดเป็นหนี้ในประเทศ 3,011,065.86 ล้านบาท และหนี้ต่างประเทศ 404,499.10 ล้านบาท หรือคิดเป็น 88% และ 12% ตามลำดับ และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ระดับหนี้สาธารณะ คงค้าง เมื่อสิ้นปี 2547-30 พฤศจิกายน 2551 อยู่ในช่วง 3,085,273.51-3,415,565.96 ล้านบาท โดยหนี้สาธารณะต่ำสุดในปี 2550 และสูงสุดในปี 2551 และที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้บริหารและจัดการหนี้สาธารณะที่มีประสิทธิภาพ ด้วยวิธีการต่างๆ ทำให้ยอดหนี้คงค้างได้ 284,198.17 ล้านบาท และลดภาระดอกเบี้ยได้ 45,567.14 ล้านบาท
@ พท.อัดปชป.ทำชาวบ้านเป็นหนี้
ด้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงที่ที่ทำการพรรคเพื่อไทย อาคาร บีบีดี บิวดิ้ง ว่า ที่นายกรัฐมนตรีระบุว่ามีแผนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 2 ว่า ทำให้เห็นว่าของฟรีไม่มีในโลก มีแต่ตัวเลขต่างตอบแทน ซึ่งแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าส่อที่จะล้มเหลว เหมือนตำน้ำพริกละลายมหาสมุทร โดยเฉพาะการกู้เงินจากต่างประเทศ 7 หมื่นล้าน ซึ่งการกระตุ้นเศรษฐกิจก็อยู่ในลักษณะกู้มาแจก ทำตัวเป็นเจ้าบุญทุ่ม ทำให้เงินขาดมือ เมื่อไม่พอก็ไปรีดภาษีทำให้ คนไทยอีก 63 ล้านคนที่จะต้องรับภาระใช้ เงินต้นและดอกเบี้ยในระยะยาว อยากตั้งฉายารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ว่า "ถ้าประชาธิปัตย์มา ประชาชนต้องเป็นหนี้"
@ ธปท.พบตกงานใหม่เพิ่ม2แสน
ขณะ ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เผยแพร่บทความของ นายนพดล บูรณะธนัง ผู้บริหารส่วนวิเคราะห์เศรษฐกิจด้านอุปทาน ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. เรื่อง "ภาวะเศรษฐกิจถดถอย การปรับตัวของภาคธุรกิจ และผลกระทบต่อการจ้างงาน" โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอย่างหนักขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบที่รุนแรง และเร่งหาทางรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น จากการสำรวจพบว่า จะใช้แนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการผลิตสูงถึง 90% รองลงมาใช้ จะจัดการบริหารสินค้าคงคลัง แสวงหาตลาดใหม่ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ใช้แนวทางลดคนงานลดเพียง 12% เท่านั้น แสดงให้เห็นว่า ภาคธุรกิจต้องการรักษาคนของตนเองให้นานที่สุด เพราะแรงงานมีทักษะฝีมือที่ต้องใช้เวลาในการพัฒนา จึงถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญ
นอก จากนี้ ภาคธุรกิจจะใช้แนวทางลดเวลาการล่วงเวลาลง โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก และปรับค่าจ้างใหม่ เพื่อให้การบริหารองค์กรภายในมีความยืดหยุ่นสามารถรองรับปัญหาที่เกิดขึ้น คาดว่าปีนี้จะมีคนตกงานรายใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 200,000 คน เมื่อเทียบกับปีก่อน และเชื่อมั่นว่า รัฐได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกทั้งช่วยเหลือแรงงานที่มีรายได้ต่ำเดือน ละ 2,000 บาท, การขยายเวลารับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจาก 6 เดือนเป็น 8 เดือน, จัดอบรมฝีมือแรงงาน ช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากเศรษฐกิจถดถอยลงได้ และช่วยรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต
@ "บ.เอกชน"โคม่าขาดสภาพคล่อง
ขณะ ที่ภาคเกษตรกรรมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และมีสัดส่วนการจ้างงานอยู่ที่ 40% ของการจ้างงานทั้งหมด หรือประมาณ 16 ล้านคนถือเป็นจำนวนที่สูงอยู่ จึงคาดว่าภาคเกษตรกรรมจะสามารถรองรับประชาชนที่ตกงานได้ เห็นได้จากจำนวนการจ้างงานในภาคเกษตรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับวัฏจักรการจ้างงานของภาคเกษตรจะสวนทางกับวัฏจักรเศรษฐกิจ ดังนั้น ภาคเกษตรจึงเป็นตัวรองรับปัญหาว่างงานได้เป็นอย่างดี แม้ในปัจจุบันราคาพืชผลทางเกษตรจะไม่สูงมากนักก็ตาม
" การประคอง ธุรกิจให้อยู่ได้ต่อไป เชื่อว่าจะเป็นแนวทางสำคัญช่วยแก้ปัญหาตกงานได้ และจากการสอบถามข้อมูลไปยังบริษัทขนาดใหญ่ บริษัทข้ามชาติ รวมทั้งบริษัทขนาด กลางและขนาดย่อม ส่วนใหญ่ประสบปัญหาต้องการความช่วยเหลือทางการเงิน และประกันสินเชื่อ เนื่องจากยอดขายลดลง สถาบันการเงินจึงเข้มงวดปล่อยสินเชื่อมากขึ้น จึงเผชิญกับ ปัญหาขาดสภาพคล่องเพิ่มขึ้น" บทความของ ธปท.ระบุ
หน้า 1
------------------------------------------------------------------
พูดถึงเรื่องหนี้ ผมค่อนข้างชำนาญมาก
เพราะช่วงนี้กำลังชักหน้าไ่ม่ถึงหลัง อิอิ
ขนาดมีรายได้เท่าเดิมแถมเพิ่มขึ้นและมีรายได้ประจำ
ยังออกอาการชักหน้าไม่ถึงหลัง
ถ้ากู้ยืมมาใช้ก็จะมั่วไปหมด
ช่วงนี้เลยต้องลดๆ สิ่งที่ไม่จำเป็น
รัดเข็มขัดตัวเอง
แทนที่จะเลือกกู้หนี้มามากๆ
เพื่อมาใช้จ่ายให้พอกับชีวิติปกติที่อาจจะฟุ่มเฟือย
เมื่อลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงมากๆ แล้ว
ก็พอไปได้บ้าง
ถ้าขาดมือจริงๆ ก็อาจยืมญาติพี่น้องบ้าง
แต่การขอยืมไม่ใช่การขอลืม
ยังไงก็ต้องหาไปใช้เขา
ถึงไม่มีดอกเบี้ยก็เหอะ
แต่ถ้าใช้วิธีแบบรัฐบาลนี้ทำ
ที่ทำตัวเหมือนพวกจนไม่ลง
ทั้งๆ ที่รายได้ประจำอาจไม่แน่นอนด้วยซ้ำ
เพราะสภาวะเศรษฐกิจไม่ดีเปรียบเหมือนพ่อค้านักธุรกิจ
ไม่ใช่พวกมนุษย์เงินเดือนพวกข้าราชการรัฐวิสาหกิจอะไร
แทนที่จะหาทางลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ก็ไม่ยอมทำ
จะเดินหน้ากู้ๆ เพื่อมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยตามปกติ
แถมฟุ่มเฟือยหนักขึ้นไปอีก
เพราะมีเพื่อนมาชวนมาขู่ให้กู้มาใช้เป็นเพื่อนด้วยกันเยอะๆ
แต่เป็นหนี้เพื่อนก็ไม่ได้มาใช้หนี้แทนให้น่ะ
ก็หนี้ของเราที่ต้องหาเงินมาใช้คืนเจ้าหนี้ทั้งนั้น
แถมความสามารถในการใช้หนี้อาจต่างจากเพื่อนเพราะฐานะต่างกัน
และการรักษาหน้าด้วยการคงการใช้จ่ายเหมือนเดิม
บวกกับการหาเพื่อนมากขึ้นโดยการทำหน้าใหญ่
หาเงินมาแจกเพื่อนเลี้ยงเพื่อนในช่วงนี้
เพื่อจะได้มีเพื่อนกินมากๆ
กับชะลอหาเพื่อนแบบนี้ไปก่อน
แบบไหนจะดีกว่ากัน
ถ้ารัฐบาลที่มาเพื่อหาเสียงไปด้วย
มาปกป้องขุมทรัพย์ให้พรรคพวกที่ช่วยให้มาเป็นไปด้วย
ไม่กล้าแตะไม่กล้าตัดลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
แล้วจะมาโอดครวญว่า
มีแค่ 3 ทางเลือกคือ
ไม่กู้เงินมา
ก็ต้องขึ้นภาษีี (รีดเงินญาติพี่น้อง)
หรือขายสมบัติกิน
นี่มันเป็นความคิด
พวกที่ทำมาหากินไม่เป็น
พวกไถเงินพ่อแม่ใช้จนเคยตัว
และพวกจนไม่ลง
ตอนนี้คนยังมีความฝันลมๆแล้งๆ กะเช็ค 2,000
รออีกสักสามเดือนนับจากนี้
ถ้าดิ้นอยู่ได้นานขนาดนั้น
คนหงุดหงิดจะเริ่มมากขึ้นและส่งเสียงดังมากขึ้น
ช่วงนี้ก็ดูยอดส่งออกตกต่ำไปเรื่อยๆ
พร้อมกับข่าวคนตกงานไปเรื่อยๆ
แบบของใหม่คนไม่รู้ก็อยากรู้ว่าจะเป็นยังไง
แต่หนี้สาธารณะสูงๆ นี่ไม่ดีเท่าไหร่
แถมไปเทียบกับ GDP เพื่อวัดไม่ให้เกิน 50%
ที่จริงเกินได้แต่ความเสี่ยงก็สูงขึ้น
ช่วงเข้า IMF รู้สึกจะเกินไปนิดหน่อยด้วย
การกำหนดเกณฑ์ไว้ที่ 50% เพื่อรักษาวินัยการคลัง
แต่เราว่ามันจะสูงไปแตะ 50% ในไม่กี่ปี
เพราะว่า ส่งออกตกต่ำก็ทำให้ไปคำนวนในสูตร GDP ก็ลดลง
และงวดนี้รายจ่ายเพื่อการบริโภคก็จะลดลง
เหลือแต่การลงทุนภาครัฐที่จะต้องเพิ่มขึ้นเพื่อให้ GDP ไม่ลดมาก
แต่ตอนนี้มีการคาดการณ์แล้วว่าGDP ปีนี้จะอยู่แถว -6 ถึง -9%
นั่นหมายความว่าตัวหารลดลงและถ้าแก้ไม่ได้
หรือเศรษฐกิจโลกยังแย่ไม่หยุดโอกาสลดลงเรื่อยๆ มีสูง
ในขณะที่ตัวตั้งกลับเพิ่มขึ้นเพื่อก่อหนี้มาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ
เพื่อเพิ่มให้ตัวเลขการลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐสูงขึ้น
เพื่อไปถั่วเฉลี่ยไม่ให้ GDP ลดลงเร็วและมากไปกว่าที่คาดการณ์
ลองหลับตานึกสภาพว่าเรากู้ต่อไปไม่ได้อีกแล้วดู
ในขณะที่การส่งออกก็ร่อแร่การบริโภคก็ยังลดต่ำลงต่อเนื่อง
เพราะคนว่างงานเยอะค่าครองชีพกับไม่ลดลง
เพราะราคาน้ำมันกำลังสูงขึ้นคนมีเงินไม่กล้าใช้จ่าย
ยังไงก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ
เผลอๆ ตัวเลข หนี้สาธารณะ ต่อ GDP จะสูงแตะ 50% ในปีหน้า
เพราะว่าขึ้นอยู่ว่าสถานการณ์ทั่วโลกจะเลวร้ายไปมากกว่าที่คิดหรือไม่
เพราะหนี้สาธารณะมีโอกาสเพิ่มขึ้นเรื่อยและ GDP มีโอกาสลดลงมากๆ
ก็จะทำให้เห็นตัวเลขสัดส่วน หนี้สาธารณะ ต่อ GDP สูงมากขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
แต่จริงๆ แล้วดูแค่หนี้สาธารณะ
กับปัญญาในการหาเงินมาใช้หนี้มีไหมก็พอแล้ว
ซึ่งการเอาตัวเลขหนี้สาธารณะไปเทียบกับ GDP
เดาว่าคงเป็นการดูว่ามีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ไหม
คงไม่ถึงขนาดเกิน 50% แล้วล้มลายหายไปไหน
แต่เครดิตพวกนี้มันมีไม่เท่ากัน
อย่างมนุษย์เงินเดือนไปกู้แบงค์
กับเศรษฐีมีเงินหารายได้ได้เยอะไปกู้
เครดิตที่เขาจะให้กู้เขาดูความสามารถในการชำระหนี้คืนด้วย
ไม่ใช่ช่วงเปิด BIBF ใหม่ๆ ที่นอกจากไม่ค่อยสนใจดูอะไรแล้ว
ยังช่วยแต่งตัวเลขการประเมินสินทรัพย์ให้สูงๆ
เพื่อจะได้กู้ไปเยอะๆ
แต่หลังเจอวิกฤตต้มยำกุ้งมา
ก็รู้สึกจะเริ่มเข้มงวดการปล่อยกู้กว่าแต่ก่อน
ยิ่งช่วงนี้ยิ่งเข้มงวดหนัก
ความสามารถในการชำระหนี้จะถูกดูเป็นอันดับต้นๆ
พอๆ กับสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน
ดังนั้นคุณจะไปเทียบกับญี่ปุ่นอเมริกาไม่ได้หรอก
เพราะญี่ปุ่นหาเงินเก่งได้ดุลการค้าแทบทุกปี
มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ได้แน่นอนเจ้าหนี้ไม่ต้องห่วง
เผลอๆจะเป็นประเทศเจ้าหนี้ปล่อยกู้ประเทศอื่นด้วย
ไม่ใช่ประเทศลูกหนี้
ส่วนอเมริกาสามารถพิมพ์แบงค์เพิ่มได้ค่อนข้างอิสระกว่าประเทศอื่น
และเงินดอลล่าห์เป็นสกุลที่ได้รับความเชื่อถือจากทั่วโลก
ดังนั้นเขาจะมีหนี้สาธารณะสูงยังไง
เจ้าหนี้ก็ยังมั่นใจว่ามีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ได้
ทวงมากๆ ไม่มีจะจ่ายก็พิมพ์แบงค์ให้ไปเลยยังได้
แต่ตามปกติเขาจะไม่ทำเพราะว่าจะเกิดเงินเฟ้อตามมา
ดังนั้นเจ้าหนี้มั่นใจก็แล้วกันว่าได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย
แต่กับประเทศไทยหรือประเทศไม่มีเครดิตอะไร
เป็นหนี้สาธารณะสูงๆ เจ้าหนี้จะผวาว่ามีปัญญาจะใช้หนี้คืน
ก่อนจะล้มละลายไม่มีปัญญาคืนหรือไม่
มันจะมีผลหลายๆ อย่างเกี่ยวกับหนี้ที่กู้มา
ดังนั้นตัวเลขพวกนี้แต่ละประเทศมีเครดิตมากน้อยไม่เท่ากัน
ไม่ต้องแข่งไปให้เท่าเทียมกับเขา
ไม่กู้เพิ่มอีกแสนล้านก็ได้
ถ้าตัดงบที่ไปซื้ออาวุธไม่จำเป็นยามนี้
ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง
ตัดโครงการแบ่งเค้กหาเสียงมากกว่ามากระตุ้นเศรษฐกิจ
ตัดนโยบายประชานิยมช่วงเศรษฐกิจไม่ดี
เช่นโครงการเรียนฟรี แจกนั่นนี่
แค่นี้ก็มีเงินเหลือพอที่ไม่ต้องกู้แล้ว
เคยคิดทำไหม
นอกจากไม่ตัดอะไรแล้ว
ยังเพิ่มงบมาหาเสียงเล่นและไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
อ้างว่าต้องเพิ่มงบประมาณเลยต้องไปกู้มา
ก็ถ้าไม่เพิ่มงบประมาณที่ผลาญเงินเพื่อหาเสียง
ก็ไม่จำเป็นต้องไปกู้
แทนที่จะลงไปยังจุดที่จำเป็นต้องไปช่วย
เที่ยวเอาไปหว่านอย่าง 2,000 บาทนั่นก็ใช่
อย่ามาอ้างเศรษฐกิจโลกไม่ดี
ต้องเพิ่มงบมาแบ่งเค้กด่วนเลย
เพราะที่เพิ่มงบลงไปก็ไม่ได้ช่วยให้คนไม่ตกงานถาวร
อย่างดีบางโครงการก็ไม่กี่เดือน
แต่คนที่ตกงานไปแล้วกับไม่ค่อยได้รับความช่วยเหลือ
เท่ากับคนที่ยังไม่ตกงาน
หรือคนที่เขายังไม่อยากได้รับความช่วยเหลือจากรัฐตอนนี้
ก้เที่ยวเอาไปหว่านให้หมดๆ ไป
จะได้ชื่อว่าทำงบประมาณขาดดุลแล้ว
และจะได้อ้างกู้เงินเพราะไม่มีเงินพอ
มาทำโครงการหาเสียงไปวันๆ แบบนี้
ลงทุนไปที่คนตกงานและกำลังตกงาน
ในอุสาหกรรมหลักๆ ที่มีปัญหา
เช่นการท่องเที่ยว ลงทุนปลดกษิต
แล้วดำเนินคดีการปิดสนามบิน
ให้เร็วๆ เพื่อให้คนทั้งโลกเห็นว่ารัฐบาลไทย
ไม่หนุนพวกพันธมิตร
เสร็จแล้วเจาะนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยว
ประเทศเพื่อนบ้านเขาจะมาเที่ยวกันได้
แสดงว่ายังมีคนพร้อมมาเที่ยว
แต่ไม่ค่อยอยากอยู่ในไทยก็มีเยอะ
เนี้ยะกระจายรายได้ชั้นดีช่วยคน
ที่กำลังจะตกงานในอุตสาหกรรมนี้
และที่เกี่ยวข้องหลายแสนคน
ที่จริงมีเยอะกว่าเนี้ยะ
เกี่ยวกับการลงทุนด้านการท่องเที่ยว
แต่เห็นงบที่ใช้เพื่อการนี้แล้ว
น้อยมากๆ เมื่อเทียบกับยอดผลกระทบรายได้ที่จะได้รับ
และคนที่ถูกช่วยไม่ให้ตกงานมากมายในอุตสาหกรรมนี้
อุตสาหกรรมอื่นๆ ก็มีวิธี
อุตสาหกรรมด้านอิเล็คทรอนิส์
ลงทุนซื้อคอมพิวเตอร์ให้ครบทุกหมู่บ้าน
ทุกโรงเรียน
ล้านเครื่องเครื่องละหมื่นก็แค่หมื่นล้าน
ถ้าเครื่องละหมื่นห้าก็หรูแล้ว
ดีกว่าที่ใช้ที่บ้านที่ทำงานตั้งหลายเท่า
ดีกว่าเอาเงินไปแจก
นี่ตัวเลขเอาไปเป็นค่าลงทุนของรัฐก็ได้
ธุรกิจด้านนี้ก็มีการเคลื่อนไหว
ไม่รีบเจ๊งไปก่อน
ซึ่งล้านเครื่องคงเป็นปีๆ กว่าจะส่งมอบกันครบ
ที่จริงอาจไม่ถึงล้านเครื่องก็ได้
อาจแค่ไม่กี่แสนเครื่องก็ใช้เงินไม่กี่พันล้าน
นี่ก็ช่วยวงการนี้ได้บ้าง
ดีกว่าเอาเงินไปแจกเดี๋ยวเขาก็เก็บส่วนใหญ่
ไร้สาระ
การตัดงบโครงการที่ไม่จำเป็น
ก็เท่ากับช่วยให้คุณไม่ต้องไปกู้หรือกู้มาไม่มาก
และช่วยคำนวนหน่อยซิว่า
แต่ละโครงการของรัฐนี้
จะมีรายได้มากี่บาทวันไหนบ้าง
รายได้รัฐส่วนใหญ่ก็ต้องรอสิ้นปีงบประมาณนั้นแหละ
ส่วนภาษี VAT นั่นน่ะไม่ต้องไปหวังมาก
มันมาของมันทุกเดือน
แต่มันก็มาขอคืนได้ทุกเดือนเหมือนกัน
หักกลบลบหนี้กันแล้วก็ได้ไม่เท่าไหร่หรอก
ดังนั้นการลงทุนช่วงนี้ยังบ้ามานั่งคิดจะเอารายได้คืนเร็ว
โครงการอะไรหรือช่วยบอกหน่อย
ที่รัฐบาลนี้ทำแล้วจะได้รายได้คืนเร็ว
จะรีบคืนเร็วไปทำไมอยากรู้
เศรษฐกิจก็ไม่ดี
สู้ให้เงินมันหมุนในระบบเยอะๆไปก่อนไม่ดีกว่าหรือ
ดีกว่ามาเร่งรีดภาษี
คือถ้าไม่เน้นหาเสียง
เน้นทำเพื่อประคองเศรษฐกิจในประเทศ
และคนตกงานให้รอดรอวันที่พี่เบิ้มทางเศรษฐกิจฟื้น
เดี๋ยวมันก็ไปต่อได้เองแหละ
ไอ้ประเภทคิดว่าจะทำให้ประเทศนี้ฟื้นประเทศเดียว
แล้วประเทศอื่นยังร่อแร่
แล้วถลุงงบประมาณกันเต็มที่
เผลอจะกลายเป็นว่าประเทศนี่ยังร่อแร่ต่อไป
ในขณะที่ประเทศอื่นค่อยๆ ฟื้น
แต่บอกได้เลยว่างวดนี้นานหลายปี
ถ้าเป็นนักวิ่งระยะไกล
เขาจะต้องออมแรงวิ่งให้ถึงเส้นชัยให้ได้
ไม่ใช่คิดจะวิ่งแบบร้อยเมตรไปตลอดทาง
จะเดี้ยงก่อนไปถึงเส้นชัย
ถ้ารัฐบาลนี้มองภาพยาวๆ ไม่ออก
ก็แก้แบบลิงแก้แหไปวันๆ
"สองพันกับเรียนฟรี"
คืออะไรหรือ คืองบหาเสียงกับงบโครงการประชานิยมหลงยุค
ตัวการทำให้ต้องไปวิ่งหาเงินมาใช้ กู้กันให้ขวักเลย
ถ้าไม่มีโครงการที่ว่าก็ไม่ต้องไปวิ่งหาเงินจนหน้ามืด
บวกกับที่ตัดโครงการที่ไม่จำเป็นก่อนหน้า
ก็ช่วยให้ไม่ต้องกู้มากหรือเหนื่อยกับการไปรีดภาษี
ถ้าบอกว่านี้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
มันกระตุ้นยังไงหรือ เ่ล่นขึ้นภาษีน้ำมันจากที่เขางดเก็บ
ประมาณ 3 บาทเก็บเพิ่มอีก 2 บาท
ดูดเงินออกจากระเป๋าชาวบ้านปีๆ หนึ่ง
มากกว่าเงิน 2,000 ที่แจกครั้งเดียว
ไม่รวมถึงค่าครองชีพที่แพงขึ้นไปอีก
ไหนจะสร้างบรรยากาศหลอกหลอน
รีดภาษีแปลกๆ รีดเลือดเอากับปูยามนี้ก็เอา
รวมๆ แล้วนี่หรือกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
สู้นั่งเฉยๆ ไม่ต้องกระจายความเดือดร้อนไปทั่วหน้าดีกว่า
แถมทำให้คนไม่อยากใช้เงินเข้าไปอีก
คราวนี้แจก 2,000 มาก็เก็บเท่านั้นเอง
อย่างดีก็ไปซื้อกับข้าวกินไปวันๆ
ที่ไปช็อปปิ้งเวลานี้เศรษฐกิจแบบนี้
ถ้าไม่ใช่พวกหน้าม้าไปโชว์วันงาน
เพื่อทำข่าวโหมโรง
ก็พวกไม่เดือดร้อนอะไร
แต่เงินเดือนเรามากกว่าพวกที่ไปรับตั้งเยอะ
ยังเดือดร้อนชักหน้าไม่ถึงหลัง
แล้วพวกนี้เผลอๆ มีสามีหรือภรรยาหรือลูก
ที่มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มทั้งนั้น
อย่างดีเงินนี้ก็ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนไปได้หน่อย
แต่ไม่ใช่มากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างที่หวังหรอก
ชาวบ้านเขาต้องคิดความอยู่รอดของครอบครัวเขาเป็นหลัก
เขาไม่มานั่งสนองนโยบายรัฐเที่ยวไปช็อปปิ้งตามห้าง
ที่ร่วมโครงการผลาญเงินให้หมดเร็วๆ หรอก
โดย มาหาอะไร
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.