บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


11 พฤษภาคม 2552

<<< เก็บ 3 ความประทับใจ ในม็อบข้างวัดไผ่เขียวเมื่อวาน มาเล่าขานให้ฟัง >>>

ม็อบเสื้อแดงข้างวัดไผ่เขียวเมื่อวาน
สร้างความประทับใจให้เรา 3 อย่างคือ

1. ประทับใจในบรรยากาศตอนฝนตกหนักและลมแรง
เหมือนกับว่าได้ร่วมลงเรือลำเดียวกันกับพี่น้องเสื้อแดงและเสื้อหลากสี
และกำลังเผชิญหน้ากับพายุฝนฟ้าคะนองยังไงยังงั้นเลย

2. ประทับใจที่พอฝนซาพี่น้องเสื้อแดงและเสื้อหลากสี
ก็ทยอยกันมาร่วมงานไม่ขาดสาย
และได้เห็นผู้คนจำนวนมากยืนฟังปราศรัยอยู่บนโคลน

3. สุดท้ายเป็นความประทับใจส่วนตัว
ตั้งแต่ซื้อรถ 4 WD มาไม่เคยได้ใช้ประโยชน์อะไร
วันนี้ได้นำมาใช้ลากรถที่ติดในโคลนตมประมาณ 7-8 คัน
ตั้งแต่ก่อนก่อแก้วขึ้นพูดจนถึงวีระพูดจบ

เรียกว่าเมื่อวานมันมากสำหรับเรา
ทั้งเปียกฝน ลุยโคลนเล่น และเป็นครั้งแรกที่ลุยออฟโรด

วันนี้ขับรถไปจากบ้านที่ลำลูกกา
ไม่ได้แวะจอดรถที่คอนโดดอนเมือง
กลัวรถติดเหมือนกัน
แต่เห็นว่ารถช่วงเที่ยงกว่าๆ
ยังไม่ค่อยมีรถเท่าไหร่
เลยขับไปจอดในลานข้างวัดไผ่เขียว
สถานที่จัดม็อบวันนี้

ช่วงเที่ยงๆ แดดร้อนมาก
ขนาดหลบในเต้นท์ยังรู้สึกได้ว่าเหมือนเตาอบ
พอดียังไม่ได้เริ่มงาน
และผู้คนไปไหนไม่รู้
เห็นแต่รถจอดจนเต็มไปหมด
เลยไปหาข้าวเที่ยงกินแถวนั้น
และแวะหลบร้อนไปพึ่งเย็นในวัดไผ่เขียว
อยู่แถวนี้ตั้งนานไม่เคยมาวัดนี้เลย
วันนี้ได้โอกาสและได้ทำบุญที่วัดด้วย
















สักประมาณเกือบบ่าย 3
กลับมาที่ม็อบอีกครั้ง
ตอนนี้แดดเริ่มไม่ร้อนแล้ว
แต่ฝนกำลังจะมา
งานนี้มีเสื้อลายใหม่
เลยช่วยอุดหนุนไป 1 ตัว
และอุดหนุน CD อีก 3 ร้านหลายแผ่น
แทบจะกวาดมาทุกเวอร์ชั่น

รวมถึงเวอร์ชั่นที่ไม่ได้ตัดต่อจากนอกด้วย
แต่ยังไม่ได้ดูเดี๋ยววันนี้ว่างๆ ค่อยนั่งดู
















สภาพที่จอดรถประมาณบ่ายสามโมง
















มันมาแล้ว ฝน





















ฝนตกหนักยังกะพายุเข้า

ลมแรงมาก
ผู้คนแถวนั้นหลบกันอยู่ในเต้นท์
เราก็หลบในเต้นท์ที่ติดกับที่จอดรถ
เจอฝนตกฟ้าคะนองและลมแรง
ความรู้สึกเหมือนพวกเรากำลังอยู่บนเรือลำเดียวกันเลย
















สักพักเห็นเต้นท์ฝั่งตรงข้ามค่อยๆ ล้มลงมา

ผู้คนวิ่งไปหลบเต้นท์อื่น
















อีกไม่นานเต้นท์ใหญ่ข้างๆ ที่เรายืน

ก็เริ่มล้มลงมาเพราะลมแรงมากๆ
เสาเริ่มหลุดเลยบอกให้เขาเอาลงมา
ไม่งั้นเดี๋ยวมันถล่มลงมา
แถมเสาหลุดหลายต้นแล้วด้วย
อาจเกิดอุบัติเหตุได้
แบกไว้ท่านี้ปลอดภัยกว่า
















มองไปข้างหลังก็เห็นเต้นท์ล้มระเนระนาดไปหมด
















ฝนตกหนักมาก
มองแทบไม่เห็นวัด
ฝนสาดเข้ามาในเต้นท์ก็พอได้เปียกกัน
พี่บางคนบอกว่าพึ่งเอาของมาขายวันแรก
จะหัดเป็นแม่ค้าไปเอาเค้กดอนเมืองมาขาย
ปรากฏว่าเจอฝนตกแบบนี้สงสัยจะแย่
สงสัยเป็นเพราะว่าพี่มาขายครั้งแรก
ฝนมันถึงได้ตกหนักแบบนี้ เราแซว
พี่ๆ ที่อยู่ในนั้นก็ช่วยกันซื้อ
เราก็ช่วยซื้อมา 3 กล่อง 100 บาท
เอาไปแจกพี่ๆ ที่ช่วยจับเสาเต้นท์แถวนั้น
















พอฝนเริ่มซา

ก็ทยอยเดินออกมาหน้าเวที
ไปเจอเสาสปอร์ตไลท์ล้มลง
เห็นสปอร์ตไลท์แตกไปหลายดวง
















ช่วงนี้เริ่มตะเวณถ่ายรูป
เริ่มจากแอบถ่ายตัวเอง
เก็บความทรงจำที่มาร่วมงานครั้งนี้ไว้
















ภาพแม่สาวน้อยเสื้อแดง





















หันหลังกลับไปที่หน้าเวที

คนมาจากไหนเริ่มเยอะขึ้น
ตอนแรกนึกว่าจะเหลือคนไม่มากแล้ว
















ช่วงตอนฝนตก
ก็มีการเก็บฉากหลังเวที
และจอหนัง
เพื่อไม่ให้ลมพัดจนเวทีล้ม
พอฝนซาฉากก็กลับมา
ซูมไปใกล้ๆ เห็นข้อความว่า

ความจริงวันนี้
ใครทำร้ายประเทศไทย ?
















ประมาณเกือบหกโมงเย็น
คนเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
















อยากเก็บภาพมุมสูง
เห็นกระบะหลังว่างๆ
จอดอยู่แถวนั้นคันหนึ่ง
ก็เลยขอเขาขึ้นเพื่อไปเก็บภาพมุมสูง
เท่าที่จะทำได้
ประมาณหกโมงหน่อยๆ
















มองไปทางเข้า

ผู้คนกำลังทยอยมาไม่ขาดสาย
















มองไปทางหน้าเวทีอีกครั้ง
ตอนประมาณเกือบหกโมงครึ่ง
















อีกมุม

รู้สึกตอนนี้แบตกำลังจะหมดแล้ว
















ลองเดินไปสำรวจทั้งสองฝั่งเวที
ปรากฏว่าพื้นดินกลายเป็นโคลนไปหมดแล้ว
และบางช่วงมันดูดรองเท้าด้วย
แถมบางจุดลึกเท้าหัวเข่า
เพราะว่าเป็นหลุมลงไป
เจออยู่สองหลุม
ทางด้านหลังฝั่งขวาของเวที
และพอเข้าไปในเต้นท์ฝั่งขวาของเวที
ก้พบว่ามีคนอยุ่ในนี้เยอะเหมือนกัน
เช่นเดียวกับฝั่งซ้ายของเวที
ก็มีคนออกันในเต้นท์
เพราะฝนยังตกอยู่บางช่วง
ตอนนี้ตกไม่แรง
แต่ไม่ยอมเลิกง่าย ๆ
















สาวน้อยคนนี้
ลุยน่าดู
ตอนนี้ทุกคนที่อยู่ในสนาม
ยืนบนโคลนเพื่อฟังปราศรัยกันถ้วนหน้า

ปกติถ่ายแต่สาวสาวไม่กี่ขวบ
งวดนี้ขอถ่ายสาวสาวบ้าง




















มองไปทางหน้าเวที

ทั้งนั่งทั้งยืนบนโคลน
สุดยอด
งานนี้ตอนแรกก็กลัวเลอะโคลน
พอเดินไปเดินมาโคลนทั้งนั้นเลยนี่หว่า
ว่าแล้วก็เลยเดินลุยแบบเด็กๆ เล่นน้ำนั่นแหละ
สนุกดี
















ลองเดินออกมาดูรถบนถนน

หน้าปากทางเข้างาน
ปรากฏว่ารถติดมาก
และมีคนที่มาจากไกลๆ
ทั้งสมุทรปราการและหลายๆ ที่
กำลังทยอยกลับ
ยืนงงไม่รู้จะไปทางซ้ายหรือขวาดี
ก็เลยไปแนะนำทางในฐานะพอรู้จักทางแถวนั้นบ้าง
ปรากฏว่ายืนบอกไปหลายสิบคน
ซึ่งถ้ามีงานในสถานที่ใหม่ๆ คนไม่คุ้น
ต้องมีเจ้าหน้าที่บอกทางบริเวณทางออกด้วยก็จะดี
ไม่งั้นงง
















ภาพสุดท้ายสำหรับวันนี้

เป็นความประทับใจส่วนตัว
ถ่ายจากในรถตัวเอง
ไปยังรถคันแรกที่ช่วยฉุดขึ้นจากโคลน

หลังจากที่เราไปดูรถแถวถนนด้านหน้า
ก็กลับมาดูรถเราว่าถ้าจะออก
จะออกได้ไหม
ปรากฏว่าพอมีทางออก
แต่มีรถติดโคลนออกไม่ได้อยู่ 1 คัน
ซึ่งเจ้าโคลนแบบนี้
ยิ่งฝนตกมาเรื่อยๆ บางช่วง
ดินไม่แข็งแล้วจะออกลำบากมาก
โดยเฉพาะรถธรรมดา
ยกเว้นรถ WD จะวิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซึ่งเจ้ารถ WD คันเล็กของเรา
ก็วิ่งไปมาได้สนุกโดยไม่ติดอะไรเลย
แต่รถแทบทุกคันแถวนั้นติดโคลนกันเยอะ
โดยเฉพาะไปอยู่ในจุดที่เป็นโคลน
ยิ่งพยายามขับล้อก็ยิ่งหมุนฟรี
และเป็นร่องลึก
ลำบากกว่าอยู่เฉยๆ
จะช่วยได้ง่ายกว่า
เหมือนรถวอลโว่คันที่ 2 ที่ช่วยต่อจากคันแรก
ได้บอกให้เขาอย่าพึ่งขับเพราะจะยิ่งติดหล่มมากขึ้น
แล้วเราก็ดึงออกมาได้ง่ายกว่าเพื่อน
แต่เจ้าพวกรถกระบะแม่ค้าที่บางคันบรรทุกของหนักมาก
ไม่ยอมขนลงก่อน
ก็ลากจนเชือกขาดแล้วขาดอีก
ที่สำคัญหาเชือกสำหรับลากรถลำบากมาก
ไม่ค่อยมีใครพกมาเลย
ของเราที่ซื้อมาไม่เคยใช้เลย
เอามาใช้งานนี้ฉุดไปได้ 3 คันก็ขาดแล้ว
เสียเวลาหาเชือกนานกว่าฉุดรถขึ้น
สุดท้ายแล้วคันที่ 8 รถเราหมดแรงฉุดไม่ขึ้น
ต้องให้รถใหญ่กำลังมากกว่ามาฉุดแทน
ได้ยินเสียงเครื่องยนต์แล้วเสียวเหมือนกัน
เพราะเคยซ่อมหนล่าสุดครั้งใหญ่เลย
หมดไปแสนกว่า
ทั้งวางเครื่องใหม่ไม่นานโอเวอร์ฮอล
ตามด้วยช่วงล่างเปลี่ยนทั้งเพลา
และเกียร์ก็เคยพังมา 3-4 ลูกแล้ว
ก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน
แต่ก็สนุกดี
ถ้าเป็นช่วงหลายปีก่อน
ประเภทเจ๊งเป็นเจ๊งซ่อมเป็นซ่อม
กะจะช่วยลากนับร้อยคันแถวนั้นขึ้นให้หมด
แต่ไม่ไหวช่วยได้แค่ 7 คัน
แต่สองคันหลังเอาไม่ขึ้น
ต้องให้คันใหญ่กว่ามาช่วยแทน
ซึ่งใช้เวลานานพอดู
เพราะตั้งแต่ก่อนก่อแก้วขึ้นพูด
จนวีระพูดจนจบ
ตอนกลับณัฐวุฒิพูดได้หน่อยหนึ่ง
งานนี้ได้ลุยออฟโรดเต็มที่
ตั้งแต่ซื้อมายังไม่ได้ไปลุยอะไรเลย
ปกติเขาจะใช้วินซ์
เป็นลวดสริงดึงรถขึ้น
ไม่ได้ใช้แรงเครื่องยนต์
เพราะถ้าใช้แรงเครื่องยนต์รถต้องมีแรงมากกว่า
ถึงดึงขึ้นได้
แต่รถเราเหมือนรถเก๋ง
แถมไปแต่งเน้นขับเร็วแทนเน้นใช้กำลัง
ก็เลยไม่มีกำลังฉุดเท่าไหร่




















ตอนที่เรากลับ

เห็นมีคนหลายสิบคน
พยายามใช้แรงช่วยผลักรถ
โดยไม่มีคนขับอยู่
เหมือนผลักเรือ
ซึ่งก็มาได้เหมือนกัน
เพราะบริเวณนั้นมีน้ำมาก
และไม่ได้เร่งเครื่องจนติดหล่ม
ส่วนที่เราช่วยฉุดมา
มีวอลโว่อยู่คัน
นอกนั้นกระบะ
โดยเฉพาะหลังๆ
เป็นกระบะของพ่อค้าแม่ค้าที่มาขายของในงาน
และก็มีรถ WD คันใหญ่อยู่สองคัน
ช่วยดึงอยู่ด้วยครับ

จบเรื่องเล่าความประทับใจครั้งนี้
งวดหน้าเจอกันที่สนามหลวง

โดย มาหาอะไร