10 วันรัฐบาล มาร์ค ประหยัดเงินชาติแล้ว 200,000 ล้าน 10 วันรัฐบาล มาร์ค ประหยัดเงินชาติแล้ว 200,000 ล้าน Posted by paisal , ผู้อ่าน : 630 , 10:47:30 น. พิมพ์หน้านี้
1. รัฐบาลผสมที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำได้เข้าทำหน้าที่บริหาร ราชการแผ่น ดินอย่างเป็นทางการและจริงจังมาตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2552 ซึ่งนับถึงวันนี้วันที่ 16 มกราคม 2552 ก็ได้ทำงานไปแล้วเป็นเวลา 10 วัน และได้ออกมาตรการในการแก้ไขวิกฤตทางเศรษฐกิจของประเทศชาติไปแล้วหลายมาตรการ โดยใช้วงเงินงบประมาณ 160,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งเป็นงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี 2552 ที่จะต้องขออนุมัติต่อสภาเป็นการเร่งด่วนในสมัยประชุมนี้
ณ เวลาเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ของรัฐบาลผสมชุดนี้ ประเทศไทยได้รับมรดกบาปมาจากรัฐบาลก่อน ที่สำคัญคือ
(1) ความขัดแย้งทางการเมืองที่ขยายตัวเป็นความแตกแยกของคนในชาติ จนเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานกระแสพระราชดำรัสให้นายก รัฐมนตรีทำบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยและประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ได้กล่าวในการให้โอวาทแก่นายกรัฐมนตรีว่าเป็นโจทย์ที่สั้นและชัด แต่อาจต้องใช้เวลานานในการตอบ ซึ่งมั่นใจว่าแม้ยากแต่ไม่ยากเกิน
(2) ภัยคุกคามทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากวิกฤตทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุด ของโลก ที่เริ่มต้นขึ้นจากสหรัฐอเมริกา และแผ่ขยายตัวลุกลามไปทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างกว้างขวาง หนักหน่วง ซึ่งควรต้องเตรียมรับมือแต่เนิ่น ๆ ด้วยทัศนะเล็งการณ์ไกล แต่รัฐบาลที่ผ่านมากลับไม่ได้เตรียมการใด ๆ เลย เพราะสาละวนอยู่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการผลักดันฟอกผิดฟอกโกงให้กับ นักการเมือง จนเกิดเป็นวิกฤตที่รุนแรงขึ้น ทำให้รัฐบาลผสมของพรรคประชาธิปัตย์ต้องเร่งรีบ เร่งรัด ด้วยความรวดเร็วและด้วยความแม่นยำในการกอบกู้ฟื้นฟูชาติบ้านเมืองให้รอดพ้น จากวิกฤต ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมจิตร่วมใจของทุกภาคส่วนทั่วประเทศ ในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงไม่ยอมให้โอกาสและต้องการขัดขวางการทำงานในทุกวิถี ทาง
(3) ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในโครงการขนาดใหญ่ที่เตรียมการกันไว้ และแทบจะพร้อมขับเคลื่อนทันที เป็นมูลค่านับล้านล้านบาท จนเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสเตือนว่าให้ระมัดระวังในการ ใช้จ่ายเงิน หากไม่ระมัดระวังชาติจะล่มจม แต่นักการเมืองละโมบโลภมากและหน้าด้านเหล่านั้นมิได้น้อมนำมาใส่เกล้า ดึงดันขับเคลื่อนโครงการโคตรโกงมหาโกงจำนวนมากมายหลายโครงการต่อไป
2. โดยที่โครงการโคตรโกงมหาโกงที่ล้วนเป็นโครงการผลาญชาติและฉ้อฉลปล้น ชาติของ นักการเมืองนั้นเป็นโครงการที่ต้องใช้จ่ายเงินแผ่นดินจำนวนมหาศาล ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ไม่มีความจำเป็น ไม่มีความเหมาะสม บ้างก็ชะลอเวลาไว้ก่อนได้ บ้างก็ใช้วิธีการไม่เหมาะสม และทั้งหมดนั้นล้วนเป็นโครงการที่แพงเกินความจริงตั้งแต่ 2-5 เท่าของราคาปกติ หากปล่อยให้นักการเมืองผลักดันโครงการเหล่านี้ให้เดินหน้าต่อไปได้ ก็จะก่อหนี้สินให้กับประเทศชาติจนทำให้ชาติล่มจม ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเตือนไว้ ดังนั้นจึงเป็นภาระหน้าที่อันสำคัญของรัฐบาล ของพรรคการเมือง กลุ่มการเมืองและประชาชนทุกหมู่เหล่าที่จะต้องร่วมกันหยุดยั้งหรือขว้างทิ้ง โครงการมหาประลัยเหล่านี้ ยกเว้นโครงการที่จำเป็นก็ต้องพิจารณาลดวงเงินลงให้เป็นไปตามราคาที่แท้จริง หรือโครงการใดที่สามารถชะลอได้ก็ต้องชะลอออกไปเพื่อไม่ให้ซ้ำเติมวิกฤตของ ประเทศชาติ
3. สิบวันในการทำงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลายคนจับจ้องมองแต่มาตรการที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และหลายคนก็พยายามกดดันให้รัฐบาลชนกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อให้เกิดเป็นศึกกระหนาบเหลือง-แดงถล่มรัฐบาลผสมให้ล้มคว่ำไปโดยเร็วที่ สุด หลายคนยังคงมุ่งขยายผลความขัดแย้งและเชิดชูบทบาทของกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้ง ๆ ที่ยังเหลืออยู่สักเท่าใดก็ยังเป็นที่น่าสงสัย แต่แทบไม่มีใครให้ความสนใจในมาตรการอีกด้านหนึ่งที่ดำเนินไปอย่างประณีต สุขุม ลึกซึ้ง แต่มีผลเป็นการหยุดยั้งโครงการมหาประลัยที่ล้างผลาญชาติเลย
ดังนั้นแม้เวลาผ่านไปแค่ 10 วัน เรากลับเห็นว่าผลงานในการหยุดยั้งโครงการมหาประลัยที่ล้างผลาญชาติของรัฐบาลชุดนี้มีผลที่น่าพอใจ
เรื่อง แรก คือการคว่ำโครงการถนนปลอดฝุ่นที่มีวงเงินต้องใช้งบประมาณขั้นต้น 30,000 ล้านบาท และมีการผลักดันนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจไปแล้ว แต่ก็ถูกโยนทิ้งไป เป็นการประหยัดเงินของชาติถึง 30,000 ล้านบาท และหยุดยั้งการโกงชาติครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ที่เรียกว่าโครงการ ถนนปลอดฝุ่น ความจริงก็คือโครงการบูรณะถนนลูกรังธรรมดานั่นเอง แต่ใช้สีสันแต้มแต่งสร้างวาทะกรรมหรูเป็นโครงการถนนปลอดฝุ่นด้วยการใช้ยาง มะตอยลาดหรือบูรณะถนนลูกรัง ซึ่งความจริงใช้เงินน้อยกว่าที่ตั้งงบประมาณไว้มาก แต่โครงการนี้ก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นขนมเค้กชิ้นใหญ่ของนักการเมืองที่บวก ราคาไว้เกินจริงถึง 5 เท่า
การโยนทิ้งโครงการนี้จึงมีผลเป็นการประหยัดเงินให้กับประเทศชาติ 30,000 ล้านบาท
เรื่อง ที่สอง คือโครงการจัดหารถบัสเอ็นจีวีของ ขสมก. ซึ่งหากซื้อรถบัสดังกล่าวก็จะสามารถซื้อได้ด้วยราคาเพียงคันละ 3,800,000 บาท หรือในราคาถูกกว่านั้น แต่จัดทำเป็นโครงการโคตรโกงมหาโกงในรูปแบบของการเช่าที่พิสดารที่สุดของโลก คือเช่าเป็นระยะเวลา 10 ปี ทั้ง ๆ ที่อายุการใช้งานของรถมีเพียง 5 ปีเท่านั้น และคิดเป็นค่าเช่าสิริรวมแล้วถึงคันละ 12 ล้านบาท เดิมตั้งโครงการไว้ 6,000 คัน แต่ในที่สุดก็ไม่อยากเสี่ยงแรงตีนของกลุ่มรถร่วม ขสมก. จึงตัดออกไป 2,000 คัน เหลือ 4,000 คัน แต่ก็ล้างผลาญชาติเป็นจำนวนเงินสูงมากร่วม 50,000 ล้านบาท และโครงการนี้คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจก็มีมติให้ทบทวนให้เหมาะสม นั่นคือจำนวนรถที่จัดหาต้องเหมาะสม ซึ่งความจริงไม่เกิน 2,000 คัน วิธีการจัดหาต้องเหมาะสมเช่น ซื้อเครื่องหรือชัชซีเข้ามาต่อตัวถังรถในประเทศไทย ทำให้เกิดการจ้างงานขึ้นในประเทศไทย และเพิ่มธุรกิจให้กับคนไทย และด้วยราคาที่เหมาะสมคือเมื่อรถราคา 3,800,000 บาท ก็ต้องใช้ราคานี้หรือต่ำกว่านี้เพราะเป็นการจัดหาจำนวนมาก ไม่ใช่ตั้งวงเงินใช้เงินถึงคันละ 12 ล้านบาท
การจัดการกับโครงการนี้ทำให้ประหยัดเงินให้กับประเทศชาติถึง 50,000 ล้านบาท
เรื่อง ที่สาม คือโครงการผันน้ำจากประเทศลาวลอดอุโมงค์ใต้แม่น้ำโขงเข้าสู่ภาคอีสานของไทย ซึ่งตั้งวงเงินงบประมาณไว้ถึง 70,000 ล้านบาท และยังจะต้องมีโครงการต่อเนื่องอีกหลายโครงการ และใช้เงินรวมกันเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 40,000 ล้านบาท
โครงการนี้ เป็นโครงการที่ผลาญชาติที่แท้จริงและชัดเจนที่สุด เพราะประเทศไทยไม่ได้ขาดน้ำ ปัญหาอยู่ที่ไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำ ปริมาณน้ำในภาคอีสานมีมากพอจนเป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมทุกปี ทั้งในภาคอีสานไหลบ่าลงมาท่วมภาคกลางและกรุงเทพมหานคร นั่นคือฤดูฝนน้ำท่วมเพราะไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำ พอหน้าแล้งก็ขาดน้ำเพราะไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำอีกเช่นเดียวกัน หากผันน้ำเข้ามาเพิ่ม น้ำก็จะยิ่งท่วม แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาขาดน้ำได้ นอกจากนั้นการผันน้ำจากลาวซึ่งเป็นที่ต่ำขึ้นสู่ที่ราบสูงของภาคอีสานของไทย จะสร้างรายจ่ายประจำให้กับประเทศไทยตลอดไป ทำให้ชาติล่มจม ในขณะที่ประชาชนในภาคอีสาน ภาคกลาง และกรุงเทพฯ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มีแต่ต้องรับภัยน้ำท่วมเท่านั้น
โครงการนี้นักการเมืองอำนาจเก่า จัดตั้งขึ้นเพื่อหาประโยชน์โดยเฉพาะ มีการเตรียมการให้บริษัทจากประเทศจีนของนายเหยียนปิงเป็นผู้รับเหมา ด้วยราคาที่สูงกว่าความเป็นจริงถึง 300-400% และถ้าหากโครงการนี้เริ่มต้นขึ้นได้ก็จะต้องมีโครงการสืบเนื่องเพิ่มขึ้นอีก จำนวนมาก ซึ่งมีการเตรียมการโครงการรองรับไว้โดยต้องใช้วงเงินเพิ่มอีกราว 40,000 ล้านบาท
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาต่อที่ประชุมนักธุรกิจที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นเมื่อ วันที่ 15 มกราคม 2552 และตอนหนึ่งได้พูดเกี่ยวกับโครงการนี้ว่าไม่มีความจำเป็น จะใช้วิธีการพัฒนาแหล่งน้ำภายในประเทศคือในภาคอีสานดีกว่า ซึ่งหมายความว่าโครงการมหาภัยโครงการนี้ได้ถูกรัฐบาลโยนทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว
การ โยนทิ้งโครงการนี้จึงมีผลเป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดินรอบแรกถึง 70,000 ล้านบาท และป้องกันมิให้มีการตั้งโครงการโกงชาติขยายออกไปอีก 40,000 ล้านบาทด้วย สิริรวมแล้วกระบวนท่าเดียวนี้ก็สามารถประหยัดเงินแผ่นดินได้ถึง 110,000 ล้านบาท
4. สรุป ดังนั้นในรอบ 10 วันของการเข้าทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้หยุดยั้งโครงการมหาประลัยที่ผลาญชาติไปแล้ว 3 โครงการใหญ่ คือ
4.1 โครงการถนนปลอดฝุ่น ซึ่งประหยัดเงินงบประมาณได้ถึง 30,000 ล้านบาท
4.2 โครงการรถบัสเอ็นจีวี จำนวน 4,000 คัน ซึ่งประหยัดเงินงบประมาณได้ถึง 50,000 ล้านบาท
4.3 โครงการผันน้ำจากลาวลอดอุโมงค์ใต้แม่น้ำโขงสู่ภาคอีสานของไทย ซึ่งประหยัดงบประมาณได้ถึง 110,000 ล้านบาท
สิริ รวมแล้ว 3 โครงการมหาประลัย รัฐบาลได้ประหยัดเงินให้กับประเทศชาติถึง 190,000 ล้านบาท นี่คือผลงานที่เราจำเป็นต้องนำมารายงานเพื่อร่วมกันปรบมือให้กับรัฐบาลผสม ชุดนี้ว่าคุ้มค่ากับเงินเดือนภาษีที่ ประชาชนจ่ายให้มากมายนัก และบุกเบิกแนวโน้มที่จะหยุดสถานการณ์ที่จะทำให้ชาติล่มจมได้อีกด้วย.
ที่มา:http://www.oknation.net/blog/paisalvision/2009/01/16/entry-5 จากคุณ : nai_per - [ 16 ม.ค. 52 19:50:55 A:125.27.110.184 X: ]
| | |