การต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย
จะแตกต่างจากการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราช
หรือเรียกร้องเรื่องใดๆ
ตรงที่มันต้องยึดหลักการประชาธิปไตยให้ได้
ถ้าวันใดไม่ยึดหลักการประชาธิปไตย
ก็จะทำให้ไม่ได้ใจนักประชาธิปไตยทั่วไป
เพราะว่ามาเรียกร้องประชาธิปไตยแต่ใช้วิธีเผด็จการ
ใครเขาจะเชื่อว่าพวกคุณมาเรียกร้องประชาธิปไตยกัน
เผลอๆ คนทั่วไปอาจคิดว่า
รูปแบบการปกครองแบบเผด็จการน่าจะดีกว่าประชาธิปไตย
เพราะว่าขนาดนักเรียกร้องประชาธิปไตย
ที่ออกมาเคลื่อนไหวยังเอาวิธีเผด็จการมาใช้เลย
แทนที่จะใช้วิธีประชาธิปไตย
ตามที่ออกมาเรียกร้องอยากได้กัน
ส่วนวิธีตีเมืองขึ้นนั้น
เป็นวิธีที่ใช้ในการกู้เอกราช
เพื่อความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมือง
แต่ถ้าใช้วิธีเดียวกันนี้กับการเรียกร้องประชาธิปไตย
ผลจะออกมาไม่เหมือนกัน
เพราะว่าแทนที่กลุ่มต่างๆ ที่ถูกตีจะเป็นปึกแผ่น
กลับจะกลายเป็น ยิ่งตีเมืองขึ้นได้เพิ่มขึ้น
ก็ยิ่งมีศัตรูเพิ่มมากขึ้นไปด้วย
อาจพาคนไปได้ส่วนหนึ่ง
แต่อีกส่วนหนึ่งอาจตั้งป้อมเป็นศัตรู
ก็เลยทำให้ยิ่งตีเหมือนยิ่งมีศัตรูเพิ่ม
แต่ถ้าใช้วิธีการทางประชาธิปไตย
เน้นส่งเสริมให้มีกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อยจับตัวกันเยอะๆ
และยึดกันไว้ด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตย
แล้วใช้การขอความร่วมมือมาร่วมทำกิจกรรม
จะมีแต่ได้มิตรเพิ่มและมากันทั้งกลุ่ม
อย่างน้อยก็ไม่มีศัตรูเพิ่มขึ้น
ในหมู่คนเรียกร้องประชาธิปไตยด้วยกัน
แถมการเกาะกันโดยโครงสร้างแบบนี้
จะตีให้แตกก็ลำบาก
เพราะมันแตกกระจายกันเองอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
แล้วจะไปตีอะไรให้แตก
ถ้าเป็นการรบก็เรียกว่าเป็นการรบแบบกองโจร
แบบที่เวียตนามเอาชนะอเมริกานั่นแหล่ะ
แบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ กระจายไปทั่ว แล้วใช้กลยุทธ์
"เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตี เอ็งหนีข้าตาม"
สู้ไปเรื่อยๆ แบบนี้ไม่เลิก อเมริกายังต้องยอมถอย
และที่กำลังปวดหัวสำหรับไทยก็คือเหตุการณ์ทางใต้
สู้มาหลายปีไม่รู้สู้กับใคร เคยมีข่าวเจรจากับแกนนำ
ว่าจะวางอาวุธ ปรากฏว่าฮือฮาได้ไม่กี่วันป่วนต่อ
ก็ไม่มีใครสั่งใครได้ทั้งหมดแบบนี้ จบยาก
แต่ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มเดียว
ประเภทรวมพลลุยพร้อมกันประจัญบาน
ตัวอย่างอเมริการบกับอิรัก หรือ เยอรมัน นั่นแหล่ะ
ใครอาวุธดีกว่าโอกาสชนะสูง และเลิกเร็ว จบง่ายมาก
อีกตัวอย่างก็พวกพรรคคอมมิวนิสต์ในอดีต
ที่เขาเจรจาระดับแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ได้สำเร็จ
ทุกอย่างจบ ระดับล่างเลิกตามแกนนำหมด
ที่พูดนี่ไม่ได้เชียร์ให้รบกันน่ะ
แค่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
และรบด้วยปัญญาไม่เน้นความรุนแรง
เพียงแค่ไม่ท้อไม่เลิกหามวลชนเพิ่มเรื่อยๆ
ชนะแน่นอนเพียงแต่ว่า
ถ้าชนะแล้วได้เผด็จการพันธุ์ใหม่
นักประชาธิปไตยทุกคนก็คงต้องเหนื่อยกันอีกครั้ง
ปล. สมัยก่อนผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องประชาธิปไตยอะไร
เผลอๆ บางเรื่องอาจใช้แนวขัดกับหลักการประชาธิปไตยด้วยซ้ำ
แต่ต้องมาร่วมเรียกร้องประชาธิปไตย
ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ถูกปล้นสิทธิไป
ยิ่งเห็นว่าบ้านเมืองเกิดกลียุค
เห็นความอยุติธรรมเต็มบ้านเต็มเมือง
จึงทนไม่ได้ต้องออกมาร่วมเรียกร้องประชาธิปไตยด้วยคน
และตอนนี้ก็ไม่ได้หวังเรียกร้อง
แค่ให้ได้ประชาธิปไตยแบบเก่ากลับคืนมา
แต่ต้องการประชาธิปไตยใหม่ที่ดีกว่าเดิมด้วย
เมื่อมาเรียกร้องประชาธิปไตย
ก็ต้องฝึกรับวัฒนธรรมแบบประชาธิปไตยไปใช้ในชีวิตประจำวัน
และใช้ในการคิดอ่าน ช่วยแนะนำข้อคิดกลยุทธ์
เพื่อช่วยกันเรียกร้องประชาธิปไตยให้ได้สำเร็จ
จึงต้องเปลี่ยนแปลงตนเองขนานใหญ่
โดยพยายามเปลี่ยนนิสัยให้เป็นนักประชาธิปไตย
และพยายามเอามาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย
เพื่อจะได้ไม่โดนใครต่อใครมาย้อนว่า
มาเรียกร้องประชาธิปไตย
แต่ทำตัวไม่มีประชาธิปไตยยังงี้
มาเรียกร้องประชาธิปไตยจริงหรือเปล่า
ของแบบนี้มันฝึกกันได้
ไม่มีใครเป็นนักประชาธิปไตยมาตั้งแต่เกิด
มันต้องมาฝึกฝนกันภายหลังทั้งนั้น
ขึ้นอยู่กับว่าจะเริ่มต้นเร็วหรือช้าต่างกันเท่านั้น
แต่ถ้าเริ่มต้นฝึกจะรู้ว่ามันไม่ยากอย่างที่คิด
อันที่จริงแก่นแท้ประชาธิปไตย
มันก็คือการพยายามใช้ชีวิตอยู่ในสังคม
ที่ผู้คนมีความคิดหลากหลายให้ได้เท่านั้นเอง
ถ้าทุกคนคิดเหมือนกันหมด
ก็ไม่จำเป็นต้องมีลัทธิประชาธิปไตยอะไรขึ้นมา
เพราะไม่มีโอกาสขัดแย้งทางความคิดกันอยู่แล้ว
แต่ในความเป็นจริงสำหรับมนุษย์ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
มนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ ที่จะทำอะไรตามโปรแกรมที่เขียนไว้
ซึ่งโปรแกรมก็เปรียบเหมือนความคิดนั่นเอง
ถ้าเป็นหุ่นยนต์ใช้โปรแกรมเดียวกัน
ก็คือมีความคิดเดียวกันการกระทำใดๆ ก็คล้ายๆ กันไปหมด
เพราะเป็นมนุษย์ โลกนี้ถึงได้ยุ่งวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้
โดย มาหาอะไร
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.