บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


06 กันยายน 2552

<<< ฝึกมวลชนเป็นแนวหน้า ด้วย 3 กล้ากับ 5 มี >>>

เห็นกำลังมีการตั้งโรงเรียนสอนผู้นำ
หรืออบรมแกนนำอะไรช่วงนี้

และเมื่อวานได้อภิปรายกับคนในเว็บประชาไททำนองว่า
อย่าไปยึดวิชาการมากนัก
เพราะเห็นรายการที่จะให้สอนยาวเหยียด
ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และกลยุทธ์
แต่เรากลับเห็นว่า
นั่นไม่ใช่แกนหลักที่จำเป็นต้องเน้น
สิ่งที่จำเป็นต้องเน้นและต้องปลูกฝังให้ได้
มันน่าจะมีเป้าหมายว่า
เราอยากได้นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยร่วมอุดมการณ์กัน
เป็นคนแบบไหน
แล้วถึงกำหนดวิชาการสอนเพื่อให้ออกมาเป็นแบบนั้น
ไม่ใช่การยัดเยียดความรู้มากมาย
แต่ไม่ได้ใช้เดี๋ยวก็ลืมหมด
และไม่ได้นักต่อสู้ประชาธิปไตยที่ดีเพิ่ม
แต่ได้นักรู้เรื่องราววิชาการเพิ่มขึ้นมาเท่านั้นเอง
ซึ่งเรื่องพวกนี้แต่ละคนสามารถไปหาอ่านเพิ่มเติม
ตามความสนใจแต่ละคนได้อยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องมีสถาบันฝึกสอนให้ยุ่งยาก
เลยขอเสนอแนวทางในการฝึกมวลชนเป็นแนวหน้า
ด้วยวิธี 3 กล้ากับ 5 มี ดังนี้

3 กล้าได้แก่ กล้าคิด กล้าทำ กล้านำตนเอง
ซึ่งได้เคยบันทึกไว้แล้ว ตามอ่านได้ที่นี่
<<< กล้าคิด กล้าทำ กล้านำตนเอง >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/09/blog-post_03.html

ส่วนวันนี้จะมากล่าวถึง 5 มี ซึ่งได้แก่
1. มีอุดมการณ์
2. มีเหตุผล
3. มีสติ
4. มีปัญญา
5. มีความมุ่งมั่น

1. มีอุดมการณ์
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการฝึกมวลชนเป็นแนวหน้า
หรือเป็นแกนนำ หรือเป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตย
เพราะว่าถ้าไม่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยแล้ว
ก็เปล่าประโยชน์ ต่อให้สอนให้รู้เรื่องราวมากมาย
ทั้งเศรษฐกิจการเมืองและกลยุทธ์อย่างครบถ้วนแล้วก็ตาม
เพราะมีตัวอย่าง 3 ปีที่ผ่านมาให้เห็นว่า
ระดับคนเป็นอาจารย์สอนเกี่ยวกับเรื่องประชาธิปไตยเสียด้วยซ้ำ
และคนที่จบ ดร. มากมายหลายคน
ก็ออกมายืนข้างพวกทำรัฐประหาร
โจมตีฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับพวกทำรัฐประหารหน้าตาเฉย
รวมไปถึงคนที่เคยต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย
ตั้งแต่ตุลาวิปโยค พฤษภาทมิฬ ก็ตาม
แต่พอนานวันไปก็เปลี่ยนข้าง
แถมเรียกร้องการทำรัฐประหารเสียเองอีกด้วย
นี่แสดงให้เห็นว่าแต่ก่อนที่เคยสู้กันมา
สู้เพราะสถานการณ์พาไปหาใช่มีอุดมการณ์อะไรไม่

การสอนให้คนมีอุดมการณ์ประชาธิปไตย
พูดไปก็มองภาพไม่ค่อยออกมันเป็นนามธรรมมากเกินไป
แต่ถ้าเราสอนให้เขารักสิทธิเสรีภาพของเขา
รักความยุติธรรมและความเสมอภาคด้วยแล้ว
โดยให้เขาสัมผัสได้ เห็นได้ในชีวิตประจำวันของพวกเขา
ว่าความไม่ยุติธรรมมันจะมีผลยังไงในรุ่นลูกหลานของพวกเขา
ต่อให้วันนี้ไม่โดนกับตนเองก็ตาม
หรือการยินยอมให้คนอื่นละเมิดสิทธิเสรีภาพ
และความเสมอภาคของพวกเขาหรือของคนอื่น
แต่ก็มากระทบพวกเขาไม่วันใดก็วันหนึ่ง
เพราะการออกกฏหมายใดๆ
เพื่อมากำจัดสิทธิเสรีภาพของคนเพียงคนเดียว
มันก็ได้รับผลกระทบกันทั่วหน้า
เพราะทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฏหมายเดียวกันนั่นเอง
และมันจะทำให้รุ่นลูกรุ่นหลานของพวกเขา
มีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค
มากกว่ารุ่นของพวกเขายังไง

เมื่อพวกเขารับรู้ได้และเห็นความต่าง
ของการมีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค
ระหว่างมีและไม่ค่อยจะมีถึงไม่มี
บรรยากาศมันต่างกันยังไง
ซึ่งเขาก็จะออกมาปกป้องสิทธิเสรีภาพ
และความเสมอภาคของเขาเอง
รวมไปถึงการต่อต้านการทำรัฐประหารโดยอัตโนมัติด้วย

สามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับลัทธิประชาธิปไตย
ได้ที่นี่
<<< ลัทธิ ประชาธิปไตย >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/03/1.html

2. มีเหตุผล
ความมีเหตุผล เป็นรากฐานสำคัญ
ในสังคมประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

ตามที่เคยบันทึกไว้แล้วที่นี่
<<< ความมีเหตุผล เป็นรากฐานสำคัญในสังคมประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/05/blog-post_7140.html

เพราะการมีเหตุผลจะช่วยให้การตัดสินใจของคน
ได้ข้อยุติที่สามารถยอมรับกันได้
ถ้าไม่เอาเหตุผลเน้นแต่เสียงข้างมากอย่างเดียว
ต่อให้โหวตชนะก็อาจคาใจ
อาจลากกันไปเล่นข้างถนนเหมือนทุกวันนี้ได้
แต่ถ้าสามารถเอาชนะกันได้ด้วยเหตุผล
ฝ่ายที่แพ้แก่เหตุผล มักจะยอมจำนนได้มากกว่า

การสอนให้คนมีเหตุผล
ก็ต้องสอนให้รู้จักหาข้อมูลมาโต้ตอบ
ไม่ใช่ใช้อารมณ์มาโต้ตอบอย่างเดียว
และสอนให้เขารักการอภิปรายโต้แย้งกับคนอื่น
เพราะการอภิปรายจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้
และรู้จักหาข้อมูลและนำไปใช้โต้ตอบ
โดยใช้เหตุผลประกอบ

อ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ที่นี่
<<< การอภิปรายโต้เถียง คือรากแก้วที่หล่อเลี้ยงต้นประชาธิปไตย >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_20.html

ซึ่งก็ต้องสอนเรื่องมีน้ำใจนักกีฬาควบคู่ไปด้วย
เพราะคนที่มีน้ำใจนักกีฬา
เวลารู้ว่าแพ้ด้วยเหตุผล
ก็จะมีน้ำใจเป็นนักกีฬายอมรับสภาพ

และคนที่ชนะก็จะไม่ซ้ำเติม
จนยั่วให้เกิดอารมณ์ได้

ซึ่งอาจทำให้คนแพ้ดื้อไม่รู้จักแพ้
จนบานปลายไม่สามารถจบกันด้วยเหตุผลได้ง่ายๆ

3. มีสติ
ข้อนี้ก็สำคัญ
ถ้าคนไม่มีสติต่อให้เรียนมาสูงรู้มากยังไง
ก็อาจพากันลงเหวหรือทำอะไรกันแบบไร้สติ
จนเกิดความเสียหายต่อมวลชนส่วนรวมได้

เรื่องนี้ก็คงต้องสอนเรื่องการทำงานเป็นทีม
ให้รับรู้ว่าถ้าไม่มีสติจะทำให้ทั้งทีมเดือดร้อนกันยังไง
หรือยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่นำความสูญเสียมาให้อย่างใหญ่หลวง
เพราะความขาดสติของคนเพียงคนเดียว

4. มีปัญญา
เมื่อมีทั้งเหตุผลและมีสติ
ปัญญาจะมาเอง

เพราะการค้นหาข้อมูล
เพื่อนำมาโต้แย้งกันด้วยเหตุผล

มันก็ทำให้เกิดความรู้เพิ่มมากขึ้นโดยอัตโนมัติ
ซึ่งการมีความรู้เพิ่มมากขึ้น
ก็คือการมีปัญญาเพิ่มมากขึ้นดีๆ นี่เอง

5. มีความมุ่งมั่น
เป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง
ที่จะทำให้คนไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ
จนต้องล้มเลิกความตั้งใจไปกลางคัน
ถ้าคนมีความมุ่งมั่นแล้ว
แม้วันนี้อาจจะทำงานนั้นงานนี้ไม่สำเร็จ
แต่เชื่อได้แน่นอนว่า
"หากยังมีความมุ่งมั่น วันแห่งความสำเร็จ ย่อมมีสักวันหนึ่ง"

การสอนบทเรียนเกี่ยวกับความมุ่งมั่นแบบทางลัดที่ดี
ก็คือการพาเดินขึ้นภูเขาหลายๆ ภู
ทั้งภูกระดึง ภูสอยดาว ดอยหลวงเชียงดาว หรือโมโกจู
เริ่มจากง่ายๆ ฝึกไปแต่ละภู
อาจแค่สองสามภูก็ได้
ไม่จำเป็นต้องเหมาหมดอย่างที่ว่ามา

เพราะบางภูก็โหดไม่ใช่เล่น
เน้นแค่ว่าเคยผ่านอุปสรรคทำให้ท้อ
แต่เมื่อไม่ย่อท้อ
ก็มีสิทธิขึ้นไปถึงยอดเขาได้สำเร็จ ก็พอแล้ว


จะเห็นได้ว่า ทั้ง 3 กล้ากับ 5 มี
แทบไม่เน้นวิชาการอะไรมากมาย
เพราะจะกลายเป็นความน่าเบื่อหน่าย
ควรเน้นให้เขานำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
จนกลายเป็นวัฒนธรรมประชาธิปไตย

ถ้าวันใดวัฒนธรรมประชาธิปไตยในไทย
สามารถซึมเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวัน
ของคนไทยส่วนใหญ่ได้แล้ว

ก็เป็นหลักประกันได้ว่า
วัฒนธรรมประชาธิปไตยในไทยนั่น
จะดำรงคงอยู่ได้สืบต่อไปนานแสนนาน
แต่ถ้าวัฒนธรรมใดๆ
ยุ่งยากแตะต้องไม่ค่อยได้

แถมไม่ค่อยได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ส่วนใหญ่วัฒนธรรมเหล่านั่น
สุดท้ายแล้ว
มักจะไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์เสียมากกว่า


และการที่เกิดวิกฤตประชาธิปไตยในไทยครั้งนี้
สุดท้ายอาจมีโอกาสเกิดวัฒนธรรมประชาธิปไตยใหม่ๆ
แบบไทย ไท
ที่ไม่ใช่แบบไทยๆ เหมือนแต่ก่อนก็เป็นได้

โดย มาหาอะไร