บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


18 ตุลาคม 2552

<<< วิธีบิดเบือนประวัติศาสตร์ VS วิธีแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต >>>

วิธีบิดเบือนประวัติศาสตร์
วิธีนี้ใช้ได้ดีในอดีต
หรือในสภาวะที่การสื่อสารไม่ทันสมัย
เป็นวิธีที่ใช้ได้ผล ลงทุนน้อย
ถ้าหลอกคนจนเชื่อได้สำเร็จ
เป็นวิธีที่คนบงการหรือคนทำผิดพลาดไม่มีมลทิน
เพราะป้ายความผิดไปให้ลูกน้องรับแทนหมดแล้ว
เช่นกรณีเจ้าพ่อเจ้าแม่แถวต่างจังหวัด
เวลาไปทำเรื่องอะไรไม่ดีไม่งาม
ก็จะให้ลูกน้องคนสนิทไปรับหน้าแทน
เช่น ขับรถไปชนคนตาย ลูกน้องรับผิดแทน
ไปยิงคนตาย ลูกน้องรับผิดแทน
ไปค้ายาบ้าโดนจับได้ ลูกน้องรับผิดแทน
อะไรพวกนี้ เป็นต้น
ซึ่งตัวเองไม่ต้องรับผิดให้มีมลทิน
แถมไม่ต้องไปกินข้าวแดงฟรีอีกด้วย
เผลอๆ พอเรื่องเงียบหายไปสักพัก
ก็แอบไปประกันช่วยเหลือลูกน้องเก่า
กลับมาทำงานให้ตนเองได้อย่างหน้าตาเฉย
ชาวบ้านที่รู้ทันก็ได้แต่กระซิบกันในหมู่คนไม่กี่คน
เพราะไม่สามารถเข้าถึงการสื่อสารได้ทั่วประเทศ
แล้วถ้าพวกนี้ซื้อของไปแจกชาวบ้านแถวนั้น
ก็อาจซื้อใจชาวบ้านบางคนให้มาเป็นพวก
เพื่อคอยปกป้องพวกเขาจากพวกที่รู้ทันคนพวกนั้น
ซึ่งต่อให้พวกรู้ทันชี้ให้เห็นว่า
ถ้าพวกเจ้าพ่อเจ้าแม่พวกนี้
ไม่รู้เรื่องอะไรเลยในเหตุการณ์นั้นๆ
ทำไมยังใช้ลูกน้องคนนั้นคนนี้
เผลอๆ บางทีอาจเห็นลูกน้องพวกเจ้าพ่อเจ้าแม่เหล่านี้
ที่โดนคดีหลุดออกมาเดินสายเก็บส่วยส่งนายเหมือนเดิม
แล้วจะมาแก้ตัวว่าไม่รู้ไม่เห็นได้ยังไง
คนดีจริงเขามักใช้แต่คนดีๆ
บางคนอวดอุตริว่าเป็นคนดี
ห่มผ้าเหลืองแถมอ้างว่าบรรลุโสดาบัน
แต่เอาพวกโจรห้าร้อยมาเป็นเด็กวัดเดินตามหลังต้อยๆ
ชาวบ้านที่ไหนเห็น ใครจะเชื่อ
ว่าชายที่ห่มผ้าเหลืองคนนั้นดีจริงหรือไม่
ผมว่าเขาไม่เชื่อหรอก
แต่เขาจะพูดให้ได้ยินหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ถ้าจะยกกรณีองคุลีมาลมาอ้าง
ก็ต้องอ้างให้หมดเพราะองคุลีมาล
หลังกลับใจเลิกฆ่าคนหันมาบวช
ก็ต้องผ่านการพิสูจน์ตนเอง
จากชาวบ้านที่เคยโดนองคุลีมาลทำร้าย
หรือที่รู้ความเลวร้ายขององคุลีมาล
มาดักทำร้ายหรือรุมประชาทัณฑ์
ซึ่งองคุลีมาลก็ไม่ได้ตอบโต้แล้ว
และยอมเป็นผู้ถูกกระทำ
ซึ่งก็ผ่านบทพิสูจน์มาแล้วว่าเลิกแล้วจริง
สำนึกผิดแล้วและกำลังแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต
ไม่ใช่พอโดนชาวบ้านมาทำร้าย
ก็เอาบาตรขว้างกลับอะไรแบบนั้น
ถ้าขืนทำแบบนั้นก็คงไม่ได้การยอมรับ
ให้ห่มผ้าเหลืองต่อไปแน่ๆ

ดังนั้นวิธีบิดเบือนประวัติศาสตร์
จะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อสามารถลบประวัติศาสตร์เก่าๆ
แล้วเขียนบิดเบือนขึ้นมาใหม่ตามที่ตนเองต้องการได้สำเร็จ
แต่ถ้าทำไม่ได้เพราะยุคสมัยเปลี่ยนไป
การสื่อสารเปลี่ยนแปลงไปเร็ว
ทั้งสามารถสื่อสารกันได้
อย่างรวดเร็ว กว้างขวาง และทนนาน
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดใช้วิธีนี้ต่อไป
แต่ช่วงนี้ตามต่างจังหวัดที่สื่อไม่ค่อยสนใจ
และประชาชนยังเกรงกลัวอิทธิพล
ก็ยังอาจใช้วิธีนี้ได้ผลอยู่
แต่ตายไปก็คงต้องนอนผวา
ว่าจะมีใครขุดความเลวร้ายของตนเอง
ขึ้นมาประจานวันไหนก็ไม่รู้
คือถึงเขาไม่กล้าในวันนี้
อนาคตข้างหน้ารุ่นลูกรุ่นหลาน
ถ้าเขาเกิดสนใจสืบค้นขุดคุ้ยมาเจอ
เขาก็คงเอามาตีแผ่แน่นอน
เพราะยุคหน้าคงควบคุมอะไรได้ยากมากกว่าสมัยนี้แน่ๆ

วิธีแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต
วิธีนี้ลงทุนค่อนข้างสูง
บางครั้งอาจต้องลงทุนด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ
หรือแม้กระทั่งชีวิตเลยทีเดียว
อย่างกรณีขององคุลีมาล
ก็เลือกใช้วิถีทางนี้
โดยยอมรับความผิดพลาดในอดีต
แล้วทำการแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีต
ด้วยการออกบวช ยอมเป็นผู้ถูกกระทำ
ยอมละความโลภ ความโกรธทั้งปวง
สุดท้ายคนที่ทำตัวยิ่งกว่าโจรห้าร้อยแบบองคุลีมาล
ยังได้รับการยกย่องมาจนถึงทุกวันนี้
ถ้าเขาใช้วิธีบิดเบือน
โดยบังคับให้ชาวบ้านเชื่อว่าเขาเป็นคนดี
หรือเผาตำราทุกเล่มที่เขียนถึงเขาทิ้ง
แล้วเขียนใหม่ว่าองคุลีมาลเป็นคนดีอะไรแบบนั้น
ผมว่าเขาก็บังคับพระสงฆ์หรือคนร่วมสมัยในยุคนั้น
ไม่ได้หมดทุกคนหรอก
ยังไงก็ต้องมีหลักฐานตกทอดต่อๆ กันมา
หรือปากต่อปากพูดต่อๆ กันมาบ้างว่า
ตัวตนขององคุลีมาลตอนนั้นจริงๆ เป็นยังไง
ขนาดอาณาจักรบางอาณาจักร
สูญหายไปนับพันๆ ปี
เขายังขุดค้นสืบหาความจริง
จนเจอความจริงตั้งมากมายหลายเรื่อง
และถึงแม้ว่าองคุลีมาลเลือกเส้นทางการบิดเบือน
ผมก็เชื่อว่าชื่อเสียงขององคุลีมาล
ก็ยังเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จัก
ก็คงไม่มีใครนำมาใส่ไว้ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา
แล้วเผยแผ่เรื่องราวต่อๆ กันมาจนถึงทุกวันนี้หรอก
และถ้าคนที่ทำเรื่องไม่ดี
แล้วไม่ใช้วิธีแก้ไขให้มันถูกต้องก่อนที่ตัวเองจะตาย
ถ้าเกิดตายไปแล้วก็เหมือนกับเป็นการสละสิทธิ์
ในการชำระล้างสิ่งที่ผิดพลาดของตนเองไปดีๆ นี่เอง
รอวันถูกขุดคุ้ยขึ้นมาประจาน
แบบไม่มีโอกาสได้แก้ตัว
ไม่มีโอกาสได้แก้ไขความผิดนั้นๆ อีกเลย
แต่องคุลีมาลได้กระทำการแก้ไข
สิ่งผิดพลาดในช่วงหนึ่งของชีวิต
จนถึงวันที่เขาหมดลมหายใจ
เขาสามารถลบล้างความคิดผู้คน
จากที่นับถือเขาเป็นพวกโจรห้าร้อย
กลับกลายมาเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
และยังประสบความสำเร็จ
ที่ได้เป็นต้นแบบ เป็นตัวอย่าง
ของคนที่กระทำความผิดร้ายแรง
แล้วกลับตัวกลับใจ
ยอมแก้ไขสิ่งผิดพลาดในอดีตได้สำเร็จ
ซึ่งคนรุ่นหลังได้เล่าขานสืบทอดต่อๆ กัน
มาจนถึงทุกวันนี้และต่อไปตราบนานเท่านาน

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะตายได้
ว่าจะตายไปพร้อมกับสิ่งผิดพลาดที่ไม่ยอมแก้ไข
หรือจะตายไปแบบแก้ไขสิ่งผิดพลาดได้สำเร็จแล้ว
อยู่ที่แต่ละคนเลือกเส้นทางเดินของตนเอง
ไม่มีใครบังคับใครได้
คนเราเกิดมาย่อมมีสิ่งผิดพลาดในช่วงหนึ่งของชีวิตแต่ละคน
มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ประสบการณ์ชีวิตแต่ละคน
ยิ่งมีประสบการณ์เยอะ ก็มักจะทำสิ่งผิดพลาดไว้เยอะเช่นกัน
ยกเว้นคนที่ไม่คิดทำอะไรเลยเพราะกลัวการทำผิดพลาด
แต่ที่จริงการไม่ทำอะไรเพราะกลัวผิดพลาด
ก็คือสิ่งผิดพลาดสิ่งหนึ่งของชีวิตคนๆ นั้น
เพราะเกิดมาเพื่อตาย
ไม่ได้มีโอกาสหาประสบการณ์อะไรให้ชีวิต
แล้วเกิดมาทำไม ไม่เข้าใจ

ดังนั้นสิ่งผิดพลาด คือ บทพิสูจน์ความเป็นคน
ว่ามีสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาหรือไม่
หรือดีจริงหรือไม่
ซึ่งสิ่งผิดพลาดย่อมเกิดได้กับทุกคน
แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังเคยทำสิ่งผิดพลาดเหมือนกัน
ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ดังนั้นคนดีจริงไม่ได้ดูที่ว่าทำอะไรผิดพลาดบ้างหรือไม่
แต่ดูที่วิธีการแก้ไขปัญหาว่า
เลือกใช้แนวทางที่คนดีจริงๆ ควรจะกระทำหรือไม่

โดย มาหาอะไร