บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


24 มกราคม 2553

<<< จากกรุงเทพ ครึ่งทางไปเชียงใหม่ ยังไงก็ไกลกว่า ไปสุดทางที่อยุธยา >>>

"แดงไปได้ถึงสุดทาง"
"ดำไปได้แค่ครึ่งทาง"

จากสองประโยคข้างต้น
ดำหรือแดงใครเดินทาง
ไปได้ไกลกว่ากัน

ซึ่งถ้าจะตอบได้ถูกต้อง
ก็ต้องรู้จุดหมายปลายทาง
ของทั้งดำและแดงก่อน
ถ้าจุดหมายปลายทางเดียวกัน
และใช้เส้นทางเดียวกัน
คำตอบก็คือแดงไปได้ไกลกว่า
เพราะแดงไปได้ถึงสุดทาง
ส่วนดำไปได้แค่ครึ่งทาง

แต่ถ้าจุดหมายปลายทางต่างกัน
เช่น จุดหมายปลายทางของแดงอยู่ที่อยุธยา
ส่วนจุดหมายปลายทางดำอยู่ที่เชียงใหม่
ถ้าเดินทางด้วยทางรถไฟหรือทางถนนทั่วไป
แบบตัดตรงไม่นับการขับซิกแซกวนไปวนมา
คำตอบที่ถูกก็คือดำไปได้ไกลกว่าแดง
เพราะครึ่งทางจากกรุงเทพถึงเชียงใหม่
ยังไงก็ไกลกว่าระยะทางจากกรุงเทพถึงอยุธยาแน่นอน

จึงสรุปเพื่อให้เห็นภาพได้ว่า
"จากกรุงเทพ ครึ่งทางไปเชียงใหม่
ยังไงก็ไกลกว่า ไปสุดทางที่อยุธยา"

จะเห็นได้ว่า
แม้เพียงครึ่งทางแต่ยังไปได้ไกลกว่าสุดทาง
เพราะว่าจุดหมายปลายทางไกลกว่า
ถ้านำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
การที่เราจะฝันให้ไกลๆ ไว้ก่อน
แม้ไปไม่ถึงสุดทาง
ไปได้แค่ครึ่งทาง
แต่ยังไงก็ไปได้ไกลกว่าคนที่ไม่คิดจะฝัน
หรือคิดฝันแค่ใกล้ๆ ไม่กล้าคิดฝันไปไกลๆ

แต่ถ้าฝันเฉยๆ ไม่ลงมือทำ
หรือฝันแบบลมๆ แล้งๆ
ไม่คำนึงถึงความเป็นจริง
โอกาสไปไม่ถึงสุดทางย่อมมีอยู่แล้ว
และฝันของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
แถมอุปนิสัยและความคิดก็ต่างกันด้วย

บางคนอาจชอบฝันไปไกลๆ มากๆ
เพื่อความท้าทายจะไปให้ถึง
หรือฝันเกินจุดที่อยากไปถึง
เพราะอาจอยากได้แรงใจ
ที่จะไปให้ถึงจุดหมายที่แท้จริง
โดยใช้จุดหมายหลอกเป็นตัวล่อ
และถ้าไปได้เลยกว่าจุดหมายที่แท้จริง
ก็ถือว่าเป็นกำไรของชีวิต

แต่บางคนอาจชอบฝันแค่พอไปถึง
พอไปถึงก็ค่อยฝันใหม่
เป็นขั้นไปขยับไปไกลๆ เรื่อยๆ
เพื่อจะได้มีกำลังใจไปเรื่อยๆ
หรือเพื่อเสริมความมั่นใจไปเรื่อยๆ
เมื่อไปถึงจุดหมายแต่ละขั้นที่ตั้งเป้าไว้

ไม่ว่าจะชอบแบบไหน
ขอเพียงให้มีความฝันไว้เสมอ
เพราะถ้าคนเรายังมีความฝัน
ก็เหมือนคนที่มีวิญญาณเต็มเปี่ยม
พร้อมที่จะทำนั่นนี่
เพื่อให้ฝันเป็นจริง

ส่วนคนที่ไม่มีความฝัน
เปรียบเสมือนคน
ที่มีแต่ร่างแต่ไร้วิญญาณ


"ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง
แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งในฝัน
เพื่อให้ฝันนั้นเติมเต็ม"

โดย มาหาอะไร