บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


26 มกราคม 2553

<<< ควรฝึกไว้ก่อน ตอนเกิดเรื่องจริง จะได้นิ่งและคล่อง >>>

หลายครั้งที่ผมเจอเหตุการณ์เฉพาะหน้า
แล้วมึนงงทำอะไรไม่ถูก
ทั้งๆ ที่มีสิ่งช่วยอำนวยความสะดวก
ในการแก้ปัญหาอยู่แล้ว
ครั้งหนึ่งไปเที่ยวเขาใหญ่
แบบมือใหม่หัดขับ
กะพาพี่สาวน้องสาวขึ้นไปชมจุดชมวิว
ผมจำชื่อไม่ได้แล้วว่าเขาอะไร
ที่ข้างบนเป็นสถานีของพวกทหารอะไรนี่แหล่ะ
แต่ช่วงก่อนถึงจะมีจุดชมวิว
แต่ทางค่อนข้างแคบพอสวนกันได้
วันนั้นเกิดหมอกจนมองไม่เห็นทาง
พี่สาวบอกว่าไม่มีไฟตัดหมอกหรือ
ผมก็บอกว่าไม่มีเพราะเป็นรถเก่าคาริเบียน
ตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้น
เพราะรถที่จะสวนลงมา
มองแทบไม่เห็นจะเห็นก็ใกล้ตัวมาก
แถมทางก็มองแทบไม่เห็น
กลัวจะตกเขามากกว่า
ไอ้ครั้นจะขับถอยหลัง
ยิ่งเสียวกว่าเดินหน้า
เลยกะว่าจะลุยไปถึงจุดที่กลับรถได้ก็จะกลับแล้ว
แต่ก็ไปถึงจุดจอดรถที่จะเดินไปชมหน้าผา
ตอนนั้นบอกตรงๆ ไม่มีอารมณ์ไปดู
เพราะกลัวหมอกมันจะลงจัดไปเสี่ยงตอนขาลงอีก
แต่ก็ยังวิ่งไปดูแต่ด้วยความมีหมอกเยอะ
แล้วจุดที่จะไปชมเป็นผาอะไรก็ไม่รู้
เดินๆ ไปยังกลัวว่าจะตกผาไปก่อนหรือเปล่า
ด้วยความไม่เคยมา
เดินไปคนเดียวส่วนพี่สาวน้องสาวรู้สึกว่า
จะไม่ยอมมาจะรออยู่ที่รถ
ซึ่งก็มีรถจอดอยู่คันสองคันแถวนั้น
แต่ผมก็วิ่งไปไม่กี่นาที
เจอผาอะไรก็ไม่รู้แต่คงยังไม่ถึงผาที่จะไปดู
ก็กลับแหล่ะกลัวจะมืดเพราะเย็นมากแล้ว
และวันนั้นหมอกเยอะมากมองไม่เห็นทาง
หลังกลับลงมาผมมานึกอีกที
รู้สึกจะมีไฟดวงสีเหลืองใหญ่ๆ อยู่ดวงหนึ่ง
ติดไว้ข้างคนขับ
ซึ่งภายหลังผมเอาออกไปแหล่ะ
เพราะไปเจอตำรวจเรียกให้เสียค่าปรับ
หาว่าติดไฟสูงกว่าไฟหน้ารถ
คือมันติดมาตั้งแต่ตอนไปซื้อมาแล้ว
และไม่เคยได้ใช้เลย
ก็เลยจำไม่ได้ว่ามีไฟตัดหมอกอะไรกับเขาด้วย

อีกเรื่องตอนแบกเป้ไปเที่ยวลาวใต้กับพี่สาว
ช่วงที่พักอยู่บนดอนเด็ด
เช่าจักรยานปั่นไปแถวหัวดอน
แล้วขากลับฝนตกและฟ้าปิดมืดมากๆ
ชนิดว่าเดินไปไม่เห็นทาง
แถมต้องเดินเลียบกับแม่น้ำโขง
กลัวจะพลาดตกลงแม่น้ำ
โชคดีมีฝรั่งใจดี
มาทำขนมปังขายแถวนั้นเห็นเข้า
ก็เอาไฟฉายมาให้แล้วตามไปส่งถึงที่พัก
ซึ่งพอมานั่งนึกอีกที
มือถือเรากับพี่สาวเราก็มีแสงพอที่จะส่องทางได้
เพราะเราลองเปิดมือถือในที่มืดๆ
ไฟมันก็สว่างพอเอาตัวรอดมาได้เหมือนกัน
แต่ด้วยความไม่เคยทดลองใช้บ่อยๆ
จึงจำไม่ได้
ตอนนี้ไปเห็นมือถือรุ่นใหม่ๆ
จะมี Software ไฟฉาย
ที่ทำให้แสงแฟลชเปิดสว่างจ้าตลอดเวลาด้วย
ซึ่งก็จะกลายเป็นไฟฉายได้เหมือนกัน

เหตุการณ์เหล่านี้
เป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่า
อะไรที่ไม่มีการฝึกทำบ่อยๆ
เวลาเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้า
อาจนึกไม่ถึง ไม่รู้จะทำยังไงต่อไป
ถ้าได้ฝึกบ่อยๆ จะเกิดความเคยชิน
และสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้คล่อง
ดีกว่าการไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบางเรื่อง
ในแบบที่ไม่เคยฝึกอะไรมาก่อนเลย
เดี๋ยวนี้ผมก็ชอบใช้แสงสว่างจากมือถือ
ส่องทางในที่มืดๆ แทนไฟฉายบ่อยๆ
เพื่อให้จำได้ว่ามันสามารถเป็นไฟฉายได้น่ะ
เวลาไปในที่มืดๆ แล้วไม่มีไฟฉาย
จะได้งัดวิธีนี้มาใช้ได้ทันที

เช่นเดียวกัน
การต่อต้านการทำรัฐประหารนั้น
ถ้าไม่เคยฝึกก็จะไม่คล่องเวลาเกิดรัฐประหาร
ถ้ามีการฝึกกันบ่อยๆ
ทั้งการออกกำลังกาย
ทั้งการเดินเข้าหาทำยังไง
การนัดแนะว่าจะต้องมาทุกวัน
แม้จะโดนสลายวันไหน
วันรุ่งขึ้นก็มา
อะไรพวกนี้
น่าจะดีกว่ารอให้เกิดเรื่อง
แล้วไม่รู้จะทำยังไงกันต่อดี
ช่วงนี้นับเป็นโอกาสเหมาะ
ที่จะระดมคนมาฝึกต่อต้านการทำรัฐประหาร
เน้นอยู่กับที่ ให้ความรู้ด้านนี้
พร้อมกิจกรรมการทำประชามติ
ว่าสององคมนตรีที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ดินบนเขา
สมควรพิจารณาตนเอง
โดยลาออกจากตำแหน่งอันทรงเกียรติหรือไม่
ควรมีจัดไปเรื่อยๆ
เพราะว่าพวกที่ชอบปล้นประชาธิปไตย
เขาไม่ค่อยทำเวลามีฝูงชนเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
เพราะว่าเหมือนเป็นการเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
สู้ทำตอนทีเผลอยามไม่มีอะไรดีกว่า

การเตรียมความพร้อมรบ
เพื่อให้ฝ่ายตนเข้าใจแนวทาง
และเป็นการบล็อคฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ลงมือ
แทนที่จะนั่งรอเพื่อให้เกิดเรื่อง
แล้วให้เขาไล่กวาดล้าง
แล้วกว่าจะรวมตัวกันติด
มันจะเสียเวลาเสียกำลังคนไปเยอะกว่า
ควรกันไว้ดีกว่าแก้
เพราะถ้าแย่แล้วจะแก้ไม่ทัน

วิธีหนึ่งในการฝึกมวลชน
คือการอัดเสียงปืนมาเปิดให้ฟังทุกวัน
ครั้งละ 10 นาทีก็ยังดี
เผื่อวันเจอเสียงปืนจริงๆ
จะได้ไม่กลัวและอาจคิดว่า
ฟังเพลงที่ใช้ปืนบรรเลงอยู่
เพราะอะไรที่เจอทุกวัน
เดี๋ยวจะชินไปเอง
ช่วงเปิดเพลงเสียงปืนดังๆ
อาจมีแด๊นซ์เซอร์ถือปืนปลอม
มาทำตัวเหมือนพวก
ชอบทิ้งหน้าที่ที่ชายแดน
มาทำมาดแมนอวดสาวในกรุง
ให้ได้ชมประกอบดนตรีเสียงปืนก็ได้
เริ่มจะจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยแล้ว อิอิ

อีกวิธีหนึ่งคือ
การนำวีดีโอชายนิรนาม
ที่สู้กับรถถังด้วยมือเปล่า
มาฉายปลุกใจมวลชน
เพราะคนกล้าสู้รถถังด้วยมือเปล่า
แบบไม่กลัวตายเช่นนี้
สมควรยกย่องยิ่งนัก
เพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่มวลชน

นักกีฬาที่จะคว้าเหรียญทองได้
ก็ล้วนผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักแทบทั้งนั้น
คงไม่มีใครเกิดมาก็เก่งเลย
หรือก่อนรบทัพเขาก็มีการฝึกฝนทหารใหม่ทุกคน
ไม่มีหรอกประเภทเรียกตัวมาโยนอาวุธให้
แล้วให้วิ่งไปเผชิญหน้ากับข้าศึก
อย่างน้อยก็ต้องมีการฝึกซ้อมบ้าง
ไม่มีเวลา สักอาทิตย์สองอาทิตย์ก็ต้องทำ
การไม่คิดฝึกอะไร
แล้วปล่อยให้ไปเผชิญหน้ากับข้าศึก
ถ้าไม่คิดประมาทแล้ว
ก็คงเหลือแต่กลัวชนะข้าศึกเท่านั้น

โดย มาหาอะไร