บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


21 มกราคม 2553

<<< ข้อเท็จจริงที่ควรรู้ เรื่อง 1 ปีรัฐบาลอภิสิทธิ์กู้เงินน้อยกว่า 1 ปีรัฐบาลทักษิณจริงหรือ >>>

ไทยรัฐออนไลน์
* โดย ทีมข่าวการเมือง
* 14 มกราคม 2553, 21:15 น.

ฟุ้ง1ปีผลงาน อื้อ มาร์คเหน็บ กู้น้อยกว่าทักษิณ

ชี้แจงผลงานรัฐบาลผ่านเว็บไซต์ นายกรัฐมนตรี ฟุ้ง 1 ปี เศรษฐกิจฟื้น ผลงานเป็นรูปธรรมหลายเรื่อง เหน็บกู้เงินน้อยกว่ารัฐบาลทักษิณ....

วันนี้(14 ม.ค.)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามประชาชนที่ยังไม่พอใจผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปี ผ่านเว็บไซต์นายกรัฐมนตรีไทย(www.pm.go.th) ว่า ตนก็ขอน้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่อยากเรียนว่าในการทำงานหนึ่งปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราได้เห็นแน่ชัดในเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและพร้อมกับช่วยเหลือ ในเรื่องนโยบายที่ประชาชนสัมผัสว่าได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมเป็นจำนวน มาก เรื่องการเรียนฟรี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ค่าตอบแทน อสม.

สำหรับ ใครที่เป็นห่วงเรื่องเงินกู้ อยากเรียนว่าได้มีการพูดคุยถึงตัวเลขในการกู้จำนวนมากนั้น จริงๆตัวเลขไม่ได้สูง เพียงแต่ในช่วงของรัฐบาลนี้ นำโครงการเงินกู้เข้าสู่สภาผู้แทนราษฏรให้เกิดความโปร่งใส ซึ่งย้อนกลับไปดูได้การกู้ในปีที่แล้ว แม้การออกพระราชกำหนดในการกู้เงินน้อยกว่าบางปี ซึ่งเป็นปีที่ไม่ประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจ เช่นปี 2545 กู้ไปรวดเดียว 7 แสนล้านบาท แต่ว่าปีที่ผ่านมา กู้ไปแล้ว 4 - 5 แสนล้าน และเป็นเรื่องที่รัฐบาลทั่วโลกจึงต้องทำเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ

ใน ทางตรงกันข้ามถ้าไม่มีการกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจนั้นมีความเป็นไปได้สูง ว่าประเทศจะเป็นหนี้อยู่ดี รัฐบาลก็จะเป็นหนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ และการจัดเก็บรายได้ภาษีไม่ได้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ตนอยากให้ความมั่นใจ เมื่อถามว่าไม่รู้จะหารายได้มาใช้หนี้หรือไม่ เราเห็นผลแล้ว เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวขนาดนี้การจัดเก็บภาษีเกินเป้า เพราะฉะนั้นสัดส่วนของหนี้สาธารณะการบริหารทางด้านการเงินการคลังได้ดูอย่าง รอบคอบ ระมัดระวัง มั่นใจได้ว่าจะไม่กระทบในเรื่องเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศในระยะ ยาว

http://www.thairath.co.th/content/pol/58812

---------------------------------------------------------------------------------

จากข้อมูลงบประมาณปี 2553
ซึ่งเป็นผลงานรัฐบาลอภิสิทธิ์ล้วนๆ
มีตารางเปรียบเทียบให้เห็นเลยว่า
ปี 2552 ของรัฐบาลอภิสิทธิ์และปี 2553 ด้วย
ต้องกู้เงินมาชดเชยงบประมาณเท่าไหร่
เทียบกับรัฐบาลทักษิณ
ไล่มาตั้งแต่ปี 2544 - 2549 มาเลยก็ได้
ว่าปีต่อปีใครมากกว่ากัน
เหมือนอย่างที่พูดหลอกชาวบ้านไปวันๆ หรือไม่



















ที่มา : http://www.bb.go.th/bbhome/viewextf.asp?x=1&p=/FILEROOM/CABBBIWEBFORM/DRAWER29/GENERAL/DATA0000/00000044.PDF&m=%A7%BA%BB%C3%D0%C1%D2%B3%E2%B4%C2%CA%D1%A7%E0%A2%BB


แถมข้อมูลรายจ่ายในปี 2545 ของรัฐบาลทักษิณ












ที่มา : http://www.bb.go.th/budget/inbrveT/B45/inbrve45.pdf

ดูข้อมูลปีรายจ่ายปี 2545 แล้ว
รวมๆ แล้วก็ล้านหน่อยๆ
จะกู้มาทำอะไรตั้ง 7 แสนล้านในปีเดียวกัน
ลองไปดูซิรายได้ปีนั้นเขาก็เก็บได้พอๆ กัน
จึงทำให้ขาดดุลงบประมาณ 200,000 แสนล้านบาท
สงสัยจำผิดหรือเปล่า
เพราะจากข่าวด้านล่างนี้
ระบุไว้ชัดว่า
"คลังเดินหน้ากู้7แสนล้าน อัดฉีดงบไทยเข้มแข็งปี53"
แสดงว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์เตรียมกู้อีก 7 แสนล้านบาท
เพื่อมาทำโครงการใครเข้มแข็ง
ที่มีข่าวโกงกินแถมทุกโครงการเลยทีเดียว
หาข้อมูลโกงกินสารพัดได้ที่เรื่องนี้
<<< สรุปผลงาน 1 ปี ระบอบอภิสิทธิ์ >>>

โดย มาหาอะไร

---------------------------------------------------------------------------------

คลังเดินหน้ากู้7แสนล้าน อัดฉีดงบไทยเข้มแข็งปี53
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 สิงหาคม 2552 08:16 น.

คลังเผยแผนกู้เงินปี 53 ออกบอนด์วงเงิน 7 แสนล้านบาทสานต่อโครงการไทยเข้มแข็ง ระบุบอนด์อายุ 5 และ 10 ปีตลาดตอบรับมากที่สุดพร้อมฉวยโอกาสแปลงหนี้เงินกู้สถาบันการเงินเป็น พันธบัตรระยะยาว 15, 20และ 30 ปีช่วงดอกเบี้ยในตลาดติดดิน

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า สบน.เตรียมแผนออกพันธบัตรในปีงบประมาณ 2553 วงเงินทั้งสิ้น 7 แสนล้านบาท โดยเป็นการออกพันธบัตรรัฐบาลไตรมาสและ 1 แสนล้านบาท รวมเป็นเงิน 4 แสนล้านบาท ส่วนวงเงินที่เหลืออีก 3 แสนล้านบาท จะกู้เงินโดยตรงจากธนาคารพาณิชย์ และออกพันธบัตรออมทรัพย์(เซฟวิ่งบอนด์) เพื่อขายให้กับประชาชนรายย่อย

ทั้งนี้สบน.คาดว่าจะออกพันธบัตรอายุ 5 ปี 10 ปี เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยล่าสุด สบน.ได้ตั้งคณะกรรมการกู้เงินเพื่อโครงการไทยเข้มแข็ง เพื่อพิจารณาแนวทางการแปลงเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์เป็นพันธบัตรระยะยาว เนื่องจากขณะนี้ธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่องในระบบสูงมาก อีกทั้งดอกเบี้ยยังต่ำอยู่ จึงถือว่าเป็นจังหวะดีที่จะแปลงหนี้ให้เป็นระยะ 15 ปี 20 ปี หรือ 30 ปี

“ขณะนี้ตลาดตราสารหนี้เติบโตขึ้นอย่างมาก มีสัดส่วนถึง 55% ของตลาดทุน และมีการซื้อขายตราสารหนี้กันอย่างหนาแน่นขึ้นมาก นับเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยพัฒนาตลาดทุนในประเทศให้เติบโตมากขึ้น และการที่เปลี่ยนเป็นบอนด์อายุยาวๆ นั้น ช่วยลดความเสี่ยงในการรีไฟแนนซ์ให้น้อยลง ซึ่งปีนี้สบน.โชคดีที่สภาพคล่องในตลาดมีเหลือมาก ทำให้ไม่มีปัญหาในการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ในประเทศ”

นายพงษ์ภาณุ กล่าวต่อว่า ในการจัดทำงบประมาณปี 2553 นี้ สบน.จะต้องขอตั้งงบประมาณเพื่อชำระดอกเบี้ยในส่วนของการกู้เงินตาม พ.ร.ก. 4 แสนล้านบาท ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทจากที่ได้ตั้งงบประมาณเพื่อชำระหนี้ไว้แล้ว 1.98 แสนล้านบาท เนื่องจากที่ผ่านมา ยังไม่ได้จัดตั้งงบประมาณในส่วนนี้เอาไว้

อย่างไรก็ตามยอมรับว่าจากนี้ไปการระดมทุนของรัฐบาลมีความยากลำบากมาก ขึ้น เพราะไม่มีใครรู้ทิศทางดอกเบี้ยว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แม้จะประเมินว่าหากเศรษฐกิจดีขึ้น เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น มีความเป็นไปได้ที่ดอกเบี้ยจะสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้การระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากไม่มีใครอยากซื้อพันธบัตรระยะยาว

ผอ.สบน.กล่าวว่า ในวันนี้ สบน.ร่วมกับสำนักงบประมาณ จะประชุมคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (เอสพี2 ) เพื่อติดตามดูราคากลางของโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 วงเงินรวม 1.06 ล้านล้านบาททั้งหมดอย่างชัดเจนว่าแต่ละโครงการต้องใช้เงินจำนวนเท่าใด รวมทั้งปรับแผนใหม่อีกครั้ง

หลังจากนั้นในวันที่ 14 ส.ค. จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการดำเนินโครงการเอสพี 2 อีกครั้ง ก่อนจะนำเสนอให้นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลังพิจารณารายละเอียดของราคากลางของแต่ละโครงการ และนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ในวันที่ 18 ส.ค.นี้เพื่ออนุมัติวงเงินครั้งสุดท้าย ก่อนที่เงินก้อนแรกจะเริ่มเบิกจ่ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในเดือนก.ย.นี้แน่นอน

ทั้งนี้คาดว่าวงเงินก้อนแรกที่จะอัดฉีดเข้าสู่ระบบ 3 หมื่นล้านบาทภายในเดือนก.ย.นี้ คือเป็นโครงการของกรมทางหลวงในการซ่อมบำรุงถนนทั่วประเทศ โครงการของทหาร และโครงการเพิ่มทุนให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐทั้งหมด และภายในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 53 หรือ ต.ค.-ธ.ค.นี้ คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบถึง 2 แสนล้านบาทแน่นอน

“สบน.จะปรับแผนการใช้เงินเอสพี 2 ใหม่ เนื่องจากประเมินว่า จะมีเงินเข้าสู่โครงการไทยเข้มแข็งจะมากกว่า 3 หมื่นล้านบาทแน่นอน เนื่องจากขณะนี้มีเงินคงคลังมากขึ้น ทำให้การกู้เงินตามพ.ร.ก. 4 แสนล้านบาท ตามแผนที่จะกู้มาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 2 แสนล้านบาทนั้น ไม่ถึงตามวงเงินดังกล่าวแล้ว เพราะมีเงินคงคลังเข้ามาชดเชยมากขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะขาดดุล 2.8 แสนล้านบาท แต่ขณะนี้คาดว่าจะขาดดุลเพียง 1.7 แสนล้านบาทเท่านั้น ทำให้มีเงินเหลือนำไปเพิ่มในโครงการเอสพี2 ได้อีก ส่งผลให้ในปีงบประมาณ 52 นี้ ไม่จำเป็นต้องออกพันธบัตรออมทรัพย์อีก” ผอ.สบน.กล่าว

http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrview.aspx?NewsID=9520000091780

---------------------------------------------------------------------------------