บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


15 ธันวาคม 2552

<<< สรุปผลงาน 1 ปี ระบอบอภิสิทธิ์ >>>

งานหลักไล่ล่าทักษิณ....................................................แถมมีเรื่องโกงกินแทบทุกโครงการ
งานรองชอบโชว์ออฟหน้าโพเดียม...............................แถมพูดอย่างทำอีกอย่าง
งานประจำทำไม่ได้เรื่อง................................................แถมกู้แหลก แจกสะบัด ซัดภาษีอาน
งานเด่นสร้างความร้าวฉานกับเพื่อนบ้านประจำ.............แถมมีเรื่องจารกรรมอื้อฉาวอีก
งานทุกงานเน้นหาเสียงไม่เน้นพอเพียงอย่างปากว่า......แถมชอบเอาหน้าจัดบ่อยๆ

ผลงานระบอบอภิสิทธิ์
ที่ใครบางคนถวิลหา
อุตส่าห์ลงทุนเผาประเทศ
เพื่อให้ได้มา

โดย มาหาอะไร

-------------------------------------------------------------------------

ส.ว.แฉใช้งบไทยเข้มแข็งตัดถนนผ่านเขาใหญ่ 5.9 หมื่นล้านบาท

กลุ่ม 40 ส.ว.แฉใช้งบไทยเข้มแข็งสร้างมอเตอร์เวย์ 5.9 หมื่นล้านบาท ตัดถนนผ่านเขาใหญ่ แหล่งมรดกโลก โดยไม่ผ่านประชาพิจารณ์
นาย ไพบูลย์ นิติตะวัน สว.สรรหา แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการส่งเสริมภาคประชาชนป้องกันการทุจริต ประพฤติมิชอบในทรัพย์สินของรัฐ วุฒิสภา เปิดเผยว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีการก่อสร้าง “โครงการมอเตอร์เวย์ บางปะอิน-โคราช” มูลค่า 5.9 หมื่นล้านบาท โดยใช้งบโครงการไทยเข้มแข็ง พบว่ามีการตัดถนนผ่านเข้าพื้นที่ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นเขตมรดกโลกและแหล่งโบราณคดีสำคัญ โดยไม่ผ่านกระบวนการทำประชาพิจารณ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรค 2

นาย ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาอนุกรรมาธิการฯได้เชิญตัวแทนจากกรมทางหลวงมาชี้แจงแล้ว ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ไม่ทราบเรื่องว่าโครงการนี้มีการตัดถนนผ่านพื้นที่สำคัญ ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลขาดการเก็บข้อมูลที่จะเป็นข้อเท็จจริงและข้อมูลที่ ประชาชนมีส่วนร่วม โดยเรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ เพราะโครงการนี้เริ่มมีการขออนุมัติงบประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อทำการประเมินราคาที่ดินโดยรอบ และเตรียมจะเวนคืนที่ดิน และจากข้อมูลตรงนี้ทำให้เห็นว่ามีพิรุธเกิดขึ้น เพราะโครงการนี้เดิมตั้งวงเงินไว้ที่ 20,000 ล้านบาทแต่ต่อมามีการปรับเพิ่มเป็น 59,000 ล้านบาท

อย่าง ไรก็ตาม ในวันที่ 18 ธ.ค. อนุกรรมาธิการฯจะจัดสัมมนาเรื่องดังกล่าวเพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชน ในพื้นที่และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การแก้ไข
15 ธันวาคม 2552 เวลา 11:56 น.

http://www.voicetv.co.th/content/6170/สวแฉใช้งบไทยเข้มแข็งตัดถนนผ่านเขาใหญ่59หมื่นล้านบาท
-------------------------------------------------------------------------
สินค้า"พอเพียง" "6เดือน"ไม่มีค่า หึ่ง!ขายทิ้งซาเล้ง


วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11601 มติชนรายวัน

สำรวจ 6 เดือนชุมชนพอเพียง พบใช้งานส่วนน้อย ส่วนใหญ่ทิ้งไว้เฉยๆ แถมชำรุดแล้วแจ้งซ่อม 2 เดือนเงียบฉี่ หึ่ง!บางแห่งส่อขายซาเล้ง เขตสั่งชุมชนสรุปผลงาน ปธ.โวยของมีปัญหาจะใช้ได้อย่างไร ซัดรัฐบาลกลบขี้ ส่วน ผอ.เขตไม่รับผิดชอบ

ทีมข่าว "มติชน" ยังคงเดินหน้าตรวจสอบโครงการทุจริตการจัดซื้อสินค้าโครงการชุมชนพอเพียง อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ติดตามตรวจสอบการใช้งานสินค้าในชุมชนพื้นที่เขตบางกะปิ และห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร (กทม.) หลังโครงการผ่านมา 6 เดือน อาทิ ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องผลิตปุ๋ยหมักและก๊าซชีวภาพ ปรากฏว่าส่วนหนึ่งยังสามารถใช้งานได้ แต่ส่วนใหญ่ยังคงถูกทิ้งไว้ไม่ได้นำมาใช้งาน เนื่องจากปัญหาต่างๆ เช่น ผู้แทนจำหน่ายมิได้มาติดตั้งและแนะนำวิธีใช้ สินค้าชำรุดแต่ไม่มีบริการหลังการขาย ติดตั้งแล้วไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่ ฯลฯ

นายสำเภา เพ็งเต็ม ประธานชุมชนลาดพร้าว 42-44 เขตห้วยขวาง กล่าวว่า ขณะนี้ชุมชนยังใช้ตู้น้ำหยอดเหรียญได้อยู่ บริษัทเพิ่งมาซ่อมให้เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากเครื่องเสียใช้การไม่ได้ 2 เดือน แต่ที่ยัง รออยู่คือตู้เย็นสำหรับแช่นมในศูนย์เด็กเล็ก ซึ่งชุมชนขอเปลี่ยนจากห้องเย็นมาเป็นตู้แช่นม แต่รอมา 2 เดือนแล้วยังไม่ได้รับ

นางนฤมล กรทับทิม ประธานชุมชนริมคลองลาดพร้าวซอย 34 เขตห้วยขวาง กล่าวว่า ขณะนี้ชุมชนกำลังเดือดร้อนเรื่องการใช้บริการตู้น้ำหยอดเหรียญ เนื่องจากปั๊มน้ำของตู้น้ำ 1 ใน 2 ตู้พังไม่สามารถใช้การได้ โทรศัพท์ไปบริษัทแจ้งเครื่องเสียกว่า 2 เดือนแล้ว บริษัทอ้างแต่ว่า ต้องรอช่างจากโรงงาน ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องรอไป อีกนานเท่าไหร่ ทั้งที่ใบรับประกันตู้ยังอยู่ในสัญญา 1 ปี ทำให้ชาวบ้านต้องซื้อน้ำดื่มจาก ตู้น้ำของเอกชนซึ่งแพงกว่า

ที่ชุมชนหมู่บ้านสินธร แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ ซึ่งได้รับเตาเผาขยะขนาด 70 กิโลกรัม ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า กรรมการชุมชนมีแนวคิด ที่จะขายให้คนรับซื้อขายของเก่า เพราะตั้งทิ้งไว้ก็ไม่ได้ใช้งาน จึงเดินทางไปตรวจสอบพบเตาเผาอยู่ท้ายหมู่บ้านสินธร ถูกถอดชิ้นส่วนวางทิ้งไว้มีสภาพไม่ต่างกับเศษเหล็ก ที่ฐานตั้งไม่ได้ก่อปูนขันน็อตยึดไว้ให้แข็งแรง

นายเชิดพงศ์ อัศวกิตติมากุล ประธานกรรมการชุมชน ชี้แจงถึงสาเหตุปล่อยทิ้งไว้ว่า ต้องถอดปล่องควันสูงเกือบ 4 เมตร เพราะเกรงว่าจะถูกลมพัดคว่ำลงมาทับเด็ก เวลานี้รอบริษัทมาเปลี่ยนจุดติดตั้ง ที่ผ่านมาเคยใช้งานเผาเศษกิ่งไม้ใบหญ้าอยู่บ้าง สำหรับตู้น้ำหยอดเหรียญยังใช้งานได้เป็นปกติ

ทางด้านนายพูนผล สังข์สูงเนิน ประธานชุมชนเคหะดินแดง 1 (แฟลต 1-20) เขตดินแดง กล่าวว่า ยังไม่ได้ใช้งาน เครื่องผลิตปุ๋ยหมักและก๊าซชีวภาพ คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะหารือกับผู้บริหารโรงเรียน หากโรงเรียนไม่รับสินค้าไปให้เด็กๆ ใช้ทดลองผลิตก๊าซชีวภาพ ชุมชนจะนำกลับมาใช้เอง และเริ่มอบรมใช้ประโยชน์อย่างจริงจังในช่วงต้นปี 2553

ส่วนนางมยุรี เชิดสูงเนิน ประธานชุมชนเทพทวี ลาดพร้าว 130-132 เขตบางกะปิ กล่าวว่า ชุมชนไม่เคยใช้ประโยชน์จากสินค้าของตัวแทนบริษัทมาหลอกลวงชุมชนว่าเป็น สินค้าได้ฟรีจากกระทรวงพลังงาน ทั้งเครื่องผลิต ปุ๋ยหมักและก๊าซชีวภาพ และแผงโซลารŒเซลล์ ทั้งหมดยังไม่ได้ใช้งานแต่อย่างใด เมื่อเร็วๆ นี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรียกชุมชนกว่า 6 ชุมชนให้ข้อมูลเพิ่มเติม จนทำให้พบการปลอมแปลงลายมือชื่อของผู้นำชุมชนในใบคำขอโครงการ

นางมยุรี กล่าวด้วยว่า เท่าที่สอบถามเพื่อนชุมชนอื่นๆ และเห็นมากับตาคือ ตู้น้ำหยอดเหรียญ เครื่องผลิตปุ๋ยหมักและก๊าซชีวภาพ ในชุมชนคลองจั่น เขตบางกะปิ หรือเตาเผาขยะของชุมชนสุขเจริญพัฒนา เขตบางกะปิ ไม่มีร่องรอยของการใช้งานแต่อย่างใด ชาวบ้านเสียประโยชน์ขณะที่ผู้ทุจริตยังลอยนวล รัฐบาลไม่ได้ตรวจสอบอะไรต่อเหมือนต้องการให้เรื่องเงียบหายไปเฉยๆ

นางมยุรี กล่าวอีกว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานเขตลาดพร้าวมีหนังสือมาให้ชุมชนทำรายงานผลการใช้ประโยชน์ในรอบ 6 เดือน แต่ชุมชน จะไม่ทำอะไร เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยใช้ประโยชน์ใดๆ จากสินค้าที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง อยากให้ผู้อำนวยการเขตลงพื้นที่มาดูสภาพปัญหาดีกว่า จะได้รู้ว่าปัญหาของชุมชนและปัญหาของโครงการนี้คืออะไร

"ที่จริง ปัญหานี้ผู้อำนวยการเขตควรจะมีส่วนรับผิดชอบ ในฐานะเซ็นเอกสารรับรอง ชุมชนให้เกิดการซื้อขายสินค้าขึ้น แต่ผู้อำนวยการเขตยังมาขอให้สรุปผลงานในรอบ 6 เดือนอีกโดยไม่ยอมรับรู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนมีอะไรบ้าง" ประธานชุมชนเทพทวีกล่าว

นายประเสริฐ ทองนุ่น ผู้อำนวยการเขตบางกะปิ กล่าวว่า ได้ให้ชุมชนสรุปผลงานตามระเบียบสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (สพช.) ขณะนี้มีชุมชนจำนวนหนึ่งส่งมาที่เขตแล้ว ยังมีอีกจำนวนหนึ่งยังไม่ได้ สรุปมา จากนั้นเขตจะส่งต่อไปยัง สพช. ส่วนเรื่องร้องเรียนนั้น ยังไม่ทราบและยังไม่มีรายงานเข้ามา

หน้า 1



สูญ เปล่า - ผ่านมา 6 เดือน เตาเผาขยะที่ชุมชนหมู่บ้านสินธร เขตบางกะปิ กทม. ยังคงถูกวางทิ้งไว้เหมือนวันที่ตัวแทนบริษัทนำมาส่ง บางชุมชนเล็งขายให้รถรับซื้อของเก่า เพราะทิ้งไว้ก็เปล่าประโยชน์

-------------------------------------------------------------------------
"ปลากระป๋องเน่า"อีก เจอพิรุธ บริษัทผู้ผลิตไร้ตัวตน

ยิ่ง คุ้ยยิ่งเจอพิรุธ “ปลากระป๋องเน่า” กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ หลังเจ้าหน้าที่ อย.บุกถึงสถานที่ผลิตตามที่ระบุในฉลาก ไม่พบอะไรเลย หนำซ้ำให้คนอื่นเช่าช่วงสถานที่ ไปแล้ว ส่วนบริษัทจัดจำหน่ายก็ล่องหนไปแล้ว แต่ยังพบปลากระป๋องยี่ห้อเดียวกันในท้องตลาด สุ่มเก็บตัวอย่างมา 100 กระป๋อง ส่งพิสูจน์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ คาดจันทร์นี้รู้ผล ด้าน รมว.พม. “วิฑูรย์” แก้เกี้ยวที่มาปลากระป๋องเน่าเหตุบริษัทที่ได้รับสัมปทานจัดซื้อส่งของห่วย ไม่ตรงสเปกที่นำเสนอกระทรวงฯ เตรียมขึ้นบัญชีดำหากพบทำผิดเงื่อนไข ลั่นขอเช็กข้อมูลถึงกระบวนการว่าข้าราชการมีเอี่ยวหรือไม่ ด้านปลัดกระทรวงฯปิดปากเงียบไม่ยอมแจงรายละเอียด
สืบ เนื่องจากกรณีปลากระป๋องยี่ห้อ “ชาวดอย” ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นำไปแจกให้ชาวบ้านตำบลชัย บุรี จังหวัดพัทลุง เกิดเน่าคากระป๋อง ทั้งที่ฉลากบนกระป๋องระบุผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และระยะเวลาหมดอายุอีก 3 ปีข้างหน้า ขณะที่ อย.ได้สั่งเก็บปลากระป๋องยี่ห้อดังกล่าวออกจากท้องตลาด ทั้งส่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจคุณภาพแล้ว ต่อมา อย.ยังได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบที่ตั้งบริษัทจัดจำหน่าย คือบริษัทไทย เอ ดี ฟู้ดส์ จำกัด และบริษัทผู้ผลิตคือ บริษัท ทองกิ่งแก้วฟู้ดส์ จำกัด ที่ระบุบนฉลาก ปรากฏว่าบริษัทที่จัดจำหน่ายไม่มีการประกอบกิจการค้าอาหารกระป๋องยี่ห้อ “ชาวดอย” ส่วนบริษัทผู้ผลิตก็ถูกสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร สั่งงดผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปนานแล้วนั้น

ทั้งนี้ วันที่ 16 ม.ค. นายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้แถลงข่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ได้สอบถามนายวัลลภ พลอยทับทิม ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ทราบว่า ขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้างของที่จะบรรจุในถุงยังชีพเพื่อนำไปแจกจ่ายชาวบ้าน ซึ่งมีทั้งข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ซึ่งบริษัทเอกชนรายหนึ่งนำตัวอย่างมาเสนอ ปรากฏว่าของทุกชิ้นมีคุณภาพตามมาตรฐาน โดยเฉพาะปลากระป๋องเป็นยี่ห้อดังที่จำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป ทั้งปุ้มปุ้ย, โรซ่า และ สามแม่ครัว แต่เมื่อบริษัทดังกล่าวนำของไปส่งยังจังหวัดในพื้นที่ ไม่ทราบว่าทำไมถึงเปลี่ยนเป็นยี่ห้อ “ชาวดอย” ซึ่งไม่เป็นไปตามที่นำตัวอย่างมาเสนอ ขณะที่ทางจังหวัดรับของไปแจกด้วยความเร่งรีบเพื่อต้องการให้ของช่วย เหลือชาวบ้านโดยเร็ว ก็ไม่ได้รอบคอบในการตรวจสอบ และได้นำไปมอบให้กับชาวบ้านในจังหวัดพัทลุงจำนวน 2,500 ชุด

นาย วิฑูรย์กล่าวด้วยว่า เท่าที่ทราบกระทรวงมีการจัดซื้อถุงยังชีพลอตแรก 2 หมื่นชุด โดยมีการจัดส่ง ไปส่วนหนึ่ง แต่เมื่อเกิดปัญหาก็ได้สั่งระงับส่วนที่เหลือประมาณ 15,000 ชุด ทั้งนี้จะสอบถามไปยังปลัดกระทรวงฯ อีกครั้ง ถึงรายละเอียดทั้งบริษัทผู้รับหน้าที่จัดส่งสิ่งของ ซึ่งหากบริษัทส่งของผิดเงื่อนไขก็ต้องรับผิดชอบ และคงต้องขึ้นบัญชีดำบริษัทดังกล่าวทันที ส่วนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจะมีข้าราชการกระทรวงฯ มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น คงต้องขอตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนอีกครั้งก่อนที่จะพิจารณาว่าจะมีการตั้งคณะ กรรมการสอบข้อ เท็จจริงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นหรือไม่

“ผมก็ยังไม่ ทราบว่าบริษัทที่จัดส่งของไปให้ชื่อบริษัทอะไร และเคยจัดซื้อจัดจ้างให้กับกระทรวงมาก่อนหรือไม่ รวมถึงเงื่อนไขในการเลือกซื้อยี่ห้อสินค้า เพราะผมเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งไม่นาน ก็รู้ว่าชาวบ้านเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม ก็สั่งให้ปลัดไปดำเนินการจัดซื้อของช่วยเหลือชาวบ้าน ซึ่งการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างก็ต้องว่าตามระเบียบราชการ หากมีอะไรผิดปกติ ผู้เกี่ยวข้องก็ต้องรับผิดชอบ ยืนยันว่ากระบวนการต่างๆ ต้องโปร่งใสทุกเรื่อง และมีคำตอบให้กับสังคม ซึ่งในวันจันทร์ที่ 19 ม.ค.นี้ คงให้ คำตอบในรายละเอียดได้” นายวิฑูรย์กล่าว

ต่อมาผู้ สื่อข่าวได้สอบถามไปยังผู้บริหารกระทรวงฯ เกี่ยวกับขั้นตอนการจัดซื้อ และรายชื่อบริษัทที่เกี่ยวข้องในการจัดส่งสินค้า ปรากฏว่าทั้งปลัดกระทรวงและผู้อำนวยการส่วนงานที่เกี่ยวข้องต่างปิดปากเงียบ ไม่มีผู้ใดยอมชี้แจงรายละเอียดใดๆเลย

ส่วนความคืบหน้าทางด้านคณะ กรรมการอาหารและยา (อย.) วันเดียวกัน นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการ อย. เปิดเผยความคืบหน้ากรณีปลากระป๋องบริจาค ยี่ห้อชาวดอย พบการเน่าเสีย ว่าปลากระป๋องดังกล่าวระบุที่ฉลากว่าเป็นปลากระป๋องยี่ห้อชาวดอย ผลิตจากบริษัท ทองกิ่งแก้วฟู๊ดส์ เลขที่ 17/1 หมู่ 5 ต.แคราย อ.กระทุ่ม�แบน จ.สมุทรสาคร และจำหน่ายโดยบริษัท ไทย เอ. ดี. ฟู๊ดส์ เลขที่ 15/145 หมู่ 1 ถนนพระรามที่ 2 แขวงแสมดำ บางขุนเทียน กทม. เลขสารบบอาหาร 74-1-07040-1-0050 ผลิตเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2551 ระบุวันหมดอายุเป็นวัน ที่ 24 ธ.ค. 2554 แต่จากการลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่ผลิตและจำหน่าย พบว่าสถานที่ซึ่งระบุว่าเป็นสถานที่ผลิตไม่พบการผลิต วัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์อาหารใดๆ รวมทั้งไม่พบบริษัทผู้จำหน่าย ตามที่ระบุไว้บนฉลากปลากระป๋องด้วย จึงได้มอบหมายให้ฝ่ายงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร สั่งงดผลิตเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว และได้แจ้งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดและนายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ให้งดจำหน่ายและเรียกคืนผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหาดังกล่าวด้วย

รอง เลขาธิการ อย. กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลสถานที่ผลิตที่ระบุ คือ เลขที่ 15/145 พบว่ายังเป็น ของบริษัท ไทย เอ. ดี. ฟู๊ดส์ จำกัด แต่ให้บริษัทอื่นเช่าพื้นที่เพื่อประกอบการค้านานแล้ว ขณะตรวจไม่พบการประกอบกิจการค้าของบริษัทไทย เอ. ดี. ฟู๊ดส์ จำกัด และไม่พบผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องยี่ห้อชาวดอย ตามที่เป็นข่าว ทั้งนี้ อย. ได้ประสานกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สมุทรสาคร ในการตรวจสอบสถานที่ผลิต บริษัททองกิ่ง�แก้วฟู๊ดส์ จำกัด ซึ่งสถานที่ดังกล่าวได้รับใบอนุญาตที่ 74-1-07040 และได้รับเลขสารบบอาหารที่ 74-1-07040-1-0050 สำหรับอาหารชื่อปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ (ตราชาวดอย) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดให้งดผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการตรวจเฝ้าระวัง โดยการสุ่มตรวจสถานที่จำหน่าย พบผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ระบุบนฝากระป๋อง 241208 TSE 7 241211 จำนวน 100 กระป๋อง จึงได้เก็บตัวอย่างส่งตรวจวิเคราะห์ ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเก็บตัวอย่างประกอบการพิจารณา

นพ.นรัง สันต์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการตรวจวิเคราะห์เพื่อหาการปนเปื้อนของเชื้อสเต็ปโตค็อกคัส และคลอสตริเดียม โบทูลินุ่ม ซึ่งมักพบในอาหารกระป๋อง โดยแบ่งการตรวจเป็น 2 ส่วน คือ ผลิตภัณฑ์ที่พบการเน่าเสียใน จ.พัทลุง ส่งตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.ตรัง และผลิตภัณฑ์ตัวอย่างที่เก็บจากจังหวัดที่ระบุสถานที่ผลิต จำนวน 100 กระป๋อง ส่งตรวจวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.นนทบุรี คาดว่าน่าจะรู้ผลภายในวันจันทร์ที่ 19 ม.ค.นี้
ที่มาจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
‘เพื่อ ไทย’แฉเจ้าของผลิตปลากระป๋องเน่า เป็น สส.ปชป. “พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” สะกิดนายกฯตัดตอนลอยแพ”วิฑูรย์” ไม่เช่นนั้นจะเหม็นทั้งคณะ แถมนายกฯ จะมีความผิด ม.157 เผยเจ้าของโรงงานปลากระป๋องเน่าเป็น ส.ส. ประชาธิปัตย์มีชื่อย่อ “จ” ยืนยัน “วิเชน” ไม่มีฐานะบริจาคปลากระป๋องได้มากขนาดนั้น อ้างถูกโทรฯ ขู่ หลังออกมาแฉเรื่องปลากระป๋องเน่า ขณะที่ “นิพิฏฐ์” ปัดไม่รู้เรื่องการจัดถุงยังชีพ แต่เป็นผู้โชคร้ายที่ไปร่วมแจกของให้ผู้ประสบภัย
ทางด้าน “เทพเทือก” มึนตึ้บบอกให้ดูการชี้แจงของรัฐมนตรีก่อน ส่วนกรณี “บุญจง” มอบเงินเบี้ยยังชีพแนบไปกับนามบัตร เสียงอ่อยพูดมากไม่ได้เดี๋ยวเขาโกรธ ขณะที่เจ้าตัวชี้แจงนายกฯ ไม่สะทกสะท้าน ยัน เป็นการแจกเงินสงเคราะห์คนจนที่ได้มาจาก กระทรวง ทางด้าน “วิฑูรย์” งานเข้าอีกแล้ว ส.ส.หญิงฝ่ายค้าน พบพิรุธซื้อกระเป๋านักเรียนแจกหลังงานวันเด็ก
เมื่อ วันที่ 25 ม.ค. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ภายใต้การกำกับดูแลของนายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนาสังคมฯ นำปลากระป๋องเน่ายี่ห้อชาวดอยไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมใน จ.พัทลุง พร้อมกับเสนอให้พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ ตัดตอน ลอยแพนายวิฑูรย์ ไม่เช่นนั้นรัฐมนตรีปลาเน่าคนเดียวจะทำเหม็นทั้งคณะ และนายกรัฐมนตรีจะเข้าข่ายความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 นอกจากนี้ขอให้นายกรัฐมนตรีไปตรวจสอบว่าคนที่เป็นเจ้าของโรงงานผลิตปลา กระป๋องชาวดอยนั้น เป็น ส.ส. ประชาธิปัตย์ และมีตำแหน่งในรัฐบาล อภิสิทธิ์ 1 โดยมีชื่ออักษรย่อ “จ” จริงหรือไม่
นาย พร้อมพงศ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับนายวิเชน สมมาต บุคคลที่นายวิฑูรย์อ้างว่าเป็นผู้บริจาคปลากระป๋องชาวดอย แต่สื่อมวลชนตรวจสอบแล้วไม่ปรากฏชื่อในทะเบียนราษฎร แต่มีบุคคลที่ชื่อใกล้เคียงกัน คือ นายวิเชน สงมาก เป็นคน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง โดยข้อเท็จจริงคือนายนายวิฑูรย์มีเจตนาให้นามสกุลนาย วิเชนผิดเพี้ยนเพราะหวังจะตัดตอนให้ตรวจสอบไม่เจอตัวละครที่ตนสร้างขึ้นมา เป็นแพะ โดยก่อนหน้านี้ญาติห่าง ๆ ของนายวิเชนแจ้งความจำนงจะมาแถลงข้อมูลเพิ่มเติมว่าความจริง แล้ว ฐานะทางบ้านนายวิเชนไม่น่าจะบริจาคปลากระป๋องจำนวนมากขนาดนั้นได้ แต่ญาติของนายวิเชนถูกโทรศัพท์ข่มขู่จึงขอยกเลิกการแถลงข่าว
“หลัง จากผมเกาะติดความไม่โปร่ง ใสเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ได้มีข้าราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ที่มีความคุ้นเคยกัน ได้ โทรศัพท์มาเตือนให้ระวังเพราะเรื่องปลากระป๋อง เน่า สร้างความโกรธแค้นให้เขามาก จากนั้นก็มีโทรศัพท์ลึกลับไม่โชว์หมายเลขเข้ามาข่มขู่ผมว่า จะกินอะไรให้รีบกิน ปากมากนัก เรื่องปลา กระป๋องเน่าพูดมากนัก เดี๋ยวจะไม่ได้กินอะไรอีก แต่ผมไม่กลัว และวันนี้ผมขอประกาศหาคนหายที่ชื่อนายวิฑูรย์และนายวิเชน โดยให้เข้ามามอบตัวด่วน เพราะสังคมไทยเป็นคนใจอ่อน ขอให้มาสารภาพและลาออก สังคมก็พร้อมให้อภัย” โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว
ทาง ด้าน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในรายการผู้แทนพบประชาชน ทางสถานีวิทยุ อ.ส.ม.ท. จ.พัทลุง ว่าหลังเกิดน้ำท่วมในพื้นที่พัทลุง ทางส.ส.พัทลุงจึงประสานไปยังรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม และตั้งใจว่าจะให้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลเดินทางมาแจกถุงยังชีพ แต่เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวมีภารกิจงานเผาศพยายเนียม ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จึงได้ติดต่อประสานงานให้ ส.ส.นำของไปแจก แต่เพื่อให้เกิดความเหมาะสมจึงแจ้งให้ปลัดกระทรวงฯ เชิญ ผวจ. พัทลุงมาเป็นประธาน และมี ส.ส. ทั้ง 3 คน ร่วมมอบถุงยังชีพ
นาย นิพิฏฐ์กล่าวด้วยว่า หลังจากเกิดเป็นข่าวขึ้นมา มีคนบางกลุ่มพยายามมองว่าส.ส.พัทลุง ทำให้เกิดเป็นข่าวใหญ่ เพื่อหวังผลทางการเมือง ซึ่งจริง ๆ แล้ว ส.ส.พัทลุงทั้ง 3 คน ไม่ว่าจะเป็นตน นายนริศ ขำนุรักษ์ และนางสุพัชรี ธรรมเพชร ไม่ได้รู้เรื่องกับการจัดถุงยังชีพ เพียงแต่เป็นผู้โชคร้ายคนหนึ่งเท่านั้นที่ได้เดินทางไปมอบถุงยังชีพให้กับ ผู้ประสบภัยน้ำท่วมครั้งนี้ ส่วนถุงยังชีพอีก 3,500 ชุด ที่รับปากจะแจกให้ประชาชนในพัทลุงนั้น รมว.การพัฒนาสังคมฯแจ้งว่าจะเปลี่ยนของใหม่มามอบให้ประชาชน พวกตนจึงแจ้งกลับไปว่าไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะนำของมาแจกอีกแล้ว
ขณะ ที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ถูกผู้สื่อข่าวถามถึงปัญหาปลากระป๋องเน่าเหมือนกับว่าพรรคประชาธิปัตย์ลอยแพ นายวิฑูรย์ นายสุเทพกล่าวว่าไม่ได้ลอยแพ เพราะพรรคยังมีคนช่วยเหลืออยู่ และขณะนี้ตนยังไม่ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด ต้องรอดูการชี้แจงของนายวิฑูรย์ก่อนว่าชี้แจงแล้วจะรับฟังได้หรือไม่ เมื่อถามว่าหากนายวิฑูรย์ชี้แจงแล้วสังคมยังไม่เข้าใจ จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่าอย่าเพิ่งไปพูดถึงขณะนั้น รอให้มีการชี้แจงก่อน ซึ่งเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้ และอย่าเพิ่งพูดว่ามีความพยายามหาตัวคนมารับผิดชอบแทน
ผู้ สื่อข่าวยังถามถึงกรณี นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย และภรรยา แจกเงินเบี้ยยังชีพของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ พร้อมกับแนบนามบัตรภรรยานายบุญจง ว่าไม่ทราบเรื่องนี้ จึงวิจารณ์ไม่ได้ แต่ตนเคยเห็นสมัยก่อนตอนแจกเอกสารสิทธิก็ให้ผู้ใหญ่ในกระทรวง อื่นช่วยแจก เพราะคนรับรู้สึกเป็นเกียรติ ปัญหาคือว่า สมมุติรัฐบาลให้เงินไป 500 บาท ใครจะอม 100 บาท แล้วแจก 400 บาท อย่างนั้นถือว่าเป็นความผิด นอกนั้นตนไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิด
เมื่อ ถามว่า การทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่าต้องไปถาม รมช.มหาด ไทย เพราะไม่ได้ไปด้วยกัน ตนอยู่เชียงใหม่ ส่วนจะบอกว่าเหมาะหรือไม่นั้นคงบอกไม่ได้ พูดมากเดี๋ยวเขาโกรธเอา เพราะไม่ใช่เรื่องของตน ไม่รู้เขาคุยเรื่องอะไร การที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย นายบุญจง และนายเนวิน ชิดชอบ ไปหารือกันที่ จ.นครราชสีมา ก็ไม่รู้เรื่องอะไร อาจจะไปนัดทอดกฐิน หรือทำบุญวันเกิด ตนไม่ทราบเพราะเป็นวันเสาร์ใครจะไปไหนก็ได้ ผู้สื่อข่าวถามย้ำอีกว่า การกระทำของพรรคร่วมจะทำให้รัฐบาลตกต่ำลงไปหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่าอย่าไปกล่าวหาเขาอย่างนั้น ยังไม่มีใครทำอะไรตกต่ำ ส่วนที่เขาวิจารณ์กันนั้น คิดว่าแต่ละคนคงได้ยิน
ต่อ มาเวลา 19.40 น. วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ได้พบกับนายบุญจงในงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี โดยนายกฯได้สอบถามนายบุญจงกรณีการแจกผ้าห่มและเงิน พร้อมกับแนบนามบัตรภรรยาของนายบุญจงให้กับประชาชนชาวนครราชสีมา ทั้งนี้นายบุญจงกล่าวชี้แจงว่าทุกอย่างทำถูกต้อง และเป็นการแจกเงินสงเคราะห์คนจนที่ได้มาจากกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เมื่อได้เงินมาจึงนำไปแจก นายอภิสิทธิ์จึงถามต่อไปว่า แล้วภรรยาเข้าไปเกี่ยวข้องได้อย่างไร นายบุญจงตอบว่าภรรยามาช่วยงานตามปกติอยู่แล้ว
ทาง ด้าน น.ส.ฐิติมา ฉายแสง ส.ส. ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย เปิดแถลงข่าวว่าเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับแจ้งจากข้าราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ให้ไปรับกระเป๋าหนังสือของนักเรียน 200 ใบ เพื่อนำไปแจกให้เด็กนักเรียนในงานวันเด็กแห่งชาติ แต่การทำงานของรัฐบาลนี้นั้นประสาทช้า ทั้ง ๆ ที่งานวันเด็กผ่านไปนานแล้ว และการให้กระเป๋ามา 200 ใบนั้น ในพื้นที่ของตนมีนักเรียน 2 หมื่นคน แล้วจะไปแจกอย่างไร เพราะคงแจกได้ไม่ครบทุกคน ตนจึงนำไปคืน 199 ใบ ไม่ทราบว่ารัฐบาลจะทำงานไปเรื่อย ๆ แบบนี้หรือ จึงฝากถามไปถึง รมต.เจ้ากระทรวงว่านอกจากจะมี ปลากระป๋องเน่าแล้วยังมีกระเป๋า และจากนี้ไปจะมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ ซึ่งตนจะได้ตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างกระเป๋าต่อไป.
เดลินิวส์
-------------------------------------------------------------------------
พท.แถลงรายวันรัฐบาลทุจริต
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง -- จันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2009 09:38:02 น.

นาย พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คณะทำงานติดตามการทุจริตของรัฐบาล พบว่าน่าจะมีการทุจริตที่กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เพราะมีการอนุมัติงบประมาณแบบกระจุกตัวในหลายจังหวัด เพื่อหวังผลทางการเมือง เช่น จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น ร้อยเอ็ด นครพนม และเลย โดยที่จังหวัดเลยพบว่า มีการอนุมัติตามแผนยุทธศาสตร์จังหวัดถึง 66 โครงการ จำนวนเงิน 127 ล้านบาท โดยไม่ผ่านคณะกรรมการกลั่นกรอง มีผู้รับเหมาก่อสร้างกว่า 20 ราย ไปขอยื่นการสอบราคาโครงการดังกล่าว และพบว่าการก่อสร้างทุกโครงการ ได้ประเมินราคาไว้สูงเกินจริง และสุดท้ายนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ต้องใช้วิธีการการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ ซึ่งมีราคาสูงกว่าราคากลาง จากพฤติกรรมดังกล่าวจึงทำให้สงสัยว่าอาจมีการทุจริต

โฆษกพรรคเพื่อ ไทย กล่าวว่า คณะทำงานฯ ยังพบว่าคณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ได้ยกเว้นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาบางจังหวัด ทำให้มีการอนุมัติโครงการทิ้งทวนมีมูลค่าหลายพันล้านบาท ที่กระจุกไปตามจังหวัดต่างๆ ที่เชื่อว่าน่าจะมีคนของรัฐบาลอยู่ และยังพบว่ามีนักการเมืองอักษรย่อ “ศ” อยู่เบื้องหลัง การอนุมัติงบประมาณไปยังจังหวัดที่มีคนของพรรคพวกตัวเอง ซึ่งเป็นการอนุมัติงบแบบกระจุกตัวและมีเงื่อนงำ ขาดความโปร่งใส ซึ่งคณะทำงานฯ จะรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินการตรวจสอบเอาผิดผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด


นอก จากนี้ นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวด้วยว่า คณะทำงานติดตามการใช้งบประมาณของพรรคเพื่อไทย พบว่า 9 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลใช้งบประมาณที่ไม่เป็นประโยชน์โดยมุ่งสร้างภาพลักษณ์ให้กับรัฐบาล มากกว่าการแก้ไขปัญหาประชาชน เห็นได้จากหน่วยงานของรัฐใช้งบประมาณโฆษณารวมกว่า 2,848 ล้านบาท โดยสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานที่ใช้งบประมาณมากที่สุด 141.8 ล้านบาท และทุกโครงการใช้การจัดจ้างแบบวิธีพิเศษ โดยให้เหตุผลว่าต้องเร่งดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ
-------------------------------------------------------------------------
สื่อนอกวิเคราะห์"รบ.อภิสิทธิ์"ล้มเหลว นักวิจัยชี้"มาร์ค"วาทศิลป์เชิดชูได้เล่นบทเดียวกลัวเกลียด"แม้ว"

วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552 เวลา 22:01:00 น. มติชนออนไลน์

สื่อ นอกวิเคราะห์รัฐบาล"อภิสิทธิ์"ไม่ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศและบนเวที ระดับภูมิภาคแบ่งแยกร้าวลึก อ้างคำสัมภาษณ์อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ นักวิจัยชาวเยอรมันชี้"มาร์ค"มีหน้าตาที่สามารถเชิดชูได้บนเวทีระดับนานา ชาติ" นักวิจัยสิงคโปร์ระบุเล่นบทเดียวคือกลัว-เกลียด "ทักษิณ"

เมื่อ วันที่ 13 ธันวาคม สำนักข่าวเอเอฟพีนำเสนอบทวิเคราะห์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า ระยะเวลา 1 ปีที่ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ยังไม่ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศและบนเวทีระดับภูมิภาค รวมทั้งยังล้มเหลวในการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยที่เกิดการ แบ่งแยกอย่างลึกซึ้งรุนแรงในขณะนี้ โดยเอเอฟพีอ้างคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า "ประเทศไทยแตกแยกมากขึ้นอีก มีการแบ่งขั้วกันชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในคำปราศรัยหลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขากล่าวว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เข้าถึงกลุ่มที่อยู่อีกขั้วหนึ่ง"

ดร.ฐิติ นันท์ยังชี้ว่า นับตั้งแต่นายอภิสิทธิ์เข้ารับตำแหน่ง มักจะประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เมื่อต้องเผชิญกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลืองไม่เคยมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯเลย

ดร.ฐิตินันท์ยังระบุว่า เมื่อสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของกัมพูชา ได้สร้างความโกรธเคืองให้กับรัฐบาลไทยเป็นอย่างมาก และนายอภิสิทธิ์แสดงให้เห็นถึงวิธีการปฏิบัติในการต่อต้านกัมพูชาแบบอ่อน ด้อย ทำให้เห็นชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนที่สูญเสียความยอดเยี่ยมของตนเองไปใน เรื่องการต่างประเทศ

ด้านพอล เชมเบอร์ส นักวิจัยอาวุโสด้านการเมืองไทย แห่งมหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์ก ในประเทศเยอรมนีเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดในอังกฤษและมีวาทศิลป์ ดีนั้น "เป็นหน้าตาที่สามารถเชิดชูได้บนเวทีระดับนานาชาติ"

ขณะที่ไม เคิล มอนเตซาโน นักวิจัยแห่งสถาบันศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสิงคโปร์ กล่าวว่า "นายอภิสิทธิ์เล่นบทที่เขาได้รับมา คือเป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ที่คำจำกัดความทางการเมืองของพวกเขาคือ เกลียดและกลัว พ.ต.ท.ทักษิณ และเขาก็ไม่เคยแสดงบทบาทอื่นนอกเหนือจากนั้นเลย"
-------------------------------------------------------------------------
รวบรวม ผลงาน โคตรโกง ของรัฐบาลอภิสิทธิ์โดย คุณ The Zombie
โกงพอเพียงอีก โผล่ชัยนาท ขออะไรก็ได้กรองน้ำ

โฆษก พท. แปลกใจโครงการชุมชนพอเพียง หลังลงพื้นที่ชัยนาท พบทุจริตกว่า 40 ชุมชน ขออะไรก็ได้เครื่องกรองน้ำ 2.5แสน หมด จี้ดีเอสไอ ลงดาบ ชี้หลังเปลี่ยนอธิบดีเกียร์ว่าง อ้างเพราะรองนายกฯ-รมต.-นายกฯคนปชป.

เมื่อ วันที่ 11 ต.ค. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยังติดตามการทุจริตโครงการชุมชนพอเพียงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดชาวจ.ชัยนาท ร้องเรียนว่าไม่ได้รับอนุมัติโครงการตามที่ขอ คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยจึงได้ลงพื้นที่พบว่าโครงการชุมชนพอเพียงที่จ .ชัยนาทมีการ ทุจริตถึง 40 ชุมชน รวมวงเงิน 8.9 ล้านบาท เช่น ชุมชนบ้านเทพรัตน์ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี ได้งบ 3 แสนบาท ขอโรงสีข้าวเปลือก แต่ได้เครื่องกรองน้ำดื่มราคา 2.5 แสนบาท ชุมชนบ้านดงเทพรัตน์ ได้งบ 3.5 แสนบาท ขอเลี้ยงปลาราคา 2.8 แสนบาท และโรงงานผลิตน้ำพริกราคา 7 หมื่นบาท แต่กลับอนุมัติเครื่องกรองน้ำดื่มราคา 2.5 แสนบาท สร้างความเสียหายให้กับประชาชนและประเทศชาติ เหมือนเชื้อโรคทุจริตร้ายที่ไม่มีวันตราย โครงการชุมชนพอเพียงมีการทุจริตกระจายทั่วประเทศ และได้ยื่นให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ตรวจสอบ แต่หลังจากเปลี่ยนอธิบดีกรมดีเอสไอ จากพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ คดีไม่คืบหน้า

นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่าทุจริตโครงการชุมชนพอเพียง ไม่คืบหน้า เพราะนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ รับผิดชอบโครงการนี้ เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จึงขอให้นายกรัฐมนตรี และดีเอสไอเร่งดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้

http://www.thairath.co.th/content/pol/38925
-------------------------------------------------------------------------
โกงข้าวโพดฉาว

แฉ โครงการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของรัฐบาลส่อทุจริต อีกแล้ว หลังประธานคณะกรรมการกลางกลุ่มเกษตรแห่งประเทศไทย รับมอบอำนาจจากองค์การคลังสินค้า เข้าตรวจสอบโกดัง 5 แห่งในจังหวัดตาก พบข้าวโพดที่รับจำนำไว้สูญหายไปอื้อ บางโกดังมีทั้งสต๊อกลม ยัดไส้กระสอบด้วยซังข้าวโพด ดิน และทราย เพื่อเพิ่มน้ำหนัก แถมบางแห่งยังสมรู้ร่วมคิดกับธนาคาร ทำเครดิตเอาเงินออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย ทำเป็นขบวนการใหญ่ฉ้อโกงกันมโหฬาร เตรียมแจ้งความดำเนินคดีเจ้าของโกดังขี้โกงแล้ว

พบโครงการรับจำนำ ข้าวโพดของรัฐบาลฉาวโฉ่ ส่อมีการทุจริตกันอย่างมโหฬารครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 4 ต.ค. นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ประธานคณะกรรมการกลาง กลุ่มเกษตรแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบวิธีปฏิบัติงานตามโครงการ แทรกแซงราคาสินค้าเกษตรในการรับจำนำสินค้าเกษตร ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) กระทรวงพาณิชย์ และคณะได้เดินทางมายังพื้นที่ อ.แม่สอด อ.พบพระ และ อ.แม่ระมาด จ.ตาก เพื่อตรวจสอบโกดังเก็บข้าวโพดตามโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2551/2552 จำนวน 17 แห่ง ที่ทำสัญญารับฝากข้าวโพด เพื่อตรวจดูว่ามีข้าวโพดในโกดังเก็บสินค้าตามสัญญาหรือไม่

ภายหลัง การตรวจสอบ นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากบุคคลหลายฝ่ายเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยง สัตว์ ปี 2551/2552 ว่า มีการจำนำสต๊อกลมบ้าง ไม่มีสินค้าบ้าง มีการแอบนำข้าวโพดไปขายก่อนบ้าง จำนวนหลายแสนตัน โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ตาก จึงนำคณะเดินทางเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบโกดังเก็บข้าวโพด 5 แห่ง ในจำนวน 17 แห่ง ปรากฏว่าพบมีการส่อทุจริตทั้ง 5 แห่ง คือที่โกดัง หจก.ชัยสมบูรณ์ธุรกิจ เลขที่ 498 หมู่ 1 ต.พบพระ อ.พบพระ ซึ่งโครงการรับจำนำได้ฝากข้าวโพดไว้จำนวน 10,034 ตัน ผลการตรวจสอบพบว่ามีการปลอมปนนำซังข้าวโพด ทราย และดิน ยัดใส่ไว้ในกระสอบข้าวโพดจำนวนมาก และจากการประเมินเบื้องต้นคาดว่า มีข้าวโพดหายจากสต๊อกราว 2,500 ตัน จึงเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.พบพระ และสั่งอายัดข้าวโพดทั้งหมดไว้ตรวจสอบ เพื่อประเมินความเสียหายแล้วแจ้งความเพิ่มเติม

นายอุบลศักดิ์เปิด เผยต่อไปว่า ส่วนโกดังอีก 4 แห่ง พบว่าไม่มีข้าวโพดครบตามจำนวนที่รับจำนำไว้ ขาด 3 พันตันบ้าง 4 พันตันบ้าง บางแห่งขาดไปถึง 7 พันตัน แสดงให้เห็นว่ามีการฉ้อโกงกันเป็นขบวนการ เพราะในหลักการรับจำนำ โกดังที่รับฝากจะต้องดูแลข้าวโพดให้สมบูรณ์ จำนวนสินค้าต้องอยู่ครบถ้วน การตรวจสอบครั้งนี้ยังพบว่า นอกจากข้าวโพดที่ฝากไว้ในโกดังจะปลอมปน หรือหายไปส่วนหนึ่งแล้ว ยังพบว่าเจ้าของโกดังยังนำข้าวโพดที่รับฝากไปทำเครดิตกับธนาคารเพื่อนำเงิน ออกมาใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย สิ่งเหล่านี้ทำกันเป็นขบวนการ ธนาคารจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ แสดงว่าธนาคารมีส่วนร่วมทุจริตด้วย ทรัพย์สินที่อยู่ในโกดังเป็นสิทธิ์ขององค์การคลังสินค้าอยู่ก่อนแล้ว รายอื่นจะมาเป็นเจ้าของไม่ได้

"การตรวจสอบในพื้นที่ จ.ตาก ครั้งนี้ จะต้องตรวจสอบโกดังในโครงการทั้ง 17 แห่ง โดยจะใช้วิธีรื้อกองข้าวโพดเพื่อค้นหาสิ่งปลอมปน และชั่งน้ำหนักตรวจสอบ จึงจะประเมินความเสียหาย ก่อนจะแจ้งความเพิ่มเติมตามกรณีไป หากข้าวโพดไม่ครบก็แจ้งข้อหาฉ้อโกง ถ้าเสียหายก็ดำเนินการฟ้องแพ่ง ซึ่งในวันที่ 5 ต.ค.นี้ ตนจะแจ้งให้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ร่วมตรวจสอบโกดังที่รับฝากข้าวโพดทุกแห่งเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และจะดำเนินการตรวจสอบลักษณะนี้ทั่วประเทศ เพื่อขจัดขบวนการโกงชาติบ้านเมือง" ประธานคณะกรรมการกลางฯ กล่าว

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ จ.ตาก มีโกดังที่ร่วมรับฝากข้าวโพด คือ อ.แม่สอด หจก.พืชผลสุวรรณ, หจก.อเนกธัญกิจ, หจก.ชัยอนันต์การเกษตร, หจก.สิงห์รุ่งเรืองพืชผลการเกษตร, หจก.แพสีห์แดง, หจก.เลิศรุ่งเรืองการเกษตร, สหกรณ์นิคมแม่สอด จำกัด, ร้านพะวอพืชผลและไซโล ที่ อ.แม่ระมาด สหกรณ์นิคมแม่ระมาด จำกัด, หจก.ปฎิพงษ์การเกษตร, บริษัทเพชรจินดาการเกษตร (พืชผล) จำกัด ที่ อ.วังเจ้า หจก.พรเทพอะโกร, หจก.จินดาการเกษตรและไซโล ที่ อ.พบพระ ร้าน พี.พี.ธุรกิจการเกษตร, หจก.ชัยสมบูรณ์ธุรกิจ และ หจก.ชัยอนันต์การเกษตร รวมทุกโกดังมีข้าวโพดของโครงการรับฝากอยู่จำนวนนับแสนตัน

http://www.thairath.co.th/today/view/37381
-------------------------------------------------------------------------
ปูดอีกพิรุธซื้อรถจักร-อะไหล่รถไฟ1.2พันล้าน

พท.ตี กินรายวัน ปูดอีกประมูลซื้อรถจักร-อะไหล่รถไฟ 1.2 พันล้าน พิรุธอื้อ ส่อทำผิดระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง สงสัยสมรู้ร่วมคิด โยงใยเครือญาติบุคคลในรัฐบาล ปชป.อุ้ม"วิทยา"ชี้จี้ออกไม่เป็นธรรม ควรให้พิสูจน์ความจริงก่อน อ้าง 5 ชื่อที่แพทย์ชนบทแจ้งนายกฯไม่มี รมว.สธ. ขณะที่ รมช.ศธ.สั่ง สอศ.แจงปมยัดครุภัณฑ์วิทยาลัยอาชีวะ

@ พท.ปูดพิรุธประมูลร.ฟ.ท."1.2พันล."

น.อ.อนุ ดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. คณะทำงานสำนักงานปราบโกง (สปก.401) พรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ณ ที่ทำการ พท.ว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ออกประกาศ ร.ฟ.ท. งานการจัดซื้อรถจักรดีเซลไฟฟ้าจำนวน 7 คัน พร้อมเครื่องอะไหล่มูลค่า 1,200 ล้านบาท ซึ่ง พท.เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวมีข้อพิรุธความน่าสงสัยในกระบวนการและขั้น ตอนการออกร่างประกาศเชิญชวนเสนอราคา (ทีโออาร์) หลายประการดังนี้ 1.ทีโออาร์ที่ออกในประกาศเว็บไซต์ของ ร.ฟ.ท.ระหว่างวันที่ 2-12 ตุลาคม ความยาว 98 หน้า เพื่อให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นนั้น ในข้อ 4.9 ได้ระบุให้บริษัทที่สนใจเข้าร่วมประกวดราคา ยื่นเอกสารการประกวดราคาในวันที่ 13 ตุลาคม เวลา 10.00-11.00 น. ซึ่งในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีบริษัทใดมายื่นเอกสารประกวดราคาได้ ทัน เพราะหลังจากสิ้นสุดการแสดง ความคิดเห็นในวันที่ 12 ตุลาคมแล้ว ร.ฟ.ท.จะต้องนำข้อมูลทั้งหมด ในคณะกรรมการร่างประกวดราคาพิจารณาทบทวนแล้วสรุปผลเพื่อประกาศเป็นทีโออาร์ อย่างเป็นทางการ โดยมีลายเซ็นของผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. หรือประธานคณะกรรมการประกวดราคาลงนามกำกับ จึงจะถือได้ว่าทีโออาร์ฉบับนั้นสมบูรณ์ หมายความว่าถ้าวันที่ 13 ตุลาคม เวลา 10.00-11.00 น. เป็นเวลาที่กำหนดให้มีการยื่นซองประกวดราคา คณะทำงานพิจารณาร่างทีโออาร์ จะมีเวลาพิจารณาร่างดังกล่าวเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งวัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ

@ ส่อทำขัดระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง

2.ร่าง เอกสารประกวดราคาได้อ้างอิงประกาศฝ่ายการพัสดุ ร.ฟ.ท. ซึ่งในช่วงที่จะลงวันที่กลับเว้นไว้ ไม่ลงวันที่กำกับ แสดงให้เห็นว่าเอกสารฉบับนี้ยังไม่สมบูรณ์ รวมถึงหลักประกันตามข้อ 7 ในทีโออาร์ ก็ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาของการค้ำประกันซอง เพียงแต่ให้คำจำกัดความว่า ต้องค้ำประกันในระยะเวลา 180 วันเท่านั้น แต่ร่างทีโออาร์ฉบับนี้กลับไม่ได้กำหนดวันยื่นซองทางเทคนิคว่าเป็นวันที่ เท่าไหร่ ดังนั้น บริษัทที่จะเข้ามาร่วม จะไม่มีทางที่จะวางแผนในการยื่นทีโออาร์ได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องตลกมาก 3.ระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างของ ร.ฟ.ท. กำหนดให้การประกาศทีโออาร์ จะต้องประกาศอย่างเป็นทางการไม่น้อยกว่า 7 วันทำการ ดังนั้น การกำหนดให้ยื่นซองประกวดราคาในวันที่ 13 ตุลาคม จึงน่าจะเป็นการขัดต่อระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างของ ร.ฟ.ท. และ 4.การยื่นซองประกวดราคา การเตรียมเอกสารในการยื่นซอง ตลอดจนการหาหลักประกันเพื่อให้ธนาคารออกหนังสือรับรองการค้ำประกัน จำนวน 50.2 ล้านบาท ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบริษัทใดที่จะเตรียมเอกสารได้ทัน นอกจากมีหูทิพย์ ตาทิพย์ มีญาณวิเศษ ที่จะทราบล่วงหน้าว่าคณะกรรมการประกวดราคาและผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. จะพิจารณาหรือกำหนดให้ทีโออาร์ออกมาในลักษณะใด หรือมีการเปลี่ยนแปลงจากที่ร่างไว้เดิมหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องคุณสมบัติผู้ร่วมประกวดราคา

@ สงสัยโยงใยญาติคนในรัฐบาล

"พรรค เพื่อไทยจึงตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินการในครั้งนี้ อาจมีการส่อไปในทางสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มบริษัทใดบริษัทหนึ่งหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าบริษัทดังกล่าวจะมีความสัมพันธ์กับบุคคลในรัฐบาลในทาง เครือญาติ เพราะเห็นได้ชัดว่ามีการเร่งรัด ลุกลี้ลุกลนส่อไปในทางฮั้วประมูลหรือไม่ จึงขอเรียกร้องให้นายกฯตรวจสอบการดำเนินการของกระทรวงคมนาคม เพราะเป็นกระทรวงที่ต้องบริหารงบฯจากไทยเข้มแข็งซึ่งมาจากภาษีประชาชนจำนวน มาก หากใช้งบฯไม่เป็นไปตามวัตถุ ประสงค์ งบฯนี้อาจทำให้ภูมิใจไม่ไหว เพราะไทยไม่เข้มแข็งอย่างแน่นอน" น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01p0108111052&sectionid=0101&selday=2009-10-11

-------------------------------------------------------------------------
ครุภัณฑ์ฉาว ศธ.

@ รมช.ศธ.สั่งสอศ.แจงปมครุภัณฑ์

นาง สาวนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มอบหมายให้ผู้บริหาร สอศ.ชี้แจงข้อมูล กรณีผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาหลายแห่ง ออกมาเปิดโปงผู้บริหาร สอศ.ทำหนังสือแจ้งไปยังวิทยาลัย ว่าได้จัดครุภัณฑ์ตามแผนพัฒนาปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2553 ที่มีวงเงิน จัดสรรให้วิทยาลัย 401 แห่งทั่วประเทศ 4,625 ล้านบาท ให้กับวิทยาลัยอาชีวะต่างๆ ใช้ในการเรียนการสอน ทั้งที่วิทยาลัยไม่ทราบเรื่องมาก่อน และไม่ได้ทำคำเสนอขอแต่อย่างใด นอกจากนี้ครุภัณฑ์หลายรายการยังแพงกว่าราคาตลาดถึง 2-3 เท่าตัวด้วย

นาง สาวนริศรากล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดเรื่องนี้ แต่ได้มอบให้ผู้บริหาร สอศ.ชี้แจงข้อมูลให้ได้รับทราบแล้ว พร้อมทั้งจะให้ชี้แจงในที่ประชุมผู้บริหารองค์กรหลักที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.เป็นประธานประชุมในวันที่ 12 ตุลาคม ด้วยว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร

@ ผอ.แฉออกสเปคไม่ตรงที่ต้องการ

ผู้ อำนวยการวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.สุพรรณ บุรี กล่าวว่า คุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์หรือสเปคที่ สอศ.กำหนดมาให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างนั้น ไม่ตรงตามความต้องการทั้งหมด อย่างในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา วิทยาลัยได้รับงบประมาณเกือบ 10 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์ประเภทหนึ่ง แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ทำให้กลุ่มวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) รวมตัวกันกำหนดคุณ ลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์ออกมาอีกชุดหนึ่ง เพื่อเสนอให้ สอศ.พิจารณาเห็นชอบให้เป็นทางเลือกหนึ่ง ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวเคยเสนอในช่วงที่ นายประเสริฐ แก้วเพ็ชร เป็นรองเลขาธิการ กอศ.แล้วและนายประเสริฐได้ให้กลุ่มวิทยาลัยร่วมทำคุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์ เสนอมา แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้รับการสานต่อเรื่องนี้หรือไม่ เนื่องจากนายประเสริฐเพิ่งเกษียณอายุราชการไป

"สอศ.ได้จัดส่ง คุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์มาให้พร้อมได้กำหนดให้ดำเนินการจัดซื้อให้เสร็จภายใน วันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งผมยังไม่ได้ดำเนินการอะไร เพราะอยากจะรอคุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์อีกชุดและอยากให้แต่ละวิทยาลัยอย่า เพิ่งรีบจัดซื้อควรจะรอก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นปัญหาเดิมซื้อมาแล้วไม่ตรงตามความต้องการของอาจารย์ผู้ สอน" ผอ.วิทยาลัยคนเดิมกล่าว

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01p0108111052&sectionid=0101&selday=2009-10-11
-------------------------------------------------------------------------
ปลอมปนข้าวแจกให้เกษตรกร

@ พท.จี้รมว.เกษตรฯหามือปลอมข้าว

ส่วน เรื่องการแจกพันธุ์ข้าวหอมมะลิให้กับเกษตรกร จ.ยโสธร ที่อาจมีการปลอมปนนั้น นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พท.แถลงว่า ที่นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงว่าการดำเนินการเป็นการใช้งบประมาณ ประจำปี 2552 จากงบฯแปรญัตติ ซึ่งจังหวัดยโสธร โดยผู้ว่าราชการจังหวัดได้ลงนามบันทึกข้อตกลงการซื้อขายเมล็ดพันธุ์ข้าวหอม มะลิ 105 กับอธิบดีกรมการข้าว และกรมการข้าวได้จัดส่งเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวให้กับจังหวัดในวันที่ 30 เมษายน ด้วยงบประมาณ 26 ล้านบาท และที่อธิบดีกรมการข้าวออกมายืนยันคุณภาพและมาตรฐานเมล็ดพันธุ์ และเชื่อว่าหากเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิของกรมการข้าว จะไม่มีการปลอมปนอย่างเด็ดขาดนั้น ขอยืนยันว่าพรรคไม่ได้มีความสงสัยในคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ออกมา จากกรมการข้าวแต่อย่างใด แต่จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในนาข้าวเกษตรจังหวัดยโสธร ที่ได้รับเมล็ดพันธุ์ในโครงการดังกล่าวแล้วนำไปปลูก พบว่า มีต้นข้าวออกรวงก่อนกำหนดถึงร้อยละ 50 ของแปลง ในขณะที่ต้นข้าวที่เหลือยังไม่ตั้งท้องด้วยซ้ำ ถือเป็นความเสียหายของเกษตรกร เพราะไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ หรือหากเก็บเกี่ยวก็ต้องทำลายต้นข้าวที่เหลือไปด้วย นอกจากนี้ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายโดยไม่สามารถขายข้าวได้คุ้มกับต้นทุน 3,000 บาท/ไร่ ดังนั้น แทนที่กระทรวงเกษตรฯและผู้เกี่ยวข้อง จะรีบแย่งกันออกมาตอบโต้ ขอเรียกร้องให้รีบเข้าไปแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่เดือดร้อนจะดีกว่า และควรรีบสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดที่นำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ปลอมปนไปแจกเกษตรกร เพื่อนำมาลงโทษ โดยเร็ว "ขอตั้งข้อสังเกตว่า เมล็ดพันธุ์ข้าว ไม่ได้มาจากการผลิตของกรมการข้าวทั้งหมด เชื่อได้ว่ามีการนำเมล็ดข้าวอื่นมาปลอมปนในภายหลังในการจัดซื้อจัดจ้างหลัง จากนั้นหรือไม่" นายการุณกล่าว

@ ข้องใจปลอมปนของกรมการข้าว

น.อ.อนุ ดิษฐ์ นาครทรรพ กล่าวว่า ยืนยันว่าต้นทางที่มาจากกรมการข้าว ใส่ถุงมามีมาตรฐานที่สูงมาก มีความสมบูรณ์ถึงร้อยละ 99.08 ดังนั้น ปัญหาน่าจะเกิดขึ้นเมื่อมีการ ส่งพันธุ์ข้าวมายังจังหวัด เพราะเป็นที่น่าสังเกตว่าขนาดบรรจุถุงจากกรมการข้าว มีน้ำหนัก 25-50-100 กิโลกรัมต่อ 1 ถุง แต่เมื่อมาถึงจังหวัด มีนโยบายแจกให้เกษตรกรรายละ 30 กิโลกรัม ดังนั้น จึงต้องแกะแล้วตักแบ่ง เชื่อว่าไม่ได้เป็นการปนพันธุ์อื่นเข้ามา แต่เป็นการนำพันธุ์หอมมะลิที่ไม่ได้มาจากกรมการข้าวเข้ามามากกว่า ส่วนที่พรรคชาติไทยพัฒนาเรียกร้องหากตรวจสอบแล้วไม่มีการปลอมปน จะขอโทษหรือไม่ ยืนยันว่าถ้าตรวจสอบแล้วไม่มีปัญหา พท.พร้อมขอโทษพรรคชาติไทยพัฒนา แต่ขอให้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบด้วย ต้องบอกได้ว่ามีเมล็ด พันธุ์ข้าวมาปลอมปนในบรรจุภัณฑ์ของกรมการข้าวได้อย่างไร แต่เมื่อปรากฏรายละเอียดขนาดนี้ก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องขอโทษ เพราะชัดเจน ขอให้รีบไปแก้ไข ดีกว่า

นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พท. กล่าวว่า พื้นที่อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของตนมีปัญหามาก มีการไปแจกเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ นายก อบต. เชิญโรงสีไปดูเมล็ดพันธุ์ที่แจก โรงสีบอกเลยว่าเป็นการปลอมปน เคยบอกไปยังผู้ว่าฯก็ได้แต่ตั้งกรรม การสอบ แต่ไม่มีความคืบหน้าอะไร

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวสมาชิก พท. นำเพาเวอร์พอยท์มาฉายประกอบด้วย เป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวนาข้าวที่อ้างว่าอยู่ในจังหวัดยโสธร โดยมีการเปรียบเทียบระหว่างนาข้าวที่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ไม่มีการปลอมปน ซึ่งข้าวออกรวงพร้อมกันเต็มผืนนา ขณะที่นาที่มีการปลอมปนเมล็ดพันธุ์จะออกรวงไม่สม่ำเสมอ เป็นด่างๆ อีกทั้งยังออกรวงไม่ครบ 12 รวงใน 1 กออีกด้วย

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01p0108111052&sectionid=0101&selday=2009-10-11
-------------------------------------------------------------------------
ทุจริตโครงการไทยเข้มแข็ง สธ.

@ กก.สอบสธ.ยันมีอิสระคุ้ยจัดซื้อ

ขณะ ที่ปัญหางบประมาณตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ภายหลังชมรมแพทย์ชนบทแสดงความเห็นว่าคณะกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ อาจไม่กล้าสาวถึงตัวผู้บงการที่แท้จริง เนื่องจากจะมีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำในสังกัด สธ. หลายตำแหน่งในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ยังระบุว่ามีการให้ผู้ตรวจราชการลงไปเกลี้ยกล่อมให้โรงพยาบาลใน พื้นที่ยืนยันความต้องการครุภัณฑ์ทางการแพทย์ตามบัญชีเดิมนั้น

นพ.เสรี หงษ์หยก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า คณะกรรมการทุกคน เมื่อได้รับความไว้วางใจก็ตั้งใจทำงานอย่างตรงไปตรงมา ทุกคนมีอิสระในการสอบข้อเท็จจริงบนพื้นฐานของข้อกฎหมาย ระเบียบ ธรรมา ภิบาล และให้ความเป็นธรรมต่อผู้ถูกพาดพิงทุกคน ส่วนที่ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ให้สัมภาษณ์ว่ามีข้อมูลและรายชื่อที่ได้เปิดเผยต่อนายกรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อ ต้นสัปดาห์ ก็ขอให้ส่งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไปที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุด นี้ด้วย เพื่อคณะกรรมการจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

@ เร่งผู้ตรวจ18เขตสรุปรายมีปัญหา

นพ.ชู วิทย์ ลิขิตยิ่งวรา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หลังจากที่ สธ.ดำเนินการภายใต้หลักประกันสุขภาพ มุ่งให้ประชาชนได้รับบริการถ้วนหน้า สถานบริการสาธารณสุขไม่ได้รับงบประมาณในการจัดซื้อครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง มานานหลายปี ขณะนี้นับเป็นโอกาสดีที่ได้รับงบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งของ รัฐบาล เพื่อให้สถานบริการสาธารณสุข ได้มีอาคารสถานที่และเครื่องมือเครื่องใช้ในการดูแลสุขภาพประชาชนอย่างทั่ว ถึง สธ.มีความตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาการทุจริตในกระทรวง ซึ่งในที่ประชุมสำนักตรวจราชการเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา มีมติให้ผู้ตรวจราชการ สธ.ทั้ง 18 เขต เข้าไปประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป/โรงพยาบาลชุมชน สาธารณสุขอำเภอ เร่งสำรวจข้อมูล โดยเฉพาะครุภัณฑ์บางรายการที่มีปัญหา โดยจะรวบรวมข้อมูลจาก 18 เขต ส่งให้ปลัด สธ.ในบ่ายวันที่ 12 ตุลาคมนี้ และยืนยันว่าจะให้สถานบริการสาธารณสุขเป็นผู้เลือกครุภัณฑ์เอง ไม่มีการบังคับแต่อย่างใด
@ "ใต้"ไม่หยุดจริงเปิดซองประมูลแล้ว

แหล่ง ข่าวจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.ยะลา แจ้งว่า แม้ล่าสุด สธ.จะสั่งระงับการจัดซื้อจัดจ้างไว้ชั่วคราวเพื่อรอผลตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่ข้อเท็จจริงขณะนี้ในพื้นที่ จ.ยะลา มีการเปิดซองประมูลด้วยวิธีการพิเศษเพื่อว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างแฟลต ที่พักพยาบาลเรียบร้อยแล้ว จำนวน 5 แห่ง เหลือเพียงรองบประมาณจากส่วนกลางส่งมอบให้เท่านั้น เรื่องนี้น่าสังเกตว่า การดำเนินการเป็นไปด้วยความเร่งรีบ เหมือนเป็นการตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก และไม่เพียงแต่ในพื้นที่ จ.ยะลา เพราะจากการพูดคุยกับแพทย์ในจังหวัดใกล้เคียงพบว่า ที่ จ.นราธิวาส ก็มีการเปิดซองว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างแฟลตที่พักแล้วเช่นกัน

http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01p0108111052&sectionid=0101&selday=2009-10-11
-------------------------------------------------------------------------
แฉอีก ขอไก่ได้เห็ด คุ้ยทุจริตพอเพียง

พรรค เพื่อไทยตามติดลากไส้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พบไม่ชอบมาพากลแล้ว 31 ชุมชน วงเงินกว่า 6 ล้าน พร้อมคุ้ยทุจริตกระทรวงศึกษาธิการ แฉเปลี่ยนสเปคโครงการที่ทางโรงเรียนได้นำเสนอไป ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ทางโรงเรียนเสนอ...

นายพร้อมพงศ์ นพ ฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มีประชาชน จ.สระบุรี ร้องเรียนพรรคเพื่อไทยว่า มีการทุจริตในโครงการชุมชนพอเพียง คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยจึงได้ลงพื้นที่และพบปัญหาในโครงการชุมชนพอเพียงที่ ส่อไปในทางไม่สุจริตที่ อ.แก่งคอย อ.หนองแซง และอ.หนองแค จ.สระบุรี จำนวน 31 ชุมชน วงเงิน 6,360,000 บาท เช่น ชุมชนบ้านบึงไม้ ได้งบประมาณ 250,000 บาทขอเครื่องทำปุ๋ยชีวภาพแต่ได้ประปาชุมชนราคา 150,000 บาท ทำให้งบหายไปทันที 100,000 บาท ที่ชุมชนบ้านหนองจอก ได้งบประมาณ 200,000 บาทขอโรงสีข้าวเครื่องมือเกษตรแต่ได้เครื่องกรองน้ำประปาวงเงิน 150,000 บาท เงินหายไป 50,000 บาท ที่ชุมชนบ้านสองคอนใต้ ได้รับงบประมาณ 200,000 บาท ขอตู้ทำน้ำดื่มแต่ได้เครื่องปั่นไฟราคา 150,000 บาทเงินหายไป 50,000 บาท และที่ชุมชนป่าไผ่ใต้ ได้รับงบประมาณ 200,000 บาท ขอโรงเรือนไก่ไข่แต่กลับได้โรงเรือนเพาะเห็ดราคา 150,000 บาท เงินหายไป 50,000 บาท ทั้งนี้ โครงการชุมชนพอเพียงมีขบวนการจัดการทั้งข้าราชการ นักการเมือง และพ่อค้า โดยให้สินค้าไม่ตรงตามความต้องการของประชาชน โครงการชุมชนพอเพียงเหมือนแผลเน่าที่รัฐบาลไม่ยอมรักษา เป็นโรคร้ายที่รัฐบาลไม่ยอมเยียวยา ทำให้ประชาชนเสียประโยชน์และชุมชนอ่อนแอ

โฆษก พรรคเพื่อไทย กล่าวด้วยว่า มีข้าราชการครูสพฐ 7 จากจ.นครราชสีมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อพรรคเพื่อไทยว่าโรงเรียนการศึกษา ขั้นพื้นฐานเขต 7 จ.นครราชสีมากว่า 20 โรงเรียนได้นำเสนอโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงศึกษาธิการ แต่น่าจะเกิดการทุจริตขึ้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนสเปคโครงการที่ทางโรงเรียนได้นำเสนอไป ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ทางโรงเรียนเสนอ โดยเสนอสร้างอาคารเรียนแต่กลับได้ห้องประชุมทั้งๆที่โรงเรียนและประชาคมไม่ ต้องการเพราะไม่มีความจำเป็น รวมทั้งการซื้อวัสดุครุภัณฑ์ที่โรงเรียนเสนอซื้อสินค้าที่โรงเรียนต้องการ เกี่ยวกับการเรียนการสอนที่มีความจำเป็นในท้องถิ่น แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงสินค้าวัสดุครุภัณฑ์ที่มาคาแพงกว่าท้องตลาดและ โรงเรียนไม่ต้องการมาให้แทน ทั้งนี้ในวันจันทร์ที่ 5 ต.ค.พรรคจะส่งคณะทำงานลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอีกครั้ง

“โครงการไทยเข้มแข็งที่ใช้เงินนอกงบประมาณสำหรับกระทรวงศึกษาธิการ น่าจะมี การทุจริตเกิดขึ้นเป็นขบวนการใหญ่เหมือนโครงการชุมชนพอเพียงและโครงการไทย เข้มแข็งที่มีการจัดซื้อครุภัณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข นี่คือการทุจริตเชิงนโยบาย เป็นการปล้นภาษีประชาชนกลางวันแสกๆ นายอภิสิทธิ์ ต้องไปกู้เงินทั้งต้นทั้งดอกมาดำเนินการแต่ขาดการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ ปล่อยให้มีการทุจริตในหลายพื้นที่ เหล่านี้คือการบริหารของรัฐบาลระบอบอภิสิทธิ์ชนที่ทำอะไรก็ไม่ผิด”โฆษกพรรค เพื่อไทยกล่าว

http://www.thairath.co.th/content/pol/37397
-------------------------------------------------------------------------
พท.ปูดนักการเมือง กินหัวคิว ต่อรถเมล์4พันคัน

ระบุ มีฝ่ายการเมืองตกลงพูดคุยกัน โดยได้ค่าดูแลพูดคุยต่อคันเป็นตัวเลขพอสมควร เชื่อรัฐบาลอนุมัติเพื่อเอาใจพรรคภูมิใจไทย ไม่ให้เสียหน้าเพียงเท่านั้น เชื่อโครงการนี้ไม่เกิดขึ้นแน่นอน....

วันนี้(3 ต.ค.)นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. และประธานภาค กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติเห็นชอบโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ข้อสังเกตว่า โครงการดังกล่าวคงเกิดยาก ไม่เกิดในรัฐบาลนี้แน่นอน เพราะรายละเอียดในโครงการดังกล่าว กำหนดเงื่อนประเด็นต่างๆ ที่ต้องทำตามข้อตกลงค่อนข้างมาก และยังทำลายระบบของ ขสมก.ไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ของขสมก.ได้ วันนี้ทางสหภาพแรงงาน ขสมก.เริ่มออกมาเคลื่อนไหว เพราะจะตกงานหรือถูกเออร์รี่รีไทออกไปจากการนำระบบจัดเก็บตั๋วแบบอีทิคเก็ต เข้ามาใช้

ส่วนกรณีการให้บริษัทในประเทศดำเนินการต่อรถนั้น นายวิชาญ กล่าวว่า อยากถามรัฐบาลว่า รถจำนวน 4,000 คัน ต้องใช้เวลาเท่าใด และยังมีข่าวออกมาว่าโรงงานที่ประกอบรถนั้น มีฝ่ายการเมืองไปตกลงพูดคุยกัน โดยได้ค่าดูแลพูดคุยต่อคันเป็นตัวเลขพอสมควร อย่างไรก็ตามโครงการนี้เกิดขึ้นเพียงต้องการปลอบใจ เอาใจพรรคภูมิใจไทยไม่ให้เสียหน้าเท่านั้น และซื้อเวลาให้ความหวังคน กทม.

http://www.thairath.co.th/content/pol/37106
-------------------------------------------------------------------------
สว.กระตุกรบ. อย่ามูมมาม เหตุกลัวอยู่ไม่นาน

ส.ว.จี้รบ.ทำโปร่งใสใช้เงิน ไทยเข้มแข็ง รองปธ.กมธ.สธ.แนะอย่ารีบทุจริตเพราะกลัวอยู่ไม่นานเรียกร้องปรับปรุงการทำ โครงการ ชี้เฟส 2 ควรยกระดับทางวิชาชีพ ไม่ใช่ซื้อเครื่องมือเพื่อรอบุคคลากร
ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 5 ต.ค.มีการประชุมวุฒิสภา โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมได้เปิดให้สมาชิกหารือ โดยนายเจริญ ภักดีวานิช ส.ว.พัทลุง ขอหารือกรณีปัญหาความไม่โปร่งใสในการใช้เงินกู้เพื่อดำเนินโครงการไทย เข้มแข็งของรัฐบาล ปัจจุบันปรากฏเป็นข่าวมาก หลายโครงการ หลายกระทรวงส่งกลิ่นทุจริต หากปล่อยให้เกิดอย่างนี้ประเทศย่อยยับ ส.ว.หลายคนจึงรู้สึกเป็นห่วง ขอให้รัฐบาลรีบสะสาง ตัดไฟแต่ต้นลม ต้องสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองใหม่ให้ได้

ด้าน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา รองประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา หารือถึงปัญหาการจัดซื้อครุภัณฑ์ในกระทรวงสาธารณสุข โดยการยกระดับสถานีอนามัยตำบาล เป็นโรงพยาบาลตำบล ถือเป็นเรื่องดี แต่การเร่งรัดจากรัฐบาล ประกอบกับการมีงบไทยเข้มแข็งเข้ามาเหมือนต้องการเร่งรัดเพื่อให้มีผลงานออก มาเร็ว ไม่รู้ว่ากลัวจะอยู่ไม่ได้นานหรือไม่ มีการกระจายงบลงไปในสถานีอนามัยตำบล 1,000 แห่ง ในปีนี้ ปีหน้าอีก 1,000 แห่ง และอีก 6 ,000 แห่งที่จะทยอยในปีต่อๆไป รวมถึงการจัดซื้อครุภัณฑ์รวมแล้วใช้งบหลายหมื่นล้านบาท แต่ก็มีปัญหาไม่ตรงกับความต้องการกับพื้นที่ และแพทย์ จึงขอให้รัฐบาลปรับปรุงการทำโครงการ โดยการดำเนินการตามเฟส 2 ควรยกระดับทางวิชาชีพ ไม่ใช่ซื้อเครื่องมือเพื่อรอบุคคลากร

http://www.thairath.co.th/content/pol/37489
-------------------------------------------------------------------------
เผยบอลลูน380ล.ใช้ดับไฟใต้ ค้างเติ้งที่อู่ตะเภาเปล่าประโยชน์

รายงาน ข่าวจากกองทัพภาค 4 เปิดเผยว่ากองทัพซื้อบอลลูนในราคาลำละ 380 ล้าน เพื่อภารกิจบินลาดตระเวนตรวจสอบถ่ายภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการใช้เงินที่ไม่ก่อประโยชน์ในการแก้ปัญหามากนัก เนื่องจากกองกำลังขบวนการแบ่งแยกดินแดนใช้วิธีการปะปนอยู่กับมวลชน ไม่แต่งเครื่องแบบ ไม่ติดอาวุธ ไม่ที่ค่ายพักในป่า และหลบเข้า-ออก ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งผลสุดท้ายบัลลูนที่ซื้อมาคงทำประโยชน์ต่อการปราบปราม ป้องกัน การก่อเหตุร้ายได้ไม่มากนัก และอาจจะไม่ได้ใช้เลยก็ได้

“บอลลูนที่ สั่งซื้อจากประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกส่งมาเก็บไว้ที่สนามบินอู่ตะเภาแล้ว มีแต่ตัวบอลลูน ส่วนกล้องถ่ายภาพอินฟราเรด 2 ตัว ซึ่งเป็นเขี้ยวเล็บที่สำคัญ ยังส่งเข้ามาไม่ได้ เพราะติดขัดเรื่อง “กฎหมาย” ที่ห้ามส่งออกของอเมริกา ดังนั้นจึงยังหวังไม่ได้ว่าสุดท้าย ประชาชนในพื้นที่จะได้บอลลูนเป็นของเล่นชิ้นใหม่จากกองทัพ”

ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่า กองทัพมีผู้มีความรู้มากมาย แต่เรื่องอย่างนี้คิดไม่้เป็นหรือ ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้
หรือจะเป็นอีกข้อพิสูจน์ว่า หน่วยงานราชการทั้งหลาย ต่างหากที่เป็นผู้สูบเลือดสูบเนื้อประชาชน

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1254474005&grpid=03&catid=
-------------------------------------------------------------------------
เสาธงต้นละ5แสน-คาดสูญหมื่นล.

นพ.เกรียง ศักดิ์กล่าวอีกว่า มีหลักฐานใบเสร็จชัด เช่น เรื่องการก่อสร้างโรงพยาบาล เช่น ปี 2551 รพ.ภูกระดึงทำหอพักพยาบาล 24 ห้อง ราคากลาง 6.8 ล้านบาท ประมูลได้ 6.5 ล้านบาท แต่ราคากลางตามเอสพี 2 อยู่ที่ 9.5 ล้านบาท ส่วนการจัดซื้อเสาธงให้ รพ.ทั่วประเทศ ความสูง 20 เมตร ราคากลางเอสพี 2 ต้นละ 495,000 บาท ทั้งที่ราคาจริงไม่น่าจะอยู่แค่ 20,000 บาท จากการตรวจสอบราคาสินค้าก่อสร้างครุภัณฑ์ชนิดอื่นๆ น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเกินความเป็นจริงไม่ต่ำ 30% คิดเป็นเงินกว่าหมื่นล้านบาท
"ผม เชื่อว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง จนทำให้บริษัทเหล่านี้ย่ามใจกล้าข่มขู่โรงพยาบาลที่จัดซื้อ สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะมีปัญหาว่าเงินจะเข้ากระเป๋าใคร โดยเฉพาะเครื่องตรวจสารชีวะเคมีในเลือดเงิน น่าจะเข้ากระเป๋าใครบางคนเกือบ 100% เพราะบริษัทต้องลงทุนฟรีเพื่อจะขายน้ำยาอยู่แล้ว" นพ.เกรียงศักดิ์กล่าว
นพ.เกรียงศักดิ์กล่าวว่า สำหรับเครื่องช่วยหายใจและเครื่องรมยาสลบมีราคากลางที่สูงเกินความจริงและ สเปคที่สูงเกินไป ไม่ตรงกับที่พื้นที่ร้องขอ มีการจัดสรรเครื่องมือที่ราคา 1.5 ล้านบาทเท่ากันหมดโดยไปเพิ่มออพชั่นบางอย่างที่ไม่มีความจำเป็น และกำหนดสเปคเพื่อให้เข้ากับบริษัทผู้จำหน่ายบางแห่ง เช่น รพ.ใน จ.สกลนคร เสนอขอในราคา 7.5 แสนบาท 6 เครื่อง แต่กลับจัดสรรให้เพียง 3 เครื่องในราคา 1.5 ล้านบาท ทำให้ขาดโอกาสในการได้เครื่องมือที่ตรงกับความต้องการของพื้นที่ และความจริงแล้วราคาน่าจะไม่เกิน 1.2 ล้านบาท เรื่องเครื่องมือทางการแพทย์กำลังมีผู้ไม่หวังดีพยายามดูดเงินภาษีประเทศ ชาติอาจไม่น้อยกว่าหมื่นล้านบาทเช่นกัน ทั้ง 3 กรณีคือเชิงนโยบาย การเพิ่มราคากลางและเพิ่มราคาเครื่องมือแพทย์น่าจะทบทวนและปรับปรุงได้ไม่ น้อยกว่า 3 หมื่นล้านบาท

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1254389677&grpid=00&catid=
-------------------------------------------------------------------------
ฉาวไม่เลิกชุมชนพอเพียง

บุรีรัมย์ – บุรีรัมย์ ฉาวอีก! กรรมการกองทุนชุมชนพอเพียง พร้อมชาวบ้านสมาชิก บุกโรงพักแจ้งความกล่าวหาประธานกองทุน รวมหัวบริษัททุจริตโครงการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์โครงการ เผย นำไก่พันธุ์ไข่แก่เสื่อมสภาพพิการ และหัวอาหารปลอมผสมแกลบ เป็นเงินร่วม 2.5 แสน มาแจกจ่ายให้ชาวบ้านโดยไม่ผ่านการตรวจรับของกรรมการ

ช่วง บ่ายวันนี้ (1 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น.นายปรัชญา อยู่สาโค อายุ 53 ปี รองประธานและกรรมการกองทุนชุมชนพอเพียงบ้านคอก:-) ม.7 ต.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ พร้อมชาวบ้านที่เป็นสมาชิกร่วม 10 คน ได้นำหัวอาหารไก่ปลอมผสมรำและแกลบ เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.สำราญ ศรีพลกรัง พนักงานสอบสวน สภ.นางรอง ไว้เป็นหลักฐาน หลังทางบริษัท “สมประสงค์ฟาร์ม” ตั้งอยู่เลขที่ 11 ม.9 ต.ดอนเงิน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม ได้นำไก่พันธุ์ไข่แก่และ หมดสภาพ พิการ ขนล่วง จำนวน 800 ตัว ที่ถูกโละทิ้งจากฟาร์ม ไม่ใช่ไก่รุ่นตามที่ตกลงกันไว้

พร้อม ทั้งหัวอาหารปลอมผสมทั้งรำและแกลบบรรจุกระสอบเย็บด้วยมือ จำนวน 149 กระสอบ รวมทั้งอุปกรณ์ในการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ รวมมูลค่า 249,900 บาท มาส่งให้กับ นายเฮี๊ยะ อาจเอื้อม ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นประธานกองทุนฯ เมื่อเวลา 04.00 น.วันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีใบนำส่งสินค้า อีกทั้งไม่มีการเรียกคณะกรรมการไปตรวจรับสินค้าตามระเบียบ ประกอบกับสินค้าทุกรายการไม่ระบุที่มาและบริษัทผู้ผลิต ซึ่งไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ส่อถึงความไม่โปร่งใสทั้งผู้รับและผู้ส่ง เชื่อว่า ประธานกับทางบริษัท ดำเนินการไม่โปร่งใส มีการทุจริตในโครงการ จึงได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000115739
-------------------------------------------------------------------------
ชักหัวคิวไทยเข้มแข็งเละ

โพสต์ทูเดย์ — ประธานส.อ.ท. ผงะตัวเลขรีดหัวคิวงบไทยเข้มแข็งสูง 20-25% แถมล็อกสเปกอื้อ
นาย สันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ได้รับทราบจากบรรดาผู้รับเหมาก่อสร้างว่ามีการกินค่าหัวคิวในโครงการต่างๆ ภายใต้งบประมาณไทยเข้มแข็งสูงถึง 20-25% ถือว่ามากเกินไป ทำให้โครงการไม่มีความโปร่งใส และอาจจะมีปัญหาการดำเนินการได้
“ที่น่าเป็นห่วงคือการกินค่าหัวคิวกันมากเกินไป ถ้ากินแค่ 5% ก็คงไม่เป็นไรถือว่าธรรมดา” นายสันติ กล่าว
ประธาน ส.อ.ท. ยังเชื่อว่าการเบิกจ่ายงบโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลน่าจะทำได้รวดเร็ว เพราะมีการกำหนดแบบหรือมี การล็อกสเปกจากผู้ประกอบการไว้เรียบร้อยแล้ว
ทั้ง นี้ โครงการไทยเข้มแข็ง วงเงินลงทุน 1.43 ล้านล้านบาท ก็จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบปี 2552 ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่ในปี 2553 จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถึง 1.04 ล้านล้านบาท ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
นายอานนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า หากสามารถทำโครงการลงทุนไทยเข้มแข็งได้อย่างที่รัฐบาลประกาศไว้ น่าจะเกิดผลดีต่อ ตลาดเงินตลาดทุน โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ขณะที่ภาครัฐก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้น ส่วนผู้ที่จะได้รับผลดีโดยตรงที่สุดคือภาคธุรกิจก่อสร้าง

http://www.posttoday.com/news.php?id=70702
-------------------------------------------------------------------------
มหกรรมค่าหัวคิวเขย่าไทยเข้มแข็ง

ดูเหมือนว่าข่าวคาวการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างในโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล จะ “ดัง” ขึ้นทุกขณะ
ไล่ตั้งแต่การที่ชมรมแพทย์ชนบทออกมาเปิดโปงการยัดเยียดให้ซื้อเครื่องมือ แพทย์ให้แก่สถานีอนามัยและโรงพยาบาลในต่างจังหวัด

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบแสงอัลตราไวโอเลตระบบปิด หรือ ยูวี แฟน ราคาเครื่องละ 4 หมื่นบาท จำนวน 800 ตัว

ตาม มาด้วยกลิ่นตุๆ ของการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มูลค่ากว่า 710 ล้านบาท ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีการล็อกสเปกเอื้อบริษัทรับเหมา

แต่ที่ซัดตรงๆ แบบ “ชัดเจน” ไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา แถมโพล่งกลางวงสัมมนา
นั่นคือกรณี นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ผู้รับเหมาก่อสร้างตอนนี้กำลังเดือดร้อนหนัก

เพราะมีการกิน “ค่าหัวคิว” ในโครงการต่างๆ ภายใต้งบประมาณไทยเข้มแข็งสูงถึง 2025%
“ถ้ากินแค่ 5% ก็คงไม่เป็นไร ถือว่าธรรมดา” นายสันติ ระบุ
งานนี้ถือเป็นการแฉข้อมูล “ใต้โต๊ะ” ขึ้นมาวางให้เห็นกัน “บนโต๊ะ”
ถือว่าน้ำหนักไม่ธรรมดา เพราะเป็นการบอกเล่าของนักธุรกิจรุ่นใหญ่ในสภาอุตสาหกรรม ที่เป็นตัวแทนของบริษัทเอกชนทั่วประเทศ

จากเสียงสะท้อนครั้งนี้ ประเมินสัญญาณได้ว่า ภาคเอกชนเริ่มทนไม่ไหวกับ “ธุรกิจการเมือง” ที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบัน

หลังจากที่เคยเจ็บปวดกับ “ธนกิจ การเมือง” ในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาก่อน
ความรู้สึกของสังคมตอนนี้ คือเหมือนหนีเสือปะจระเข้หรือไม่??

ทั้งที่ปัญหาการชักหัวคิวอาจไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เครือข่ายพรรคประชา ธิปัตย์อย่างเดียว
แต่ยังหมายรวมถึงพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีข่าวด้านลบกระเส็นกระสายออกมาไม่เว้นแต่ละวัน
“ค่าหัวคิว” รับเหมาก่อสร้าง ยังทำให้กระทรวงคมนาคมนั่งไม่ติด ต้องออกมาชี้แจงแบบฉับพลันทันใด
โดย นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ตอบโต้ประธานส.อ.ท. ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะจากเอกชน หรือหากมีจริง เอกชนที่รายงานต่อนายกรัฐมนตรีก็ต้องมีหลักฐานมาแสดง
เพราะโครงการที่คมนาคมรับผิดชอบ โดยเฉพาะกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างกว่า 2,000 โครงการ

รวมเป็นเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท กระจายไปยังผู้รับเหมาหลายเจ้า ไม่ได้เจาะจงที่รายใดรายเดียว
“มีหลักฐานก็ให้นำมาแสดง เพราะไม่อยากให้พูดอ้างขึ้นมาลอยๆ เพราะทำให้หลายคนเสียหาย” นายสุพจน์ กล่าว
สำหรับโครงการที่ถูกจับตามองมากที่สุด คือ โครงการถนนไร้ฝุ่น ที่พรรคภูมิใจไทยภูมิใจนำเสนอนั้น
ก่อนหน้านี้ มีข่าววงในออกมาว่า ได้มีการแบ่งเค้กให้สส.แต่ละจังหวัด แต่ละพรรคไปคนละเส้นสองเส้น
เรียกได้ว่าแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เพราะเรื่องผลประโยชน์ไม่มีฝักฝ่าย มีแต่พรรค พวก และเพื่อน

โดย นายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ยืนยันว่า การเก็บค่าหัวคิวไม่น่าจะเกิดขึ้นกับโครงการถนนไร้ฝุ่น เพราะเป็นโครงการขนาดเล็ก วงเงินก่อสร้างแต่ละโครงการไม่มาก อยู่ที่ 2030 ล้านบาท
อีกทั้งกำไรแต่ละโครงการก็ไม่มาก คือโครงการที่ไม่เกิน 20 ล้านบาท จะอยู่ที่ 12.5% เกิน 100 ล้านบาท จะอยู่ที่ 9% เท่านั้น

หมายความว่าผู้รับเหมาก็กำไรน้อยอยู่แล้ว จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าหัวคิวให้ข้าราชการและนักการเมือง
ปัญหาก็คือถ้าไม่ใช่เรื่องจริง แล้วคนอย่างประธานส.อ.ท.จะกล้าออกมาชนฉะกับรัฐบาลชุดนี้หรือไม่??
มันเสียเครดิต...

เคาะตัวเลขกันให้เห็นจะจะ คือโครงการไทยเข้มแข็ง วงเงินเต็มๆ 1.43 ล้านล้านบาท
หัวคิว 10% เท่ากับเงินตกหล่นระหว่างทาง 1.43 แสนล้านบาท
หัวคิว 20% เงินเข้ากระเป๋าเหลือบไรทางการเมือง 2.86 แสนล้านบาท
ถือเป็นการกระจายรายได้ที่ค่อนข้างกระจุกตัว และจะเขย่าโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลชุดนี้ไปอีกนาน
ถ้าประชาธิปัตย์คุมเกมไม่ดีมีสิทธิไป!!!

http://www.posttoday.com/news.php?id=70973
















-------------------------------------------------------------------------
“โรคหัวคิว”
วิกฤติไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่อาละวาดมา 4 เดือน คร่าชีวิตคนไทยไป 165 ราย

แต่ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มไม่มี
สถิติการแพร่ระบาดก็ลดลงอย่างชัดเจน

ต้องให้เครดิตกระทรวงสาธารณสุข ที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างน่าพอใจ

แต่วันนี้ ประเทศไทยยังต้องเผชิญโรคระบาดอันตรายที่ยังไม่มียารักษา และยังไม่มีวัคซีนป้องกัน

โรคระบาดร้ายแรงชนิดนี้คือ "โรคกินหัวคิว" หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า "โรคเก๋าเจี๊ยะ" นั่นแหละโยม

อัตรา ความรุนแรงของโรคกินหัวคิวถึงขนาดประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย "สันติ วิลาสศักดานนท์" ออกมาระบุว่า ผู้รับเหมาเอกชนกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก

เพราะถูกเรียกค่าหัวคิว หรืองาบเก๋าเจี๊ยะ สูงถึง 20-25 เปอร์เซ็นต์ จากงบโครงการไทยเข้มแข็งทั้งระบบ

พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ งบไทยเข้มแข็ง ที่อัดฉีดลงไป 100 บาท จะต้องถูกเรียกเก็บหัวคิว 25 บาท

ถ้า งบก่อสร้างโครงการไทยเข้มแข็งหนึ่งแสนล้านบาท จะมีค่าหัวคิว หรือค่าเก๋าเจี๊ยะ หรือค่าต๋ง ไหลไปเข้ากระเป๋าใครบางคน หรือใครหลายคน สองหมื่นห้าพันล้านบาท

ย้ำชัดๆ อีกครั้ง สองหมื่นห้าพันล้านบาท??

ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง คนระดับประธานสภาอุตสาหกรรม คงไม่กล้าออกมาเปิดเผยให้เป็นข่าว

"แม่ ลูกจันทร์" กระชุ่น "นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เร่งแก้ปัญหาการทุจริตงาบหัวคิวอย่างจริงจัง ก่อนที่โครงการไทยเข้มแข็งจะกลายเป็นโครงการโกงเข้มแข็งอย่างที่เค้าโจมตี

อย่างไรก็ตาม...การออกมาเปิดเผยค่า หัวคิว 20-25 เปอร์เซ็นต์ ของประธานสภาอุตสาหกรรม ก็ไม่มีหน่วยงานไหนยอมรับว่าเป็นความจริง

โดยเฉพาะบรรดานักการเมืองต่างประสาน เสียงปฏิเสธว่างบก่อสร้างโครงการไทยเข้มแข็งไม่มีการทุจริตคำโต

เพราะการเก็บค่าหัวคิวไม่มี "ใบเสร็จ" เป็นหลักฐานมายืนยัน

แต่ ถ้าพิจารณาจากราคากลางของปีที่แล้ว เปรียบเทียบกับราคากลางของงบไทยเข้มแข็งที่กำลังดำเนินการในปีนี้ จะเห็นว่ามีการดันราคากลางสูงจากปีก่อนถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์

ไม่ใช่ 20-25 เปอร์เซ็นต์อย่างที่ประธานสภาอุตสาหกรรมออกมาโวย
ตัวอย่าง ชัดๆคือ งบก่อสร้างไทยเข้มแข็ง ของกระทรวงสาธารณสุขที่ คุณหมอ เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลกิจ ประธานชมรมแพทย์ ชนบท นำข้อมูลเสนอให้ "นายกฯอภิสิทธิ์" พิจารณา

งบก่อสร้างอาคารขนาด 24 ห้อง ปีก่อนกำหนดราคากลางหกล้านแปดแสนบาท ปีนี้ขึ้นพรวดเป็นเก้าล้านห้าแสนบาท

งบก่อสร้างแฟลตพยาบาลปีก่อนราคากลางเจ็ดแสนหกหมื่นบาท ปีนี้สะดุ้งพรวดเป็นหนึ่งล้านแปดหมื่นบาท

งบก่อสร้างอาคารผู้ป่วยปีก่อน ราคากลาง ห้าล้านสองแสนบาท ปีนี้ไทยเข้มแข็งล่อเข้าไป เจ็ดล้านเก้าแสนบาท

ถัวเฉลี่ยแพงขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ จาก ราคากลางปีก่อน

ประธานกลุ่มหมอชนบทระบุว่างบก่อสร้างในโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวง สาธารณสุข ปีนี้ ห้าหมื่นหนึ่งพันล้านบาท

ถ้าหักหัวคิว 30 เปอร์เซ็นต์ ก็หนึ่งหมื่นห้าพันล้านบาท??

นายกฯอภิสิทธิ์ ได้ฟังข้อมูลจากกลุ่มแพทย์ชนบทแล้ว ท่านจะตัดสินใจอย่างไรเชิญตามสะดวก

แต่กลุ่มแพทย์ชนบทยื่นข้อเรียกร้องให้ รัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยฯสาธารณสุขให้แสดงสปิริตด้วยการลาออก

"แม่ลูกจันทร์" ฟันธงว่า รัฐมนตรี 2 คน จะไม่ยอมลาออก!!
ถ้ายอมลาออก ก็เท่ากับยอมรับว่ามีเอี่ยว?!

"แม่ลูกจันทร์"
http://www.thairath.co.th/column/pol/greenhead/38888
-------------------------------------------------------------------------
แร้งลง...กับเงินที่กู้มาหลายแสนล้าน
กลาย เป็นว่า ถ้ารัฐบาลแม้วโดนข้อหา หากินกับ นโยบายทับซ้อน คิดโครงการแล้วบวกเงินทอน จะดีจะชั่ว ชาวบ้านยังได้กินด้วย ผิดกับรัฐบาลมาร์ค หากินแบบโบราณ กินงบประมาณแผ่นดิน ชาวบ้านกินแต่แห้ว

เริ่ม จาก ปลากระป๋องเน่า โครงการชุมชนพอเพียง ที่กลายเป็นชุมชนแพงเพียบและกินไม่พอเพียง ล่าสุด การจัดซื้อครุภัณฑ์แพทย์ ในโครงการไทยเข้มแข็ง 8 แสนล้าน มีการยัดเยียดและบวกราคาดื้อ ๆ

เช่น เครื่องทำลายเชื้อโรค ยูวี แฟน จากเครื่องละ 5 แสน เป็น 1.2 ล้าน หอพักพยาบาลจากห้องละ 6 แสนเป็น 1.3 ล้าน เป็นต้น นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานแพทย์ชนบท ที่หอบข้อมูลโกงไปให้ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดูถึงทำเนียบฯ ได้ระบุชื่อจริงนักการเมืองขี้ฉ้อ 4-5 ชื่อ เดิมบอกแค่ชื่อย่อ ต กับ ม

มาจาก 2 พรรค ภูมิใจไทย กับ ประชาธิปัตย์

พร้อม บทสรุป งบครุภัณฑ์ก่อสร้าง 5 หมื่นล้าน มีบวกราคาเพิ่มถึง 30% เท่ากับ มีคอร์รัปชั่นสูงถึง 1.5 หมื่นล้าน คุณหมอไม่ได้บอก แต่เงินมากมายอย่างนี้ จะไปใช้อะไร

นอกจาก เลือกตั้งใหญ่

จาก ข่าวฉาว ส่งผลให้ ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู หรือ แม่เลี้ยงติ๊ก เลขาฯรมว. สาธารณสุข และ พิเชษ พัฒนโชติ ที่ปรึกษา กับคณะ ต้องไขก๊อกหมด เปิดทางให้มีการสอบทุจริต และตามมาด้วยมีการ เรียกร้องให้ 2 รัฐมนตรีลาออก ด้วย

ตามข่าว มีการตุกติก 6 รายการและพบคนผิดแล้ว แต่จะเหมือน ทุจริตปลากระป๋องเน่า กับ ชุมชนพอเพียง ที่เอาผิดได้แค่ ปลาซิว ปลาสร้อย สาวไม่ถึงตัวการใหญ่หรือไม่ ต้องคอยดู

นอกจาก วิกฤติแต่งตั้ง ผบ.ตร. ที่บานปลาย จนต้องปรับครม.สร้างแรงกระ เพื่อมแล้ว มันยังชัด รัฐบาลมาร์ค มี ทุจริต คอร์รัปชั่น และยิ่งน่าห่วง เมื่อเม็ดเงินไทยเข้มแข็ง 1.4 ล้านล้าน กู้มาทุกสตางค์ แต่กลับ มีเหลือบจ้องดูดเลือดประชาชน อย่างนี้

67 โครงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ วงเงิน 2.2 หมื่นล้าน ก็กำลังเป็นอีกชิ้นปลามัน ตามแผนปี 53 จะลงทุน 21 โครงการ ใน 7 กระทรวง รวม 3,825.7 ล้าน แต่ละโครงการดูแล้วหลวมโพรก !!!

ยกตัวอย่าง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯของ รมต.กลวง สุวิทย์ คุณกิตติ มี 3 โครงการ 1.ส่งเสริมการเรียน รู้ทางชีวภาพ 550 ล้าน 2.สร้างเครือข่ายข้อมูล 40 ล้าน 3.สารานุกรมภูมิปัญญาท้องถิ่น 60 ล้าน

สำนักนายกฯ 3 โครงการ 1.ส่งเสริมผู้ประกอบการความคิดสร้างสรรค์ 160 ล้าน 2.ครีเอทีฟ ซิตี้ 729 ล้าน 3.ส่งเสริมองค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 240 ล้าน

กระทรวง อุตสาหกรรม 5 โครง การ 1.พัฒนาภูมิปัญญาพื้นบ้าน 195 ล้าน 2.พัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอครบวงจร 191 ล้าน 3.พัฒนาสปาไทย 450 ล้าน 4.พัฒนาผลิตภัณฑ์ 62 ล้าน 5.พัฒนาผู้ประกอบการดิจิทัล 228 ล้าน

67 โครงการนี้ แม้นายกฯจะนั่งหัวโต๊ะประชุม แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า จะไม่มีการโกงกิน ตอนนี้ภาพรัฐบาลผสม คือ มือใครยาว สาวได้สาวเอา สารพัดโครงการไทยเข้มแข็งที่มี มีแร้งจ้องรุมทึ้งอยู่

ล่าสุด เสียงนายกฯ ชักแปร่ง ๆ บอก ไม่เชื่อ คนปชป. มีส่วนร่วม อ้าว แพทย์ชนบทก็หน้าม้านไปสิ แต่ยี่ห้อนี้ กัดไม่ปล่อย นะ

ระวังรัฐบาลพังก่อน ก็แล้วกัน.

ดาวประกายพรึก
http://www.dailynews.co.th/newstartpage /index.cfm?page=content&categoryId=331&contentId=25548& amp;hilight=แร้งลง#
-------------------------------------------------------------------------

“ล็อกสเปก”งบ“ไทยเข้มแข็ง ศธ.”

เปิดผลสอบโครงการไทยเข้มแข็งศธ. จัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวะส่อทุจริต กรรมการชี้เอื้อรายใหญ่ให้ชนะประมูลหลายวิทยาลัย

น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รมช.ศึกษาธิการ (ศธ.) แถลงผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินงานจัดซื้อและจัดจ้างโครงการ ไทยเข้มแข็งของศธ. วงเงิน 4,000 ล้านบาท ที่มีนายนิวัตร นาคะเวช รองปลัดศธ.เป็นประธาน ว่า จากการตรวจสอบการจัดซื้อครุภัณฑ์ให้วิทยาลัย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ชี้ชัดว่ามีการกำหนดครุภัณฑ์ให้ไม่ตรงกับความต้องการของวิทยาลัย

ทั้งนี้ เบื้องต้นพบ 12 วิทยาลัย และวิทยาลัยหลายแห่งยืนยันที่จะไม่รับ ครุภัณฑ์ตามที่สอศ.จัดสรรให้ โดยให้เหตุผลว่าสิ่งที่จัดมาให้ไม่ตรงกับความต้องการของวิทยาลัย นอกจากนี้ยังดำเนินการจัดซื้อครุภัณฑ์ของวิทยาลัยบางส่วนมีปัญหา การจัดซื้อครุภัณฑ์บางประเภทผู้ชนะการประมูลเป็นผู้ประกอบการรายเดียวกัน ทั้งที่มีการกระจายงบประมาณให้อำนาจแต่ละวิทยาลัยดำเนินการจัดซื้อเอง โดยเฉพาะครุภัณฑ์ 4 กลุ่มหลัก คือ ผลิตภัณฑ์ยาง โพลิเมอร์ เซรามิก และอัญมณี ซึ่งต้องตรวจสอบว่าสมยอมเสนอราคากันหรือไม่

“ผลการตรวจสอบพบว่ามีผู้ประกอบการ 5 รายใหญ่ที่ชนะการประมูลจัดซื้อ ครุภัณฑ์ในหลายวิทยาลัย โดยเฉพาะวิทยาลัยในภาคกลาง นอกจากนั้นยังพบว่าครุภัณฑ์บางรายการจัดซื้อเหมือนกัน แต่ ผู้ที่ชนะการประมูลเสนอราคาแตกต่างกันมาก บางรายเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางถึง 60% ซึ่งอาจเป็นเพราะครุภัณฑ์ที่เสนอขายไม่มีคุณภาพ หรือกำหนดราคากลางไว้สูงเกินจริง” น.ส.นริศรา กล่าว

น.ส.นริศรา กล่าวอีกว่า เมื่อผลสอบสวนของคณะกรรมการออกมาเช่นนี้ จึงได้สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อครุภัณฑ์ขึ้นมาสอบเชิงลึกอีก 2 ชุด ชุดที่ 1 มีนายนพพร สุวรรณรุจิ ผู้ตรวจราชการศธ. เป็นประธาน และชุดที่ 2 มีนายกิจสุวัฒน์ หงส์เจริญ ผู้ตรวจราชการศธ. เป็นประธาน โดยจะมีผู้แทนจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้แทนมหาวิทยาลัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการทั้งสองชุดนี้จะช่วยกันตรวจสอบขั้นตอนการประมูลจัดซื้อครุภัณฑ์ รายการที่มีปัญหา โดยให้เวลาดำเนินการ 1 สัปดาห์ หากพบว่าการจัดซื้อครุภัณฑ์รายการใดถูกต้องก็จะให้ดำเนินการต่อไป แต่หากรายการใดมีปัญหาก็จะให้ระงับการดำเนินการไว้ก่อน ทั้งนี้การจัดซื้อครุภัณฑ์ของสอศ.มีทั้งหมด 32 กลุ่ม ประมูลและทำสัญญาเสร็จแล้วประมาณ 2,500 ล้านบาท ที่เหลืออีก 1,500 ล้านบาท ยังไม่ได้ทำการประมูล

“หากการจัดซื้อที่ใดพบว่ามีปัญหาจะทำหนังสือถึงสำนักงบประมาณให้ระงับการ จัดสรรงบให้ หากพบมูลความผิดหรือมีการทุจริตจะส่งข้อมูลให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบต่อไป” น.ส.นริศรา กล่าว

ทั้งนี้ สำหรับการตรวจสอบการจัดซื้อครุภัณฑ์ของสอศ. ได้มีการร้องเรียนว่าเกิดความไม่เป็นธรรม จัดสรรงบประมาณไม่ทั่วถึง โดยมีการกระจุกตัวอยู่บางพื้นที่ รวมทั้งยังเป็นการจัดซื้อครุภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ตรงความต้องการของ สถานศึกษา อีกทั้งมีการกำหนดสเปกเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการบางกลุ่มจนเข้าข่ายล็อก สเปก มีบางรายการกำหนดราคากลางสูงผิดปกติ น.ส.นริศรา จึงได้ตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวขึ้นมาตรวจสอบและสรุปผลการสอบเมื่อวันที่ 15 ม.ค.
นายภูมิพัฒน์ น้อมกล่อม เจ้าของร้านพัฒนภัณฑ์ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ได้เข้าร่วมประมูลคอมพิวเตอร์งบไทยเข้มแข็งเฟสแรกที่สำนักงานเขตพื้นที่การ ศึกษาเขต 1 (สพท.1) จ.ประจวบคีรีขันธ์ ส่อล็อกสเปกเอื้อผู้ประกอบการรายใหญ่ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่พยายามพูดจาหว่านล้อมให้โรงเรียน 12 แห่ง บอกกับผู้ยื่นซองว่าให้มีเครื่องตัวอย่างโรงเรียนละ 1 ชุด เพื่อจะทำให้ได้ รายการครุภัณฑ์เหมือนกันทั้งหมดทุกโรงเรียน

(ที่มา โพสต์ทูเดย์ , 20 มกราคม 2553)
-------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลเพิ่มเติม
<<< ข้อเท็จจริงที่ควรรู้ เรื่อง การจารกรรมข้อมูลการบินทักษิณส่งให้เลขาทูตไทยในกัมพูชา >>>
<<< รัฐบาลอภิสิทธิ์ คิดใช้ผลประโยชน์ประเทศไทย ไปต่อรองไล่ล่าทักษิณ >>>
<<< ระบอบอภิสิทธิ์ "กู้แหลก แจกสะบัด ซัดภาษีอาน" >>>
<<< แนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบ Gumagin >>>
<<< ไม่รู้ว่าคนที่ได้เงินแจก 2,000 จะคุ้มไหม ที่ต้องจ่ายปีหนึ่งคนละ 5-6 พันบาททุกปี >>>
<<< ประชาชนจนๆ ต้องตายก่อน >>>
<<< กราฟราคาน้ำมันขายปลีก ที่แสดงให้เห็นว่าราคาขายตอนนี้เริ่มผิดปกติ >>>
<<< ค่าการตลาดน้ำมัน ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ สูงกว่า หลายรัฐบาลที่ผ่านมา >>>
<<< หลักฐานแสดง ค่า FT กับ ราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าเริ่มสวนทางกัน >>>
<<< เตือนความจำ จากกระทู้ "10 วันรัฐบาล มาร์ค ประหยัดเงินชาติแล้ว 200,000 ล้าน" >>>
<<< ข้อมูลฐานะการคลังไทยในวันนี้ ก่อนที่อีก 3-4 ปีจะมีหนี้เพิ่มอีกเท่าตัว >>>