บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


19 กุมภาพันธ์ 2553

<<< เศรษฐกิจดีขึ้น ชาวบ้านชักหน้าไม่ถึงหลัง โรงงานขาดทุน รัฐบาลกู้แล้วกู้อีก >>>

รูดปรื๊ดฉุดหนี้เน่าแบงก์พุ่ง

วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6922 ข่าวสดรายวัน


นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การขยายตัวของสินเชื่อบัตรเครดิตค่อนข้างอิ่มตัว เห็นได้จากยอดสินเชื่อไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก ขณะที่ยอดสินเชืˆอคงค้างอยู่ในระดับที่ทรงตัว แต่จำนวนบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการธุรกิจบัตรเครดิตมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มเดิมที่มีศักยภาพในการชำระหนี้คืน นอกจากนี้ ที่ผ่านมาสถาบันการเงินและนอนแบงก์มีการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) บัตรเครดิตก็ไม่หวือหวา เพราะเป็นผลดีจากการกำหนดรายได้ผู้ถือบัตรเครดิตต้องไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท

รายงานข่าวจากธปท.แจ้งว่า ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในไตรมาส 3/52 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 0.77% อยู่ที่ 74,915.94 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 74,369.92 ล้านบาท ส่วนยอดค้างชำระเกิน 3 เดือนขึ้นไป (เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้น 21.33% อยู่ที่ 6,718 ล้านบาท สะท้อนความสามารถการชำระหนี้ของลูกหนี้ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยเอ็นพีแอลบัตรเครดิตของธนาคารพาณิชย์ไทย เพิ่มขึ้น 20.92% อยู่ที่ 2,647 ล้านบาท นอนแบงก์เพิ่มขึ้น 58.82% อยู่ที่ 3,143 ล้านบาท

(กรอบบ่าย)
หน้า 8

------------------------------------------------------

หวั่น"เขมร-การเมือง"ฉุดกำลังซื้อ โรงงาน70%ขาดทุนไม่ขึ้นเงินเดือน

Thaipost เศรษฐกิจ 11 พฤศจิกายน 2552


เอกชนเริ่มหวั่นปัญหาเขมรลามการเมืองเดือดอีกรอบ กำลังซื้อวูบอีก "สหพัฒน์" เตรียมเจอผลกระทบหลังปิดพรมแดน ส่วน "ซีพีเอฟ" ยอมรับกระเทือนแน่ แต่เชื่อกลุ่มอาหารโชคดีเพราะทุกสีหิวต้องกิน ด้าน ส.อ.ท.เผยออเดอร์ไตรมาส 4 ผิดคาด กำลังผลิตกระเตื้องแค่ 60-70% ทำใจสิ้นปีนี้โรงงาน 70% ไม่ขึ้นเงินเดือนไม่จ่ายโบนัส

นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในขณะนี้ยังส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจของ คนไทยบ้างเล็กน้อย เนื่องจากประชาชนในกัมพูชาส่วนใหญ่ใช้สินค้าที่ผลิตจากประเทศไทย หากไม่มีการปิดพรมแดนคงส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยไม่มาก แต่ถ้าหากยืดเยื้อยอมรับว่าคงส่งผลกระทบต่อธุรกิจของไทยพอสมควร ซึ่งในส่วนบริษัทได้รับผลกระทบเช่นกันเพราะมีการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ผงซักฟอกและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเข้าไปทำตลาดในกัมพูชา

ด้านนายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากธุรกิจที่มีส่วนใหญ่ เป็นของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ส่วนบริษัทมีเพียงเอเยนต์รับสินค้าเข้าไปจำหน่ายเท่านั้น

"ปัญหาที่กังวลมากที่สุดในขณะนี้เป็นปัญหาทางการเมือง เพราะหลังเกิดปัญหาการเมืองทำให้ธุรกิจของบริษัทสะเทือนพอสมควร แต่บริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารอย่างไรผู้บริโภคก็ต้องรับประทานเมื่อใช้ พลังเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีแดงหรือสีเหลือง" นายอดิเรกกล่าว

นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานด้านแรงงานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า คำสั่งซื้อสินค้าหรือออเดอร์การผลิตไตรมาส 4 ส่วนใหญ่ยังเข้ามาไม่มากตามที่เคยคาดหมายไว้ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการ ผลิตของโรงงานแต่ละแห่งเฉลี่ยเพียง 60-70% จากเดิมจะขยับอยู่ในระดับ 90-100% หรือกลับสู่สถานการณ์ปกติในช่วงต้นปี 2551 ก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เพราะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป ไม่ได้ดีอย่างที่หลายฝ่ายมองไว้ แต่ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปและยังมีหลายปัจจัยที่ทุกฝ่ายเองเริ่มไม่มั่นใจ ทำให้ออเดอร์ที่ได้รับเป็นการทดแทนสต็อกสินค้าเดิมที่ลดลงเท่านั้น คงต้องลุ้นปี 53 จะกลับเป็นปกติหรือไม่

ทั้งนี้ ออเดอร์ที่เริ่มกลับมาในภาคอุตสาหกรรมส่งผลให้มีการทยอยรับแรงงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแรงงานระดับล่างและอีกส่วนทยอยกลับไปใช้แรงงานในภาคเกษตรกรรมเพิ่ม ขึ้น หากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในช่วงต้นปีหน้าจะมีการทยอยเรียกแรงงานเพิ่มอีก อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากเศรษฐกิจตกต่ำตั้งแต่ต้นปี แม้ปลายปีคำสั่งซื้อเริ่มกระเตื้องแต่ภาคการผลิตส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาวะขาด ทุน ประเมินแนวโน้มโรงงานอุตสาหกรรมที่จะพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนสิ้นปีนี้กว่า 70% เชื่อว่าจะไม่มีการขึ้นเงินเดือนและไม่จ่ายโบนัส ยกเว้นบริษัทที่มีผลกำไรชัดเจนและไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งคง มีบ้างแต่เป็นจำนวนน้อย" นายทวีกิจกล่าว

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า สสว.ร่วมกับสถาบันการศึกษาส่วนกลางและส่วนภูมิภาครวม 5 ภูมิภาค สำรวจสถานการณ์ต้นทุนของเอสเอ็มอี 4,200 ตัวอย่าง พบว่าอุตสาหกรรมการผลิตมีต้นทุนส่วนใหญ่เป็นการซื้อสินค้าสำเร็จรูปคิดเป็น 42.43% ค่าใช้จ่ายต้นทุนการผลิต 25.17% และค่าใช้จ่ายในการบริหาร 23% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายมีสัดส่วนน้อยที่สุด 9.4% ส่วนธุรกิจในภาคการค้าและบริการส่วนใหญ่เป็นต้นทุนซื้อสินค้าเข้า 48.35% ค่าใช้จ่ายในการบริหาร 31.25% และค่าใช้จ่ายในการขาย 10.43%.

------------------------------------------------------

คลังหน้ามืดรีดภาษีเพิ่ม ขยายฐานจัดเก็บ3.2แสนราย ธุรกิจ"อี-คอมเมิร์ช"โดนด้วย

แนวหน้า 21/12/2009


กรมสรรพากร ประกาศขยายฐานภาษีในปีหน้า 3.2 แสนราย เล็งรีดภาษีจากธุรกรรมซื้อขายผ่านอินเตอร์เนต

นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรมสรรพากรได้กำหนดกรอบร่วมกับ กระทรวงการคลัง โดยตั้งเป้าขยายฐานการจัดเก็บภาษีของกรมเพิ่มไม่ต่ำกว่า 324,000 ราย ในปี 2553 ซึ่งเป็นการขยายฐานภาษีรายใหม่ หรือในกลุ่มที่ไม่เคยเสียภาษีมาก่อน และขยายการจัดเก็บภาษีในทุกกลุ่มทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งขณะนี้กรมฯอยู่ระหว่างศึกษา โดยหาข้อมูลจากแหล่งร้องเรียนอื่นๆ เพื่อให้ขยายฐานภาษีได้ตามเป้าที่ตั้งไว้

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นขณะนี้ มีแนวทางที่จะขยายฐานภาษีในกลุ่มธุรกิจซื้อ-ขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ หรือ E-Commerce ที่พบว่าการซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เนตในปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมมาก หากมีการขยายฐานภาษีไปยังกลุ่มดังกล่าวก็คงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะผู้ที่ต้องการขายจะต้องมีการบันทึกข้อมูลเพื่อขอไอเอสพี ที่อนุญาตให้มีการซื้อขายได้ ก็จะใช้ข้อมูลดังกล่าวติดตามจัดเก็บภาษีได้

ปัจจุบันฐานภาษีสรรพากร ในส่วนของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ที่ประมาณ 9-10 ล้านราย ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลอยู่ที่ 4 แสนราย

นอกจากนี้ ในส่วนของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่จะมีเม็ดเงินอัดฉีดสู่ระบบเศรษฐกิจ ไปใช้ในโครงการลงทุนต่างๆ กว่า 1.43 ล้านล้านบาท ถือเป็นวงเงินที่จะได้รับผลตอบแทนกลับมา ก็ต้องไปดู ผู้รับเหมาได้งานในโครงการต่างๆ ให้มาเสียภาษีให้ถูกต้อง

นายวินัยกล่าวว่า กรมยังต้องเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีให้เข้มข้นขึ้น โดยในปี 2553 จะพัฒนาระบบไอทีเชื่อมโยงข้อมูลกับส่วนราชการต่างๆ โดยเฉพาะองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะทำให้ติดตามผู้มีรายได้เสียภาษีให้เป็นปัจจุบันมากขึ้น ประสานงานกรมที่ดินติดตามการโอนซื้อขายที่ดิน เชื่อมโยงข้อมูลกับกรมแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อขยายฐานภาษีครอบคลุมมากขึ้น และการกำกับดูแลผู้เสียภาษี ติดตามผู้ประกอบการต้นทางปลายทาง

นอกจากนี้ จะต้องกำกับดูแลผู้เสียภาษีที่มีความเสี่ยง โดยมอบหมายให้สรรพากรพื้นที่ 121 พื้นที่ทั่วประเทศ วิเคราะห์ความเสี่ยงว่ากลุ่มไหนมีความเสี่ยงมาก โดยให้ทดสอบเริ่มต้นโดยการทดลองผู้เสียภาษีที่มีความเสี่ยง 3 ราย ดูว่าเสียภาษีได้ครบถ้วนหรือไม่ หากได้ผลสำเร็จ ก็จะเพิ่มจำนวนรายที่มีความเสี่ยงที่ต้องติดตามเพิ่มขึ้นอีก โดยในขั้นทดลองให้พื้นที่รายงานผล ให้ทราบในการประชุมครั้งต่อไป

สำหรับความคืบหน้าการจัดเกรดสำนักงานบัญชี ที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้เสียภาษีกับกรม ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 4 หมื่นแห่ง อยู่ระหว่างคัดแยกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ดี ปกติ และกลุ่มที่มีความเสี่ยง โดยกลุ่มที่ดีมีความรับผิดชอบ ก็กำกับดูแลน้อยลง และไปเน้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น

นายวินัยกล่าวว่า ยังมีส่วนที่กรมต้องติดตามใกล้ชิดคือกลุ่มผู้ทำลายระบบภาษี กรณีขอคืนภาษีเป็นเท็จ สร้างค่าใช้จ่ายเป็นเท็จ กรณีออกใบกำกับภาษีปลอมแล้วไปขาย ก็เป็นงานที่ต้องติดตามอยู่ ขณะนี้ก็กำลังดำเนินคดีหลายรายด้วยกันส่วนภาษีคณะบุคคล ที่ผ่านมากลุ่มดารานักแสดง ก็ได้ติดต่อเข้ามาที่กรมมาก บางส่วนก็ให้กรมไปชี้แจง ก็มีความพอใจมาก เกิดความเข้าใจและคงไปปฏิบัติให้ถูกต้อง

สำหรับการปรับโครงสร้างภาษี หรือจะมีการลดภาษีอีกหรือไม่นั้น ถือเป็นเรื่องนโยบายของรัฐบาลที่จะสั่งให้ดำเนินการ อย่างไรก็ตามจากข้อมูลพบว่า การลดภาษีนิติเงินได้บุคคล 1 % ทำให้ภาษีหายไป 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 1% จะทำให้รายได้เพิ่ม 7 หมื่นล้านบาท

------------------------------------------------------

เงินเฟ้อธ.ค.บวก3.5%

Posttoday วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553 11:55


พาณิชย์เผยเงินเฟ้อ ธ.ค. 52สูงขึ้น 3.5% ติดต่อเดือนที่ 3 ทั้งปีติดลบ 0.9% คาดปี53อยู่ที่3.0-3.5%

นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป หรืออัตราเงินเฟ้อเดือนธันวาคม 2552 ว่า เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ปี 2551 สูงขึ้นร้อยละ 3.5 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สาเหตุสำคัญมาจากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อย ละ 2.2 เป็นผลกระทบจากดัชนีหมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์แป้ง ร้อยละ 5.8 เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ 3.6

ส่วนดัชนีผู้บริโภคทั่วไป เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2552 ลดลงร้อยละ 0.1 เป็นภาวะที่ราคาสินค้าเริ่มทยอยปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า จากปัจจัยของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยใน ประเทศปรับตัวลดลงตามภาวะตลาดโลก ประกอบกับราคาสินค้าในหมวดอาหารสด และสินค้าอุปโภคบริโภคบางชนิด เริ่มปรับตัวลง ขณะที่ดัชนีเฉลี่ยทั้งปีเทียบกับปี 2551 ลดลงร้อยละ 0.9 นับเป็นอัตราที่ลดลงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สาเหตุมาจากในช่วงครึ่งปีแรก ภาวะเศรษฐกิจหดตัวอย่างมาก รวมทั้งราคาน้ำมันครึ่งปีแรกปรับตัวลดลงมากเมื่อเทียบกับปี 2551 ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังออกมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน พร้อมกับนโยบายเรียนฟรี 15 ปี มีผลให้เงินเฟ้อของประเทศติดลบอย่างต่อเนื่อง

สำหรับอัตราเงินเฟ้อในปี 2553 นั้น นายยรรยง กล่าวว่า น่าจะเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ 3.0-3.5 ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 70-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และการต่ออายุ 5 มาตรการ การลดภาระค่าครองชีพของรัฐบาลอีกระยะหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันพรุ่งนี้ (5 ม.ค.) นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะนำเสนอต่อที่ประชุมของบประมาณจำนวน 300 ล้านบาท เพื่อมาจัดทำโครงการธงฟ้าราคาประหยัดลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนในปี 2553 และจากการติดตามราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคโดยรวม มีสัญญาณในหมวดสินค้าก่อสร้าง เช่น ปูน เหล็ก และสายไฟฟ้า เตรียมที่จะปรับราคาสินค้าขึ้นตามต้นทุนที่สูงขึ้น จากเหตุผลราคาน้ำมันในตลาดโลกกปรับตัว ซึ่งกระทบต่อต้นทุนขนส่ง แต่ยังเชื่อว่าราคาสินค้าในหมวดดังกล่าวจะปรับขึ้นไม่ชนเพดานที่กรมการค้า ภายในกำหนดไว้ สำหรับสินค้าอื่น ๆ เช่น ของใช้ภายในบ้าน ยังไม่มีการปรับขึ้น แต่กระทรวงพาณิชย์ จะติดตามราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด และเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อหลังจากนี้ไปจะขยายตัวเป็นบวก

------------------------------------------------------

ผลงานร้าวฉาวศึกเกาเหลาฉุดสินค้าเกษตรแทบล่ม

Posttoday วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552


หลังจากการขาดทุนแบกภาระสต๊อกและระบายสินค้าเกษตรที่ได้จากโครงการรับจำนำหลายหมื่นล้านบาท

ทำให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แห่งพรรคประชาธิปัตย์เปิดศึกเกาเหลากับพรรคภูมิใจไทย ฝั่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน กลุ่มมัชฌิมาธิปไตย ที่มีนางพรทิวา นาคาศัย นั่งเก้าอี้รมว.พาณิชย์ อยู่หลายระลอก

เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนจากระบบจำนำสินค้าเกษตรมาเป็นระบบประกันรายได้ เกษตรกรทั้งสินค้าข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งนางพรทิวา มองว่า ในส่วนของสินค้าข้าวยังไม่มีความพร้อม ที่จะใช้ระบบประกันรายได้ฤดูกาล 2552/ 2553 เพราะเร็วเกินไป อาจมีปัญหาจากเกษตรกร

ขณะที่นายอภิสิทธิ์และนายกอร์ปศักดิ์ ต้องการให้เริ่มระบบประกันรายได้ตั้งแต่ฤดูกาลนี้ทันที เพื่อลดภาระค่าบริหารจัดการสต๊อก อีกทั้งมองว่าการจ่ายเงินชดเชยตามระบบประกันรายได้ เกษตรกรได้ทั่วถึงมากกว่าระบบรับจำนำ

เมื่อสองเสียงใหญ่ที่กุมอำนาจการตัดสินใจเรื่องสินค้าเกษตร โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ นั่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และนายกอร์ปศักดิ์ เป็นประธานคณะกรรมการนโยบาย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังแห่งชาติ ทำให้กระทรวงพาณิชย์จนตรอก ต้องเดินตามนโยบายระบบประกันรายได้ของรัฐบาล

ในส่วนของการระบายสต๊อกสินค้าเกษตร ความขัดแย้งระหว่างนางพรทิวาและนายกอร์ปศักดิ์ เริ่มมีปัญหาตั้งแต่การระบายสต๊อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปริมาณ 9 แสนกว่าตัน เมื่อช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา

กระทรวงพาณิชย์เตรียมระบายสต๊อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4.5 แสนตัน ให้กับ 3 บริษัทเอกชน แต่นายกอร์ปศักดิ์ สั่งเบรกไว้ก่อนและให้เสนอเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา จนเป็นที่มาของการปะทะคารมกลางที่ประชุมครม.ช่วงเดือนพ.ค. ระหว่างนายอภิสิทธิ์ นายกอร์ปศักดิ์ นางพรทิวา และนายยรรยง พวงราช ในฐานะอธิบดีกรมการค้าภายใน ที่มาช่วยตอบคำถามแทนนางพรทิวา หลังจากถูกนายอภิสิทธิ์รุกไล่เป็นการใหญ่ เป็นเหตุให้นายอภิสิทธิ์ต้องเชิญนายยรรยงออกจากที่ประชุมครม. เพราะย้อนคำถามของนายกรัฐมนตรี

ท้ายสุดเรื่องนี้จบลงด้วยการยกเลิกสัญญาของเอกชนที่ชนะการประมูล ซึ่งยอมถอนตัวออกไป เพื่อไม่ให้มีปัญหากับภาครัฐบาล

ตามมาด้วยการเบรกระบายข้าวสาร ในสต๊อกรัฐบาลจำนวน 2.6 ล้านตัน ให้กับเอกชนเข้าร่วมประมูล แต่ก็ถูกเบรกจากนายกอร์ปศักดิ์ โดยระบุว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของครม.ก่อน เป็นที่มาของปัญหาว่าการอนุมัติขายข้าวครั้งนี้ของกระทรวงพาณิชย์ได้มีการ เซ็นสัญญากับภาคเอกชนก่อนที่ครม. จะมีมติว่าการระบายสต๊อกสินค้าเกษตรทุกชนิด จะต้องเสนอครม.พิจารณาทุกครั้งหรือไม่

สุดท้ายลงเอยโดยครม. ยอมอนุมัติขายจำนวนไม่กี่แสนตันให้กับเอกชนที่ขนข้าวออกจากโกดังไปแล้ว ที่เหลือยกเลิกหมด ถือเป็นการเสียหน้าอีกครั้งของกระทรวงพาณิชย์

กระนั้น นางพรทิวากับนายกอร์ปศักดิ์ก็เปิดศึกอีกครั้งในช่วงปลายปี ด้วยการระบายสต๊อกมันสำปะหลังให้กับเอกชน ในนามของรัฐบาลจีน โดยนายกอร์ปศักดิ์ไม่เห็นด้วยที่จะมีการขายแป้งมันจำนวน 2 แสนตัน ให้กับรัฐบาลจีนในครั้งนี้ เนื่องจากได้ราคาต่ำเกินไปไม่ถึง 9,000 บาท/ตัน ทำให้นางพรทิวาเกิดความไม่พอใจ เพราะได้ทำตามเงื่อนไขที่นายกอร์ปศักดิ์วางไว้ทุกอย่าง โดยราคาขายครั้งนี้เป็นราคาสูงกว่าเกณฑ์ราคากลาง

พร้อมกับประชดจะไม่ระบายหาก ไม่ได้ราคาสูงกว่า 1 หมื่นบาท ท้ายสุดนายกอร์ปศักดิ์ได้อนุมัติขายแป้งมันให้กับจีนจำนวน 1.5 แสนตัน เพราะมีการเสนอราคาเข้ามาใหม่ถึงตันละ 10,250 บาท/ตัน

ในส่วนของการประกันรายได้สินค้าเกษตร หลังจากที่ฝั่งประชาธิปัตย์เสียท่า จากการทุบราคาของโรงสีและผู้ส่งออก ทำให้ช่วงแรกของกันประกันราคาข้าว รัฐบาลมีแนวโน้มต้องจ่ายชดเชยหนัก จนเกิดการไล่บี้ให้กระทรวงพาณิชย์ใช้มาตรการตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวตามเกณฑ์ ราคาอ้างอิง ได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มราคาข้าวขึ้นช่วงปลายปี หลังเกิดกระแสภาวะขาดแคลนอาหารกลับมาอีกครั้งจาก ภัยแล้ง จนรัฐบาลไม่ต้องจ่ายชดเชยประกันราคาให้กับข้าวเกือบทุกชนิด

ผลจากความไม่ชัดเจนของนโยบายระบายสินค้าเกษตร ที่สั่งยกเลิกบ่อยครั้งตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้กระทรวงพาณิชย์ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจัดเก็บ และดูแลสภาพสินค้าเกษตรทั้งข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลังมากถึงเดือนละ 342 ล้านบาท

แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการเช่าโกดังสำหรับข้าว 6 ล้านตัน ตันละ 36 บาท ต่อเดือน รวมค่าใช้จ่ายเดือนละ 216 ล้านบาท ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3.48 แสนตัน ค่าโกดังตันละ 60 บาทต่อเดือน ค่ารมยาตันละ 15 บาท รวมค่าใช้จ่ายเดือนละ 26 ล้านบาท

ขณะที่มันเส้น 1.76 ล้านตัน ค่าเช่า โกดังตันละ 21.90 บาทต่อเดือน ค่าพลิกกองเดือนละ 24 บาท รวมค่าใช้จ่ายเดือนละ 80 ล้านบาท และแป้งมัน 4.07 แสนตัน ค่าเช่าโกดังตันละ 25 บาทต่อเดือน รวมค่าใช้จ่าย 10 ล้านบาท

------------------------------------------------------

ส.อ.ท.มองตัวเลขส่งออก ก.ค.ผิดปกติ เตรียมถามข้อเท็จจริงจากคลัง-พาณิชย์

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2550 17:00:57 น.


นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การที่ตัวเลขการส่งออกในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาขยายตัวเพียง 5.9% นั้นถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะปรับลดลงจากเดือนก่อนอย่างรวดเร็ว โดยมีบางรายสินค้าที่ตัวเลขไม่ตรงกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์และกรมศุลกากร อาทิ การส่งออกข้าวกระทรวงพาณิชย์รายงานว่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้น แต่กรมศุลกากรรายงานว่าปรับตัวลดลง ทำให้มูลค่าการส่งออกหายไปกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมวันพรุ่งนี้(24 ส.ค.) คงจะมีการสอบถามตัวเลขที่แท้จริงกับทางกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังด้วย

รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติการลดหย่อนภาษีตั้งแต่เดือน ก.พ.แต่กระทรวงการคลังยังไม่สามารถปฏิบัติได้จริงเพราะอยู่ในขั้นตอนการตี ความของคณะกรรมการกฤษฎีกา ทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อน และจะมีการหารือถึงมาตรการส่งเสริมให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการไทยไปลงทุน ยังต่างประเทศและความคืบหน้ากองทุน SME จำนวน 5 พันล้านบาท

ส่วนการส่งออกครึ่งปีหลัง ส.อ.ท.คาดการณ์ว่า จะขยายตัวประมาณ 10% ซึ่งเมื่อรวมกับครึ่งปีแรกที่การส่งออกขยายตัวประมาณ 18.6% ทำให้การส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวประมาณ 12.5% ตามเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้ง เป้าไว้ โดยในส่วนของการส่งออกภาคอุตสาหกรรมที่ยังขยายตัวได้ดี อาทิ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ครึ่งปีแรกขยายตัวประมาณ 20% โดยเฉพาะในเดือน ก.ค.การส่งออกรถยนต์ขยายตัวถึง 38%

นายสันติ กล่าวว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทปัจจุบันที่ระดับประมาณ 34.5 บาท/ดอลลาร์ เอกชนถือว่าน่าพอใจ เพราะเริ่มมีเสถียรภาพอยู่ในระดับที่เอกชนปรับตัวรับได้ จากก่อนหน้านี้ที่แข็งค่าที่ 33 บาท/ดอลลาร์ เป็นผลจากมาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศออกมา

โดยภาคเอกชนมองว่าในไตรมาส 4 ของปีนี้การส่งออกและเศรษฐกิจในประเทศความมั่นใจของผู้บริโภคจะกลับมา เพราะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านการพิจารณาทำให้การเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้น ได้ภายในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าเป็นอย่างช้า รวมถึงงบประมาณใหม่จะเริ่มเบิกจ่ายการปรับขึ้นเงินเดือนราชการจะมีผลทำให้ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นกลับมาได้

ด้านปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพของสหรัฐหรือซับไพร์ม นายสันติ กล่าวว่า ภาคเอกชนก็ยังคงติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เพราะหากปัญหาลุกลามก็อาจจะทำให้การส่งออกสินค้าของไทยไปยังตลาดสหรัฐลดลง แต่หากสถานการณ์คลี่คลายลงก็อาจจะทำให้เงินไหลกลับเข้ามาในประเทศไทยทำให้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก
--อินโฟเควสท์ โดย อตฦ/รัชดา/ธนวัฏ โทร.0-2253-5050 ต่อ 325 อีเมล์: tanawat@infoquest.co.th--

------------------------------------------------------

ตกงานทันที3.7หมื่น

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552


65 โครงการ มาบตาพุดหยุดแล้ว คนตกงานทันที 3.7 หมื่นคน เจ๊ง 2.5 แสนล้านบาท

เมื่อวานนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) แจ้งคำสั่งศาลปกครองไปให้ 65 โครงการมาบตาพุด รับทราบว่าต้องหยุดดำเนินกิจการ ส่งผลให้มีคนตกงานทันทีกว่า 3.7 หมื่นคน และการลงทุนเสียหายเบื้องต้น 2.5 แสนล้านบาท

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า มูลค่าการลงทุน รวม 2.5 แสนล้านบาท นั้นเป็นความเสียหายเบื้องต้น ยังมีส่วนของรายได้ประมาณ 2.6 แสนล้านบาทต่อปีอีก และจำนวนแรงงาน 3.7 หมื่นคนที่อาจตกงานยังไม่รวมผู้รับช่วงการผลิตต่อและ ผู้รับเหมาก่อสร้าง รวมทั้งชาวบ้านที่มีกิจกรรมทางการค้าอยู่ในบริเวณนั้นด้วย

“เมื่อมีคำสั่งมาผู้ประกอบการคงต้องหยุดดำเนินกิจการ ซึ่งไม่รู้ว่าจะนานเท่าไหร่ จึงต้องการให้รีบกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติออกมาให้เร็วที่สุด” นายพยุงศักดิ์ กล่าว

ด้านคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ซึ่งมีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน ได้หารือกันกระทั่งค่ำ วานนี้ก็ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ ในประเด็นการกำหนดประเภทกิจการที่ส่งผลกระทบรุนแรง การทำอีไอเอและเอชไอเอจึงนัดประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 11 ธ.ค.นี้

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ เครือซิเมนต์ไทย กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นทันทีหลังต้องหยุดดำเนินการคือ แผนลงทุนมูลค่า 5.7 หมื่นล้านบาทของบริษัทได้รับการกระทบกระเทือน ไม่นับรวมความเสียหายที่จะตามมาจากโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คนงานก่อสร้างตกงานทันที 1 หมื่นคน พนักงานกลุ่ม ปูนซิเมนต์ไทยที่เตรียมรองรับโครงการอีก 500-600 คน

นายอานันท์ กล่าวว่า การทำเกณฑ์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชนทั้งหมด คงจะใช้เวลาดำเนินการ 5-6 เดือน แต่คงไม่ยืดเยื้อไปถึง 14 เดือน ตามที่ภาคเอกชนวิตกแน่นอน

------------------------------------------------------

งบปี"53กู้ 8.01แสนล.

Dailynews 16/09/2009


นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า แผนการระดมทุนของรัฐบาลในปีงบประมาณ 53 จะยังดำเนินนโยบายทางด้านการคลังแบบผ่อนคลายโดยจะขาดดุลงบประมาณอย่างต่อ เนื่องอีก 4.4 แสนล้านบาท ส่งผลให้การระดมทุนในปี"53 อยู่ที่ 8.01 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี"52 ที่มีการระดมทุน 6.83 ล้านบาท แบ่งเป็นการกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบ สถาบันการเงิน ที่จะสิ้นสุดในปี"53 วงเงิน 1.8 แสนล้านบาท กู้ชดเชยเงินคงคลัง 3.5 แสนล้านบาท กู้ตามอำนาจพ.ร.ก.เงินกู้ฉุกเฉินอีก 2.7 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการไทยเข้มแข็ง

------------------------------------------------------

ครม.ผ่านร่างงบประมาณปี54

Posttoday วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553 13:53


ครม.เห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบปี54วงเงิน2.05ลลบ.ขาดดุล4แสนล.

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีงบประมาณ 54 ตามที่สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลังเสนอ โดยกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่าย 2.05 ล้านล้านบาท ขณะที่คาดว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ 1.65 ล้านล้านบาท จึงเป็นการจัดทำงบประมาณขาดดุล 4 แสนล้านบาท

งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 54 เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 53 ที่อยู่ที่ 1.7 ล้านล้านบาท ขณะที่การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 8% จากปีงบประมาณ 53 ที่มีจำนวน 1.52 ล้านล้ นบาท โดยคาดว่างบลงทุนในปีงบประมาณ 54 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1 แสนล้านบาทจากปีงบประมาณ 53 หรือคิดเป็นสัดส่วน 16.5-17.0%ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด

รมว.คลัง เชื่อว่า จากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจึงคาดว่าการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลดีขึ้นในปีงบประมาณ 53 จะเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ตั้งไว้ที่ 1.35 ล้านล้านบาท เป็น 1.52 ล้านล้านบาท และเมื่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลดีขึ้นคาดว่าจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณไป ใช้ในการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการลดภาระการใช้เงินนอกงบประมาณ และทำให้เกิดความโปร่งใสในการใช้งบประมาณเพื่อการลงทุนต่างๆของรัฐบาล

สำหรับงบประมาณในโครงการลงทุนไทยเข้มแข็งได้รับการอนุมัติวงเงินจำนวน 3.5 แสนล้านบาท ตาม พ.ร.ก.การให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ 53 จำนวน 2 แสนล้านบาท และที่เหลือ 1.5 แสนล้านบาทคาดว่าจะเบิกจ่ายได้ในปีงบประมาณ 54 ขณะเดียวกัน การลงทุนของรัฐบาลนอกจากการใช้เม็ดเงินงบประมาณแล้ว ยังต้องพึ่งพาเงินลงทุนจากภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนในระบบขนส่งและระบบราง

------------------------------------------------------

คลังกระอักรายจ่ายตึงตัว เล็งจังหวะปรับขึ้นVAT10%

Thaipost เศรษฐกิจ 13 กุมภาพันธ์ 2553


รัฐบาลหัวขวิดจัดงบ ห่วงรายจ่ายประจำบาน "กรณ์" เตรียมทำประมาณการล่วงหน้า 10 ปี ดันภาษีที่ดินขยายฐานภาษี-เล็งจังหวะเหมาะกลับไปเก็บ VAT 10%

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของไทย ในปัจจุบันค่อนข้างมีข้อจำกัด เนื่องจากรัฐบาลมีภาระงบประมาณรายจ่ายจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้รัฐบาลอยู่ในระดับที่ไม่สูง โดยรายได้รัฐบาลส่วนใหญ่มาจากภาษี แต่ฐานภาษีของไทยปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 15-16% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ต่างจากประเทศอื่นๆ ที่จะมีสัดส่วนกว่า 20% ขึ้นไป

ดังนั้น ปัจจุบันไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาการจัดทำงบขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ระยะต่อไปรัฐบาลจะเพิ่มบทบาทของรัฐวิสาหกิจในการลงทุนในสาขาต่างๆ ให้มากขึ้น รวมถึงเพิ่มบทบาทภาคเอกชนร่วมลงทุนโดยใช้รูปแบบ PPP ด้วย เพื่อลดภาระรัฐบาลเช่นเดียวกับการลงทุนสาขาพลังงานและโทรคมนาคมในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี หลังจากนี้ตนจะเสนอจัดทำงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้า 10 ปี ซึ่งจะประมาณการตามภาระงบประมาณรายจ่ายที่สำคัญๆ เช่น ภาระงบประมาณด้านการรักษาพยาบาล ด้านการศึกษา เป็นต้น เพื่อให้ทราบว่าสถานการณ์รายจ่ายภาครัฐจะเป็นอย่างไร ส่วนทางด้านรายได้ก็จำเป็นต้องมีการขยายฐานภาษี โดยรัฐบาลยังยืนยันผลักดันร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อให้มีการเก็บภาษีจากมูลค่าทรัพย์สินมากขึ้น จากปัจจุบันที่เก็บภาษีจากฐานรายได้เป็นหลัก

นอกจากนี้ ยอมรับว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ไทยจะต้องมีการปรับภาษีมูลค่าเพิ่มกลับไปเก็บที่อัตรา 10% เหมือนช่วงก่อนวิกฤติ โดยเงื่อนไขสำคัญคือ ภาวะเศรษฐกิจขณะนั้นต้องรองรับได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนี้จะมีผลต่อการบริโภค ขณะเดียวกันการเมืองก็ต้องมีความมั่นคง เนื่องจากรัฐบาลจะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อให้ประชาชนยอมรับได้

นายกรณ์ กล่าวว่า การจัดทำงบประมาณปีงบประมาณ 2554 นั้น ได้ทำประมาณการรายได้เพิ่มขึ้น จากปีงบประมาณ 2553 ถึง 3 แสนล้านบาท คือจาก 1.35 ล้านล้านบาท เป็น 1.65 ล้านล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะใช้สำหรับงบลงทุนในปีงบประมาณ 2554 ดังกล่าว ซึ่งงบลงทุนจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2553 ทั้งนี้ รัฐบาลจะปรับโครงการทั้งที่อยู่ในพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2552 และที่อยู่ในร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟู เศรษฐกิจ พ.ศ... มาใช้งบประมาณแทนการกู้เงิน

"โครงการที่ปรับมาใช้งบประมาณ จะมีทั้งโครงการเดิมที่อยู่ใน พ.ร.ก.กู้เงิน และที่อยู่ในร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน มีทั้งสองส่วนที่จะนำมาบรรจุ แต่ยืนยันว่าตัวโครงการลงทุนไม่ได้เปลี่ยน เปลี่ยนแค่แหล่งเงินเท่านั้น ทั้งนี้ ผมไม่คิดว่าเราจะมีรายได้มากพอที่จะรองรับโครงการลงทุนจากร่าง พ.ร.บ.ทั้งหมดได้ โดยการปรับนี้ยืนยันได้ว่าไม่มีผลกระทบอะไรเลย รวมถึงกับพรรคร่วมก็เข้าใจตรงกัน" นายกรณ์กล่าว

------------------------------------------------------

แกะรอย"ถนนไร้ฝุ่น"พบบริษัทเครือข่าย"ภูมิใจไทย"คว้างานรับเหมา5จังหวัด-บ.พ่อตาเนวิน มีดบินไม่พลาดเป้า

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 19:15:48 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


โครงการก่อสร้างไร้ฝุ่นส่อแววฉาวซ้ำรอยบ้านเอื้ออาทร "ประชาชาติธุรกิจ"เปิดข้อมูลร้อนพบบริษัทรับเหมาใกล้ชิดบิ๊กพรรคภูมิใจไทย คว้างานรับเหมา 5 จังหวัด บุรีรัมย์ อุดรฯ หนองคาย สมุทรสงคราม ขณะที่ บ.เชียงใหม่คอนสตรัคชั่นพ่อตาเนวิน ชิดชอบ ฝีมือไม่ตก ได้งาน กรมชลฯ-ทางหลวง

...โครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่นของกระทรวงคมนาคม และ กระทรวงมหาดไทย ภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ "ไทยเข้มแข็ง" ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประเด็นอีกครั้ง เมื่อ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดจะทบทวนโครงการถนนไร้ฝุ่น โดยให้เหตุผลว่าไม่กระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว

แต่แกนนำพรรคภูมิใจไทย ออกมาต่อสู้ ปกป้องโครงการ อย่างเต็มกำลัง โดยบอกว่า ถ้าจะล้มโครงการ ต้องมีเหตุผล(หน่อย) เพราะถนนปลอดฝุ่นในต่างจังหวัดก็สำคัญเท่า ๆ กับ รถไฟฟ้าของคนกรุงเทพ
ล่าสุด ประชาธิปัตย์ ก็ประกาศถอย นายไตรรงค์ พูดเสียงอ่อยๆ ว่า เป็นแค่การแสดงความเห็นทางวิชาการ (เท่านั้น)... จบข่าว

แต่จากการตรวจสอบของ ประชาชาติธุรกิจ เราพบว่า... ยังมีประเด็น ?
สมมติฐานของ เหยี่ยวข่าว คือ โครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่นของกระทรวงคมนาคม และ กระทรวงมหาดไทย ภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ "ไทยเข้มแข็ง" ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อาจมีปัญหาซ้ำรอยผลประโยชน์ทับซ้อนเหมือนกรณีโครงการบ้านเอื้ออาทรของการ เคหะแห่งชาติ (กคช.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมุนษย์ (พม.) ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

เมื่อผู้รับเหมาใกล้ชิดนักการเมืองในรัฐบาลอย่างน้อย 2 รายเข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าวด้วย ???
ล่าสุด "ประชาชาติธุรกิจ"ตรวจสอบพบว่ามีอย่างน้อย 5 จังหวัดที่ผู้รับเหมาเกี่ยวพันนักการเมืองพรรคภูมิใจไทย ได้แก่
1. โครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่น สายแยกทางหลวงหมายเลข 2144-บ้านคำแก้ว สำนักงานทางหลวงชนบทหนองคาย ได้ทำสัญญาว่าจ้าง หจก.ศรีประโคนชัยก่อสร้าง เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2552 วงเงิน 16,136,000 บาท
2.โครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่น สายแยกทางหลวงหมายเลข 212-บ้านโนนสะแบง สำนักทางหลวงชนบทที่15 (อุดรธานี) ได้ว่าจ้างหจก.ศรีประโคนชัยก่อสร้าง เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2552 วงเงิน 31,080,000 บาท
3.โครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่น สายแยก ทล.219 บ้านหลัก (ตอนที่1) ต.หนองบอน อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ สำนักงานทางหลวงชนบทที่ 5 ได้ว่าจ้าง หจก.ศรีประโคนชัยก่อสร้าง เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2552 วงเงิน 19,882,000 บาท
4.โครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่น แยก ทล.219-บ้านหลัก (ตอนที่ 2 )ระยะทาง 4901 กม สำนักงานทางหลวงชนบท ได้ว่าจ้าง หจก.ศรีประโคนชัยก่อสร้าง เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2552 วงเงิน 24,938,000 บาท
5.โครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่นในจ.สมุทรสงคราม ซึ่งสำนักงานทางหลวงชนบทสมุทรสงครามได้ว่าจ้าง หจก.ท่าราบก่อสร้าง เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2552 วงเงิน 2,495,000 บาท

"ประชาชาติธุรกิจ"ตรวจสอบพบว่า หจก.ศรีประโคนชัยก่อสร้าง ก่อตั้งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2524 ทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 1.5 ล้านบาท มีหุ้นส่วน 3 คนคือ 1.นายทรงศักดิ์ ทองศรี อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนสวนกุหลาบนายเนวิน ชิดชอบ 2.นายเสริมศักดิ์ ทองศรี พี่ชายนายทรงศักดิ์ และ 3.นายเพิ่มพูน ทองศรี ส.ส.สัดส่วนพรรคภูมิใจไทย พี่ชายนายทรงศักดิ์ ที่ตั้งเลขที่ 195 หมู่ที่ 2 ถนนโชคชัย-เดชอุดม ตำบลประโคนชัย อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ปัจจุบันทุนจดทะเบียน 60 ล้านบาท โอนหุ้นใหญ่ นางสาวเพชรรัตน์ ห่วงประโคน นางปัทมา ภาสดา คนละ 5 ล้านบาท และนายวิชัย ปิยมิตรธรรม ถือหุ้นใหญ่ 50 ล้านบาท

นอกจากนี้ หจก.ศรีประโคนชัยก่อสร้างยังได้งานรับเหมาในกรมชลประทาน และ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในช่วงปลายปี 2552 อีกอย่างน้อย 5 โครงการ

ขณะที่ หจก.ท่าราบก่อสร้าง เป็นของนายมานิต นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก่อตั้งวันที่ 27 เมษายน 2530 ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ต่อได้โอนหุ้นให้บุตรชายและบุตรสาว กระทั่งโอนให้นางพวงทอง คุณาชีวะ พี่สาวนายมานิต เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2551

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากโครงการถนนไร้ฝุ่น ยังพบว่าบริษัท เชียงใหม่คอนสตรัคชั่น จำกัด ของนายคะแนน สุภา พ่อตานายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย (นางกรุณา ชิดชอบ ถือหุ้น 18.1 ล้านบาท จาก 500 ล้านบาท) ได้งานโครงการชลประทานลำพูน กรมชลประทาน อย่างน้อย 1 โครงการ คือ จ้างซื้อดินถมจำนวน 10880ลบ.ม. เป็นเงิน 1,302,336 บาท (SP2) เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2552

และยังได้งานรับเหมาโครงการก่อสร้าง ทางหลวงหมายเลข 1156 วงเงิน 24,838,197 บาท เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2552 และ ก่อสร้างทางหลวงสาย สบปราบ -จุดเริ่มทางเลี่ยงเมืองเกาะคา วงเงิน 89,793,368 บาท เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2552 อีกด้วย

สมมติฐานที่มีต่อ โครงการถนนปลอดฝุ่น ของประชาชาติธุรกิจ น่าที่จะมีการสอบถามกันในที่ประชุมครม. ของนายอภิสิทธิ์บ้าง ในฐานะที่ผู้นำที่ประกาศกฎเหล็ก 9 ประการ !!!

------------------------------------------------------

อ่านจากข่าวข้างบน จนมาถึงตรงนี้
อยากรู้ว่าเศรษฐกิจมันดีแบบไหนหรือนี่

หรือดีเฉพาะเศรษฐกิจคนในรัฐบาล
ที่ผลาญงบไทยเข็มแข็งกันมูมมาม
เลยคิดว่าชาวบ้านจะดีขึ้นเหมือนกันหรือเปล่า

ภาษีที่เก็บได้มากก็มาจากการรีดกันสุดๆ
มีการ
ขยายฐานเก็บธุรกิจรีดเลือดเอากับปูเพิ่มขึ้น
จะนำไปอ้างอิงว่าเศรษฐกิจดีขึ้นได้ยังไง

เมื่อค่าครองชีพสูงขึ้น เงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้น
ก็คือข้าวของแพงขึ้น แต่ถ้ารายได้ไม่เพิ่ม
หรือเพิ่มน้อยกว่าอัตราการเพิ่มของค่าครองชีพและเงินเฟ้อ
ชาวบ้านเขาจะรู้สึกว่าเศรษฐกิจมันดีขึ้นยังไง
อย่างข่าวโรงงานขาดทุนไม่เพิ่มเงินเดือน
นั่นก็
แสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากที่เป็นคนงาน
ไม่มีรายได้เพิ่มขึ้น
ไม่รวมพวกมาบตาพุดหยุดกันทั้งโครงการ
ตกงานทันทีอีกหลายหมื่นคน
ไม่รวมอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีก
ซึ่งเป็นผลงานอันน่าภาคภูมิใจของตุลาการภิวัฒน์ไทย
ที่ตัดสินเก่งอย่างเดียว เฮ้อ
และปีนี้ยังได้ข่าวว่าจะโดนภัยแล้งจัดที่สุดอีกปีหนึ่ง
ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน คงโดนกันถ้วนหน้า
ในอีกไม่กี่เดือนต่อไปนี้


แถมตัวเลขต่างๆ ของทางการ
ก็มีผลงานการเมคตัวเลขในอดีต
ให้เห็น
เช่น การหวังช่วยตบแต่งยอดส่งออก
ของกระทรวงพาณิชย์รัฐบาล คมช.
แต่ลืมไปเตี๊ยมกับกรมศุลกากร
ผลก็เลยออกมาต่างกันมากมาย
ชนิดว่าอีกพวกบอกเพิ่มขึ้นอีกพวกลดลง
มีให้เห็นเป็นประจำ สำหรับหน่วยงานในประเทศนี้
แม้แต่รัฐบาลนี้ ช่วงก่อนสิ้นปี
ตัวเลข BOI ยังตกต่ำ
ตัวเลขทางเศรษฐกิจนั่นนี่ก็ตกต่ำ
ปรากฏว่าเดือนสุดท้าย ตัวเลขเกิดแผลงฤทธิ์
สูงขึ้นขนาดไปเฉลี่ยให้ทั้งปีได้สูงขึ้นจนได้

วิชาผักชีโรยหน้านี้ ในไทยไม่จำเป็นต้องเปิดหลักสูตรสอน
เพราะอาจกลายเป็นการสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำได้

พูดถึงเรื่องกู้ๆ
ในปีนี้ก็กู้กันอีกแล้ว อีก 8 แสนล้านบาท
แถมยังไม่ทันไรพี่ท่านเล่นผ่านร่างปี 54 รอไว้เลย
กู้อีก 4 แสนล้านบาท
รวมแล้วอีก 2 ปี ล้านกว่าบาท
ไม่รวมของปีที่แล้วอีก
สุดยอดตัวใครตัวมันแล้วกันงานนี้
สงสัยอยู่นิดเดียวว่า
ถ้าเศรษฐกิจดี แล้วทำไมต้องกู้เพิ่ม?


ปล. ข่าวด้านบนนำมาจากเว็บ
http://www.skyscrapercity.com/showthread.php?t=780092
http://www.skyscrapercity.com/showthread.php?t=1054649

โดย มาหาอะไร
FfF