การเลือกตั้งเป็นการโหวตหรือลงคะแนนเสียงแบบลับ
จะเห็นได้ว่ามีการปกปิดไม่ให้รู้ว่าใครกาเลือกใคร
แต่การชุมนุมเป็นการโหวตแบบแสดงตนไม่มีการปกปิด
จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่า เสี่ยงกว่า แบบแรก
และผลของคะแนนเสียงไม่อาจนำมาเทียบกันได้
เนื่องจากการโหวตแบบปกปิดกับแบบแสดงตน
มีความยุ่งยากความเสี่ยงที่แตกต่างกันมากอย่างที่ว่ามา
ดังนั้นคนมาร่วมชุมนุมใดๆ สักแสนคน
อาจมีพลังพอๆ กับคนมาลงคะแนนเสียงหลายล้านคนได้
เนื่องจากคนไม่มาร่วมอาจมีทั้งสนับสนุนและไม่สนับสนุนก็ได้
แต่อาจมีเหตุผลส่วนตัวเช่น ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
กลัวรัฐปราบปราม ไม่ว่าง ต้องทำมาหากิน ฯลฯ
ดังนั้นจะเหมาคนไม่มาร่วมชุมนุม
เป็นพวกไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมนั้นๆ ไม่ได้
แต่การที่คนต้องดิ้นรนมาร่วมชุมนุมหลายหมื่นถึงแสนคนขึ้นไป
ย่อมไม่ธรรมดาสำหรับการเมือง
เพราะถือว่าเยอะและคงมีแรงกระตุ้นมากมายถึงออกมากันได้แบบนี้
แต่ก็อาจมีข้อกล่าวหาเรื่องการว่าจ้างมาเกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง
ซึ่งถือเป็นการดิสเครดิตจากฝ่ายตรงข้ามเป็นเรื่องปกติ
แต่ของจริงหรือว่าจ้างจริง พิสูจน์ได้ไม่ยาก
ลองสุ่มสอบถามพูดคุยกับผู้ชุมนุมว่ามาร่วมชุมนุมเพื่ออะไร
ก็พอจะเดาออกว่าถูกว่าจ้างให้มาหรือว่าตั้งใจจะมา
บางคนไม่มีทุนอยากมาแล้วมีคนช่วยทุนการเดินทางให้มา
ก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นการว่าจ้างมา
ต้องดูจุดประสงค์ว่าเขาตั้งใจมาร่วมเพื่ออะไรยังไง
และเมื่อการชุมนุมถือเป็นการโหวตชนิดหนึ่ง
ผู้มาร่วมชุมนุมมากน้อยในแต่ละช่วง
ย่อมมีสาเหตุที่ต้องนำมาคิดวิเคราะห์ได้เหมือนกัน
เช่นอาจอ่อนล้า ขอกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดก่อน
ขอไปทำมาหากินก่อน หรือว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่กำลังทำอยู่
ซึ่งต้องคิดทั้งฝั่งผู้มาร่วมชุมนุมและฝั่งผู้นำในการชุมนุมด้วย
จะนั่งคิดฝั่งเดียวอาจไม่รอบด้าน
ปกติเท่าที่ผมเห็นฝั่งผู้นำในการชุมนุมมักไม่มีการคิด
คิดแต่ฝั่งผู้มาร่วมชุมนุมว่าทำไมไม่มากันเยอะๆ
กรณีฝั่งผู้นำในการชุมนุมมีทั้งเรื่องตัวบุคคลในการนำ
หรือแม้แต่วิธีการเป้าหมายในการดำเนินการ
เช่นอาจมีการขัดแย้งตัดกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ไป
แล้วคนลดลง ก็ต้องมาคิดกันด้วยว่า
เป็นเพราะผลของการตัดกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ไปหรือไม่
หรือการดำเนินการที่ไม่ดี มวลชนบางคนไม่ชอบ
เช่นการเจาะเลือด และนำเลือดไปสาดไปปาที่นั่นที่นี่
เขาอาจกลัวภาพไม่ดีก็อาจไม่มาเพราะไม่เห็นด้วย
หรือแม้แต่ข้อเรียกร้องถ้าบางพวกเขาต้องการข้อเรียกร้องนั้นๆ
แต่ผู้นำม็อบกับต้องการข้อเรียกร้องอีกอย่าง
ถ้าเขาไม่สนับสนุนเขาก็อาจไม่มาร่วมด้วยก็ได้
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าข้อเรียกร้องต่างๆ ได้มีการสอบถามความเห็น
ของผู้มาร่วมชุมนุมกันบ้างหรือเปล่าว่าเขาต้องการแค่ไหนอย่างไร
ถ้าประกาศข้อเรียกร้องก่อนการชุมนุม
แล้วมีคนมาร่วมชุมนุมด้วยอันนี้พอเดาได้ว่าเห็นด้วยหมดแน่ๆ ถึงมากัน
แต่ถ้าไม่ประกาศข้อเรียกร้องออกมาก่อน
พอคนมาแล้วค่อยประกาศอันนี้เดาไม่ได้เลยว่าออกแนวไหน
เพราะอาจมากไปน้อยไปกว่าที่ผู้มาร่วมชุมนุมต้องการก็ได้ทั้งนั้น
การเรียกร้องประชาธิปไตย ข้อเรียกร้องต่างๆ ควรชัดเจน
การประกาศอะไรของคนระดับผู้นำม็อบต้องชัดเจน
อย่าคิดว่าการทำลับลวงพลางใดๆ แล้วจะมีใครเข้าใจได้
เช่นประกาศอะไรออกมาคนเข้าใจผิดไปหมื่นคน
แล้วจะมาอธิบายตามเว็บตามนั่นนี่จะมีคนเข้าใจตรงกัน
กลับมาอีกกี่ร้อยคนจากหมื่นคนที่ไม่เข้าใจไปแล้ว
ยิ่งทำให้เสียมวลชนเข้าไปใหญ่ ไม่เหมาะสำหรับงานแบบนี้
เหมาะรบกันในสงครามจริงๆ จังๆ มากกว่า
สุดท้ายอยากให้คิดให้มาก
ถึงแนวทางในการดำเนินการชุมนุม
เพื่อเรียกร้องอะไรก็ตามโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เป็นเรื่องระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล
อย่าคิดเอาชนะจะใช้วิธีใดก็ได้ไม่สนใจ
เพราะมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่าผลเป็นยังไง
กรณีอภิสิทธิ์และพรรค ปชป.
ที่ไปหนุนหลัง พวกม็อบเสื้อเหลืองชัดเจน
แล้วพอไล่ทักษิณ สมัคร สมชายได้
พอตนเองได้มีโอกาสมาเป็นนายกบ้าง
ก็โดนวิธีเดียวกับที่พวกเสื้อเหลืองเคยทำ
ทั้งโดนขับไล่จนลงหลายๆ พื้นที่ไม่ได้
ทั้งโดนล้อมสภา ล้อมทำเนียบ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าเคยทำกับเขาไว้อย่างไง
พวกอื่นเขาก็ทำแบบเดียวกันตอบกลับได้เหมือนกัน
เช่นเดียวกันถ้างวดนี้ม็อบเสื้อแดงทำอะไรไม่ดีให้เป็นที่ต้นแบบ
เช่นเรื่องปาเลือดที่บ้านนายก
และยังมีข่าวบางคนประกาศจะบุกเข้าไปอีก
คือถ้าทำจริงโอกาสพรรคที่เสื้อแดงหนุนมาเป็น
ก็จะโดนแบบเดียวกันกับที่ทำไว้
แล้วใครจะกล้ามาเป็นนายกหล่ะ
มาเป็นก็อยู่ไม่สุขโดนไล่ล่าเอาคืน
เหมือนกงกรรมกงเกวียนแบบนี้
สุดท้ายความชอบธรรมจะไปตกกับพวกตาอยู่
เพราะเมื่อมันวุ่นวายไม่จบแบบนี้
ก็จะไปสร้างความเบื่อหน่ายอยากให้จบๆ ไวๆ
จนไม่สนใจวิธีการยิ่งทำให้ประชาธิปไตย
กลายเป็นสิ่งที่วุ่นวายไม่มีใครอยากสนับสนุนด้วย
เพราะเบื่อความวุ่นวาย
ดังนั้นแนวทางใดๆ ควรต้องนึกถึงอนาคตด้วย
ว่าต้องมีทีใครทีมันแน่ๆ
ทางที่ดีควรเป็นแนวสร้างสรรจริงๆ
ทำแล้วพวกไหนจะมาเลียนแบบในอนาคต
ก็ไม่เสียหายอะไรมาก
เช่น การแจกแจงข้อเท็จจริงในรูปแบบต่างๆ
ใครทำตามถ้าข้อเท็จมากกว่าข้อจริง
ก็สามารถแจกแจงโต้ตอบได้เป็นต้น
โดย มาหาอะไร
FfF
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.