บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


15 มีนาคม 2553

<<< ขอเสนอแนวทางการต่อสู้แบบสันติวิธี ณ สถานการณ์ขณะนี้ >>>

ตอนนี้จะเน้นแนวสันติวิธีก่อน
เพราะแนวไม่สันติวิธีอะไร
ไม่จำเป็นต้องมาเขียนให้ฟัง
ไม่จำเป็นต้องใช้คนมากมาย
และไม่จำเป็นต้องสนใจใคร
ซึ่งคงเป็นวิธีสุดท้ายที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งจะเกิดขึ้นเอง
โดยแทบไม่ต้องมีใครแนะนำอะไรมาก

ณ สถานการณ์ตอนนี้
มี 2 แนวทางสู้แบบสันติวิธี
อันที่จริงมีแค่แนวทางเดียวแหล่ะ
แต่ว่ายกมาประกอบให้เห็นภาพว่า
มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 2 แนวทางคือ

แนวทางแรกเป็นรัฐบาลให้ได้
เพื่อให้รัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ
แนวทางนี้มีความเป็นไปได้ดีที่สุดถ้ามีแนวร่วมหนุนหลังมากๆ
ก็จะชนะเลือกตั้งและมาเปลี่ยนแปลงโยกย้าย
แก้กฏหมายต่างๆ ให้อยู่ในร่องในรอยได้ตามต้องการ
แต่แนวทางนี้ หัวต้องแข็งพอสมควร
หมายถึงคนที่จะเป็นนายกต้องกล้าพร้อมชน
ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรจริงๆ
แต่โชคร้ายตอนนี้ยังหาไม่เจอ
ที่เห็นมีแต่คนอยากเป็นรัฐบาลให้ได้
เพื่อได้เป็นรัฐบาลมากกว่าเพื่อไปสานงานการต่อสู้ให้สำเร็จ
ไม่พร้อมแม้กระทั่งออกมานำขบวนลุย
ถ้าโดนรัฐประหารในอนาคต
แต่พร้อมที่จะเป็นนายกกันเป็นแถว
เลยพับไว้ก่อนแนวทางนี้ไม่เวิร์ก
เพราะยังไม่มีหัวที่แข็งจริงๆ
แล้วจะดิ้นรนไปเป็นรัฐบาลทำไม

แนวทางที่สองคือแนวทางที่กำลังทำในปัจจุบัน
คือก่อม็อบ ขยายแนวร่วมออกไปเยอะๆ
แต่ปรับตรงที่ไม่จำเป็นต้องเน้นรีบกลับมาเป็นรัฐบาล
ยกเว้นว่าฝ่ายตรงข้ามขวัญอ่อน
ต้องการตัดเกมหรือเบรคเกมให้มีการเลือกตั้ง
ก็ชะลอม็อบได้ชั่วคราวแต่งานขยายมวลชนยังดำเนินต่อไป
ในรูปโรงเรียนหรือตั้งกลุ่มอะไรพวกนี้
แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามจิตแข็งและมีเส้นใหญ่สนับสนุนแบบนี้
ไม่สมควรดิ้นรนไปล้มเพื่อหวังเป็นรัฐบาลแทน
เพราะว่าจะเข้ากรณีแนวทางแรกทันที
คือล้มได้แต่ไปเป็นลูกไก่อยู่ในกำมือ
ไปนั่งหงอหงิกอยู่ในเก้าอี้อันทรงเกียรติ
มวลชนอ่อนแรงมากกว่ามวลชนที่มาในลักษณะต่อต้านรัฐบาล
คือเป็นธรรมชาติของมนุษย์
พวกต่อต้านจะแรงกว่าพวกสนับสนุน
พวกสนับสนุนแม้มีเยอะกว่าพวกต่อต้าน
แต่ไม่มีพลังพอที่จะออกมาแสดงพลังต่อต้านพวกต่อต้านด้วยซ้ำ
ก็เห็นๆ กันอยู่เวลาพรรคพวกเราเป็นรัฐบาล
คนเยอะกว่าทำอะไรกลับพวกต่อต้านได้หรือเปล่า
เห็นนั่งบ่นกันอยู่แต่ในบ้านเป็นหลัก

แนวทางที่สอง ต้องมีเป้าหมายที่สูงๆ เข้าไว้
ไม่จำเป็นต้องรีบจบเกม
เช่นเรียกร้อง 1 , 2, 3 , 4 ... พร้อมๆ กันไปเลย
เพื่อเป็นเป้าหมายใหญ่ๆ ให้มวลชนรับทราบ
เพื่อจะได้ไม่มีใครมาเป็นพระเอกได้
เพราะไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องทั้งหมดได้
ดังนั้นเท่ากับตัดแนวสร้างสถานการณ์
เพื่อมาเป็นพระเอกในภายหลังได้อีกทางหนึ่ง
แล้วอยู่ๆ ข้อเรียกร้องที่ 1 เช่นให้รัฐบาลยุบสภาเกิดเป็นจริง
ก็ยังมีงานที่จะต้องสู้กันต่อไปได้ เช่นเรียกร้องข้ออื่นๆ อีก
ไม่ใช่จบกันง่ายๆ กว่าจะปลุกคนมาได้ขนาดนี้
เสียเวลา เสียสารพัดมากมาย
แล้วจู่ๆ ล้มเลิกไปไม่คิดสานต่ออะไรอีก
มันน่าเสียดายไหม

อย่างวันนี้ แทนที่จะดาวกระจายไปทั่ว
เพื่อให้เข้าแนวพระเอกขี่ม้าขาวในตอนจบ
สู้ออกข่าวระดมคนไปที่ชุมนุมอีกครั้ง
เพื่อช่วยกันโหวตข้อเรียกร้อง
และทำพิธีสาบานว่าจะสู้จนกว่าจะได้มา
อนาคตมันได้มากกว่าที่เรียกร้องในปัจจุบัน
หรือมีข้อเรียกร้องใหม่ๆ ก็ค่อยว่ากันไป
แต่ตอนนี้ควรมีข้อเรียกร้องทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ
และให้คนที่มีมลทินทำผิดออกไปด้วย
โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ
ควรแก้ไขจุดอ่อนรธน.40 ให้หมดไปด้วย
เช่นห้ามคนสมัครเป็น ส.ส.ที่ไม่จบปริญญาตรี
ซึ่งมันพิสูจน์แล้วว่า
คนเรียนมาน้อยรักและเข้าใจประชาธิปไตยได้ดีกว่า
พวกเรียนมามากๆ บางคนเสียอีก
และจะได้ไม่เป็นเงื่อนไขให้พวกส.ส. ที่มีปัญหาไม่ทุ่มเทเต็มที่ด้วย

การให้ประชาชนได้ร่วมโหวต
ก็เท่ากับเป็นการแสดงพลังของประชาชนจริงๆ
และทำให้เขารู้สึกได้ว่ามีส่วนร่วมในการเรียกร้องครั้งนี้มากยิ่งขึ้นด้วย
และยังช่วยให้มีแรงจูงใจสำหรับบางคนให้มาร่วมชุมนุมด้วย

อันที่จริงการปิดราชดำเนินทั้งเส้น
ไม่ต้องเดินไปไหน
เขาก็อยากจะหาเรื่องมาปราบเต็มที่แล้ว
และการปักหลักช่วงนี้
เพื่อระดมมวลชนที่ยังกล้าๆ กลัวๆ และจากต่างจังหวัด
ที่สนับสนุนข้อเรียกร้องที่เพิ่มเข้ามาอีกด้วย

ช่วงนี้ก็ระดมคนมาสมทบแบบเรื่อยๆ ได้
หรือจะเดินดาวกระจายแบบไม่ปิดถนน
ไปตามฟุตบาทเพื่อชวนคนมาร่วมชุมนุมเพิ่มก็ได้
โดยทำป้ายข้อความเจ็บๆ
ทั้งสิ่งที่เรียกร้องพร้อมจี้จุดอ่อนฝ่ายตรงข้ามไปโชว์ด้วย

จะเห็นได้ว่า
แนวสันติวิธีนั้นทำได้ยากกว่ามากๆ
การจะทำให้คนมาเข้าร่วมชุมนุมมากๆ
เป็นงานยากกว่าผลักคนออกจากที่ชุมนุม
ต้องอดทนและใช้วิธีการที่ดีๆ มีข้อห้ามสารพัดให้ต้องปฏิบัติ
เพื่อจะได้ขยายมวลชนให้มากๆ ได้
แต่ถ้าเป็นแนวรุนแรงแล้ว
จะไม่สนใจมวลชนเลย
แค่เน้นเรื่องกำลังพลและอาวุธเท่านั้นเอง
แพ้หรือชนะ
มันไม่ได้เข้าไปอยู่ในสายเลือดของคนทั่วไป
ในเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอะไรเลย
เพราะพวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วม
แค่นั่งเชียร์ลุ้นอยู่กับบ้านเท่านั้น

ถ้าทำให้เขามีส่วนร่วม เช่นการได้มาร่วมโหวตข้อเรียกร้อง
มันเหมือนเขาเป็นเจ้าของข้อเรียกร้องคนหนึ่ง
และการได้มาร่วมแสดงพลัง
ก็เหมือนกับการได้เข้ามาร่วมอย่างเต็มตัว
ซึ่งแนวนี้ต้องทำให้คนกล้าออกมาร่วมให้มากขึ้น
ดังนั้นควรเน้นแนวทำทุกวิธีให้มีคนมาร่วมชุมนุมมากขึ้นมากขึ้น
ไม่ต้องไปสนใจว่าใครจะอยู่ใครจะไปยังไง
ก้มหน้าก้มตาทำงานตามเป้าหมายเป็นหลัก
ส่วนผลที่ได้รับนั้นคือกำไรที่งอกเงยมาจากการลงแรงใจแรงกาย
เพื่อช่วยกันขยายมวลชนเท่านั้นเอง
ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายในการสิ้นสุดการต่อสู้
เพราะต้องสู้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น
เพียงผ่อนหนักผ่อนเบาตามสถานการณ์
แต่งานขยายมวลชนเดินหน้าต่อตลอดเวลา
ไม่ว่าหน้าร้อนหน้าฝนหรือหน้าไหนๆ ใครจะไปจะมา
ก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ เพื่อความยั่งยืน
ไม่ใช่คิดทำแค่ฉาบฉวย
ยังไม่ทันฝั่งรากลงลึก ก็เลิกแล้ว
แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่า
สิ่งที่สู้จนได้มาจะอยู่ไปตลอด

"หยุดสู้เพื่อประชาธิปไตยเมื่อไหร่
ประชาธิปไตยจะอ่อนแอลงเมื่อนั้น"

แถมอีกนิด เรื่องสันติวิธีนั้น
มิใช่เรื่องที่จะให้นั่งเรียกร้องกันเฉยๆ อย่างเดียวเท่านั้น
แต่มีวิธีกดดันด้วยมวลชนได้หลายวิธี
ทั้งการหามวลชนมาเพิ่มเรื่อยๆ
หรือนำมวลชนไปกดดันนั่นนี่
เพียงแต่ว่าตอนนี้
ควรใช้แนวขยายมวลชนก่อน
เพื่อรอรับการยุบสภาหาเสียง
ถ้าใช้วิธีไม่สร้างสรร
อาจมีผลกระทบต่อการเลือกตั้งในอนาคตได้
และมวลชนยังมีไม่มากพอ
ทั้งๆ ที่มีมากขึ้นกว่าเดิมแล้วก็ตาม
งวดนี้หวังแค่ปลุกคนให้ตื่นได้ก็คุ้มแล้ว
ยิ่งถ้าคนกล้ามาร่วมมากขึ้นๆ ด้วยแล้ว ยิ่งเกินจะคุ้ม
ดีกว่าจบแบบพฤษภาทมิฬโมเดล
จบเร็ว ตายฟรี ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

สรุปสุดท้ายว่า
ถึงแม้แนวทางการเรียกร้องประชาธิปไตยแบบสร้างสรร
จะยากกว่า อดทนกว่า ใช้เวลานานกว่า
แต่ว่าจะยั่งยืนกว่าแนวทางแบบทำลาย

ด้วยความปราถนาดี

โดย มาหาอะไร
FfF