บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


22 มีนาคม 2553

<<< ย้อนรอยความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ครั้งที่ 1 >>>

ฟัน พปช.เปิดซีดี ทักษิณ หาเสียงทั่วอีสาน ผิดขั้นยุบพรรค

ข่าว การเมือง เผย กกต. เตรียมฟัน พรรคพลังประชาชน หรือ พปช. ถึงขั้นยุบพรรค หลัง พลังประชาชน เปิดซีดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หาเสียงให้ พปช. แถมทำแจกทั่วอีสาน กกต. เด้งรับส่อขัดกฎหมาย การเลือกตั้ง

ทักษิณ www.hi-thaksin.org

สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) จัดสัมมนาเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงสำนึกใหม่ใส่ใจคุณธรรม แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น เนื่องในวันต่อต้านคอรัปชั่นสากล โดยมีพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม และประธานกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวเปิดงาน ทั้งนี้หลังจาก พล.อ.สพรั่งกล่าวเปิดงานเสร็จสิ้นลง นาย วีระ สมความคิด ประธาน คปต.ได้ฉายวีซีดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในชุดสูทสีดำ เชิ้ตสีฟ้า ซึ่งบันทึกเทปจากลอนดอน ประเทศอังกฤษ บนจอโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ เรียกเสียงฮือฮาจากผู้เข้าร่วมสัมมนาในห้องกว่า 100 คน

ในวีซีดีดังกล่าวพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา ตนทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ทำให้บ้านเมืองมีความสุขมาโดยตลอด แต่ผลตอบรับที่ได้กลับเป็นความอยุติธรรมอย่างแสนสาหัสที่ไม่เคยเจอมาก่อน วันนี้ มีความเป็นห่วงประเทศชาติ พี่น้องประชาชนที่ลำบาก เพราะปัญหาเศรษฐกิจย่ำแย่ บ้านเมืองอัตคัดขัดสน และเป็นธรรมดาที่รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจะให้มีจิตสำนึกรัก ประชาชนนั้นคงยาก

พ.ต.ท. ทักษิณกล่าวด้วยว่า เป็นห่วงประชาชนคนไทย เลยบอกอดีต ส.ส.ไทยรักไทยทุกคน ถ้ารักประชาชน ประเทศชาติ ให้มารวมตัวกันเถิด เพราะประชาชนเข้าใจ พวกเราและรู้ดีว่าเราถูกกระทำ เขาก็เลยมารวมตัวกันตั้งพรรคใหม่ ชื่อพรรคพลังประชาชน ชื่อดี เพราะเราต้องขอพลังประชาชนร่วมมือกันเอาความมั่งคั่งกลับคืนมา เอาความผาสุกประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคมกลับคืนมา

"วันนี้มีคนได้ประโยชน์จากการที่การเมืองอ่อนแอ ดังนั้น ประชาชนต้องเอาพลังประชาชนสอนให้เขารู้เลยว่า การเมืองจะอ่อนแอไม่ได้ ด้วยการเลือกพรรคพลังประชาชนพรรคเดียว และเมื่อความยุติธรรมกลับคืนสังคมไทย ผมจะกลับไป ไปอยู่กับพี่น้องประชาชน ไปหาพี่น้องประชาชนครับ ก็ขอฝากพรรคพลังประชาชนและผู้สมัครพรรคพลังประชาชนทุกคนด้วยครับ ขอบคุณครับ"

โดยนายวีระ กล่าวว่า ซีดีดังกล่าวได้รับมาจากเพื่อนในจ.ศรีสะเกษ ซึ่งตรวจสอบจากสมาชิกพรรคพลังประชาชนรายหนึ่ง จึงทราบว่าอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยเป็นผู้ผลิตขึ้นมาจำนวน 5 ล้านแผ่น ขณะนี้แจกจ่ายไปยังหัวคะแนนทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน เพื่อใช้หาเสียงต่อประชาชน ซึ่งเนื้อหาฉบับเต็มมีความยาว 1 ชั่วโมง เป็นการตัดต่อภาพและคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณจากสถานที่ต่างๆ ที่ไปอยู่ หลังจากที่ถูกยึดอำนาจ

"วันที่11 ธันวาคม คปต.จะนำซีดีดังกล่าวไปมอบแก่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบว่าการพูดเช่นนี้มีความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณสารภาพชัดเจนว่าเป็นผู้ที่ให้อดีต ส.ส.ไทยรักไทยรวมตัวกันตั้งพรรคพลังประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับที่นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน เคยยอมรับว่าเป็นนอมินี พ.ต.ท.ทักษิณ" นายวีระ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในซีดีชุดดังกล่าวแบ่งเป็นคลิปวิดีโอรวม 8 คลิป ส่วนใหญ่เป็นคลิปเพลงเพื่อทักษิณ รวม 6 คลิป ส่วนอีก 2 คลิปที่เหลือเป็นคลิปภาพและเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แก่ คลิปที่ชื่อว่า "นายกฯ พูดจากลอนดอน" ความยาว 3.39 นาที และคลิปคำปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ วันที่ 15/6/2007 ความยาว 26.43 นาที

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าซีดีชุดดังกล่าวรัฐบาลและวอร์รูมได้เก็บหลัก ฐานไว้แล้ว และเตรียมดำเนินการกับพรรคพลังประชาชน รวมถึงประสานให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. พิจารณาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน เพราะถือเป็นการเจตนากระทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นที่ผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 111 คน จะต้องไม่มีส่วนช่วยในการหาเสียงหรือชี้นำให้เลือกพรรคการเมืองไม่ได้

ด้าน นาง สดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะเข้าข่ายความผิดกฎหมาย เป็นเรื่องเสมือนเป็นการให้หรือเสนอให้ประโยชน์อื่นใดที่สามารถคำนวณเป็น เงินได้ ซึ่งกฎหมายได้ห้ามไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ทั้งนี้ต้องดูว่าจะมีผู้แจ้งมาหรือไม่ ซึ่งเทปที่มีเนื้อหาต่างๆ ที่ออกตอนนี้ก็อยู่ระหว่างตรวจสอบว่ามีใครเป็นนอมินีหรือไม่ และคิดว่าคงไม่นานจะสามารถเปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวได้ทราบ

นายคมสัน โพธิ์คง อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ประกาศตัวว่าเป็นผู้ริเริ่มให้อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทยจัดตั้งพรรคพลังประชาชนนั้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเมื่อประกอบคำพูดของนายสมัคร ที่ยอมรับว่าเป็นนอมินี พ.ต.ท.ทักษิณ ยิ่งชัดเจน ผมไม่เห็นเหตุผลที่ กกต.จะไม่ดำเนินการเรื่องนี้ เพราะหลักฐานชัดเจนพอจะยุบ พรรคได้แล้ว


ข้อมูลจาก

ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

http://hilight.kapook.com/view/18149

-----------------------------------------------------------------

'สมัคร'ขู่ฟ้องศาล แบนโฆษณาพปช.

หลังจากที่พรรคพลัง ประชาชนออกมาโวยเรื่องภาพยนตร์โฆษณาของพรรคถูกห้ามออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ต่างๆ โดยระบุว่าเป็นการเลือกปฏิบัตินั้น ทาง รมต.และกรมประชาสัมพันธ์รีบออกมาแก้ตัวพัลวันว่าต้องให้คณะกรรมการการเลือก ตั้ง (กกต.) ชี้ขาดว่าทำได้หรือไม่

“ทิพาวดี” อ้างรอ กกต.ตีกรอบหาเสียง

เมื่อวันที่ 15 ต.ค. เวลา 12.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคพลังประชาชนออกมาโวยถูกเลือกปฏิบัติไม่ได้รับความ เป็นธรรมที่ถูกคณะกรรมการกิจการวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (กกช.) แบนภาพยนตร์โฆษณาของพรรคว่า ได้สอบถามนายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ในฐานะเลขานุการ กกช.ทราบว่าการรณรงค์การเลือกตั้งของพรรคการเมืองนั้น กกช.ต้องรอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกระเบียบเกี่ยวกับการหาเสียงของพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ และส่งมาให้ที่ กกช. จากนั้น กกช.จะแจ้งให้กกช.ประจำสถานีรับทราบถึงแนวทางปฏิบัติต่อไป หากสถานีไหนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามมาที่ กกช. และกรมประชาสัมพันธ์ได้ ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนดังกล่าว และ กกช.ชุดใหญ่ ที่มีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกฯ เป็นประธาน ยังไม่ได้ประชุมแต่อย่างใด

ปัดมีใบสั่งคุมเข้มโฆษณา พปช.

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคพลังประชาชนระบุว่าได้ยื่นขอซื้อเวลาแต่ละสถานีเรียบร้อยแล้ว คุณหญิงทิพาวดีตอบว่า การพิจารณาขณะนี้เป็นเรื่องของ กกช.ประจำสถานีพิจารณาเอง อาจจะเป็นการออกข่าวปกติ ยังไม่ใช่การรณรงค์หาเสียง ถือเป็นแนว ปฏิบัติของแต่ละสถานีจะพิจารณากันเอง ยืนยันไม่ได้มีการสั่งบล็อกอย่างแน่นอน เพียงแต่แต่ละสถานีอาจจะกลัวหรือระวังตัว เพราะยังไม่ได้เห็นระเบียบของ กกช.อย่างเป็นทางการในเรื่องนี้ เมื่อถามย้ำว่า มีการมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติเพราะสปอตโฆษณาของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคการเมืองใหม่อื่นๆ ก็ออกมาลักษณะเดียวกันแต่ไม่มีปัญหา คุณหญิงทิพาวดีตอบว่า ยืนยันได้ว่ารัฐบาลหรือ กกช.ชุดใหญ่ไม่ได้มีใบสั่ง ไม่มีการเลือกปฏิบัติแน่ เขาจะออกทีวีช่องไหนไม่ทราบ แต่ไม่มีของสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กับสถานีทีไอทีวีแน่นอน

อธิบดีกรมกร๊วก โยนลูก กกช.ชี้ขาด

ขณะที่นายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ในฐานะเลขานุการ กกช. กล่าวถึงกรณีการอนุญาตการเผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณาผ่านสถานีโทรทัศน์ว่า ในกระบวนการดูแลปกติได้มอบอำนาจให้แต่ละสถานีไปตั้งคณะกรรมการพิจารณาในการ อนุญาตการเผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณา หรือเรียกว่า กกช.ประจำสถานี มี 2 กรณี คือ 1. ถ้ากรณีที่ ไม่แน่ใจจะสอบถามกลับมาที่ กกช.หรือกรมประชาสัมพันธ์ 2. กรณีถ้าแน่ใจก็อนุมัติ ให้ดำเนินการไป ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาทางเราจะไปตรวจสอบ ส่วนกรณีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งนั้น จะเริ่มต้นพิจารณาเมื่อมี พ.ร.ฎ.ออกประกาศวันเลือกตั้งออกมาแล้ว กกต.จะเชิญอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในฐานะเลขานุการ กกช.ไปหารือเพื่อวางแนวทางการปฏิบัติ จากนั้นจะนำข้อสรุปดังกล่าวไปหารือกับแต่ละสถานี เพื่อให้สอดคล้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์แนวทางที่ กกต.กำหนด เพื่อควบคุมให้ค่าใช้จ่ายเป็นไปตามกฎหมายกำหนดไว้และเป็นธรรมเท่าเทียมกัน ทุกพรรคการเมือง


เฉไฉ ไม่รู้ปมปัญหาแต่ละช่อง

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคพลังประชาชนระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย หรือพรรคการเมืองอื่นที่ตั้งใหม่ยังเผยแพร่โฆษณาได้ แต่พรรคพลังประชาชนกลับถูกแบน นายปราโมชตอบว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นดุลพินิจของสถานีโทรทัศน์แต่ละช่อง และยังไม่ได้มีการรองเรียนเข้ามา เมื่อมีประเด็นปัญหาขึ้นมาคงจะสอบถามรายละเอียดที่มาที่ไปของแต่ละช่อง แต่วันนี้มีเงื่อนเวลาที่จะอนุญาตอย่างเป็นทางการแล้ว ดังนั้น จากนี้ไปทุกพรรคมีสิทธิเท่าเทียมกันหมดแล้ว เมื่อถามว่ามีการมองว่ามีสิ่งผิดปกติหรือใบสั่งหรือไม่ เพราะทุกช่องทำไมถึงปฏิบัติเหมือนกันหมด นายปราโมชตอบว่า ไม่ได้มีใบสั่งจากรัฐบาลหรือ คมช. จะไปเสี่ยงทำอย่างนั้นทำไม แต่เป็นดุลพินิจของแต่ละสถานีที่อาจมีแนวทางปฏิบัติไม่ เหมือนกัน ปกติหากไม่มีปัญหา พออนุโลมได้ก็ไม่ไปก้าวก่าย ยืนยันได้ว่าไม่มีใครมาสั่งการอะไรพิเศษ แต่กลไกขั้นตอนมัน มีอยู่แล้ว เมื่อถามว่า พรรคพลัง ประชาชนระบุว่าได้รับความเสียหาย เพราะต้องจ่ายชดเชยค่าสัญญาเช่าเวลาแก่สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 และช่อง 7 หลังจากไม่ได้ออกสปอตโฆษณาของพรรค นายปราโมชตอบว่า สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 หรือช่อง 7 เป็นคลื่นทหารอาจมีดุลพินิจเพิ่มเติมของเขาเองได้

“ประพันธ์” โวยไม่ใช่หน้าที่ กกต.

ขณะที่นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี กกช.ว่าจะหารือ กกต. เพื่อหาข้อยุติว่าจะให้โฆษณาหาเสียงของพรรคพลังประชาชนเผยแพร่หรือไม่ว่า กกต.ยังไม่ได้รับหนังสือดังกล่าว แต่เป็นหน้าที่ของ กกช.ที่ต้องตรวจพิจารณาเนื้อหาของโฆษณา และขณะนี้ พ.ร.ฎ.การเลือกตั้งยังไม่มีผลบังคับใช้ ดังนั้น กกต.คงห้ามการโฆษณาของพรรคการเมืองไม่ได้ แต่เมื่อพ.ร.ฎ.การเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ คาดว่าในช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ พรรคการเมืองต้องยุติการดำเนินการ ไม่เช่นนั้นจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ฯ มาตรา 60 โดยเฉพาะป้ายคัตเอาต์ต่างๆ จะต้องถอนออก และติดตามที่ กกต.กำหนด ที่จะออกประกาศเรื่องของพื้นที่การปิดป้ายหาเสียงในปลายเดือน ต.ค.นี้ ส่วนกรณีการแบ่งเขต ส.ส.ทั้งแบบสัดส่วนและแบบเขตนั้น วันนี้ถือเป็นวันสุดท้ายที่พรรคการเมืองต้องส่งความคิดเห็นเสนอมายัง กกต. เพื่อให้ กกต.พิจารณากันอีกในวันที่ 16 ต.ค. โดยคาดว่า กกต.จะประกาศเขต ส.ส.ได้ก่อนมี พ.ร.ฎ.การเลือกตั้ง

ยันโฆษณา พปช.ต้องออกอากาศ

ทางด้านท่าทีของพรรคพลังประชาชนนั้น วันเดียวกัน เมื่อเวลา 15.15 น. ที่อาคารไอเอฟซีที ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ที่ทำการพรรคพลังประชาชน นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรค แถลงถึงกรณีที่คณะกรรมการตรวจพิจารณาการโฆษณาทางวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (กกช.) ไม่อนุญาตให้พรรคพลังประชาชนส่งภาพยนตร์โฆษณาชุด “ความสุข” ที่มีความยาว 60 วินาที ออกอากาศทางวิทยุโทรทัศน์ว่า หลังจากที่โฆษณาชุดความสุขของพรรคพลังประชาชนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกอากาศจาก คณะกรรมการชุดดังกล่าว วันนี้ทางพรรคได้รับทราบอีกว่า โฆษณาชุด “30 บาทต่อชีวิต” และโฆษณาชุด “ลูกพ่อ” ทั้ง 2 ชุด มีความยาวประมาณ 30 วินาที ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกอากาศด้วยเช่นกัน โดยให้เหตุผลแบบเดียวกันคือ ให้หารือกับคณะกรรมการการเลือก (กกต.) ก่อน ดัง นั้น พรรคจึงได้ทำหนังสือขออนุญาตส่งภาพยนตร์โฆษณาทั้ง 3 ชุด เพื่อออกอากาศทางวิทยุโทรทัศน์ถึงคณะกรรมการชุดดังกล่าว ลงวันที่ 15 ต.ค. 2550 ลงนามโดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรค เพื่อชี้แจงเหตุผลว่าพรรคตรวจสอบโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างละเอียดแล้วและเห็น ว่าไม่ขัดต่อกฎหมาย และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ดังนั้น การอ้างว่าจะต้องหารือกับ กกต.ก่อนนั้น เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งนายประพันธ์ นัยโกวิท คณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็พูดผ่านสื่อชัดเจนแล้วว่า กกต.จะไม่เข้ามายุ่งเรื่องนี้ในขณะนี้ จนกว่าจะมีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่คณะกรรมการฯจะไม่อนุญาตให้ออกอากาศ

“สมัคร” ขู่ฟ้องศาลถ้าถูกกีดกัน

นายชูศักดิ์กล่าวด้วยว่า ขณะนี้โฆษณาของพรรค การเมืองอื่นได้ออกอากาศเผยแพร่ทางโทรทัศน์ไปนานแล้ว โดยไม่ได้รับการท้วงติง เห็นว่าเรื่องนี้ เป็นการเลือกปฏิบัติ และไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงต้องทำหนังสือเพื่อที่จะขอเวลาเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง เพื่อขอเผยแพร่ผลงานและแนวนโยบายของพรรคออกทางโทรทัศน์ดังเช่นพรรคการเมือง อื่น และเนื้อหาโฆษณานั้น ยืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไข เพราะไม่ได้ ไปขัดหรือโจมตีใคร ถ้าหากมีความพยายามที่จะถ่วงเวลา จำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิ์ตามกฎหมายเท่าที่จำเป็น และหากเกิดความเสียหายจากการที่เราได้จองเวลาออกอากาศ เอาไว้ และทำให้เราถูกปรับ คณะกรรมการชุดดังกล่าวก็ต้องรับผิดชอบด้วย

ด้านนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า
ไม่มีเหตุผลที่จะห้ามสปอตโฆษณาของ พรรคพลังประชาชน เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บอกแล้วว่าไม่เกี่ยวข้อง และเมื่อพรรคตรวจดูแล้วไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดกฎหมาย ถ้าหากไม่อนุมัติก็จะเอาไปศาล จะเอาไปศาลไทย ไม่เอาไปศาลโลก

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือ พิมพ์ไทยรัฐ
http://www.cmprice.com/forum/?content=detail&wb_type_id=19&topic_id=18764

-----------------------------------------------------------------

พปช. โวยทหารสกัดกั้นผู้สมัครในพื้นที่ภาคอีสาน
อาทิตย์, 28.10.2007


โฆษกพลังประชาชน โวยกองทัพส่งทหารลงพื้นที่ในภาคตะวันอออกเฉียงเหนือสกัดกั้นผู้สมัครทุกรูป แบบ ด้าน “ชูศักดิ์” เรียกร้องกกต.แก้ระเบียบการหาเสียง พร้อมเชิญสื่อมวลชนและพรครคการเมือง ชี้แจง

วันนี้ (28 ต.ค.) ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน (พปช.) แถลงว่า มีรายงานจากผู้สมัครของพรรคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะที่จังหวัดศรีสะเกษ ว่ามีการส่งทหารไปประจำในพื้นที่ อำเภอละ 5 นาย เพื่อเกาะติดผู้สมัครและหาข้อมูลผู้สนับสนุนผู้สมัครพรรคพลังประชาชน และขอไม่ให้สนับสนุนผู้สมัคร พรรคเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวขัดต่อนโยบายนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ข้าราชการเป็นกลางในการเลือกตั้ง จึงขอตั้งคำถามถึงนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าจะดำเนินการอย่างไรกับกรณีที่เกิดขึ้น หาก กกต. หรือรัฐบาลต้องการพยานหลักฐานตามที่กล่าวอ้าง พรรคพร้อมนำประชาชนที่มาให้ข้อมูลมาเป็นพยานที่ กกต.

ด้าน นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงปัญหาการออกระเบียบว่าด้วยการหาเสียงเลือกตั้งของ กกต. ว่า ระเบียบการหาเสียงของ กกต. มีความสับสน วกวน ยากต่อการตีความ เช่น การปราศรัยหาเสียงที่ไม่ชัดเจนว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ ดังนั้น การที่ กกต.จะเชิญตัวแทนสื่อมวลชนและพรรคการเมืองมาหารือ จึงเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด และควรทำให้ชัดเจนโดยเร็ว เพื่อให้พรรคการเมืองต่าง ๆ สามารถดำเนินการหาเสียงได้ตามปกติ ไม่เช่นนั้นอาจจะมีผลกระทบกับกำหนดการปราศรัยและการหาเสียงในพื้นที่ เพราะในระเบียบของ กกต. กำหนดว่า พรรคการเมืองต้องหาเสียงในพื้นที่ที่รัฐจัดให้ ดังนั้น พรรคการเมืองจึงไม่สามารถไปปราศรัยในพื้นที่ที่ต้องการได้ ซึ่งพรรคคงต้องมีการปรับแนวทางในการหาเสียง อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูผลการประชุมของ กกต. ว่าจะมีการปรับปรุงระเบียบการหาเสียงอย่างไร

นาง ฐิติมา ฉายแสง และนายศุภชัย โพธิ์สุ รองโฆษกพรรคพลังประชาชน ร่วมกันแถลงข่าวกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการแบ่งพื้นที่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นาง ฐิติมา กล่าวว่า ในจังหวัดฉะเชิงเทรา มีการแบ่งเขตพื้นที่ที่ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. คือ ไม่มีสภาพความเป็นชุมชนเดียวกันที่ราษฎรมีการติดต่อกันเป็นประจำ และมีการแบ่งพื้นที่ที่การคมนาคมไม่สะดวก โดยในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการแบ่งเขตเลือกตั้งอำเภอท่าตะเกียบ ซึ่งไม่เคยอยู่ในเขตเลือกตั้งเดียวกันกับอำเภอบางปะกง อำเภอบ้านโพธิ์ และอำเภอแปลงยาว มาก่อน แต่กลับนำมาไว้ในเขตเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการคมนาคม ที่มีการแบ่งพื้นที่ ทำให้ประชาชนไปยังเขตเลือกตั้งได้ลำบาก เพราะโดยปกติประชาชนจะใช้เส้นทางผ่านอำเภอสนามชัยเขต ก่อนที่จะไปอำเภอท่าตะเกียบได้

นายศุภชัย กล่าวว่า จังหวัดนครพนม และหลายพื้นที่ในภาคอีสาน มีการแบ่งเขตหลายพื้นที่ที่มีปัญหา อาทิ การแบ่งพื้นที่ตามแนวยาวของแม่น้ำโขง และเขตเมืองที่แตกต่าง จากที่มีการแบ่งพื้นที่ ก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญ 2550 การแบ่งพื้นที่ดังกล่าวมุ่งประโยชน์เพื่อตัดฐานอำนาจเก่าของอดีต ส.ส. และทำให้การเลือกตั้งมีปัญหา ทั้งนี้ ทั้งจังหวัดฉะเชิงเทรา และนครพนม ทางผู้สมัครของพรรคได้ทำหนังสือขอความชัดเจนไปยัง กกต.แล้ว แต่ยังไม่มีคำตอบ.

http://www.nkcity.com/index.php?mod=article&cat=polities&article=771

-----------------------------------------------------------------

กก ต.พัทลุง เลี่ยงฟันปชป.ฐานทำป้ายหาเสียงเลียนแบบบัตรลต.

กกต.พัทลุง เลี่ยงฟันผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ กรณีขึ้นป้ายหาเสียงเลียนแบบบัตรเลือกตั้ง
พร้อมโยนกกต.กลาง เป็นผู้ชี้ขาด

จากกรณีที่ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ จ.พัทลุง ได้นำป้ายหาเสียงมีลักษณะคล้ายบัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตและแบบสัดส่วนมา ติดตามริมถนนสายต่างๆทั่วเมือง ทำให้ชาวบ้านที่พบเห็นเกิดการเข้าใจผิด เมื่อได้เห็นป้ายดังกล่าวเหมือนกับบัตรเลือกตั้งจริง และมีตราของพรรคประชาธิปัตย์ และตราของ กกต.ติดอยู่ด้วยกัน ทำให้เข้าใจว่าทางกกต.ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยล่าสุด พ.ต.อ.คำรณ ชิตโชติ ประธานกกต.จ.พัทลุง ก็ได้ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดเข้าไปสืบสวนและสอบสวนและฝ่าย กฎหมายมาร่วมประชุมร่วมกันพิจารณาในเรื่องดังกล่าว

โดย พ.ต.อ.คำรณ ชิตโชติ ประธานกกต. จ.พัทลุง กล่าวว่า สำหรับป้ายหาเสียงเลือกตั้งดังกล่าวเมื่อตรวจสอบตามกฎหมายเลือกตั้งตามหมด ที่ 1 ข้อที่ 7 พบว่า โดยลักษณะการกระทำดังกล่าวในเบื้องต้น ทาง กกต.จังหวัด ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ แต่การกระทำต้องดูที่เจตนาของผู้กระทำ ซึ่งในเรื่องนี่ทางกกต.จ.พัทลุง ได้รวบรวมหลักฐานเพื่อส่งให้ทางกกต.กลางพิจารณาต่อไป
จาก http://www.innnews.co.th/
http://downmerng.blogspot.com/2007/12/blog-post_9250.html

-----------------------------------------------------------------

"ทักษิณ" แนะ พปช.ปรับกลยุทธ์หลังผลโพลเป็นรองปชป.

"ทักษิณ" แนะพลังประชาชนปรับกลยุทธ์หาเสียง เร่งแจงถูกใส่ร้ายทุจริต-ไม่จงรักภักดี หลังผลสำรวจเป็นรองประชาธิปัตย์

แหล่งข่าวจากแกนนำพรรค พปช.เปิดเผย เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ว่า ผลสำรวจความนิยมของประชาชน ซึ่งจัดทำเป็นการภายในล่าสุด หลังการสมัครรับเลือกตั้ง ในพื้นที่ กทม.พบว่า ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคแบบเขตจะได้รับเลือกตั้ง 14 คน จาก 36 คน


ส่วน ใหญ่เป็นอดีต ส.ส.ส่วนผู้สมัคร ส.ส.ระบบสัดส่วนในกลุ่มที่ 6 (กทม. นนทบุรี สมุทรปราการ) นั้น ผลสำรวจระบุว่า พรรคจะได้การเลือกตั้งในอันดับที่ 1-3 คือนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ

เร่งแจง 'แม้ว' ถูกใส่ร้าย 'โกง-ไม่จงรักภักดี''โดยภาพรวมของผลการสำรวจบ่งชี้ให้เห็นว่า พรรคมีแนวโน้มที่จะได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเพิ่มขึ้น หากมีการชี้แจงข้อหาการทุจริตคอร์รัปชั่นที่กำลังถูกตรวจสอบ และข้อกล่าวหาเรื่องความไม่จงรักภักดีได้' แหล่งข่าวกล่าว และว่า ผลการสำรวจความนิยมในพื้นที่ กทม.ครั้งนี้ มีการรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ประเทศอังกฤษรับทราบผลแล้วผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีกระแสข่าวแกนนำพรรค พปช.ได้หารือเรื่องดังกล่าวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณให้คำแนะนำว่า ควรปรับกลยุทธ์ในการหาเสียงใหม่ โดยมอบหมายให้ทีมที่จะปราศรัยเร่งชี้แจงประชาชนเกี่ยวกับข้อกล่าวหา 4 ข้อที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อ้างในการปฏิวัติ พร้อมแก้ข้อกล่าวหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณว่าถูกใส่ร้ายป้ายสี โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความไม่จงรักภักดี นอกจากนี้ ยังต้องเร่งหาเสียงเน้นไปที่ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังรุนแรงขึ้น หากทำได้อย่างจริงจัง พรรคพลังประชาชนจะได้เสียงข้างมาก และอาจต้องให้นายสมัคร ลดการตอบโต้กับ คมช. แล้วให้นายสมัครอยู่นิ่งๆ ก่อน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของนายสมัคร โดยอาจมอบหมายให้แกนนำพรรคคนอื่นๆ ตอบโต้กับพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคคู่แข่งอื่นๆ แทนพปช.เพิ่มรอบจัดปราศรัยใหญ่กทม.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า พรรคกำหนดปราศรัยใหญ่ใน กทม.ก่อนการเลือกตั้งอีก 2 ครั้ง คือในวันที่ 7 ธันวาคม ที่วงเวียนใหญ่ และวันที่ 21 ธันวาคม ที่สนามหลวง

เพื่อชี้แจง กับประชาชนโดยเฉพาะปัญหาเรื่องเศรษฐกิจปากท้องที่นับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่องราคาน้ำ ส่วนการปราศรัยย่อยนั้นผู้สมัคร ส.ส.ทุกเขตจะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดอีกส่วนหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เดิมพรรคพลังประชาชนกำหนดปราศรัยใหญ่ใน กทม.เพียง 2 ครั้ง คือวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่สนามหลวงซึ่งจัดไปแล้ว และวันที่ 21 ธันวาคมที่สนามหลวง แต่ล่าสุดได้เพิ่มวันที่ 7 ธันวาคมอีกวันหนึ่ง'สมัคร' ลุยตลาด-เหน็บ 'หน้าแหลมฟันดำ'เวลา 16.30 น. วันเดียวกัน นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน (พปช.) ลงพื้นที่ปราศรัยย่อยที่บริเวณตลาดบางขุนศรี ในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 12 ช่วยนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายสมพรต สาระโกเศศ และปิติพงษ์ เต็มเจริญ ผู้สมัคร ส.ส.พรรค พปช.หาเสียง โดยมีประชาชนร่วมเข้าฟังประมาณ 200 คนก่อนการปราศรัยนายสมัครเดินทักทายพ่อค้าแม่ค้าผู้ที่มาจับจ่ายซื้อของใน ตลาด พร้อมกล่าวตอนหนึ่งว่า ' ขอฝากไปยังไอ้หน้าแหลม ฟันดำว่า การพูดคุยกับแม่ค้า จ่ายเงินซื้อของจะผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ เวลานี้มีคนไปปล่อยข่าวทั่วประเทศว่า นายสมัครมีแต่ด่าอย่างเดียว ไม่ได้พูดเรื่องนโยบาย'แก้ต่างให้แม้ว' 'ไม่ทุจริต-จงรักภักดี'จากนั้นนายสมัครได้กล่าวปราศรัย โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ยังคงเป็นการพูดถึงประโยชน์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำให้กับประเทศ แต่ถูกกลั่นแกล้งจนนำไปสู่การยึดอำนาจ ที่ผ่านมา การบริหารประเทศเหมือนทฤษฎีไอศครีม ไล่ไปตั้งแต่รัฐมนตรีไปจนถึงผู้ใหญ่บ้านก็ดูดกันคนละทีสองที กว่าจะถึงลูกบ้านก็เหลือเศษไอศครีมอยู่หน่อยเดียว

แต่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณเปลี่ยนใหม่เอาเงินใส่ลงไปถึงชาวบ้านโดยตรง พ.ต.ท.ทักษิณทำประโยชน์ได้มากมาย แต่ก็ถูกกล่าวหาทำอะไรก็ผิดไปหมด อย่างนี้เขาเรียกว่าทำดีอัปปรีย์ กินหัว ทำชั่วมีคนป้องกันให้ วันนี้มีบางพรรคการเมืองที่เล่นสกปรกไว้วันหลังจะมาแฉให้หมด

'พ.ต.ท.ทักษิณยังถูกกล่าวหาว่า ไม่จงรักภักดี วันนี้ผมจึงต้องมาชี้แจงเพื่อฉุดเขาทั้งผัวทั้งเมียขึ้นมา ส่วนอดีตกรรมการบริหารทั้ง 111 คน ก็เป็นคนมีคุณภาพก็ดันไปจัดการดังนั้นต้องเอาชีวิตเขาคืนมา' นายสมัครกล่าวชม 'อนุพงษ์ ' คนดีที่ถูกเลือกนายสมัครกล่าวว่า บ้านเมืองถูกทำร้ายมา 5 ปีแล้ว การปฏิวัติควรเลิกเสียที อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นคนดีที่ถูกเลือก เพราะประกาศว่าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง

และเมื่อพล.อ.อนุพงษ์มี โอกาสก็โยกย้ายนายทหารกว่า 84 นาย เพื่อไม่ให้มีการปฏิวัติ และไม่ชี้นำให้ลูกน้องเลือกพรรคที่ตัวเองต้องการ ซึ่งตรงข้ามกับคนที่พ้นตำแหน่งไปเป็นรองนายกฯ ยังมีบทบาทอบรมนายทหารให้เกลียดชังบางพรรค เปรียบว่าประชานิยมเป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งที่วันนี้หมดไปแล้ว

'ผมเป็นพวกขวาตกขอบ เลขาธิการพรรค (นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) เป็นซ้ายตกขอบ ยังอยู่ด้วยกันได้' นายสมัครกล่าว'เฉลิม'จวกแผน 99 วัน ปชป.ทำไม่ได้ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้สมัคร ส.ส.ระบบสัดส่วนกลุ่มที่ 6 พรรคพลังประชาชน (พปช.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ประกาศแผนปฏิบัติการเร่งด่วน 99 วัน ว่า

ขอถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ว่าจะนำเงินงบประมาณจากไหนมาใช้จ่ายตามแผนดังกล่าว เพราะงบประมาณรายจ่ายปี 2551 เริ่มใช้แล้วตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2550

หาก จะตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ยืนยันว่าไม่สามารถทำได้ เพราะงบประมาณรายจ่ายปี 2551 รัฐบาลชุดนี้ตั้งงบประมาณเอาไว้ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท แต่เก็บภาษีอากรได้น้อย ต้องไปกู้เงินจากที่อื่นมาอีก

'หากพรรคประชาธิปัตย์จะทำจริงก็ต้องรองบประมาณราย จ่ายปี 2552 ซึ่งก็ทำไม่ได้อีก เพราะตัวเลขเศรษฐกิจจะโตเพียง 4.6 เท่านั้น ดังนั้น การจะพูดจาอะไรพูดได้แต่การปฏิบัติจริงไม่ได้' ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

แหล่งที่มา :
หนังสือพิมพ์มติชน
Date : 2007-11-23 09:44:01


-----------------------------------------------------------------

อ้างแก้ รธน.เป็นสัญญา พปช.ใช้หาเสียงช่วงเลือกตั้ง

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการมหาดไทย กล่าววันนี้ (24 มี.ค.) ถึงแนวคิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ไม่จำเป็นต้องทำประชามติสอบถามประชาชน เพราะเป็นสัญญาของพรรคพลังประชาชน ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง การได้รับเลือกเป็นรัฐบาล ถือเป็นเสียงของประชาชน

เมื่อถามว่า ใครจะเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมด หรือเฉพาะมาตรา 237 นั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ต้องมีการหารือกันอีกครั้ง

ส่วนการนัดประชุมของ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยวันที่ 28 มี.ค. รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ได้สั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เปิดทางให้ผู้ที่มาร่วมชุมนุมกันอย่างเต็มที่ แต่หากพบว่า มีการว่างจ้างจะขอสาปแช่ง ทั้งนี้พรรคพลังประชาชนจะคุยกับนายประชา ประสพดี ส.ส.พรรคพลังประชาน จ.สมุทรปราการ ไม่ให้เคลื่อนไหวต่อต้าน


ขณะที่นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า จะเร่งพิจารณาอย่างเร่งด่วน เพราะว่า มีการใช้ช่องว่างของรัฐธรรมนูญ ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองทำให้รัฐบาลทำงานลำบาก ขณะที่ประชาชนก็ไม่สบายใจและประชาชนก็ต้องการให้มีการแก้ไข ดังนั้น การดำเนินการเรื่องนี้จะเร่งทำให้เร็วขึ้น โดยไม่ได้มุ่งหวังเพื่อจะให้มีผลกับคดียุบพรรค แต่เพื่อให้รัฐบาลบริหารประเทศได้ การแก้ไขรัฐ ธรรมนูญไม่จำเป็นต้องรอเวลาไปอีก 1-2 ปี ตามที่ฝ่ายค้านเสนอ

ส่วนจะต้องทำประชามติเพื่อสอบถาม ความเห็นของประชาชนหรือไม่นั้น นายจักรภพ กล่าวว่า รัฐบาลมีวิธีสอบถามความเห็นจากประชาชนหลายแนวทาง ทางหนึ่งคือการยกระดับศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ หรือ สายด่วน 1111 ของทำเนียบรัฐบาล ให้เป็นการสำรวจประชามติภายในของรัฐบาลเอง ขณะเดียวกันก็เปิดรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มนักวิชาการและฝ่ายต่างๆ ด้วย

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้เสนอให้เลขาธิการพรรคร่วมรัฐบาลหารือกัน แต่ส่วนตัวต้องการให้มีการแก้ไขในประเด็นของมาตรการ 237 ที่กำหนดไว้ ว่า บุคคลใดบุคคลหนึ่งไปกระทำการใด ก็ให้ถือว่าพรรคการเมืองกระทำการให้ได้มาซึ่งอำนาจ โดยวิถีทางที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญประเด็นนี้ ทำให้การยุบพรรคง่ายขึ้น ขัดต่อวิถีทางทางการเมือง ทั้งๆ ที่กรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ ไม่มีส่วนรู้เห็นจึงต้องการให้มีการแก้ไขในประเด็นดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะยังไม่เชื่อมโยงไปถึงการนิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหาร พรรค 111 คน

ส่วน น.พ.เหวง โตจิราการ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตยและแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่ง ชาติ (นปช.) กล่าวว่า า ขณะนี้มีประชาชนร่วมลงชื่อเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วประมาณ 20,000 คน เป้าหมายหลักคือต้องการให้กลับไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 โดยจะแก้บางประเด็นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย โดยยืนยันว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคพลังประชาชนที่ถูก วิจารณ์ว่าเสนอแก้รัฐธรรมนูญเพื่อหนีการยุบพรรค

ขณะ ที่มีรายงานว่า เวลาประมาณ 14.00 น.รศ.ดร. วรพล พรหมิกบุตร อาจารย์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ นักวิชาการ จะมีการแถลงข่าวถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ และขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องการยุบพรรค และการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์

.....ไทยรัฐออนไลน์

http://www.parliament.go.th/news/news_detail.php?prid=128640

-----------------------------------------------------------------

กกต.ยุบพปช. มีมติเอกฉันท์

ขณะที่รัฐบาลเจอ ปัญหาทางการเมืองเข้ารุมเร้าเล่นงานอย่างหนัก โดยมุ่งเฉพาะพรรคพลังประชาชนนั้น ล่าสุดคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคพลังประชาชน

ตัวบทกฎหมายอ้างอิง

พระราชบัญญัติประกอบรัฐ ธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550

มาตรา95 เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียน หรือเมื่อนายทะเบียนได้รับแจ้งจากคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและได้ตรวจ สอบแล้วเห็นว่าพรรคการเมืองใดกระทำการตามมาตรา 94ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งแจ้งต่ออัยการสูง สุด พร้อมด้วยหลักฐาน เมื่ออัยการสูงสุดได้รับแจ้งให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในสาม สิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ถ้าอัยการสูงสุดเห็นสมควร ก็ให้ยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าว ถ้าอัยการสูงสุดไม่ยื่นคำ

ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้นายทะเบียน ตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่งโดยมีผู้แทนจากนายทะเบียนและผู้แทนจากสำนักงาน อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน แล้วส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ในกรณีที่คณะทำงาน

ดังกล่าวไม่อาจหาข้อยุติเกี่ยวกับการ ดำเนินการยื่นคำร้องได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แต่งตั้งคณะทำงาน ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจยื่นคำร้องเอง

หากนายทะเบียนเห็น สมควรจะให้ระงับการดำเนินการของพรรคการเมืองซึ่งกระทำการตามมาตรา 94 ให้นาย ทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ การเลือกตั้งแจ้งต่ออัยการสูงสุดขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งระงับการกระทำดัง กล่าวของพรรคการเมืองไว้เป็นการชั่วคราว

ในกรณีที่ศาลรัฐ ธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใดแล้ว ให้นายทะเบียนประกาศคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นในราชกิจจานุเบกษา และห้ามมิให้บุคคลใดใช้ชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองซ้ำ หรือพ้อง หรือมีลักษณะคล้ายคลึงกับชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองที่ถูกยุบนั้น เพื่อแสวงหาประโยชน์ในการดำเนินกิจการทางการเมือง หรือประโยชน์อื่นใดในทำนองเดียวกัน

รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

กกต.เอกฉันท์ยุบพลังประชาชน

เมื่อวันที่ 2 ก.ย. เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. แถลงภายหลังการประชุม กกต.ว่า ที่ประชุม กกต.มีมติเอกฉันท์ทั้ง 5 เสียง เห็นชอบตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณายุบพรรคพลังประชาชน ให้ส่งกรณีการยุบพรรคพลังประชาชน เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคทุจริตเลือกตั้ง ไปอัยการสูงสุดเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 95 ที่ระบุว่า เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียน หรือเมื่อนายทะเบียนได้รับแจ้งจากคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและได้ตรวจ สอบแล้วเห็นว่าพรรคการเมืองใดกระทำการตามมาตรา 94 ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งแจ้งต่ออัยการสูงสุด พร้อมด้วยหลักฐาน เมื่ออัยการสูงสุดได้รับแจ้ง ให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ถ้าอัยการสูงสุดเห็นสมควร ก็ให้ยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าว ถ้าอัยการสูงสุดไม่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้นายทะเบียนตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่งโดยมีผู้แทนจากนายทะเบียนและผู้แทน จากสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน แล้วส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ในกรณีที่คณะทำงานดังกล่าวไม่อาจหาข้อยุติเกี่ยวกับการดำเนินการยื่นคำร้อง ได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แต่งตั้งคณะทำงาน ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจยื่นคำร้องเอง

ย้ำศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดสั่งยุบ

ผู้สื่อข่าวถามว่าการลงมติครั้งนี้อาจ จะส่งผลให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุมมากขึ้น เป็นประเด็นที่ กกต. ได้หารือกันก่อนหรือไม่ นายสุทธิพลตอบว่า ไม่ได้ มีการพูดถึงเรื่องนี้ เนื่องจากว่า กกต.มีการนัดหมายพิจารณากรณีการส่งเรื่องยุบหรือไม่ ยุบพลังประชาชนไปยังอัยการสูงสุดมานานแล้ว นอกจากนี้ยังมีการเชิญคณะอนุกรรมการชุดสอบสวนออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมจึงไม่ ต้องมีการลงมติออกไปอีก เมื่อถามว่าการมีมติออกมาเช่นนี้ กกต. เกรงว่าจะตกเป็นเป้าทางการเมืองหรือไม่ นายสุทธิพลตอบว่า คงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะ กกต.ได้พิจารณามาค่อนข้างนาน ยืนยันไม่ได้ใช้ 2 มาตรฐาน การยุบพรรคสิ้นสุดที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาด อย่างไรก็ตาม การลงมติกรณีนี้มีความแตกต่างจากการพิจารณากรณียุบพรรคชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตย เพราะกรณียุบพรรคพลังประชาชนมีคำพิพากษาศาลฎีกามาประกอบด้วย ทั้งนี้ การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น เป็นดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 98

?ชัย? ชี้ ยุบ พปช.ต้องใช้เวลาเป็นปี

วันเดียวกัน เมื่อเวลา 12.15 น. ที่รัฐสภา นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงถึง กกต.มี มติยุบพรรคพลังประชาชนจะยิ่งทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นหรือไม่ นายชัยตอบว่า รู้มานานแล้ว แต่กระบวนการต้องใช้ระยะเวลาอีกเป็นปี เพราะ กกต.ต้องส่งให้อัยการสูงสุดสอบก่อน เหมือนคดียุบพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เลย

พปช.ไม่หวั่น กกต.มี มติให้ยุบ

วันเดียวกัน เวลา 14.00 น. ได้มีการประชุมพรรคพลังประชาชน โดยว่าที่ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน แถลงว่า ที่ กกต.มีมติ เอกฉันท์ให้ยุบพรรคพลังประชาชน และส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเพื่อส่งให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปนั้น รู้สึกเฉยๆ ไม่ตื่นตระหนก เพราะได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าผลจะออกมาอย่างไร ยังเป็นเพียงกระบวนการเบื้องต้น ยังมีขั้นตอนอีกนานกว่าที่อัยการสูงสุดจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ส่วนการต่อสู้คดียุบพรรคนั้น ทางพรรคได้ตั้งทีมทนายและฝ่ายกฎหมายเพื่อต่อสู้คดีอย่างถึงที่สุด แม้จะยากแต่เราจะไม่ท้อ ผลจะออกมาอย่างไรเราพร้อมเคารพการชี้ขาดของศาล ตราบมีลมหายใจพรรคก็ขอต่อสู้ทางการเมืองต่อไป

ขอดิ้นสู้คดีในชั้นศาล รธน.

ทางด้านนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม กล่าวว่า ตอนนี้ยังเป็นเพียงความเห็นของ กกต. ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของอัยการสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงขั้นตอนของการกล่าวหา พรรคยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ จะผิดหรือไม่ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญ ขณะนี้กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะประชุมพรรคได้หรือไม่ เพราะมีประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งในที่ประชุม ครม.ก็มีการหารือกันว่า แต่ละพรรคจะประชุมกันได้หรือไม่เพราะเกรงจะผิดข้อกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่าคงไม่สามารถประชุมได้ เมื่อถามว่า การยุบพรรคจะทำให้สถานการณ์ บานปลายหรือไม่ นายทรงศักดิ์ตอบว่า คงไม่ เพราะเป็นแนวทางซึ่งอยู่ในกรอบของกฎหมาย เรื่องก็เดินต่อไป แต่ในทางการเมือง พรรคการเมืองต้องต่อสู้ โดยส่งพยานหลักฐานเอกสารชี้แจง แต่ยังไม่มีเรื่องการย้ายพรรค เรายังรวมกันเป็นพรรคพลังประชาชนอยู่ แต่พรรคที่จดทะเบียนไว้ก็มีอยู่เยอะ

...

ขอ ขอบคุณรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.decha.com/main/showTopic.php?id=2340

-----------------------------------------------------------------

จบเห่พปช.-มฌ.-ชท. ศาลรธน.สั่งยุบหมด!ถอนสิทธิ'กก.บห.'5ปี ครม.สมชาย'กระเด็น'

Image

ศาลรธน.สั่งยุบ 3 พรรค "พลังประชาชน-มัชฌิมาฯ-ชาติไทย" โดนกันถ้วนหน้า ทั้งหน.พรรค-กก.บห. เป็นเวลา 5 ปี ครม.สมชายกระเด็นตกเก้าอี้ทั้งคณะ

วันที่ 2 ธ.ค. 2551 ที่ศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ก่อนเข้าแถลงด้วยวาจาต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้ย้ายสถานที่มาพิจารณาที่นี่ว่า ไม่รู้สึกกังวลกับคำตัดสินดังกล่าว โดยจะยึดตามข้อเท็จจริง และยังมีกำลังใจที่ดี

เวลา 10.10 น. ที่ห้องพิจารณาคดี ที่ 1 สำนักงานศาลปกครอง นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ได้แถลงด้วยวาจาต่อหน้าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในส่วนของการพิจารณาคดียุบพรรคชาติไทย โดยปฏิเสธว่า กรรมการบริหารพรรคชาติไทย ไม่ได้มีการซื้อเสียงอย่างที่ถูกกล่าวหา และตลอดเวลาที่ผ่านมา พรรคชาติไทยได้กำชับสมาชิกทุกคนให้หาเสียงเลือกตั้งด้วยความโปร่งใส

นาย บรรหาร กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า ขอความเมตตาจากศาล เพื่อให้พรรคไม่ถูกยุบ

ทั้งนี้ภายหลังที่แถลงเสร็จสิ้น ศาลได้ให้นายบรรหารรอฟังคำตัดสินในวันเดียวกันเลย

“เจ๊ เป้า” มาถึงศาล รอแถลงปิดคดีคนต่อไป

เวลา 10.05 น. นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมัฌชิมาธิปไตย ได้เดินทางมาถึงศาลปกครอง เพื่อร่วมรับฟังการพิจารณาแถลงปิดคดียุบพรรคแล้ว โดยขณะที่นางอนงค์วรรณลงมาจากรถตู้นั้น ผู้สื่อข่าวและช่างภาพก็ต่างกรูเพื่อที่จะเข้าไปสัมภาษณ์ แต่ขณะเดียวกัน กลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วน ก็ได้อาศัยจังหวะนั้น ขึ้นบันไดไปประชิดหน้าทางเข้าสำนักงานศาลบนอาคารพิจารณาคดี

ด้านนาง อนงค์วรรณ ไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ กับผู้สื่อข่าว จากนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงก็กลับมายืนตรงข้างล่างเหมือนเดิม โดยมีรายงานว่า กลุ่มคนเสื้อแดงเหล่านั้นคือกลุ่มคนที่มาให้กำลังใจนางอนงค์วรรณ

ศาลปค.เตือนผู้ชุมนุม “ละเมิดอำนาจศาล”

Imageนายสุชาติ เวโรจน์ รักษาการเลขาธิการศาลปกครอง เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการเข้าปิดล้อมอาคารศาลปกครองของผู้ชุมนุมนปช.ว่า ขณะนี้กลุ่มผู้ชุมนุมได้เข้ามาในพื้นที่ศาลปกครองแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรึงกำลังกันไว้ไม่ให้บุกรุกเข้าไปภายในตัวอาคารได้

นาย สุชาติ กล่าวว่า การรุกล้ำเข้ามากระทำการใดๆในเขตรั้วศาลนั้น ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

อย่างไรก็ ตาม กลุ่มผู้ชุมนุม นำโดย นายชินวัตร หาบุญพาด ได้ใช้เครื่องขยายเสียงประกาศเจตนรมณ์อย่างต่อเนื่องว่า จะยอมให้มีการแถลงปิดคดีในวันนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด และมีการกล่าวโจมตีการทำงานของตุลาการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ร่วมชุมนุมจำนวนประมาณ 200 คนต่างส่งเสียงโห่ร้องเป็นระยะๆ เช่นกัน

“เจ๊เป้า” สะอื้น ตำหนิกกต.ไม่ให้ความเป็นธรรม

เวลา 10.40 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 1 ที่ศาลปกครอง นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ได้เข้าแถลงด้วยวาจาต่อหน้าคณะตุลาการศาลรัฐรรรมนูญ โดยยืนยันว่า พรรคไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหาเสียงของนายสุนทร วิลาวัลย์ ส.ส.แบบแบ่งเขต จ.ปราจีนบุรี เนื่องจากต่างคนต่างลงพื้นที่หาเสียง ประกอบกับช่วงนั้นมีความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในพรรคระหว่างนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคฯ และนายธนพร ศรียากูล นายทะเบียนพรรคตามที่ปรากฎเป็นข่าว ส่งผลให้กรรมการพรรคทั้ง 29 คน ซึ่งเป็นเป็นกลุ่มอยู่แล้ว ไม่เป็นเอกภาพ จึงแสดงให้เห็นว่า กรรมการบริหารพรรคไม่ได้รู้เห็นเป็นใจถึงการหาเสียงดังกล่าว

"เรื่อง ดีๆ ยังคุยกันไม่ได้เลย แล้วเรื่องการรู้เห็นเป็นใจเรื่องอื่นๆ จะทราบได้อย่างไร”นางอนงค์วรรณกล่าวพร้อมตำหนิว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กตต.) ไม่ละเอียดรอบคอบในการแสวงหาข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมแก่พรรค โดยพบว่า มีรายละเอียดที่น่าสงสัย มีพิรุธ ของการทำงานของเจ้าหน้าที่สืบสวน สอบสวน ของกกต.

ในช่วงสุดท้าย นางอนงค์วรรณได้หลั่งน้ำตาร้องไห้ พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงสั่นสะอื้นว่า ขอความเป็นธรรมต่อศาลรัฐธรรมนูญทุกท่าน ได้โปรดวินิจฉัยยกคำร้องไม่ยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย และได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับกรรมการบริหารพรรคด้วย

Image"มีสุภาษิต ว่าไว้ ยอมปล่อยคนผิดไปร้อยคน ดีกว่าลงโทษคนไม่ผิดคนเดียว"นางอนงค์วรรณกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนางอนงค์วรรณแถลงเสร็จ ศาลให้นางอนงค์วรรณนั่งรอคำตัดสินเหมือนนายบรรหาร สำหรับพรรคพลังประชาชน ไม่ได้ส่งตัวแทนมาแถลงปิดคดีแต่อย่างใด โดยศาลได้นัดพิพากษาคดีในบ่ายวันเดียวกันทันที

ผู้ชุมนุม เสื้อแดงเมินคำขอให้ลดเสียงดัง

เวลา 10.45 น. นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน ศาลปกครอง ได้มาพบนายชินวัตร หาบุญพาด แกนนำกลุ่มนปช.ที่มาชุมนุมที่บริเวณศาลปกครอง เพื่อขอความร่วมมือกลุ่มนปช.ให้ลดเสียงดังในการชุมนุม เนื่องจากทำให้ศาลไม่สามารถพิจารณาคดีอื่นได้ โดยการกระทำดังกล่าว ถือว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาล ซึ่งทางแกนนำก็ยอมรับ และกลับไปบอกผู้ชุมนุม

อย่าง ไรก็ตาม หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมนปช.ก็ยังใช้รถขยายเสียงกล่าวโจมตีตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญ และต่อต้านการปฏิวัติอย่างต่อเนื่องเหมือนเดิม ด้วยเสียงดังเหมือนเดิม

ทีมกม.พปช.ตั้งแง่ ศาลย้ายสถานที่ไม่ยอมแจ้งล่วงหน้า

อีก ด้านหนึ่ง นายยืนหยัด ใจสมุทร ฝ่ายกฎหมายของพรรคพลังประชาชน กล่าวภายหลังศาลรัฐธรรมนูญย้ายสถานที่การแถลงปิดคดียุบพรรคไปที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ ว่า กรณีนี้ไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หรือแจ้งอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรให้กับพรรคพลังประชาชน ในฐานะคู่กรณี ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปตามกำหนดได้ ถือเป็นการผิดหลักเกณฑ์ พรรคพลังประชาชนจะถือว่าผลที่ออกมาเป็นโมฆะ

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งอย่างไร พร้อมที่จะเคารพ และมองว่าหากพรรคพลังประชาชนถูกตัดสินให้ยุบพรรค จะยังคงเหลือส.ส.อีก 216 คน ส่วนตัวจะย้ายไปพรรคเพื่อไทยแน่นอน เชื่อว่าหากยังสามารถจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลได้ จะเป็นรัฐบาลได้เหมือนเดิม และจะมีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ส่วนจะเป็นใครยังไม่มีการพูดถึง อย่างไรก็ตาม ไม่เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีคนกลาง หรือคนนอก เพราะไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และเชื่อว่าหลังวันที่ 4 ธ.ค.สถานการณ์จะคลี่คลาย และขอยืนยันว่าพรรคไม่ได้อยู่เบื้องหลังกลุ่มคนเสื้อแดง

ศาลรธน.เริ่มอ่านคำพิพากษาคดียุบพรรคพปช.แล้ว

Imageเวลา 12.10 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้เริ่มอ่านคำพิพากษาคดีพิจารณายุบพรรคพลังประชาชนแล้ว โดยมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโมเดิร์นไนน์ โดยนายชัช ระบุว่า มีกฎหมายและรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติเด็ดขาดว่า ถ้ากรรมการบริหารพรรคกระทำความผิดพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือก ตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว.แล้ว ย่อมถือว่าเป็นการได้อำนาจการปกครองโดยมิได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ จึงให้มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองดังกล่าวและให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการ บริหารด้วย ไม่เปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลพินิจ ศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจตัดสินเป็นอย่างอื่นได้ จึงมีคำสั่งยุบพรรคพรรค ประชาชนและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารอยู่ในขณะที่ กระทำความผิดเป็นเวลา 5 ปี

“มัชฌิมา-ชาติไทย” ก็ไม่รอด โดนเหมือนกัน

ต่อ มาศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยของพรรคมัชฌิมาธิปไตย ว่า มีเหตุสมควรยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย เพราะนายสุนทร วิลาวัลย์ กระทำความผิดเลือกตั้ง และให้เพิกถอนสิทธิหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ที่รักษาการในขณะที่กระทำความผิดเป็นเวลา 5 ปี

จากนั้นเป็นคิวของพรรคชาติไทย ซึ่งก็โดนคำตัดสินให้ยุบพรรคชาติไทย และตัดสิทธิหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค เป็นเวลา 5 ปีเช่นกัน

ครม.สมชายกระเด็นทั้งคณะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบ 3 พรรค โดยเฉพาะกรณีพรรคพลังประชาชน ที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และเคยเป็นรองหัวหน้าพรรคในช่วงที่เกิดปัญหานั้น ทำให้นายสมชายหมดสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีในทันที

ทั้งนี้มีรายงาน ว่า ในการประชุมครม.นัดสุดท้ายวันนี้ ช่วงที่กำลังจะปิดประชุม ก็มีโน๊ตจากเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคพลังประชาชน ทำให้รัฐมนตรีหลายคนล่ำลากัน และในพรรคร่วมรัฐบาลจะนัดหารือกันเพื่อสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวัน พฤหัสบดีที่ 4 ธ.ค.นี้

พธม.รอหารือแกนนำกำหนดท่าทีหลังศาลรธน.ตัดสินยุบพรรค

ที่ ท่าอากาศยานดอนเมือง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรค ว่า ทางแกนนำจะมีการคุยกันอีกทีว่าจะกำหนดท่าทีเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป ยืนยันว่าพันธมิตรฯจะไม่เคลื่อนพลไปกดดันที่ศาลแน่นอน เพราะการที่นปช.ไปปิดล้อมศาล ถือเป็นการแสดงให้เห็นว่าศาลยังไม่ได้รับความปลอดภัย แล้วประชาชนจะปลอดภัยได้อย่างไร

ขณะที่บรรยากาศที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชชิมาธิปไตย กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปักหลักอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิก็ มีการแสดงความดีใจ โบกมือตบส่งเสียงดัง โบกธงชาติ พร้อมโห่ร้องอย่างมีความสุข

http://www.tessaban.com/newsdetail.php?id=152

-----------------------------------------------------------------

ASTVผู้จัดการรายวัน
พันธมิตรฯประกาศจุดยืน รัฐบาลใหม่ต้องไม่ใช่นอมินีทักษิณ
ย้ำต้องพิทักษ์สถาบันฯ จัดการแก๊งจาบจ้วงเบื้องสูง ห้ามแก้ไขรัฐธรรมนูญฟอกผิดระบอบทักษิณ ยกเลิกพาสปอร์ตแม้ว พร้อมลากคอมาดำเนินคดีในไทย จัดการตำรวจที่เข่นฆ่าประชาชน หากเพิกเฉยเจอพลังมวลชนขับไล่แน่ ยันไม่ได้เครื่องมือพรรคการเมืองใด และพร้อมจะดูแลครอบคัวผู้สูญเสีย และบาดเจ็บ เพื่อสานต่ออุดมการณ์

เมื่อเวลา 10.30 น.วานนี้(12 ธ.ค.) แกนนำพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 ได้ร่วมหารือกันที่บ้านพระอาทิตย์ เพื่อกำหนดท่าที่ต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 15 ธ.ค.นี้ และภารกิจของพันธมิตรฯ ที่จะดำเนินการต่อจากนี้ไป
ต่อมา เวลา 12.30 น. หลังการหารือ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ได้อ่านแถลงการณ์พันธมิตรฯ เรื่อง คำเตือนก่อนเข้าสู่อำนาจ โดยมีเนื้อหากล่าวถึงการประกาศจุดยืนต่อการเลือกนายกรัฐมนตรี ที่กำลังจะมีขึ้นว่า พันธมิตรฯจะต่อต้านนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด ที่มาจากพรรคเพี่อไทย และคัดค้านนายกรัฐมนตรีทุกพรรคการเมืองที่มีรัฐบาลผสมของพรรค เพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองหุ่นเชิดของระบอบทักษิณ ขณะเดียวกันก็จะเฝ้าติดตามการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองในระบบการเมืองเก่า ว่าจะสามารถฝ่าข้ามวิกฤตการณ์ทางการเมือง จัดการกับระบอบทักษิณ และเข้าสู่การเมืองใหม่ได้หรือไม่

**ยื่น13ข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่
ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ขอเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชน และวีรชน ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลชุดใหม่ 13 ประการ อาทิ เร่งรัดดำเนินคดีดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ต่อ นายจักรภพ เพ็ญแข นายวีระ มุสิกพงศ์ เว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุชุมชน และปราบปรามขบวนการดูหมิ่น และล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งหมด โดยด่วน เป็นลำดับแรก
ต้องแสดงจุดยืนที่จะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 หรือกฎหมายอื่น ที่จะฟอกความผิด หรือเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมือง ต้องส่งเสริมให้คนดีมีความสามารถมาปกครองบ้านเมือง ป้องกันมิให้คนไม่ดีมีอำนาจ บริหารราชการแผ่นดิน เร่งรัดคดีทุจริตคอร์รัปชัน ให้เข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล โดยปราศจากการแทรกแซงทั้งทางตรง และทางอ้อม ยกเลิกหนังสือเดินทางของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยทันที พร้อมทั้งเร่งรัดให้มีการส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ยกปราสาทพระวิหาร และพื้นที่โดยรอบให้กับกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว เร่งรัดสลายรัฐตำรวจ โยกย้ายข้าราชการตำรวจที่ใส่ความ กลั่นแกล้ง และคุกคามประชาชน ผู้เข้าร่วมการชุมนุม และผู้สนับสนุนการชุมนุม รวมทั้งดำเนินการเอาผิดกับอันธพาลการเมืองของรัฐบาล ที่ทำร้าย และเข่นฆ่าผู้ชุมนุม จนถึงที่สุด ยุติการใช้สื่อของรัฐโฆษณาชวนเชื่อ และโกหกหลอกลวงประชาชน โดยเฉพาะรายการความจริงวันนี้
ยกเลิกโครงการเมกะโปรเจกต์ ที่ใช้จ่ายเกินตัว และไม่โปร่งใส ที่จะทำให้ชาติล่มจม รวมทั้งขอให้แสดงจุดยืนที่จะส่งเสริม สนับสนุน ประชาชนในการสร้างการเมืองใหม่ ตามแนวทางของพันธมิตรฯ เพื่อป้องกันมิให้เกิดวิกฤติทางการเมืองในอนาคตอีกต่อไป
หากข้อเรียกร้อง และเจตนารมณ์ของพันธมิตรฯ ถูกปฏิเสธ หรือเพิกเฉย พันธมิตรฯก็พร้อมจะดำเนินการเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป ( อ่านรายละเอียดแถลงการณ์พันธมิตรฯ หน้า 2 )

**พร้อมทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล
จากนั้น นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงการทำหน้าที่ของแกนนำพันธมิตรฯต่อจากนี้ไป ว่า จะขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 70 เป็นพลเมือง เพื่อตรวจสอบการทำหน้าที่ของนักการเมือง ป้องกัน “ระบอบทักษิณ” กลับมาทวงคืนอำนาจ รวมทั้งคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อฟอกผิด แต่จุดมุ่งหมาย เพื่อการปฏิรูปการเมืองใหม่ ยังไม่สัมฤทธิผล และขอต่อต้านนายกรัฐมนตรีที่จะมาจากพรรค เพื่อไทย เพราะถือเป็นหุ่นเชิดระบอบทักษิณ
นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงการเปลี่ยนขั้วพรรคการเมือง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ ยังไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าจะนำไปสู่การเมืองใหม่ ส่วนแถลงการณ์พันธมิตรฯ ที่ออกมาในครั้งนี้ ถือเป็นมติอย่างเป็นทางการของแกนนำทั้งรุ่น 1 รุ่น 2 ส่วนที่มีการวิพากษวิจารณ์ในรายการ หรือเวทีต่างๆ ถือเป็นความคิดเห็นส่วนตัว และพันธมิตรฯ ยืนยันที่จะคอยดูแลครอบครัวของผู้ที่บาดเจ็บ และเสียชีวิต ซึ่งถือเป็นการสานต่ออุดมการณ์ และขอย้ำว่า พันธมิตรฯ ยังมีภารกิจที่จะต้องดำเนินการแน่นอน ส่วนนักการเมือง ใครจะไปใครจะมาจะต้องถูกตรวจสอบทั้งหมด เพราะพันธมิตรฯไม่ได้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า เจตนารมณ์ของเราจะไม่คำนึงถึงตัวบุคคล แต่ขอให้ยืนอยู่บนหลักการทั้ง 13 ข้อ ที่ได้ปรากฏอยู่ในแถลงการณ์ ส่วนการเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสมนั้น แล้วแต่สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนด และพันธมิตรฯไม่ได้ให้ความสำคัญกับการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จะมีขึ้นในวันนี้(13ธ.ค.) พร้อมชี้แจงว่าหลังการยุติชุมนุม มีของที่เหลือจากการบริจาค ทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคมากมาย ทางแกนนำไม่ได้นำใช้ส่วนตัว แต่ได้นำไปบริจาคให้สาธารณกุศลหรือมูลนิธิ นำไปใช้ต่อไป

**มีแผนนัดชุมนุมเดือนละครั้ง
พล.ต.จำลอง กล่าวยืนยันว่า พันธมิตรฯ ไม่ได้ตั้งขึ้นมา เพื่อสนับสนุนพรรคการเมือง หากไม่ออกมาคัดค้านแก้รัฐธรรมนูญ เชื่อว่าวันนี้กระบวนการยุติธรรมถูกโค่นล้มไปหมดแล้ว ส่วนหนึ่งพันธมิตรประสบความสำเร็จในการชุมนุมเดินถึงตรงจุดนี้ ต้องขอขอบคุณสื่อที่เผยแพร่ข่าวจนประชาชนออกมาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก และกำลังพิจารณาร่วมกันว่า จะทำอย่างไรไม่ให้พันธมิตรฯ ต้องยุติบทบาทไปโดยปริยาย ซึ่งมีข้อเสนอว่า 1 เดือนอาจจะเจอกันครั้ง โดยหาสถานที่ชุมนุมขนาดใหญ่ พร้อมกล่าวว่า ยินดีชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการชุมนุมตามคำพิพากษาศาล แต่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจฟ้องร้องอันเป็นเท็จ ทั้งเรื่องการตั้งข้อหาก่อการร้าย หรือการตรวจค้นอาวุธ ถือว่ายกเฆมทั้งสิ้น และขอยืนยันว่า เราชุมนุมกันโดยปราศจากอาวุธ และแกนนำทุกคน จะไม่หนีไปต่างประเทศแน่นอน
ด้านนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ ตอบคำถามผู้สื่อข่าว กรณีมีสถานภาพ สวมหมวก 2 ใบ คือเป็นแกนนำพันธมิตรฯ และเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะวางตัวอย่างไรนั้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพันธมิตรฯ และยังเร็วเกินไปที่จะตอบคำถาม เพราะยังไม่แน่ว่าพรรคประชาธฺปัตย์ จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ แต่ในเวลานี้เมื่อมานั่งประชุมร่วมกับแกนนำพันธมิตรฯ ต้องคำนึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพราะใหญ่กว่าพรรคการเมือง

http://www.boybdream.com/manager-news-content.php?newid=133336

-----------------------------------------------------------------

พันธมิตรลั่น! เคลื่อนไหวแน่หากสภาแก้รัฐธรรมนูญ

พันธิมตร ลั่น เคลื่อนไหวทันที หากสภา เดินหน้า พิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ป้อง สนธิ ควงหญิง ไม่เสียหาย เพระไม่มีตำแหน่งทางการเมือง

นาย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ทางพันธมิตรจะติดตามการทำงานของรัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อีกทั้งการตั้ง ส.ส.ร.3 และจะเคลื่อนไหวทันที่ที่รัฐบาลทำการดำเนินการแก้ไขทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแกนนำ พันธมิตรว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ ขณะนี้ พ.ต.ท. ทักษิณ ได้พ่ายแพ้ทางการเมืองแล้ว เนื่องจากการดำเนินการต่างๆถือเป็นการประจานรัฐบาลชุดนี้ของไทย ถ้ายิ่งออกมาเคลื่อนไหวถือว่าจะเกิดการเสียหายกว่าเดิม

นาย ปานเทพ ว่า ความจริงแล้วบุคคลที่มีข้อหาทางกฏหมายอยู่นั้น ควรที่ถูกเพิกถอนหนังสือเดินทางทุกประเทศตามกฏหมายของกระทรวงการต่างประเทศ ตนยืนยันว่าพันธมิตรจะทำการกดดันอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่พ.ต.ท. ทักษิณได้หย่ากับ พจมานนั้น ทางแกนนำได้ประเมินกันว่า น่าจะเกิดจากกระทำที่ต้องการที่จะแยกกันเคลื่อนไหวทางการเมืองมากที่สุด เพื่อที่จะให้คุณหญิง พจมานมาเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในประเทศและทักษิณเคลื่อนไหวนอกประเทศ หรืออาจเป็นประเด็นที่อาจหย่าร้างกันจริง และเพื่อปกป้องทรัพย์สินที่อาจถูกยึด ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตรงนี้เป็นเกมการเมือง ดังนั้นพันธมิตรจึงมีความชอบธรรมที่จะขับไล่รัฐบาลต่อไป ที่ทางรัฐบาลยังคงใช้อำนาจปกป้องนักโทษอยู่นั้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรม ขณะเดียวกันการเคลื่อยไหวของทักษิณ ต่างประเทศหลายประเทศเริ่มที่จะหมดความชอบธรรมในตัวเขาแล้ว

นาย ปานเทพ กล่าวถึงกรณีที่มีคลิปเหมือนนาย สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรเดินควงผู้หญิงว่ายังไม่มีความชัดเจน ว่าเป็นรูปนายสนธิ จริงหรือไม่ หรือเป็นการพยายามที่จะให้เป็นนาย สนธิ แต่ถ้าเป็นจริงก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร เนื่องจากแกนนำพันธมิตรมีวีธีชีวิตธรรมดา ที่ไม่เหมือนกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องวางตัวให้เหมาะสมในการจะพา ใครเดินไปไหนต่อไหน

ขอบคุณเนื้อหาข่าว จาก โพสต์ทูเดย์
http://talk.mthai.com/topic/36400

-----------------------------------------------------------------

วันพุธ ที่ 7 ตุลาคม 2552
"พิภพ" ลั่นห้ามแก้ รัฐธรรมนูญ แม้มาตราเดียว พร้อมนัดวันชุมนุมใหญ่...

วันนี้เป็นวันครบ๑ ปี ที่ประชาชนบริสุทธิ์สูญเสียไป ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ งานรำลึกวีรชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสังหารด้วยแก๊สน้ำตา จัดงาน ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

“พิภพ” ย้ำ มติ 5 แกนนำพันธมิตรฯ “7 ตุลา” ต้องไม่สูญเปล่า พร้อมนำพี่น้องชุมนุมใหญ่ปกป้องรัฐธรรมนูญ ไม่ให้มีการแก้ไขเพื่อนักการเมืองแม้แต่มาตราเดียว เตรียมขอมตินัดวันชุมนุมใหญ่ คัดค้านแก้ไข รธน.

เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น.วันที่ 7 ต.ค.นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในงานรำลึก “7 ตุลา ต้องไม่สูญเปล่า” ว่า มติของ 5 แกนนำที่ได้ประกาศไปเมื่อตอนใกล้เที่ยง ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คำขวัญของ 7 ตุลาปีนี้ ก็คือ 7 ตุลาต้องไม่สูญเปล่า สิ่งที่เราต่อสู้มาก็คือ ต้องโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้ได้ นั่นเป็นเป้าหมายที่ 1 ที่โค่นล้ม ไม่ได้จงเกลียดจงชังเป็นการส่วนตัว แต่เราพบว่า มีการใช้อำนาจบาตรใหญ่ มีการทุจริตเชิงนโยบาย มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เอื้อต่อการไม่เสียภาษี โดยเฉพาะ 72,000 ล้าน เพราะฉะนั้นต้องทราบว่า การต่อสู้กับรัฐบาลไม่ใช่เป็นเรื่องความเกลียดชัง แต่เป็นเรื่องความถูกต้องและชอบธรรม

“เมื่อรัฐบาลไม่ ถูกต้องและชอบธรรมประชาชนมีสิทธิ์ขับไล่ถึงแม้จะมาจากการเลือกตั้ง ทำไมผมพูดอย่างนี้ เพราะฝ่ายที่นิยมทักษิณกล่าวหาเราว่า เราไม่เป็นประชาธิปไตย ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ถาม 2-3 ข้อ การเลือกตั้งนั้นทุจริตหรือเปล่า 2.ไม่ว่าการเลือกตั้งนั้นจะมาจากทุจริตหรือการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ผู้ลงคะแนนเสียง ได้ลงคะแนนเสียงเพื่อให้ท่านมาโกงหรือเปล่า ผมเชื่อว่าไม่มีใครลงคะแนนเสียงถึงแม้ว่าจะลงด้วยการเชื้อชวนแบบใดก็ตามมา ให้ท่านทุจริตและคอร์รัปชั่นงบประมาณของประเทศชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นประชาชนมีสิทธิ์ขับไล่ ไม่ว่าประเทศประชาธิปไตยที่ไหนในโลกก็ทำทั้งนั้น ในสหรัฐอเมริกาก็ทำ เมื่อประธานาธิบดีบุชประธานาธิบดีนิกสัน ทำในสิ่งซึ่งไม่ถูกต้อง”

นาย พิภพ กล่าวต่อว่า อยากจะอธิบายให้ฟังว่าเป็นความชอบธรรมที่ประชาชน เมื่อรัฐบาลไม่ว่าในระบอบประชาธิปไตย ยกเว้นรัฐบาลในประเทศคอมมิวนิสต์ หรือยกเว้นรัฐบาลในประเทศเผด็จการทหาร แต่ก็ไม่ยกเว้นสำหรับประชาชน ดูกรณีรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า พระออกมาเป็นหมื่นรูป เมื่อเห็นว่ารัฐบาลทหารพม่าเป็นเผด็จการ อองซานซูจี สู้จนถึงวันนี้ เพราะฉะนั้นประชาชนมีสิทธิ์ขับไล่รัฐบาลไม่ว่ามาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากเผด็จการรัฐประหาร หรือมาจากเผด็จการทุนนิยม ถ้าทำความไม่ถูกต้อง เรามีสิทธิ์ออกมาบนท้องถนน

“เราขับไล่รัฐบาลมา 3 รัฐบาล รัฐบาลแรก คือ พรรคไทยรักไทย ในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย และใช้อำนาจบาตรใหญ่ ทราบกันดีอยู่แล้ว รัฐบาลที่ 2 เป็นนอมินี และจะแก้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลที่ 3 ก็เป็นนอมินี และจะแก้รัฐธรรมนูญ เราเสียชีวิตในวันที่ 7 ตุลาคมไปเพื่ออะไร ไปเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ปกป้องตุลาการ และที่สำคัญก็คือ ปกป้องไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียว เพราะรู้ว่าแก้ไปเพื่อให้นักการเมืองพ้นผิด เพราะฉะนั้นแกนนำจึงมีมติให้กำหนดวันชุมนุมใหญ่เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญจนถึงที่สุด นี่คือ 7 ตุลาคม ต้องไม่สูญเปล่า

นาย พิภพ กล่าวต่อว่า เรามีมติและขอมติ 2 ครั้งว่า จะกำหนดวันชุมนุมใหญ่เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนถึงที่สุด เพื่อ 7 ตุลาคม วีรชนไม่สูญเปล่า ขอให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จงได้รับชัยชนะ และคงชัยชนะ และคงชัยชนะ และคงชัยชนะไปตลอดกาล

แหล่งข่าว : ณ สถานที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระเจันทร์ หอประชุมใหญ่
ผู้สื่อข่าวพิเศษรายงาน

http://www.oknation.net/blog/lawyee/2009/10/07/entry-1

----------------------------------------------------------------------------

รวมพลคน นปช.และนักวิชาการเคลื่อนไหวแก้ รธน.ทั้งฉบับ

31 มี.ค.51-โรงแรมเดอะแกรนด์ ถ.รัชดาภิเษก สมาพันธ์ประชาธิปไตย และองค์กรภาคประชาชน จัดเสวนาระดมความคิดเห็นเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

โดย มีตัวแทนพรรคการเมือง อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ปี 2540 อดีต ส.ว. - ส.ส. อาทิ นางพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยและโฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายคำนวณ ชโลปถัมภ์ อดีตประธานกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนของวุฒิสภาและอดีตนายกสภาทนาย ความ นายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร.ปี 2540 นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ เป็นตัวแทนพรรคพลังประชาชน และองค์กรภาคประชาชน 30 แห่ง อาทิ นพ.เหวง โตจิราการ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตยและอดีตแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) รุ่น 1 นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ประธานกลุ่มเพื่อนรัฐธรรมนูญ ปี 2550 และอดีตแกนนำ นปก.รุ่น 1 นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย แกนนำแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการ (นปช.) และนายพงษ์สุวรรณ สิทธิเสนา เลขาธิการสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ร่วมเสวนา

นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ที่ปรึกษาสมาพันธ์ประชาธิปไตย เป็นประธานประชุมระดมความเห็น ซึ่งมีขอผู้เข้าร่วมประชุมจากตัวแทน 35 องค์กร จาก 8 กลุ่ม คือ นักวิชาการอิสระ องค์กรประชาธิปไตย องค์กรประชาชน อดีต ส.ส.ร. อดีต ส.ส. - ส.ว. พรรคการเมือง ผู้ใช้แรงงาน และตัวแทนนิสิตนักศึกษา กว่า 100 คน ลงมติว่าเห็นด้วยกับการแก้ไข รธน. ปี 50 หรือไม่

ผู้เข้าร่วมประชุม รวมทั้ง นายพงษ์เทพ นายคณิน และสมาชิกพรรคพลังประชาชนต่างยกมือโหวตเสียงเอกฉันท์ให้แก้ รธน.ปี 50 โดยมีเพียงผู้ร่วมประชุมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ยกมือเห็นด้วยกับการแก้ รธน. ปี 50
นอกจากนี้ นพ.สันต์ ประธานที่ประชุม ยังขอเสียงที่ประชุมในคำถามว่า ต้องการให้มีการแก้ไข รธน. ปี 50 บางมาตรา หรือแก้ทั้งฉบับ ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดยกมือลงมติแก้ไขบางมาตรา แต่เมื่อขอเสียงลงมติ แก้ไขทั้งฉบับปรากฏว่าผู้ร่วมประชุมทั้งหมดยกมือเป็นเอกฉันท์ให้แก้ไขทั้ง ฉบับ
และเมื่อถึงคำถามสุดท้ายว่าในการแก้ไข รธน.จะให้ใช้ รธน.ปี 40 เป็นตัวตั้ง และให้แก้ไข รธน.ปี 50 ที่ไม่ถูกต้อง หรือให้ยึด รธน.ปี 50 เป็นตัวตั้งแล้วแก้ในส่วนที่บกพร่อง ซึ่งที่ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ใช้ รธน.ปี 40 ขณะที่นายพงษ์เทพ ไม่ร่วมออกเสียงยกมือโหวต


ส่วน มาตรการเคลื่อนไหวแก้ รธน.นั้น นพ.เหวง เสนอว่า
1.รวบรวมรายชื่อ 50,000 ชื่อ เสนอร่างแก้ไข รธน.เพิ่มเติม ให้มี 3 มาตรา โดยกำหนดให้ยกเลิก รธน.ปี 50 แล้วให้นำ รธน.ปี 40 มาใช้
2.ผลักดันพรรคพลังประชาชน และรัฐสภาเป็นผู้นำขับเคลื่อนแก้ รธน.

นอกจากนี้ยังมีการเสนอแต่ง ตั้งคณะกรรมการเพื่อเคลื่อนไหวการแก้ รธน.ของภาคประชาชนด้วย โดยเชิญนักวิชาการ และนายคณิน ร่วมเป็นกรรมการ และเสนอให้นายจรัล ดิษฐาอภิชัย เป็นประธานชั่วคราว ทั้งนี้จะมีการนัดประชุมเพื่อเลือกคณะกรรมการภายในวันพรุ่งนี้ (1 เม.ย.) เวลา 13.00 น. ที่มูลนิธิดวงประทีป นอกจากนี้จะเปิดตัวคณะกรรมการขับเคลื่อนแก้ไข รธน.ในวันที่ 4 เม.ย.นี้ เพื่อวางแผนเคลื่อนไหวในสถานศึกษาทั่วประเทศ และจัดเวทีพบประชาชนทั่วประเทศ

3.ผลัก ดันรัฐสภาให้แก้ รธน. พร้อมจัดให้มีการปราศรัยใหญ่ กทม. และทั่วประเทศ เพื่อให้ความรู้ประชาชน และให้ประชาชนมีส่วนร่วมเสนอประเด็นแก้ รธน. ขณะที่ รัฐบาลไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ควรทำหน้าที่แก้ปัญหาประเทศและเป็นเพียงผู้สนับสนุนว่าจะแก้ไข รธน.เท่านั้น และไม่ขอสนับสนุนวิธีการรวบรวมรายชื่อประชาชน 50,000 ชื่อเพราะเป็นการเสียเวลา


นายพงษ์เทพ กล่าวถึงข้อบกพร่องของ รธน.ปี 50 ว่า มีมาก ซึ่งเนื้อหาใน รธน.ปี 50 ไม่เป็นประชาธิปไตย เหมือนฉบับปี 40 เพราะบรรยากาศการยกร่าง รธน.แตกต่างกัน ซึ่งปี 2540 การยกร่าง รธน.บรรยากาศเป็นไปเพื่อปฏิรูปการเมืองและเพื่อประชาธิปไตย ขณะที่ ปี 2550 คณะผู้ร่าง ยกร่าง รธน.เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่ง และคณะที่แต่งตั้งผู้ยกร่างขึ้นมา โดยเนื้อหาที่เห็นว่าไม่เป็นประชาธิปไตย อาทิ กระบวนการได้มาของ ส.ว. ที่ให้มี ส.ว.เลือกตั้ง 76 จังหวัดๆ ละ 1 คน ทั้งที่พื้นที่ กทม. มีประชากรหลายล้านคนกลับเลือกตัวแทน เป็น ส.ว.ได้เพียงเดียว ขณะที่จังหวัดซึ่งมีประชากรน้อยกว่าสามารถเลือกตัวแทน ส.ว.ได้ 1 คนเหมือนกัน แล้ว ส.ว.ในส่วนของการสรรหา กลับให้คณะบุคคล 7 คน เป็นผู้เลือกเข้ามาโดยไม่มีมาตรฐานในการสรรหา และการสรรหาก็คัดเลือกจากคนที่คณะกรรมการสรรหาเคยเห็นหน้าเห็นตากันอยู่เท่า นั้น หรือไม่ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับบุคคลที่เป็นคณะกรรมการสรรหาเอง ซึ่งส่วนตัวแม้เป็น 1 ในคนบ้านเลขที่ 111 ซึ่งไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปร่วมแก้ไข รธน. แต่เห็นว่าเมื่อเราเคยใช้ รธน.ปี 40 มาจนรู้ว่าส่วนใดบกพร่อง ขณะที่ รธน.ปี 50 เมื่อยิ่งถูกนำมาใช้ก็ยิ่งเห็นข้อบกพร่อง ดังนั้นในการแก้ไข รธน. ควรที่จะนำ รธน. ปี 40 เป็นหลักในการพิจารณาแก้


ด้านนายคณิน กล่าวว่า เวลานี้ไม่ว่าจะแก้ หรือไม่แก้ รธน.ก็ยุ่ง เพราะมีทั้งกลุ่มที่ต้องการให้แก้ และกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่กลุ่มไม่เห็นด้วยที่จะให้รัฐบาลพลังประชาชน แก้ไข รธน.ที่มีการเสนอแก้มาตรา 237 นั้น โดยมีผู้ยกร่าง รธน.ปี 50 ออกมาอ้างว่า มาตรา 237 ใน รธน.ปี50 เป็นการต่อยอดจาก รธน.ปี 40 นั้น ตนในฐานะที่เป็นผู้ยกร่าง รธน. ปี 40 ยืนยันว่า มาตรา 237 วรรคสอง และมาตรา 68 วรรคสี่ ไม่เคยมีปรากฏใน รธน.ปี 40 มาก่อน และไม่ใช่เนื้อหาที่เป็นส่วนต่อยอดมาจาก ปี 40 อย่างแน่นอน แต่มาตรา 237 วรรคสอง เป็นผลพวงมาจากการต่อยอดจาก มาตรา 35 ใน รธน.ฉบับชั่วคราวปี 2549 และประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 ที่คณะรัฐประหารให้อำนาจตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ใช่ศาล พิจารณายุบพรรค และให้ลงโทษด้วยการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี นี่คือเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของคณะรัฐประหารที่แต่งตั้งคณะผู้ยกร่าง รธน.ปี 50 เพื่อต้องการสกัดกั้นทุกวิถีทางไม่ให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่เป็นปรปักษ์เข้ามามีส่วนในประชาธิปไตย แต่พยายามให้กลุ่มบุคคลบางกลุ่มเข้ามาบริหารปกครองเพื่อสืบทอดอำนาจคณะรัฐ ประหาร แต่หลังเลือกตั้งเกิดเป็นปรากฏการณ์ผิดฝาผิดตัวคือ พรรคพลังประชาชน ได้รับเลือกกลับเข้ามาและได้จัดตั้งรัฐบาล


นายคณิน กล่าวด้วยว่า นอกจากเนื้อหาที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว รธน. ปี 50 ยังได้มีบทเฉพาะกาลที่เป็นข้อเสียอย่างมาก โดยเฉพาะมาตรา 309 และการยกร่างให้ต่ออายุผู้พิพากษา อัยการ ถึง 70 ปี การให้ กกต. และ ป.ป.ช .ซึ่งถูกแต่งตั้งในยุครัฐประหาร ทำงานได้จนครบวาระ จึงถือว่าเป็นการยกร่างเพื่อประโยชน์คนบางกลุ่ม และมีลักษณะ จตุมาตยาธิปไตย ที่ให้อำนาจขุนนาง อำมาตยาธิปไตย กลับเข้ามา โดยดึงอำนาจตุลาการเข้ามาร่วมด้วย ขณะที่ รธน.ปี 40 นั้นถือได้ว่าถูกเขียนด้วยมือ แต่กลับถูกลบด้วยเท้า ถูกฉีก ถูกข่มขืนตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. 49 ทั้งที่ไม่รู้ว่า รธน.ผิดอะไร โดยคณะรัฐประหารแต่งตั้งคณะบุคคลยกร่างขึ้นมาแล้วจะให้มีการลงประชามติถือ เป็นเพียงพิธีการเท่านั้น ดังนั้นที่เรียกว่า รธน.ปี 50 ฉบับลงประชามตินั้นคงไม่ใช่ แต่แท้ที่จริงคือฉบับ คถช. หรือฉบับคลุมถุงชนมากกว่า ดังนั้นทางออกของประเทศที่ดีที่สุดคือยกเลิก รธน.ปี 50 และนำ รธน.ปี 40 ที่เขียนด้วยมือ มาต่อยอด


ด้านนาย สุขุมพงศ์ กล่าวยืนยันว่า พรรคจะผลักดันแก้ รธน.ไม่ว่าจะมีผู้ไม่เห็นด้วย ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองที่สุด โดยหลังจากการปฏิรูปการปกครอง ปี 2457 แล้ว เรามี รธน.จนถึงฉบับปี 50 รวม 18 ฉบับ แต่มี รธน.ที่ประชาชนมีส่วนร่วมเพียง 3 ฉบับเท่านั้น คือ ปี 2489 แต่ก็สามารถใช้ได้เพียง 1 ปี 2 เดือน รธน.ฉบับปี 2517 ซึ่งถือว่าดีที่สุดหลังจากเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 แต่ก็ใช้ได้เพียง 1 ปี 3 เดือน และปี 2540 ที่ใช้ได้นานถึง 9 ปีเศษ ขณะที่ รธน. ฉบับอื่นอีก 15 ฉบับนั้นประชาชนไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเลย ดังนั้นเวลานี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะต้องแก้ รธน.ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ให้เป็นประชาธิปไตยและเป็นไปเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

ขณะที่ นายพงษ์สุวรรณ สิทธิเสนา เลขาธิการ สนนท. เสนอว่า การแก้ไข รธน.จะต้องเน้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นจริงๆ โดยเฉพาะการจัดให้มีการเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ และนายอำเภอ นอกจากนี้ จะต้องยกเลิกส่วนที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งคำสั่งการแต่งตั้งคณะบุคคลและประกาศต่างๆ ของ คปค. รวมทั้งคำสั่งต่างๆ ของรัฐบาลชุดที่ผ่านมาที่มาจากการรัฐประหาร โดยสมควรยกเลิก รธน.ปี 50 ทั้งฉบับ

http://www.newskythailand.us/board/index.php?topic=357.0;wap2

-----------------------------------------------------------------

"เฉลิม"ท้าพันธมิตรดีเบต รัฐธรรมนูญ
26 มี.ค. 2008

มท.1 เชื่อเสียงหนุนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้ง 2 สภา น่าจะเพียงพอ พร้อมท้า พันธมิตร ออกทีวี ปะทะเหตุผล แก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญ เพราะอะไร

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว. มหาดไทย กล่าวว่า เสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และสมาชิกสภาผุ้แทยราษฎร (ส.ส.)น่าจะเพียงพอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ หากในวันที่ 28 มีนาคมนี้ ในการสัมมนาของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะมีการนำเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญไปพูดก็ดี จะได้รู้ว่าคิดอย่างไร พร้อมท้าแกนนำ 5 คน ออกทีวีคุยเรื่องรัฐธรรมนูญ แต่ห้ามเปิดตำรา เชื่อว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่ม ไม่ได้มีความรู้จริงเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ เพราะจบทางด้านประวัติศาสตร์ ขณะที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตประธาน ส.ส.ร.ก็ไม่มีความรู้รัฐธรรมนูญเช่นกัน เพราะจบด้านครู

นอกจากนี้ ร.ต.อ. เฉลิม ยังได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัด ห้ามสกัดกั้นประชาชนที่จะมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ในวันศุกร์ที่ 28 มีนาคมนี้ แต่ถ้าขนคนมาร่วมชุมนุมเองจะสั่งย้าย

http://www.prachatouch.com/content.php?id=3557

-----------------------------------------------------------------

พปช.ขยาดร่างรธน.ฉบับคปพร. เล็งหารือชัยแช่แข็ง
ปชป.จี้สมชายแสดงท่าทีให้ชัด อย่าสองหน้า


พปช.แนะดองร่างแก้ไขรธน.ฉบับของคปพร.ไม่ต้องหยิบยกขึ้นมา พิจารณา รักษาการ ปธ.วิปรบ.หวั่นร่างดังกล่าวสร้างปัญหา เตรียมหารือชัยสกัด ปชป.จี้สมชายโชว์ความเป็นผู้นำ ฐานะคุมพรรคเสียงส่วนใหญ่ในสภา จี้แสดงท่าทีให้ชัดเจน อย่าเล่นเกมสองหน้า พปช.แนะดองร่างแก้รธน.คปพร.

กรณีที่ผู้นำ 4 ฝ่ายคือนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ร่วมหารือและมีความเห็นร่วมกันว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อเปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หลายฝ่ายยังกังวลที่ประธานสภาบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (คปพร.) เป็นวาระด่วนของสภา

นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน (พปช.) กล่าวเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลถูกมองว่าไม่จริงใจ เพราะรัฐบาลประกาศสนับสนุนแนวทางใช้ ส.ส.ร.แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่สภากลับเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญตามร่างของ คปพร.ว่าย การบรรจุเข้าสู่วาระเป็นขั้นตอนตามกฎหมาย แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา การประชุมผู้นำ 4 ฝ่ายเห็นร่วมกันว่าจะแก้ไขมาตรา 291 ก็ดำเนินการตามมติของผู้นำ 4 ฝ่ายไปได้เลย โดยไม่ต้องสนใจร่างของ คปพร. ด้วยการไม่หยิบขึ้นมาพิจารณาเหมือนกฎหมายหลายๆ ฉบับที่บรรจุเข้าสู่วาระไว้ แต่ไม่หยิบขึ้นมาพิจารณา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องความจริงใจ เพราะการหยิบยกวาระใดขึ้นมาพิจารณานั้นเป็นอำนาจของ ส.ส.หากทุกฝ่ายเห็นว่าจะร่วมกันแก้ไขมาตรา 291 ก็ไม่จำเป็นต้องหยิบยกวาระร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ คปพร.มาพิจารณา ก็หมดเรื่อง

ปธ.วิปรบ.หวั่นร่างคปพร.มีปัญหา

นายวิทยา บูรณศิริ รักษาการประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (ประธานวิปรัฐบาล) กล่าวว่าการหารือของผู้นำ 4 ฝ่าย ที่ตกลงร่วมกันจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เป็นเรื่องที่ดี ที่ทุกฝ่ายร่วมมือกัน ส่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ของ คปพร.ซึ่งนายชัยบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมสภา เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ 4 นั้น หากมีการหยิบขึ้นมาพิจารณาอาจทำให้มีผลกระทบหลายอย่าง ตนจึงต้องหารือกับนายชัย อีกครั้งว่าจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาหรือไม่ และหากนำเข้าสู่การพิจารณาแล้วจะไปสู่จุดไหน อย่างไร

การบรรจุร่าง ของ คปพร.เข้าสู่วาระเป็นการดำเนินการตามขั้นตอน แต่การจะนำมาพิจารณานั้นมีประเด็นที่อาจจะสร้างปัญหา ก็ต้องคิดกันให้รอบคอบ หากนายชัยให้พิจารณา ผมก็ต้องไปหารือกันพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดว่า จะมีแนวทางอย่างไร แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานงานจากประธานสภาถึงแนวทางการพิจารณาร่าง แก้ไขฉบับ คปพร.เลย ย�นายวิทยากล่าว

วันเดียว กัน กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยเชียงราย-พะเยา ตระเวนปราศรัยตามถนนสายต่างๆ ในเขตเทศบาลนครเชียงราย โดยออกแถลงการณ์สนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของ คปพร. โดย น.ส.จิระนันท์ จันทวงศ์ แกนนำกลุ่มกล่าวว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะบังคับให้ประชาชนเลือกด้วยกฎอัยการศึก จึงควรที่จะแก้ไข หากแก้ไขโดย ส.ส.ร.3 ก็ต้องเป็น ส.ส.ร.ที่มาจากประชาชนทั้งประเทศเลือกตั้งอย่างเปิดเผย ห้ามคัดสรรจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ปชป.จี้สมชาย โชว์ภาวะผู้นำ

ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า แม้ว่าที่ประชุม 4 ฝ่าย จะมีข้อยุติร่วมกันในการแก้วิกฤติบ้านเมือง แต่ภาระรับผิดชอบยังคงอยู่ที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ที่จะพิสูจน์ความจริงใจในการแก้ปัญหาด้วยความสมานฉันท์ แต่เหตุการณ์ที่ตำรวจจัมกุมตัวแกนนำกลุ่มพันธมิตร และการบรรจุร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของ คปพร. เข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์หน้า คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลเดินยุทธศาสตร์เกมสองหน้า

นพ.บุ รณัชย์กล่าวว่า นายกฯจะต้องมีท่าทีที่ชัดเจนเกี่ยวกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ คปพร.ว่าจะเลื่อนการพิจารณาร่างฉบับนี้หรือจะให้ลงมติอย่างไร รวมทั้งนายกฯต้องเลิกพูดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของรัฐสภา เพราะนายกฯเป็นหัวหน้าพรรคเสียงข้างมาก ต้องยืนยันว่าจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยตัวเองในคดียุบพรรคหรือช่วย เรื่องคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

นายสมชายต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจแทนสมาชิก ทั้งพรรคได้หรือไม่ เพราะความไม่เป็นเอกภาพในพรรคพลังประชาชนจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการแก้ไข ปัญหาบ้านเมือง ถ้านายสมชายไม่สามารถแสดงภาวะการเป็นผู้นำได้ นพ.บุรณัชย์กล่าว

ชท.-มฌ.หนุนตั้งส.ส.ร.3

นายเอกพจน์ ปานแย้ม ส.ส.ปทุมธานี พรรคชาติไทย กล่าวว่า ข้อสรุปของผู้นำ 4 ฝ่ายตรงกับข้อเสนอของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ที่เคยเสนอก่อนหน้านี้ ถือเป็นสิ่งที่จะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายได้ เพราะเป็นแนวทางที่ทุกฝ่ายยอมรับ ดังนั้น กลุ่มพันธมิตรก็ต้องยอมรับแนวทางนี้ ส่วนพรรคชาติไทยเห็นด้วย และอาจมีการพูดคุยกันเพื่อกำหนดท่าทีในการแก้ไข มาตรา 291 ต่อไป ส่วนตัวเห็นว่าควรยึดแนวทางการมี ส.ส.ร.3โดยยึดตามแนวทางของ ส.ส.ร.1 ที่เลือกตั้งจากแต่ละจังหวัด เพราะมีตัวแทนมาจากนักวิชาการ และควรเป็นให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย (มฌ.) กล่าวถึงกรณีที่จะมีการประชุมหัวหน้าพรรคต่างๆ เพื่อหารือแก้ไข มาตรา 291 เพื่อปฏิรูปการเมือง ในวันที่ 6 ตุลาคม ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อให้เข้าร่วมหารือ เข้าใจว่าแนวทางเหล่านี้บรรจุอยู่ในนโยบายที่รัฐบาลจะแถลงต่อรัฐสภาอยู่แล้ว ดังนั้น การพูดคุยกับผู้นำย 4 ฝ่ายที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นว่าแนวทางดังกล่าวน่าจะเป็นทางออกที่ได้รับการ ยอมรับจากทุกฝ่าย ส่วนจะมีวิธีการหรือองค์ประกอบอย่างไรคงต้องหารือกันอีกที

พันธมิตรลั่นไม่ร่วม ส.ส.ร.3

นาย สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า พันธมิตรประกาศจุดยืนว่าจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับการเข้าร่วม ส.ส.ร. 3 เพราะไม่เห็นว่าจะทำให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นยุติลง เนื่องจากความขัดแย้งเป็นเพราะรัฐบาลหุ่นเชิด นอกจากนี้ยังมีความพยายามจะล้มรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพราะมีความพยายามจะนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของ คปพร.เข้ามาแทน โดยอ้างว่ามีการลงชื่อถึง 1 แสนคน แต่เท่าที่ทราบพบว่ามีเพียง 7 หมื่นคน

บุญสร้างดักคออย่ามีวาระซ่อนเร้น

พล.อ.บุญ สร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) กล่าวถึงผลการประชุมผู้นำ 4 ฝ่ายที่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อเปิดทางมี ส.ส.ร.3 ว่า ถ้าเห็นว่าการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทำให้บ้านเมืองดีขึ้น โดยไม่มีวาระซ่อนเร้น อยู่บนเงื่อนไขความบริสุทธิ์ใจก็เห็นด้วย แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ควรมีจุดมุ่งหมายอื่น กระบวนการร่างนั้นควรทำให้เหมาะสมและควรให้ผู้มีความรู้มาเป็นคนร่าง โดยจะต้องมีความรู้ระดับสากลและมีความรู้ด้านกฎหมายอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งควรนำปัญหาต่าง ๆ มาวิเคราะห์ให้เห็นจุดดี จุดอ่อนและนำหลักประชาธิปไตยมาประกอบการร่าง เพราะหากร่างออกมาแล้วไม่เหมาะกับสังคมไทยก็จะเกิดปัญหาอีก เนื่องจากรัฐธรรมนูญเป็นกติกาสูงสุดมีผลต่อการบริหารบ้านเมืองค่อนข้างมาก

การร่างรัฐธรรมนูญต้องอยู่ฐานบนความบริสุทธิ์ใจในการเปลี่ยน แปลงกติกาเพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้น เพราะหากร่างรัฐธรรมนูญเพื่อมาแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าก็จะเกิดปัญหาขึ้นอีก อดีต ผบ.สส.กล่าว

ปชป.ซัดทีมศก.แย่กว่าครม. เงา

นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเรียกร้องขอเวลาการอภิปรายนโยบายของรัฐบาลต่อสภาที่จะมีขึ้นในวันที่ 7-9 ตุลาคม เพิ่มเป็น 13 ชั่วโมง หลังจากที่ วิปรัฐบาลจัดสรรให้แค่ 11 ชั่วโมง หากไม่สามารถตกลงกันได้ พรรคฝ่ายค้านอาจต้องใช้มาตรการตามข้อบังคับการประชุม คือการอภิปรายสลับกัน

นายเทพไทกล่าวถึงการเตรียมทีมอภิปรายนโยบายของรัฐบาลว่า พรรคเตรียมพร้อมเรื่องเศรษฐกิจ ที่มีผลกระทบอย่างรุนแรง จากภาวะเศรษฐกิจโลก ที่ทีรัฐบาลต้องเตรียมตัวแก้ปัญหา แต่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ค่อนข้างมีปัญหาหากเปรียบเทียบกับทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่ว่าขี้เหร่ แต่ก็ยังดีกว่าชุดของรัฐบาลนายสมชาย ซึ่งนักธุรกิจและนักลงทุน ไม่ค่อยเชื่อมั่นทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล และกังวลว่าจะนำพาประเทศผ่านวิกฤตเศรษฐกิจไปได้หรือไม่

ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนายสมชาย หากเปรียบเทียบกับทีมเศรษฐกิจ ครม.เงา ของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าไม่นับความรู้ ความสามารถที่ดีกว่าอยู่แล้ว แค่เฉพาะบุคลิกและโหว้งเฮ้ง ก็กินขาดหลายช่วงตัว ที่นายสมชายออกมาพูดว่า นี่คือดรีมทีมหรือทีมในฝัน ผมว่าจะกลายมาเป็นทีมฝันสลายมากกว่า นอกจากนี้ สิ่งที่พรรคพลังประชาชนเคยโฆษณาไว้ตอนหาเสียงวันนี้ไม่มีในนโยบาย หายไปไหนหมด นายเทพไท กล่าว และว่า พรรควางตัวนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งเป็น 1 ใน 13 ขุนพลที่จะอภิปรายนโยบาย โดยไม่กำหนดเวลา

ข้อมูลจาก มติชน
http://www.giggog.com/politic/cat3/news17548/

-----------------------------------------------------------------

ร่างแก้ไขรธน.ฉบับ 'พปช.' ก๊อป 'คปพร.'

ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ส.ส.และส.ว.164คน ลงชื่อยื่นต่อประธานรัฐสภา ร่างดังกล่าวมีเนื้อหาทุกมาตรา ทุกถ้อยคำ เหมือนร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฉบับที่คปพร. ยื่นต่อประธานรัฐสภาวันที่8พ.ค. พร้อมรายชื่อปชช.ไม่ต่ำกว่า50,000ชื่อ

ที่มา : เป็นญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ฉบับที่ ส.ส. และ ส.ว.จำนวน 164 คน ลงชื่อยื่นต่อประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ให้พิจารณาบรรจุในวาระการประชุมสมัยวิสามัญ โดยร่างดังกล่าวเป็นร่างที่มีเนื้อหาทุกมาตรา ทุกถ้อยคำเหมือนกับร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่คณะกรรมการประชาชน เพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (คปพร.) นำโดย นพ.เหวง โตจิราการ ยื่นต่อประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2551 พร้อมรายชื่อประชาชนไม่ต่ำกว่า 50,000 ชื่อ


มาตรา 1 รัฐธรรมนูญนี้เรียกว่า "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พุทธศักราช..."

มาตรา 2 รัฐธรรมนูญนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

"มาตรา 5 ประชาชนชาวไทย ไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศหรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน

ศาสนา พุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ประชาชนชาวไทยย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน"

มาตรา 4 ให้นำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาใช้บังคับแทนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 โดยดำเนินการดังต่อไปนี้

(1) ให้ยกเลิกชื่อของหมวดและบทบัญญัติในหมวดของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ดังต่อไปนี้

(ก) หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และมาตรา 26 ถึงมาตรา 69

(ข) หมวด 4 หน้าที่ของชนชาวไทย และมาตรา 70 ถึงมาตรา 74

(ค) หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และมาตรา 75 ถึงมาตรา 87

(ง) หมวด 6 รัฐสภา และมาตรา 88 ถึงมาตรา 162

(จ) หมวด 7 การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน และมาตรา 163 ถึงมาตรา 165

(ฉ) หมวด 8 การเงิน การคลัง และงบประมาณ และมาตรา 166 ถึงมาตรา 170

(ช) หมวด 9 คณะรัฐมนตรี และมาตรา 171 ถึงมาตรา 196

(ซ) หมวด 10 ศาลและมาตรา 197 ถึงมาตรา 228

(ณ) หมวด 11 องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และมาตรา 229 ถึงมาตรา 258

(ญ) หมวด 12 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และมาตรา 259 ถึงมาตรา 278

(ฎ) หมวด 13 จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และมาตรา 279 และมาตรา 280

(ฏ) หมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น และมาตรา 181 ถึงมาตรา 290

(ฐ) หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและมาตรา 291

(ฑ) บทเฉพาะกาล และมาตรา 292 ถึงมาตรา 309

(2) ให้นำชื่อของหมวดและบทบัญญัติในหมวดของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาใช้บังคับแทนการยกเลิกตาม (1) ดังต่อไปนี้

(ก) หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และมาตรา 26 ถึงมาตรา 65

(ข) หมวด 4 หน้าที่ของชนชาวไทย และมาตรา 66 ถึงมาตรา 70

(ค) หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และมาตรา 71 ถึงมาตรา 89

(ง) หมวด 6 รัฐสภา และมาตรา 90 ถึงมาตรา 200

(จ) หมวด 7 คณะรัฐมนตรี และมาตรา 201 ถึงมาตรา 232

(ฉ) หมวด 8 ศาล และมาตรา 233 ถึงมาตรา 281

(ช) หมวด 9 การปกครองส่วนท้องถิ่น และมาตรา 282 ถึงมาตรา 290

(ซ) หมวด 10 การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและมาตรา 291 ถึงมาตรา 311

(ฌ) หมวด 11 การตรวจเงินแผ่นดิน และมาตรา 312

(ญ) หมวด 12 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และมาตรา 313

(ฎ) บทเฉพาะกาล และมาตรา 326 มาตรา 327 มาตรา 328 มาตรา 330 มาตรา 331 มาตรา 332 และมาตรา 333

(3) ให้มีการเรียงลำดับเลขมาตราของบทบัญญัติตาม (2) ต่อจากมาตรา 25 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550

(4) ให้แก้ไขเลขมาตราที่อ้างอิงไปยังบทบัญญัติต่างๆ ในรัฐธรรมนูญตามการเรียงลำดับเลขมาตราใหม่ตาม (3)

(5) บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 บางบทบัญญัติจำต้องแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้บทบัญญัติเป็นไปตามการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นปัจจัยและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทำได้ง่ายขึ้นโดยให้ประชาชนเข้ามามี ส่วนร่วม

มาตรา 5 ให้แก้ไขจำนวน ส.ส.ที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี ในวรรคหนึ่งของมาตรา 185 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 จากจำนวน "ไม่น้อยกว่าสองในห้า" เป็นจำนวน "ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้า"

มาตรา 6 ให้แก้ไขจำนวน ส.ส.ที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ในวรรคหนึ่งของมาตรา 186 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 จากจำนวน "ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้า" เป็นจำนวน "ไม่น้อยกว่าหนึ่งในหก"



บท เฉพาะกาล

มาตรา 7 ให้ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ต่อไป และประกอบด้วย ส.ส.ตามจำนวนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550

ให้ ส.ส.ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้คงเป็น ส.ส.ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ อยู่ต่อไปจนครบอายุของสภาผู้แทนราษฎร หรือเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร หรือเมื่อสมาชิกภาพสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ แล้วแต่กรณี

ในกรณี ที่ตำแหน่ง ส.ส.ตามวรรคสอง ว่างลงเพราะเหตุอื่นใดนอกจากถึงคราวออกตามอายุสภาผู้แทนราษฎรหรือเมื่อมีการ ยุบสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้

(1) ในกรณีที่ตำแหน่งที่ว่างเป็นตำแหน่ง ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน ให้นำมาตรา 119 (1) ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

(2) ในกรณีที่ตำแหน่งที่ว่างเป็นตำแหน่ง ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่ตำแหน่งนั้นว่าง เว้นแต่อายุสภาผู้แทนราษฎรจะเหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวัน เพื่อการนี้ให้บทบัญญัติมาตรา 93 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มา ซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ยังมีผลใช้บังคับต่อไปสำหรับการกำหนดเขตเลือกตั้ง สถานที่นับคะแนน หน่วยเลือกตั้ง และที่เลือกตั้ง

(3) การเริ่มมีสมาชิกภาพของ ส.ส.ตาม (1) และ (2) ให้เป็นไปตามมาตรา 119 วรรคสอง รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540

ใน ระหว่างดำเนินการตามวรรคสาม ให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วย ส.ส.เท่าที่มีอยู่

มาตรา 8 ให้วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ทำหน้าที่วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ต่อไป และประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภาตามจำนวนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550

ให้ สมาชิกวุฒิสภาซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ คงเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้อยู่ต่อไป จนกว่าสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาจะสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา 9 ให้สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มีวาระสามปีนับแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2551 และมิให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการห้ามดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระมา ใช้บังคับกับบุคคลดังกล่าวในการเลือกตั้งคราวถัดไปหลังจากสิ้นสุดสมาชิกภาพ

เมื่อ สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหามีวาระครบสามปีตามวรรคหนึ่ง ให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาตามจำนวนที่ขาดเพื่อให้ได้สมาชิกวุฒิสภา ครบจำนวนสองร้อยคนตามมาตรา 121 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540

ให้สมาชิก วุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งตามวรรคสอง มีวาระสามปีนับแต่วันเริ่มต้นสมาชิกภาพ และมิให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการห้ามดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระมา ใช้บังคับกับบุคคลดังกล่าวในการเลือกตั้งคราวถัดไปหลังจากสิ้นสุดสมาชิกภาพ

ใน กรณีที่ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งว่างลงเพราะเหตุอื่นใดนอก จากถึงคราวออกตามอายุของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ให้นำมาตรา 134 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา 10 ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ คงเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา 11 ให้ประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภาซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันประกาศใช้รัฐ ธรรมนูญนี้ คงเป็นประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา 12 ให้คณะกรรมาธิการซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้คงเป็น คณะกรรมาธิการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา 13 ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ คงเป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา 14 บรรดาประกาศ คำสั่ง กฎ หรือการใดที่กระทำโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือสืบเนื่องจากประกาศ คำสั่ง กฎ หรือการดังกล่าว หรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ มหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ เป็นอันใช้บังคับไม่ได้

มาตรา 15 บทบัญญัติใดของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 กฎหมาย หรือกฎที่อ้างถึงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าบทบัญญัติที่ถูกอ้างถึงนั้น เป็นการอ้างถึงบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ในบทมาตราที่มีนัยเช่นเดียวกัน

ผู้ รับสนองพระบรมราชโองการ

นายกรัฐมนตรี

ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11030
http://www.pitlokcenter.com/news/topic_view.php?n_id=505


-----------------------------------------------------------------

“สมัคร” ประชุมกรรมการบริหาร “พลังแม้ว” ก่อนกุลีกุจอแถลง สั่งยุติการล่าชื่อยื่นญัตติแก้ไข รธน.แล้ว
อ้างรอประชามติก่อน ขณะ “สมพงษ์” บอกต้องประชุม ส.ส.สร้างเอกภาพอีกครั้ง เชื่อหัวหน้า “หมัก” มีจุดยืน บอก “นพดล” หากยังข้องใจไปเคลียร์เอาเอง ด้าน “กุเทพ” รวบรัดไล่พันธมิตรฯ กลับบ้าน


เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 5 มิ.ย. ที่ทำการพรรคพลังประชาชน มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค โดยกรรมการบริหารพรรคเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง เช่น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ศึกษาธิการ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ซึ่งมีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเป็นประธานการประชุม ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที จึงแล้วเสร็จ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากมีหารือถึงเรื่องของการเตรียมระดมทุน และการจัดตั้งกรรมการจริยธรรมของพรรคแล้ว นายสมัครยังได้กล่าวถึงการเสนอญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นครั้งที่ 2 ด้วย โดยนายสมัครได้มอบหมายให้กรรมการบริหารพรรคไปทำความเข้าใจกับ ส.ส.ว่าขอให้รอผลการทำประชามติ และยังกำชับให้ชะลอการเคลื่อนไหวต่างๆ ในการแก้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการรวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุนญัตติ เพราะเรื่องนี้ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของสภา ที่ในขณะนี้มีญัตติขอให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกอบไปด้วยฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล

นอกจากนี้ นายสมัครยังกำชับแกนนำของ ส.ส.กลุ่มต่างๆ ในพรรคพลังประชาชนให้ประสานไปยังสมาชิกในกลุ่มให้มีความเห็นเป็นไปในทิศทาง เดียวกันอย่าเสียงแตกเหมือนที่ผ่านมา

นายสมพงษ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า กรณีการยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญถือว่ายุติแล้ว ซึ่งในวันที่ 10 มิถุนายนนี้จะมีการหารืออีกครั้งในการประชุม ส.ส.ของพรรค เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีการเปิดประชุมสมัยวิสามัญ รวมทั้งจะมีการพูดคุย และเปลี่ยนแปลงการตั้งคณะกรรมการเตรียมการยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย

เมื่อถามว่าจะมีการแก้ไขปัญหาเรื่องความสับสนจุดยืนของพรรคในการ แก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไรบ้าง นายสมพงษ์ กล่าวว่า วันนี้ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องของปัญหาความเป็นเอกภาพ ซึ่งจะมีการเสนอการแก้ปัญหาให้พรรคมีความเป็นเอกภาพมากขึ้นในการประชุม ส.ส.พรรค

เมื่อถามถึงกรณีที่นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ เรียกร้องให้นายสมัคร ในฐานะผู้นำควรแสดงความชัดเจนในการแก้รัฐธรรมนูญ นายสมพงษ์ กล่าวว่า ตนเชื่อว่านายสมัคร มีจุดยืนชัดเจนว่าจะให้มีการทำประชามติ ซึ่งหากนายนพดลไม่พอใจก็ควรจะไปเคลียร์กับนายสมัครเอง

“กุเทพ” อ้างสั่งลูกพรรคห้ามยื่นญัตติ-บอกพันธมิตรฯ กลับบ้าน

ต่อมาเวลา17.45 น. ที่พรรคพลังประชาชน ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน แถลงผลการประชุมกรรรมการบริหารพรรคว่าขณะนี้พรรคพลังประชายังไม่มีมติใดๆ เกี่ยวกับการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเห็นว่าในการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญจะมีญัตติเกี่ยวกับการศึกษาแก้ไข รัฐธรรมนูญ ซึ่งมีทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล จึงถือว่า ส.ส.ที่จะไปยื่นญัตติแก้รัฐธรรมนูญนั้น จะต้องยุติ และไปดำเนินการหลังจากที่มีการลงประชามติแล้ว ถือว่าเป็นแนวทางของพรรค เพื่อให้เกิดความสบายใจกับทุกฝ่าย คณะกรรมการบริหารมีแนวทางชัดเจนว่าการยื่นญัตติใดๆ เกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญจะต้องทำหลังการลงประชามติ ดังนั้น ส.ส.จะไม่มีการยื่นญัตติใดๆ หากมีการดำเนินการจะถือว่าไม่สอดคล้องกับมติพรรค ซึ่งเชื่อว่าจะไม่มี ส.ส.คนใดไปดึงดันที่จะดำเนินการ และถือว่าการยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นข้อกังวลของกลุ่มพันธมิตรไม่มี แล้ว ขอให้กลุ่มพันธมิตรกลับบ้าน และยุติการชุมนุมได้แล้ว

ตั้งคณะกรรมการจริยธรรมจัดการลูกพรรคนอกแถว

โฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้เห็นชอบ และมีมติตั้งคณะกรรรมการวินัย และจรรยาบรรณของพรรคตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค เป็นประธาน นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นเลขานุการฯ นพ.ประสงค์ บูรณพงศ์ เป็นกรรมการ นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ เป็นกรรมการ และผู้ช่วยเลขาฯ ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะมีอาจทั้งให้คุณให้โทษ หากทำผิดจะมีโทษตั้งแต่ตักเตือนจนถึงให้พ้นจากการเป็นสมาชิกภาพของพรรค รวมทั้งมีหน้าที่ให้การสนับสนุนให้ได้ตำแหน่งที่เหมาะสม และได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการผู้บริหารพรรค เพื่อทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับบุคคลภายนอก และดำเนินการในบางเรื่อง ที่กรรมการบริหารพรรคมอบหมาย ประกอบด้วย นายสมัคร นายสมชาย นายยงยุทธ ติยะไพรัช พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ นายศรีเมือง เจริญศิริ นายไชยา สะสมทรัพย์ นายสมาน เลิศวงศ์รัฐ นพ.สุรพงษ์ นายชูศักดิ์

“ถังแตก” เตรียมจัดระดมทุนเข้าพรรค

ร.ท.กุเทพ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมมีมติจัดงานระดมทุน เพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการพรรค ในวันเสาร์ที่ 5 ก.ค. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจัดในลักษณะการขายบัตร เพื่อร่วมฟังการเสวนาเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศ โดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯในฐานะหัวหน้าพรรค นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคฯ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รมว.พาณิชย์ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ในฐานะรองเลขาธิการพรรค และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม

นอกจากนั้น ที่ประชุมยังเห็นชอบให้มีการจัดสัมมนา ส.ส.ในวันที่ 26-27 ก.ค.ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ภายใต้หัวข้อ “คิดอย่างสร้างสรรค์ ขยันทำงาน ประสานน้ำใจ” นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือกันเกี่ยวกับการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ซึ่งจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการลงประชามติ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจาณาคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

http://www.boybdream.com/manager-news-content.php?newid=60860

-----------------------------------------------------------------

พปช.ยุติยื่นเสนอแก้ รธน. อ้างใกล้งานพระราชทานเพลิงพระศพพระพี่นางฯ
ฝ่ายค้านดักคอรบ.เชื่อดันให้ทันสมัย


โดย มติชน วัน อังคาร ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 20:05 น.

พปช.หยุดเสนอแก้ไข รธน. บอกใกล้งานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพพระพี่นางฯ เห็นด้วยสานเสวนาเดินหน้าต่อ ขอร้องทุกพรรคหยุดเปิดประเด็นขัดแย้ง ฝ่ายค้านเชื่อรัฐบาลผลักดันให้ทันสมัยประชุมนี้แน่นอน พปช.หยุดเสนอแก้ไข รธน.

ที่ประชุมพรรคพลังประชาชน (พปช.) มีมติให้หยุดกระแสความขัดแย้งในช่วงงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จ พระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงสงขลานครินทร์ โดยให้ยุติการเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อน พร้อมเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองยุติการเปิดประเด็นทางการเมืองที่จะนำไป สู่ความขัดแย้ง

ทั้งนี้ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง รักษาการโฆษกพรรค พปช. แถลงภายหลังการประชุม ส.ส.พปช. เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ว่าที่ประชุมได้หารือในเรื่องการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ และเห็นว่า ช่วงนี้ใกล้กับงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระพี่นางฯ จึงเห็นควรว่าจะยุติการนำเรื่องที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งเข้าสู่วาระการ พิจารณาของสภา อาทิ การแก้รัฐธรรมนูญคงจะยุติไว้ก่อน และปล่อยให้แนวทางการสานเสวนาดำเนินการต่อไป โดย ส.ส.ของพรรคสนับสนุนในแนวทางนี้อย่างเต็มที่ และขอเรียกร้องไปยังทุกพรรคการเมืองยุติการเปิดประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความแตกแยกในสังคมในช่วงนี้ด้วย

เล็งเปิดสภาสมัยวิสามัญ ม.ค.

นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พปช. ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) กล่าวถึงงบประมาณกลางปี 1 แสนล้านบาท ว่าหากการประชุมสมัยนิติบัญญัตินี้พิจารณาไม่ทันก็จำเป็นที่จะต้องมีการเปิด สมัยวิสามัญ ในช่วงเดือนมกราคม 2552 เพื่อพิจารณา โดยเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังดำเนินการร้องขอไปยังรัฐบาล ให้ประสานมายังประธานรัฐสภาเพื่อขอเปิดสมัยประชุม รัฐบาลจะต้องกำหนดระยะเวลามาด้วยว่า ต้องการให้เปิดสมัยวิสามัญจำนวนกี่วัน หากในช่วงเวลานั้น ร่างพ.ร.บ.แก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ยังไม่ผ่านการพิจารณาในสมัยการประชุมสภานิติบัญญตินี้ก็สามารถที่จะบรรจุ เป็นวาระการประชุมในสมัยวิสามัญได้

ฝ่ายค้านเชื่อดันให้ทันสมัยนี้

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า วิปฝ่ายค้านเชื่อว่า หลังเสร็จงานพระราชพิธีวันที่16 พฤศจิกายนนี้ รัฐบาลจะผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้ทันสมัยประชุมนี้อย่างแน่นอน เมื่อถามว่า การเปิดสภาสมัยวิสามัญในเดือนธันวาคมนี้จะมีการสอดไส้แก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ นายสาทิตย์กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องรอดูพฤติกรรมที่เหลือ 2 สัปดาห์ของรัฐบาลก่อนปิดสมัยประชุมนี้ เพราะเท่าที่ทราบมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาระบุว่า หากไม่สามารถยื่นมาตรา 291ได้ ก็ยังมีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับคณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 (คปพร.) ที่ยังค้างอยู่ในวาระการพิจารณาของรัฐสภา ยิ่งทำให้เชื่อได้ว่าจะมีการสอดไส้อย่างแน่นอน

http://news.sanook.com/politic/politic_320142.php

-----------------------------------------------------------------

ผมพยายามรวบรวมข่าวเก่าๆ
ตั้งแต่ช่วงการเลือกตั้งของ พปช.
ซึ่งก็เคยนำการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปหาเสียงด้วย
แต่ต้องเผชิญการสกัดกั้นทุกรูปแบบ
สุดท้ายยังสามารถผ่าด่านมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
และช่วงแรกๆ ก็พยายามอย่างยิ่งในการผลักดัน
ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ตามสัญญา
แต่สุดท้ายก็ไม่อาจฝ่าด่านม็อบเส้นใหญ่
ที่ออกมาคัดค้านอย่างหนัก
ในที่สุดก็จำเป็นต้องยอมถอยในที่สุด
ทั้งๆ ที่ มีนายกชื่อสมัครผู้ได้ชื่อว่าแข็งไม่ยอมใครด้วย
แต่ก็ยังไม่อาจสู้กับพวกม็อบเส้นใหญ่
ถึงแม้จะมีคนน้อยกว่าแต่ว่าแรงกว่า
ในขณะที่ม็อบหนุนแผ่วและไม่อาจช่วยอะไรได้มาก
จะเห็นได้ว่าสูตรการต่อสู้
ที่ต้องการจะมาเป็นรัฐบาลแล้วจะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น
ได้เคยลองทำมาแล้วและประสบความล้มเหลวอย่างที่เห็น
แล้วยังจะหวังว่าจะสามารถทำตามสูตรเดิม
แล้วจะประสบผลสำเร็จหรือ
อย่าคิดว่าพวกพันธมิตรอ่อนแรง
ม็อบจะมีแรงฮึดออกมาสู้
ส่วนใหญ่จะเป็นม็อบต่อต้านรัฐบาล
ส่วนม็อบเชียร์รัฐบาลไม่ค่อยมีแรงฮึดมาก
และไม่อาจนำมาใช้จนกลายเป็นม็อบชนม็อบ
เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่ถึงขนาดนั้น
และนายกที่แข็งๆ กล้าชนก็หาได้ยากเต็มที

ขอรวบรวมมาเก็บไว้ให้อ่าน

เผื่อบางคนลืมเหตุการณ์ต่างๆไปแล้ว
เพื่อเป็นแนวทางในการสู้
เพื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ50 ยกต่อไป


ส่วนสาเหตุว่าทำไมต้องแก้รัฐธรรมนูญ 50
เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้
สร้างขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการซ่อนรูปเอาไว้
มีการเขียนล็อคนั่นนี่ทุกอย่าง
รวมทั้งเขียนแนวทางการบริหารประเทศไว้เสร็จสรรพ
แทนที่จะเป็นเรื่องนโยบายของแต่ละพรรคที่ชนะเลือกตั้ง
และหลายๆ เรื่องสามารถตีความได้ตามนักตัดสิน
ประเภทคนสองพวกทำคล้ายกัน
พวกหนึ่งสามารถตีความให้ผิดได้

อีกพวกหนึ่งตีความไม่ผิดก็ได้ อะไรแบบนี้
ซึ่งก็เหมือนกับวางกับระเบิดเอาไว้
รอวันเดินไปเหยียบตายนั่นเอง
ซึ่งมีทั้งระดับตัวบุคคลที่เป็นรัฐมนตรีหรือนายก
หรือระดับพรรคที่อาจต้องโดนยุบ
เพราะอาจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ในขณะที่อีกพรรคทำเหมือนกันอาจไม่ผิดก็ได้

ถ้าไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้
การพัฒนาประเทศไปต่อได้ยาก
นั่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้ทุกอย่าง
แทบจะต้องให้ฝ่ายตุลาการเข้ามาเกี่ยวข้องในการตีความ
เท่ากับฝ่ายบริหารแทบไม่มีอิสระ
แถมดูเหมือนกับว่าตกอยู่ภายใต้อำนาจฝ่ายตุลาการด้วยซ้ำ
ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า
หรือนี่จะเป็นวิธีควบคุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จแนวใหม่
แทนที่จะโฉ่งฉ่างแบบเดิม
ในการเข้าควบคุมฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญํติ
ซึ่งคนทั่วไปสามารถเห็นได้ชัด
เช่นการเรียกร้องให้นายกมาจากการแต่งตั้ง
หรือกรณีให้สภามาจากการแต่งตั้งผสม
ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
ซึ่งวิธีการดังกล่าวคนทั่วไปจะเห็นและทราบทันทีว่า
มีการแทรกแซงควบคุมแน่ๆ
แต่ถ้าควบคุมผ่านฝ่ายตุลาการแทน
และฝ่ายตุลาการไปควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
ก็จะเป็นอะไรที่เนียนมากๆ จนถึงเนียนที่สุด
เพราะไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ชัดๆ
ดังนั้นรัฐธรรมนูญคือเครื่องมือสำคัญในการปกครองประเทศ
ถ้าแบ่งสรรปันส่วนอำนาจทั้งสามไม่สมดุลกันเมื่อไหร่
ก็จะเกิดเผด็จการทั้งโจ่งแจ้งและซ่อนรูปทันที
จึงจำเป็นที่จะต้องรื้อรัฐธรรมนูญและสร้างใหม่
ให้ทุกฝ่ายมีอำนาจถ่วงดุลกัน
และต้องไม่หมกเม็ดมาตราใดๆ ไว้
เพื่อรอสอยรัฐบาลที่ไม่ชอบหน้าด้วย

โดย มาหาอะไร
FfF