บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


10 กันยายน 2553

<<< นิค นอสติทซ์ ในพื้นที่สังหาร >>>

nick-open.jpg

แปลจาก Nick Nostitz in the killing zone, ตีพิมพ์ครั้งแรกบนเว็บไซต์ New Mandala,
http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2010/05/16/nick-nostitz-in-the-killing-zone/
โดย สฤณี อาชวานันทกุล

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่บ้าน สงสัยว่าวันนี้ วันที่ 15 พฤษภาคม เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า หรือเป็นแค่ฝันร้ายน่า
สยดสยองเท่านั้น ตลอดชีวิตผมไม่เคยรู้สึกกลัวเท่ากับวันนี้ วันนี้ผมคิดว่าผมจะตาย

ช่วงเที่ยงที่ผ่านมาผมไปสังเกตการณ์การชุมนุมที่สามเหลี่ยมดินแดง มีผู้ชุมนุมอยู่ประปราย อย่างมาก
ไม่กี่ร้อยคน มีเศษชิ้นส่วนที่หลงเหลือจากการปะทะกันเมื่อคืนจำนวนมาก รถบรรทุกทหารที่ถูกเผาคัน
หนึ่งยังคุกรุ่น ผู้ชุมนุมขนยางรถยนต์มาสุมเป็นด่าน เอารถฉีดน้ำของเทศบาลเข้ามาคันหนึ่ง

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ชุมนุมย้ายรถฉีดน้ำไปตามถนนราชปรารภ มุ่งหน้าไปทางแนวของทหาร เพื่อใช้
เป็นด่านป้องกันการยิงจากกองทัพ ผู้ชุมนุมบางคนย้ายยางรถยนต์หลายสิบอันมากองสุมเป็นด่าน คน
หนึ่งชูหนังสติ๊กเล่นหน้ากล้องของพวกเราเหล่าช่างภาพ – “เห็นมั๊ย นี่ไงอาวุธที่เราใช้สู้กับทหาร”


“เห็นมั๊ย นี่ไงอาวุธที่เราใช้สู้กับทหาร”

ผู้ชุมนุมย้ายยางรถยนต์ไปตามถนนอีก ไปกองหน้าปั๊มน้ำมันเชลล์ใกล้กับซอยรางน้ำ ผมหาที่กำบังในปั๊ม
เผื่อกองทัพจะเริ่มยิง และกองทัพก็เริ่มยิงทันที บนถนนถัดจากผมไปประมาณ 5 เมตร ผู้ชุมนุม กลุ่มเล็กๆ
ติดอยู่หลังกองยางรถยนต์ขณะที่กระสุนวิ่งผ่านหัว มันทำเสียงน่าสะอิดสะเอียนเวลาแล่นโดนผู้ชุมนุม ที่
เพิ่งพูดเล่นกับเราเมื่อ ไม่กี่นาทีก่อนเข้าที่แขนและหน้าท้องของเขา ผู้ชุมนุมบางคนที่หลบอยู่ข้างเดียวกับ
เราพยายามโยนเชือกเข้าไปช่วยดึงผู้บาด เจ็บออกมา แต่ทำไม่สำเร็จการยิงไม่เคยหยุดชะงักลงเลย ผู้ชุม
นุมอีกคนหนึ่งที่พยายามคลานหนีออกมาถูกยิงที่ขาและไหล่ผู้ชุมนุมคนหนึ่งวิ่ง มาทางเราได้สำเร็จ ผมเริ่ม
สูญเสียความรู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ผู้ชุมนุมอีกคนหนึ่งข้ามมาทางเราได้ อีกคนหนึ่งถูกยิงที่แขน
หลังจากนั้นอีกพักหนึ่งคนสองคนที่บาดเจ็บไม่มากวิ่งมาทางเรา คนหนึ่งล้มลง และคลานต่อไปจนถึงที่
ปลอดภัย ผมเกรงว่าเขาจะถูกยิงอีกแล้ว


การยิงเริ่มต้นขึ้น



ผู้ชุมนุมทางขวาถูกยิงที่หน้าท้องและแขน


เขากลิ้งไปทางเพื่อน


ผู้ชุมนุมคนแรกที่วิ่งออกมาได้



คนที่สองที่วิ่งออกมาสำเร็จ



ผู้ชุมนุมในเสื้อสีเทาถูกยิงที่ขาและไหล่ คนชุดขาวถูกยิงที่แขน



ผู้ได้รับบาดเจ็บสองคนหลบออกมาสำเร็จ

ข้างหลังของปั๊มน้ำมันมีห้องสุขาซึ่งกลายเป็นโซนปลอดภัยชั่วคราว ผู้ชุมนุมที่มีแผลที่ไหล่และขาได้รับ
บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เขาและผู้ชุมนุมอีกคนหนึ่งที่ถูกยิงที่แขน พร้อมด้วยนักข่าวอีกสองสามคนปีนข้าม
กำแพงออกไปผมกลับไปที่จุดเดิมเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ชุมนุมที่ยังติด อยู่หลังกองยางรถยนต์ ผู้ชุมนุม
อีกคนหนึ่งหลบไปสู่ที่ปลอดภัยได้ เขาวิ่งผ่านหน้าปั๊มน้ำมันไป


ที่สุขา แผลที่ถูกกระสุนเฉี่ยว


วิ่งหลบไปได้อย่างปลอดภัย


ผู้ชุมนุมที่ถูกยิงที่ท้อง นาย ชาญณรงค์ พลศรีลา ไปถึงหน้าห้อง สุขา



ผมตระหนักด้วยความหวาดหวั่นว่าทหารเริ่มเคลื่อนมาทางเรา พวกเขายิงเข้ามาในปั๊ม ผมแอบอยู่ข้างหลัง
รถที่จอดอยู่ที่นั่น แต่รู้สึกแย่มากๆว่าผมอยู่ในจุดที่ผิดและผมต้องออกไปจากที่นั่นให้เร็วที่ สุด ผมวิ่งกลับไป
ที่ห้องสุขา ประมาณ 40 เมตรถัดไป รู้สึกว่าผมถูกไล่ยิงขณะวิ่งขาของผมล้าจนแทบล้มลง ความกลัวที่เปล่
าเปลือยและน่ากลัวอย่างเหลือเชื่อ

ทันทีหลังจากนั้น ก็มีคนลากผู้ชุมนุมที่ถูกยิงที่ท้องเข้ามา ผมถ่ายรูปสองสามใบ และ ปีนกำแพงหนีออกไป
เหมือนกัน กระโดดลงไปในสวนสวยๆ หลังบ้านแห่งหนึ่งที่ขนาบข้างด้วยบ้านไม้ขนาดเล็กสองหลัง หลัง
บ้านนี้มีนักข่าวและผู้ชุมนุมกลุ่มย่อยมาออกันอยู่ คนที่อยู่ในบ้านนั้นเอาน้ำออกมาให้เราผมเห็นว่าที่กำแพง
มีคนพยายามยกตัวคนเจ็บออกมา ผมไปที่กำแพงเพื่อพยายามช่วย หลังกำแพงผมได้ยินเสียง ทหารวิ่งมา
ทางปั๊ม คนสองคนที่ช่วยกันยกตัวคนเจ็บพ้นกำแพงวิ่งไปทางบ้าน ผมมองไม่เห็นอะไรอีกแล้วดตัวเองแนบ
กับพุ่มไม้หลังกำแพง ผมเห็นคนเจ็บหลบเข้าไปในทะเลสาบเทียมที่กำแพง ห่างจากผมไปประมาณ 10เมตร

ผม ได้ยินเสียงทหารตะโกนจากหลังกำแพง พวกเขาอยู่ที่ปั๊ม ผุ้ชุมนุมบางคนต้องยังอยู่ที่ห้องสุขา ทันใดนั้น
ผมก็ได้ยินเสียงปืนรัวติดกันหลายนัด เห็นปลอกกระสุนบินข้ามกำแพงมาได้ยินเสียงร้องขอชีวิต เสียงตะโกน
และเสียงที่เหมือนกับ รองเท้าบู้ตเตะเนื้อคน ผมกลัวชนิดที่ไม่เคยกลัวมาก่อนในชีวิต ติดอยู่หลังกำแพงนั่น
ผมภาวนาว่าขออย่าให้มีใครโทรฯ เข้ามือถือผมเดี๋ยวนั้นเลย ผมกลัวมากว่าทหารจะยิงข้ามกำแพงมา เพราะ
พวกเขาต้องรู้ว่ามีคนปีนข้ามมาทางนี้

ผมได้ยินเสียงทหารสั่งว่า ให้ออกมาไม่อย่างนั้นจะยิงตาย ตอนแรกผมนึกว่าเขาหมายถึงผม แต่แล้วผมก็เห็น
หัวทหารโผล่พ้นกำแพง ตะโกนใส่คนที่อยู่ในน้ำ ผมตัดสินใจว่าผมควรจะแสดงตัว ก็เลยตะโกนออกไปว่าผม
เป็นนักข่าวต่างชาติ ขอร้องว่าอย่ายิงผมเลยครับ ผมตะโกนอยู่สองสามครั้งก่อนที่ทหารจะมองเห็น ผมชูมือ
ให้เห็นว่าว่างเปล่า เขาสั่งให้ผมเดินออกมาผมเดินไปหาเขาและอธิบายว่าคนที่อยู่ในน้ำถูกยิงที่ ท้องและแขน
อาการสาหัส เขาลอยตัวอยู่ในน้ำ หน้าและท้องของเขาอยู่ปริ่มน้ำเท่านั้น

ทหาร คนนั้นสั่งให้ผมดึงชายผู้นั้นขึ้นมา ทหารอีกคนหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงมาคนที่สามเฝ้าอยู่เหนือกำแพง
ขณะที่ผมพยายามดึงตัวคนเจ็บออกมาจากน้ำ เขาวิงวอนด้วยเสียงอ่อนว่าเขาทนไม่ได้แล้ว ตัวของเขาหนัก
เกินไป ผมขอให้ทหารคนหนึ่งมาช่วยผม ได้โปรดเถอะครับ ขณะที่กระชากตัวคนเจ็บขึ้นมา ทหารก็ตะโกนว่า
ชายผู้นี้ควรตาย พวกทหารจะต้องพาเขาไปโรงพยาบาลเพราะเขาไม่ตาย บอกว่าเขาสมควรตาย เสร็จแล้ว
ทหารคนนี้ก็เดินจากไป

ชายคนเจ็บหล่นลงน้ำไปอีกครั้ง ทหารคนที่สองช่วยผมดึงตัวเขาขึ้นมาขณะที่ทหารคนแรกยังตะโกนไม่หยุด
ทหารคนที่สามที่กำแพงสั่งให้ผมดูแลคนเจ็บ ผมตอบว่าผมไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไร เขาถูกยิงสาหัสที่หน้าท้อง
ผมเลิกเสื้อชายผู้นี้ให้ดูรูกระสุนเล็กๆที่ท้องผมคุกเข่าลงกับพื้นคนเจ็บขอ ให้ผมชูแขนที่บาดเจ็บและพลิกตัวเขา
ไปอีกข้างหนึ่งเพราะเขาหายใจไม่ออกแล้วผมทำตามที่เขาบอกขณะที่เขาร้องครวญ ครางด้วยความเจ็บปวด

ทหารสั่งเอาเปลหามเข้ามา และสั่งไม่ให้ผมถ่ายรูป ทหารคนแรกเดินไปที่บ้าน ผมบอกเขาว่าในนั้นมีนักข่าว
ต่างชาติอยู่หลายคน ทหารเอาปืนจี้สั่งให้นักข่าวออกมา และสั่งให้พวกเขาหามคนเจ็บออกไปทางประตูบ้าน
ไปทางปั๊มน้ำมัน ผมทรุดตัวนั่งอยู่ที่บ้าน รู้สึกใกล้จะสลบ มือสั่นทั้งสองข้าง

ผมใช้เวลานานมากกว่าจะรวบรวมสติได้ เราได้ยินเสียงหวอของรถพยาบาล และเสียงปืนที่ยิงจากทหารในปั๊ม
น้ำมัน คนที่อยู่ในละแวกนั้นทำกาแฟให้เราดื่ม ช่างภาพหนังสือพิมพ์แนวหน้าชื่อ เต้น ใช้มือถือติดต่อกับโลก
ภายนอกได้สำเร็จ ส่งข่าวว่าพวกเราติดอยู่ในนี้ – Thilo Thielke นักข่าวของ Spiegel, ทีมช่างภาพจากอินโด
นีเซีย, ช่างภาพท้องถิ่นที่ทำงานให้กับ ABC News, ผมและผู้ชุมนุมบางคนที่กลายเป็นคนขับรถจำเป็น ให้กับ
พวกเราเหล่านักข่าวต่าง ชาติ

ผมโทรศัพท์หาภรรยาและเพื่อนร่วมงานข้างนอก บอกพวกเขาว่าผมปลอดภัย เราได้ยินข่าวว่านักข่าวบางคน
ได้รับบาดเจ็บ บทสนทนาผ่านมือถือว่าจะเอาพวกเราออกไปอย่างไรนั้นกินเวลาหลายชั่วโมง เสียงปืนดังไม่
หยุด มองออกไปไกลๆ ทางเวที เราได้ยินเสียงระเบิดเอ็ม 79 จาก ทิศสามเหลี่ยมดินแดงเราไม่ได้ยินเสียงปืน
เลย ดูเหมือนว่า ศอฉ.รวมทั้งนายกฯ จะมีการประชุมเกี่ยวกับพวกเรา คนที่อยู่ละแวกนั้นทำอาหารเย็นให้เราทาน
เจ้าของบ้านออกมา พูดภาษาเยอรมันคล่องมาก บอกว่าเขาอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ที่ทำงานอยู่ห่างจากอพาร์ต
เม้นท์ของคุณพ่อผมไปประมาณ 10 นาทีเดิน

หลังจากที่เราทานอาหารเย็นเสร็จ เราก็ได้รับคำแนะนำให้ออกมาทางประตูหน้า เดินผ่านปั๊มไปทางทหารที่อยู่
ที่ซอยรางน้ำ เราขอให้ทหารมารับเราได้ไหมเพราะเราไม่เชื่อมั่นพอที่จะเดินออกไปในที่แจ้ง คำตอบคือถ้าทำ
อย่างนั้นทหารก็จะกลายเป็นเป้า ดังนั้นพวกเขาจึงมารับเราไม่ได้ เราตัดสินใจกันว่าเราต้องหาทางปีนกำแพง
หลังออกไป ถึงตอนนั้นก็มืดแล้ว เราได้รับการบอกเล่าว่ามีสไนเปอร์อยู่บนตึกสูงแถวนี้ทุกตึก มีกองกำลังไม่
ทราบฝ่ายที่อาจจะโจมตีทหาร และดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะมารับเรา

เราโทรศัพท์กันอีกหลายครั้งและปรึกษาว่าทางไหนที่จะปลอดภัย สุดท้ายเราก็ปีนบันไดข้ามกำแพง มีชายคน
หนึ่งรอรับเราอยู่ เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ค่อนข้างใกล้กับจุดที่เราอยู่ จนเราต้องย้ายไปยังจุดที่ปลอดภัย
กว่าที่อพาร์ตเม้นท์แห่งหนึ่ง หลังจากปรึกษากันอีกสักพัก เราก็ตัดสินใจว่าจะเดินไปทางไหนปีนข้ามกำแพงอีก
กำแพงหนึ่ง ลงไปในซอยเล็กๆ ที่มีคนอยู่ เราถามหาทางออกที่ปลอดภัยที่สุด สุดตรอกนี้มืดมาก มืดมากจริงๆ
ผุ้ชุมนุมเสื้อแดงบางคนอยู่ตรงนั้น เรามาถึงใต้สะพานลอยรถข้ามวที่สามเหลี่ยมดินแดงพอดี

ผมมองเข้าไปในซอยทางขวามือ มันเหมือนกับจ้องมองเข้าไปในหุบเหวลึก ควันและความมืดสนิท ที่สะพาน
ลอยหายเข้าไป เราเดินไปทางซ้าย ไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คนไม่กี่คนซ่อนตัวอยู่ในเงามืดสักพักเราก็ออก
มาถึงที่ที่ไฟสว่างกว่าเดิม ชาวบ้านหลายคนอยู่นอกบ้าน เมื่อผมเดินไปถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิผมก็ได้ยินเสียง
สวดมนต์ของพระ พระสงฆ์มากกว่า 100 รูปนั่งอยู่ที่อนุสาวรีย์ ภาวนาให้การฆ่ากันยุติ ผมนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
กลับบ้าน เพราะต้องทิ้งมอเตอร์ไซค์ของตัวเองไว้ในซอยแห่งหนึ่งในโซนฆ่าฟัน.

นิค นอสติทซ์ (Nick Nostitz), 15 พฤษภาคม 2553



เจ็บสาหัส ที่ราชปรารภ ทหารไล่ล่าก่อนเป็นศพ พม.มอบ4แสน"คนตาย"
ญาติย้ำ-ไม่คุ้มค่าชีวิต!


สูญเสีย - น.ส.มนชยา พลศรีลา อายุ 25 ปี น้ำตานอง
ขณะรับฟัง นายนิก นอสติทซ์ นักข่าวอิสระชาวเยอรมัน เล่าถึงเหตุการณ์
วันที่นาย ชาญณรงค์ พลศรีลา บิดาถูกทหารยิงเสียชีวิตที่ราชปรารภ เมื่อวันที่ 18 พค.

นักข่าวเยอรมันได้พบลูกสาวแท็กซี่ เหยื่อปืน "ราชปรารภ" แล้ว
เล่าเหตุการณ์ที่ ถ่ายภาพวัน ถูกยิงตรงแนวยางรถยนต์ ทำเอาลูกสาวผู้ตายร่ำไห้โฮออกมา
ฝ่ายนักข่าวเองก็สะเทือนใจจนพลอย ร้องไห้ตามไปด้วย
ลูกสาว เผยสองคนกับแม่ ออกตามหาศพพ่อตามร.พ.ไปทั่ว จนไปเจอที่รามาฯ
มีภาพถ่ายในสภาพเน่าไปแล้ว แต่ก็ยังจำได้ พม.แจกเงินเยียวยา 200 ราย รายที่ตายได้รับ 4 แสน
แต่ญาติต่างย้ำถึงได้เงินชดเชยก็ไม่ คุ้ม ทั้งที่ตายไปก็ไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่ผ่านไปเจอลูกหลง

จากกรณีนายนิก นอสทิส นักข่าวอิสระชาวเยอรมัน เดินทางไปพบตำรวจสน.พญาไท
เพื่อ ตามหาผู้ชุมนุมคนเสื้อ แดงคนหนึ่ง ซึ่งนายนิกเห็นเหตุการณ์ขณะถูกทหารยิงบาดเจ็บ
ขณะอยู่ แนวยางรถยนต์บนถนน ราชปรารภ ก่อนได้รับการยืนยันจากตำรวจว่าชายดังกล่าวเสียชีวิตไปแล้ว
ชื่อ นายชาญณรงค์ พลศรีลา อายุ 45 ปี อาชีพแท็กซี่ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา
ตามที่ ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อ วันที่ 18 มิ.ย. น.ส.มนชยา หรือส้มโอ พลศรีลา อายุ 25 ปี พนักงานข้าราชการ กองทัพอากาศ
บุตรสาวนายชาญณรงค์ พลศรีลา อายุ 45 ปี ผู้เสียชีวิต
จาก การกระชับ พื้นที่บริเวณหน้าปั๊มน้ำมันเชลล์ ถนนราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา
ได้ เดินทางไปพบนายนิก นอสทิส นักข่าวอิสระชาวเยอรมัน ที่เห็นเหตุการณ์ขณะนายชาญณรงค์ถูกยิง
และ พยายามเข้าไปช่วยเหลือ โดยทั้งสองนัดหมายเจอกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ย่านสายไหม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.มนชยา หรือส้มโอ สอบถามนายนิก ถึงเหตุการณ์ที่นายชาญณรงค์ถูกยิงทันที
โดยสอบถามถึงเรื่องราวต่างๆ วันแรกที่พบพ่อ และช่วงที่ถูกยิงหน้าปั๊มน้ำมันเชลล์ ถนนราชปรารภอย่างละเอียด
ทั้งนี้ ระหว่างที่นายนิกเล่าเรื่องราวต่างๆ

ตั้งแต่ ต้นให้น้องส้มโอฟัง ทำเอาน้องส้มโอถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ปล่อยโฮออกมาต่อหน้าผู้สื่อข่าว
โดยที่ นายนิกก็พลอยร้องไห้ออกมาด้วย จนต้องให้น้องส้มโอนั่งพักดื่มน้ำเย็น
เพื่อให้หายเครียด ประมาณ 5 นาที จากนั้นนายนิกเล่าเหตุการณ์ต่อช่วงที่นายชาญณรงค์ถูกยิง
และช่วงที่นาย นิกเข้าไปช่วยเหลือ โดยพยายามนำร่างนายชาญณรงค์ออกจากจุดเกิดเหตุ
เพื่อไปส่งโรงพยาบาล แต่ไม่สามารถนำออกมาได้ เพราะขณะนั้นมีกำลังทหารประชิดเข้ามาแล้ว

นายนิก เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ขณะเดินทางไปทำข่าวอยู่บริเวณราชปรารภ
ก็ ได้พบเห็น นายชาญณรงค์ อยู่บริเวณแนวรั้วยางรถยนต์
ขณะ นั้นทราบว่าจะมี ทหารบุกเข้ามาสลายการชุมนุมบริเวณดังกล่าว
ก่อน หน้านี้ตนและนายชาญณรงค์ ก็ได้ยืนอยู่ด้วยกัน และตนยังถ่ายรูปนายชาญณรงค์ไว้ด้วย
เหตุการณ์ ที่ เกิดขึ้นครั้งนี้ ตนไม่มีวันลืมตลอดชีวิตแน่นอน
ภาพนาย ชาญณรงค์ถูกยิง วันนั้นยังติดตาตนตลอดเวลา
และจะ เดินหน้าหาความเป็นธรรม ให้กับนายชาญ ณรงค์ต่อไป

ส่วน น.ส.มนชยา หรือส้มโอ กล่าวว่า
บิดาของ ตนเดินทาง ไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณแยกราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.
และ ในวันนั้น ตนทราบว่าช่วงประมาณ 15.00 น. จะมีการกระชับพื้นที่
มีความ เป็นห่วงพ่อ จึงได้โทรศัพท์ไปหาแต่ไม่ติด คาดว่าน่าจะถูกตัดสัญญาณมือถือ
และ ตลอดทั้งวันทั้งคืนนั้น ก็ไม่สามารถติดต่อพ่อได้เลย
จน กระทั่งเช้าวัน ที่ 16 พ.ค. มารดาตน คือนางสุริยันต์เดินถือหนังสือ พิมพ์ "ข่าวสด"
ฉบับ บ่ายเป็นวันที่ 17 พ.ค. มาให้ตนดู และบอกว่าพ่อถูกยิงบริเวณราชปรารภ
โดย ภายในหนังสือพิมพ์วันนั้น เป็นภาพมีชาย 2 คน กำลังหิ้วปีกพ่อออกมาจากที่เกิดเหตุ
บริเวณ หน้าปั๊มน้ำมันเชลล์


เล่านาทียิง นายนิก นอสติทซ์ นักข่าวเยอรมัน เล่านาทีที่นายชาญณรงค์ถูกยิงแล้ววิ่งหนี
ไปหลบในบ่อ น้ำ
ก่อน จะมีทหารมาลากตัวออกไป และรู้สึกเสียใจมากเมื่อทราบข่าวภายหลัง
ว่านายชาญณรงค์เสียชีวิตในวัน นั้น


น.ส.มนชยา กล่าวต่อว่า หลังจากเห็นภาพข่าวว่าพ่อถูกยิง ก็รีบออกตามหาทันทีว่า
เขานำพ่อส่งโรงพยาบาลอะไร โดยติดต่อสอบถามไปทุกโรงพยาบาล รวมทั้งศูนย์เอราวัณ
ซึ่งเป็นจุดที่รวบรวมรายชื่อผู้ บาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ก็ไม่พบ
จากนั้นวัน ที่ 17พ.ค. ตนได้นำข้อมูลประวัติพ่อโพสต์ลงเฟซบุ๊กและยูทูบ
เพราะอยากทราบรายละเอียดคนที่พบเห็น เหตุการณ์หรือคนที่ช่วยเหลือพ่อในวันนั้นว่าเป็น ใคร
และ ต้องการทราบความจริงว่าวันนั้นเรื่องราวเป็นอย่าง ไร
น.ส.มนชยา กล่าวอีกว่า กระทั่งวันที่ 19 พ.ค. ตนและแม่ไปตรวจสอบที่ร.พ.วชิระ บริเวณตึกนิติเวชอีก
แต่ก็ไม่ พบ จึงคิดว่าน่าจะถึงทางตันแล้ว ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน
ทางแม่ จึงมาบอกให้ตนไปดูที่ แผนกนิติเวช ร.พ.รามาธิบดีอีกครั้ง
เพราะ ยังไม่เคยไป พอไปถึงก็ได้เดินเข้าไปยังตึกนิติเวช และสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า
มีศพชาย รูปร่างท้วม ถูกยิงบริเวณราชปรารภ ส่งเข้ามาหรือไม่
ทางโรง พยาบาลจึงนำ ภาพศพทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมมาให้ดู
โดยพบว่ามีอยู่ 2 คนที่ส่งมาจากราชปรารภ ศพแรกเป็นชายรูปร่างผอม ไม่ทราบชื่อ หน้าตาเละ
ส่วนศพที่ 2 เป็นชายรูปร่างท้วม มีหนวด อายุประมาณ 40-45 ปี แต่สภาพศพขึ้นอืด ใบหน้าเละจำไม่ได้
เนื่อง จากทางโรงพยาบาลไม่ได้ฉีดยา ทั้งนี้ เมื่อตนเห็นศพดังกล่าว จึงยืนยันได้ทันทีว่า คือ
ศพของพ่อตนแน่นอน เพราะจำเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้อย่างแม่นยำ จึงประสานขอรับศพไปบำเพ็ญกุศลทันที

บุตรสาวนายชาญณรงค์ กล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลาที่ตามหาพ่อมาตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.
ตนก็มัก จะฝันเห็นพ่อเกือบทุกวัน โดยในความฝันนั้นเป็นเหตุการณ์พ่อถูกยิง
พอตน ตื่นขึ้นมา ก็นั่งนึกว่าจะเป็นไปได้หรือ ที่พ่อมาถูกยิงกลางเมืองหลวงแบบนี้
และยัง ฝันเห็นพ่อนอนอยู่บนผ้าห่อศพสีขาว ซึ่งเหมือนเป็นลางบอกเหตุว่าพ่อน่าจะเสียชีวิตแล้ว
จนกระทั่งมาพบศพ และหลังจากที่นำร่างพ่อไปบำเพ็ญกุศล ตนก็ได้ฝันเห็นพ่ออีก
โดยพ่อมาทักทาย พ่อมีรูปร่างหน้าตาหนุ่มหล่อ มาบอกสบายดี ตนถึงกับร้องไห้เมื่อฝันถึงพ่อ

ด้านนายนิก กล่าวว่า วันเกิดเหตุจำได้ว่า
หลังจาก ที่นายชาญณรงค์ถูกยิงที่หน้าปั๊มแล้ว ได้พยายามคลานเข้ามาในปั๊ม
ซึ่งขณะ นั้นนักข่าวและผู้ ชุมนุมได้ไปรวมตัว กันอยู่ที่ห้องน้ำหลังปั๊ม
แล้วปีน ข้ามรั้วหนีไปยังบ้าน หลังหนึ่ง
โดยมีคน เสื้อแดงช่วยกันนำร่างนายชาญณรงค์ข้ามมาด้วย
แต่นายชาญณรงค์ ลงไปนอนหลบแช่อยู่ในบ่อบัว โผล่มาแค่หน้า
และ ยังส่งเสียงร้องให้ตนช่วย บอกว่า "ผมไม่ไหวแล้ว"
แต่เมื่อ ทหารปีนข้ามรั้วมาได้ ก็ด่านายชาญณรงค์อย่างหยาบคายว่า
ทำไมถึง ไม่ตาย แล้วสั่งให้ตนช่วยดึงขึ้นมาจากน้ำ
แต่ตน ดึงคนเดียวไม่ไหว ทหารก็เลยเข้ามาดึงแขนนายชาญณรงค์ขึ้นมาแล้วพาข้ามกำแพงไป
เมื่อ ได้ทราบ ว่านายชาญณรงค์เสียชีวิตแล้ว ก็รู้สึกเสียใจ แต่ถ้าถามตนว่ารู้สึกสบายใจขึ้นหรือไม่
ที่ได้พบบุตรสาวคนที่เสียชีวิต บอกได้ว่าไม่ เพราะการสูญเสียชีวิตนั้น ไม่สามารถที่จะเรียกกลับคืนมาได้


ก่อนตาย - ภาพถ่ายที่นายนิกบันทึกไว้ตอนที่นายชาญณรงค์ยิงหนังสติ๊กสู้กับทหารที่ถน ราชปรารภ
ส่วนรูปขวา คนเสื้อแดงพยายาม ลากนายชาญณรงค์ซึ่งถูกยิงสาหัสเข้ามาหลบที่หลังปั๊มน้ำมันใกล้จุด
เกิด เหตุ
ก่อน จะเสียชีวิต

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า
หลังจากที่นายนิกและ น้องส้มโอ พูดคุยกันเสร็จ ก็ได้แลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ และอีเมล์
โดยนายนิก รับปากว่าจะส่งภาพเหตุการณ์พ่อน้องส้มโอที่ถูกยิงในวันนั้นให้ดูทั้งหมด

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOREU1TURZMU13PT0=&

FfF