ณ บริษัทแห่งหนึ่ง
ซึ่งกำลังประสบปัญหาพนักงานแบ่งฝ่ายทะเลาะกัน
หัวหน้ายามเฝ้าดูอยู่นานและรำพึงกลับตัวเองว่า
ถ้าฉันมีโอกาสเป็นประธานบริษัทนี้
ฉันน่าจะทำให้พนักงานในบริษัทสมานฉันท์กันได้
และสามารถนำพาบริษัทไปได้ตลอดรอดฝั่ง
โดยเขานั่งสังเกตุการทำงานของประธานบริษัท
เช้านั่งรถมาทำงาน เซ็นต์เอกสารที่เลขานำมาให้เซ็นต์
บางวันก็ออกไปสังสรรค์กับลูกค้า
ดูๆ แล้วเขาก็ทำได้แบบนี้ไม่เห็นจะยากอะไรเลย
ว่าแล้วแกก็ประกาศยึดอำนาจบริษัท
ปลดประธานบริษัทออกตั้งตัวเองเป็นแทน
แล้วตั้งลูกน้องฝ่ายที่ไม่ถูกกับผู้บริหารชุดเก่า
มาเป็นหัวหน้าแผนกทุกแผนก
โดยคัดเลือกผู้ที่มีอคิตและไม่ถูกกับผู้บริหารชุดเก่ามากที่สุด
เพื่อให้มาหาเรื่องจับผิดผู้บริหารชุดเก่า
โดยหวังว่าวิธีดิสเครดิตผู้บริหารชุดเก่าไปวันๆ
จะทำให้พนักงานทั้ง 2 ฝ่ายสมานฉันท์
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาใช้อะไรคิดกัน
คงคิดว่าจะสร้างความชอบธรรมให้เขาอยู่ไปนานๆ ได้
เป็นอันว่าผู้บริหารบริษัทนี้ทั้งบริษัท
ตั้งหน้าตั้งตาจับผิดขุดคุ้ยงานต่างๆ ที่ผู้บริหารชุดเดิมทำไว้
โดยไม่สนใจว่ายอดขายบริษัทเป็นยังไงในปีนี้
จะทำตลาดยังไงในการแข่งขันกับคู่แข่ง
พยายามสร้างความชอบธรรมด้วยอ้างว่า
เราจะอยู่กันอย่างพอเพียง
ไม่เน้นยอดขายไม่เน้นขยายกิจการ
และไม่สนใจคู่แข่งจะก้าวหน้าไปยังไง
เลขาส่งอะไรมาแกก็เซ็นต์ไปหมด
โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เซ็นต์ไปมีผลกระทบอะไรมีปัญหาอะไรบ้าง
เพราะเชี่ยวชาญด้านเดียวคือสั่งลูกน้องซ้ายหันขวาหันเท่านั้น
คงลืมกันไปหมดทั้งบริษัทว่า
พนักงานทุกคนมีเงินเดือนที่ต้องเพิ่มขึ้นทุกปี
ไม่รวมสวัสดิการและเงินโบนัสประจำปีอีก
การอยู่แบบพอเพียงไม่สนใจเพิ่มยอดขาย
รายได้ก็มีแต่คงที่ เผลอๆ จะลดลง
เพราะความสามารถในการแข่งขัน
สู้คู่แข่งที่กระตือรือร้นตลอดเวลาไม่ได้
อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ
ไม่ต่างอะไรกับเห็นเรือรั่วมีน้ำเข้า
แล้วเรานั่งมองดูเฉยๆ
หรือทำเป็นมองไม่เห็นไปวันๆ นั่นแหละ
ถึงจุดหนึ่งมันก็จมไปกันหมด
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนหรือพวกใด
กอดคอกันเจ๊ง ล่มจมไปด้วยกัน
ไม่น่าเชื่อ
หรือนี่เป็นวิธีสร้างความสมานฉันท์ของหัวหน้ายาม
ช่างแยบยลอะไรเช่นนี้
โดย มาหาอะไร
FfF
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.