บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


17 พฤศจิกายน 2553

<<< เมื่อหัวหน้ายามอยากเป็นประธานบริษัท >>>

ณ บริษัทแห่งหนึ่ง
ซึ่งกำลังประสบปัญหาพนักงานแบ่งฝ่ายทะเลาะกัน
หัวหน้ายามเฝ้าดูอยู่นานและรำพึงกลับตัวเองว่า
ถ้าฉันมีโอกาสเป็นประธานบริษัทนี้
ฉันน่าจะทำให้พนักงานในบริษัทสมานฉันท์กันได้
และสามารถนำพาบริษัทไปได้ตลอดรอดฝั่ง
โดยเขานั่งสังเกตุการทำงานของประธานบริษัท
เช้านั่งรถมาทำงาน เซ็นต์เอกสารที่เลขานำมาให้เซ็นต์
บางวันก็ออกไปสังสรรค์กับลูกค้า
ดูๆ แล้วเขาก็ทำได้แบบนี้ไม่เห็นจะยากอะไรเลย
ว่าแล้วแกก็ประกาศยึดอำนาจบริษัท
ปลดประธานบริษัทออกตั้งตัวเองเป็นแทน
แล้วตั้งลูกน้องฝ่ายที่ไม่ถูกกับผู้บริหารชุดเก่า
มาเป็นหัวหน้าแผนกทุกแผนก
โดยคัดเลือกผู้ที่มีอคิตและไม่ถูกกับผู้บริหารชุดเก่ามากที่สุด
เพื่อให้มาหาเรื่องจับผิดผู้บริหารชุดเก่า
โดยหวังว่าวิธีดิสเครดิตผู้บริหารชุดเก่าไปวันๆ
จะทำให้พนักงานทั้ง 2 ฝ่ายสมานฉันท์
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาใช้อะไรคิดกัน
คงคิดว่าจะสร้างความชอบธรรมให้เขาอยู่ไปนานๆ ได้
เป็นอันว่าผู้บริหารบริษัทนี้ทั้งบริษัท
ตั้งหน้าตั้งตาจับผิดขุดคุ้ยงานต่างๆ ที่ผู้บริหารชุดเดิมทำไว้
โดยไม่สนใจว่ายอดขายบริษัทเป็นยังไงในปีนี้
จะทำตลาดยังไงในการแข่งขันกับคู่แข่ง
พยายามสร้างความชอบธรรมด้วยอ้างว่า
เราจะอยู่กันอย่างพอเพียง
ไม่เน้นยอดขายไม่เน้นขยายกิจการ
และไม่สนใจคู่แข่งจะก้าวหน้าไปยังไง
เลขาส่งอะไรมาแกก็เซ็นต์ไปหมด
โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่เซ็นต์ไปมีผลกระทบอะไรมีปัญหาอะไรบ้าง
เพราะเชี่ยวชาญด้านเดียวคือสั่งลูกน้องซ้ายหันขวาหันเท่านั้น
คงลืมกันไปหมดทั้งบริษัทว่า
พนักงานทุกคนมีเงินเดือนที่ต้องเพิ่มขึ้นทุกปี
ไม่รวมสวัสดิการและเงินโบนัสประจำปีอีก
การอยู่แบบพอเพียงไม่สนใจเพิ่มยอดขาย
รายได้ก็มีแต่คงที่ เผลอๆ จะลดลง
เพราะความสามารถในการแข่งขัน
สู้คู่แข่งที่กระตือรือร้นตลอดเวลาไม่ได้
อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ
ไม่ต่างอะไรกับเห็นเรือรั่วมีน้ำเข้า
แล้วเรานั่งมองดูเฉยๆ
หรือทำเป็นมองไม่เห็นไปวันๆ นั่นแหละ
ถึงจุดหนึ่งมันก็จมไปกันหมด
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนหรือพวกใด
กอดคอกันเจ๊ง ล่มจมไปด้วยกัน
ไม่น่าเชื่อ
หรือนี่เป็นวิธีสร้างความสมานฉันท์ของหัวหน้ายาม
ช่างแยบยลอะไรเช่นนี้

โดย มาหาอะไร
FfF