บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


17 พฤศจิกายน 2553

<<< ความฝันอันสูงสุด >>>

คืนนั้นหลังฉันสับสนวุ่นวายใจ
กับความปั่นป่วนทางการเมือง
กับข่าวปัญหาบ้านเมืองต่างๆ สารพัด
ทำให้หัวของฉันหนักอึ้ง
ฉับพลันต่อจากนั้นฉันก็ค่อยๆ หลับลง
ตรงโต๊ะทำงาน

นานแสนนานจริงๆ
มันเป็นคืนที่ยาวนานมากๆ
ฉันรู้สึกตัวอีกครั้ง
มองออกไปรอบๆ
เห็นผู้คนกำลังลงประชามติ
สอบถามชาวบ้านได้ความว่า
นี่เป็นการลงประชามติครั้งที่ 8 แล้วสำหรับปีนี้
ครั้งนี้ลงประชามติเรื่อง
คดีที่ศาลสูงสุดตัดสินแล้ว
แต่ค้านสายตาผู้คนจำนวนมาก
ซึ่งเมืองนี้เขามีกฏอยู่ว่า
ไม่ว่าเรื่องใดๆ
ถ้ามีคนกลุ่มหนึ่งมายืนรวมกัน
ที่สนามกลางเมืองได้เป็นหมื่นๆ คนแล้ว
โดยไม่จำเป็นต้องไปนับเป็นรายหัว
แค่เห็นว่ามีคนส่วนหนึ่งจำนวนมากไม่พอใจขึ้นมาแล้ว
เขาจะให้สิทธิ์ยื่นขอทำประชามติได้ทันที
เพื่อป้องกันปัญหาความขัดแย้งรุนแรงที่จะตามมา
ซึ่งสามารถขอทำประชามติได้แทบทุกเรื่องๆ
ไม่ว่าจะถอดถอนผู้นำ ถอดถอน ผบ. ทุกเหล่าทัพ
หรือแม้แต่ถอดถอนผู้พิพากษา
รวมไปถึงปัญหาต่างๆ ทุกๆ เรื่อง
เขาถือว่าเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในขณะนั้น
คือเสียงตัดสินเด็ดขาดในทุกๆ เรื่อง
ที่มีปัญหาขัดแย้งกัน
โดยจะต้องชนะได้เสียงเกินครึ่งของผู้มาลงคะแนน
หรือถ้ากรณีเกี่ยวกับเรื่องสำคัญ อาจเกิน 80%
โดยก่อนการลงประชามติ
จะต้องให้โอกาสทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้านในเรื่องนั้น
ได้ชี้แจงปราศรัยและโต้ตอบกัน
และตอบคำถามต่างๆ จากประชาชน
ในเวลาที่เท่าเทียมกัน
ผ่านทางทีวี วิทยุ และสื่อต่างๆ
และการลงประชามติก็มีการป้องกันไม่ให้มีการโกงกัน
ทั้งให้ผู้สนับสนุนและฝ่ายค้านเรื่องนั้นๆ
มีพื้นที่ทุกคูหาเพื่อดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกขั้นตอน
จนถึงการเลือกตั้ง
เพื่อให้ผลการเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับของทุกคน
ว่าเสียงส่วนใหญ่ขณะนั้นจริงๆ ตัดสินยังไง
ผู้คนเมืองนี้เขาก็ขัดแย้งกันบ่อยๆ
แต่เขามีวิธีตัดสินปัญหาด้วยเสียงส่วนใหญ่
และคนที่แพ้ก็พร้อมรับกลับไปหาข้อบกพร่อง
เพื่อมาโน้มน้าวให้คนส่วนใหญ่กลับใจ
ในโอกาสต่อไปเมื่อสิ่งที่เสียงส่วนใหญ่ขณะนั้นหนุน
ไม่ประสบผลสำเร็จหรือมีปัญหาตามมา
เขาพร้อมรับคำตัดสินและรอคอยเวลา
เพื่อกลับมาชี้แจงถึงผลเสียอีกครั้ง

ฉันได้ฟังก็ชักสนใจเสียแล้วซิเมืองนี้
จึงได้ทำการศึกษาเรื่องอื่นๆ อีก
ก็พบว่าคนเมืองนี้มีเสรีภาพเต็มที่
คดีหมิ่นประมาทไม่มีไม่ว่าจะหมิ่นใครก็ตาม
เพราะว่าไม่มีกฏหมายเกี่ยวกับคดีหมิ่นประมาท
ทุกคนต่างกล่าวหากันได้เสรี
ฉันก็ถามเขาว่าแล้วไม่กลัวว่าจะเสียหายเหรอ
เขาก็ว่าถ้าคนมันอยากจะหมิ่นแล้ว
มันไม่จำเป็นต้องหมิ่นให้ได้ยินก็ได้
หรือหมิ่นให้ได้ยินแต่ไม่รู้ว่าเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น
สู้ให้มันเป็นเรื่องธรรมดาเสียดีกว่า
เพื่อฝึกคนของเขาให้รู้จักคิดแล้วค่อยเชื่อ
ในเมื่อไม่มีกฏหมายควบคุม
สิ่งที่ทุกคนพูดอาจจริงหรือไม่จริงก็ได้
วันหนึ่งเขาเจอกันบ่อยๆ เขาจะรู้จักคิดเอง
เขาโตๆ พอกันแล้วทุกคน
ไม่จำเป็นต้องไปคิดว่าเขายังเด็กอยู่ตลอดเวลา
โดยเขาจะสอนเด็กตั้งแต่เล็กๆ ระดับอนุบาล
เรื่องการฟังแล้วคิดและหาเหตุผล
ไม่ใช่หลับหูหลับตาเชื่อ
เพราะว่าคนพูดน่าเชื่อถือ
หรือเพราะว่าโฆษณาผ่านสื่อบ่อยๆ
ทุกอย่างต้องคิดและค้นคว้าเพิ่มเติมทุกครั้ง
เขาสอนกันมาตั้งแต่เด็กๆ เลยทีเดียว
เขาจะไม่ใช้วิธีล้างสมองเด็ก
ให้เชื่อเรื่องนั้นเรื่องนี้
โดยห้ามวิจารณ์ ห้ามออกความเห็นแย้ง
เพราะว่าวันหนึ่งคนอื่นก็สามารถมาล้างสมองเขาได้
ด้วยวิธีเดียวกันเพราะเขาคิดไม่เป็น
ใครน่าเชื่อถือกว่า คุมสื่อได้มากกว่า
ก็ล้างสมองกันได้เหมือนกัน
ซึ่งสุดท้ายก็ใช่ว่าจะเป็นผลดี
กับคนที่คิดล้างสมองเขาตั้งแต่ต้น
การทำให้เป็นเรื่องธรรมดา
เหมือนฝรั่งมาแก้ผ้านอนอาบแดดบ้านเรา
เราไม่ชินก็จะบอกว่าอนาจารบ้าง โป๊บ้าง
แต่สถานที่ตากอากาศของเมืองฝรั่งบางที่
แก้หมด นอนคว่ำนอนหงายกันอล่างฉาง
ก็ไม่เห็นมีใครสนใจใคร
ไม่เห็นมีใครว่าโป๊อนาจาร
ผิดกับเมืองที่ปิด ลับๆ ล่อๆ คนยิ่งอยากดู
แถมดูแล้วเกิดคดีประจำโดยเฉพาะคดีข่มขืน
หรือแม่ค้าตลาดทะเลาะกันก็ด่ากันไปมา
ท่านฟังแล้วรู้สึกยังไงก็ฟังจนเบื่อเป็นเรื่องปกติ
ไม่จำเป็นต้องเอามาใส่สมองฟังกันเอามันอย่างเดียว
คนที่ไม่มีแผลใส่ความยังไงเดี๋ยวความจริงก็ปรากฏ
หรือใส่ความยังไงบางคนที่เขารักเขาก็ไม่สน
ขนาดเป็นเรื่องจริงเขายังไม่สนเลย
คล้ายๆ เวลาเห็นผู้ร้ายในหนังหล่อกว่าพระเอก
ก็มานั่งเฝ้าติดตามผู้ร้ายมากกว่าพระเอก
ทำนองว่าถึงร้ายก็รัก ยังไงยังงั้น
อืม ใช่เลยฉันมาคิดดูเมืองที่ฉันอยู่ทุกวันนี้
ก็ประโคมข่าวใส่ความคนๆ หนึ่งที่เขาไม่ชอบหน้า
ทุกๆ วัน บางสื่อมีทีวีส่วนตัว
นึกจะด่าใครก็ไม่มีความผิด
เรียกว่าหมิ่นได้ทุกคนทุกสถาบันไม่มีใครกล้าหือ
ศาลก็ไม่กล้าตัดสินคดีเพราะพี่แกใหญ่คับฟ้า
แล้วยังงี้มีกฏหมายข้อนี้ไว้ทำไม
หรือมีไว้เพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้าม
หรือคนที่ไม่มีทางสู้เท่านั้น
กับคนที่มีอำนาจมีปืนมีพรรคพวกเยอะ
ก็ยกฟ้องหมด
เล่นงานได้แต่ตาสีตาสา

ฉันชักจะเริ่มชอบเมืองนี้เสียแล้วซิ
ลองไปดูกฏหมายอื่นๆ
เมืองนี้เขายกเลิกหลายอย่าง
โดยเฉพาะกฏหมาย ที่มีแล้วเหมือนไม่มี
หรือมีแล้วไม่สามารถบังคับคดีได้เท่าเทียมกันทุกคน
ต้องยกเว้นคนพิเศษหรือบุคคลนั้นบุคคลนี้
กฏหมายประเภทนี้เขาจะยกเลิกทันที
ถึงแม้จะมีการจำกัดอายุบ้างบางกฏหมาย
แต่ทุกคนที่อายุต่ำหรือมากกว่าเกณฑ์
ก็ได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกัน
ไม่ใช่ยกเว้นให้คนนั้น หรือใช้กับคนนี้ไม่ได้ไม่มีเลย
เขาเท่าเทียมกันจริงๆ
เขาเท่าเทียมกันขนาดที่ว่า
เขาไม่เน้นยศฐาบรรดาศักดิ์อะไรเลย
ข้าราชการทุกคน ทุกกระทรวง
รวมทั้งตำรวจประชาชน และ ทหารประชาชน
ไม่มีซี ไม่มียศ ไม่มีตำแหน่งใหญ่โต
ที่เห็นแล้วต้องโค้งคำนับ หรือเอาไปเบ่งอวดใครต่อใคร
เขามีแค่ 2 ตำแหน่งคือ
ตำแหน่งหัวหน้า กับ ตำแหน่งรอเป็นหัวหน้าเท่านั้น
ทุกคนสามารถมีโอกาสเป็นหัวหน้าได้ทุกคน
ตามความสามารถและประวัติการทำงาน
และเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่
ตำแหน่งหลักๆ จะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ก็คือตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล, หัวหน้าตำรวจประชาชน
หัวหน้าทหารประชาชน และหัวหน้าศาลประชาชน
อีกทั้งยังมีตำแหน่งหัวหน้าสื่อทีวีของรัฐ
ที่จะให้มีการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน
ไม่ได้มาจากการแต่งตั้งของใคร
ทำงานรับใช้ประชาชน
ไม่ต้องไปค่อยรับใช้นักการเมืองหรือใคร

แม้จะมีเลือกตั้งกันมากมาย
และลงประชามติกันบ่อยครั้ง
แต่คนเมืองนี้เขารู้สึกภูมิใจทุกครั้ง
เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงได้ว่า
เขายังมีสิทธิ์มีเสียงอยู่ในเมืองนี้
ไม่ใช่แค่ผู้มาอาศัยอยู่ไปวันๆ
ทุกๆ คนในสังคมนี้มีความเท่าเทียมกัน
ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร หรือมีใครเหนือใคร
ทุกคนเท่าเทียมกัน อาจมีคนทำหน้าที่หัวหน้าต่างๆ
ก็เพื่อให้ทำงานรับใช้ประชาชนชั่วคราว
ไม่ได้มอบตำแหน่งให้มาเป็นเจ้านาย
เขาจึงไม่เบื่อที่จะออกมาแสดงพลัง
ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งกับลงคะแนนประชามติ
รวมทั้งพวกเขาก็พร้อมปกป้องสิทธิและเสียงของพวกเขาไว้ด้วยชีวิต
เพราะถ้าคนไม่มีเครดิตทางการเงิน
คือคนที่ล้มละลายทางธุรกิจแล้ว
คนที่ไม่มีสิทธิและเสียงเท่าเทียมกับคนอื่น
ก็คือคนที่ไม่มีศักดิ์ศรีในสังคมนั้นๆ

ฉันชักชอบแล้วซิ
ฉันอยากอยู่เมืองนี้เสียแล้ว
มันอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้หนอ
หรือที่นี่เป็นโลกใหม่ในอีกร้อยปีข้างหน้า
ฉันรู้ตัวว่าฉันกำลังฝันอยู่แน่ๆ
เพราะสิ่งที่ฉันพบเจอมันไม่เหมือนโลกที่ฉันเคยอยู่
ฉันไม่อยากตื่นจากความฝันเลย

โดย มาหาอะไร
F
fF