บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


01 ธันวาคม 2553

<<< ไม่แน่วันหนึ่งก๊กเสื้อแดงอาจต้องไปจับมือกับก๊กเสื้อเหลือง >>>

ข้อดีจากการป่วนบ้านเมืองของแกนนำพันธมิตร(ก๊กเสื้อเหลือง)
เท่าที่ผมเห็นชัดๆ มีอยู่เรื่องเดียวคือ
การเร่งทำให้คนหูตาสว่างมากขึ้น
ถ้าวันนั้นไม่มีพวกนี้ออกมาป่วนบ้านป่วนเมือง
จนสถานการณ์บานปลายจนเละตุ๊มเปะกันแทบทั้งประเทศแล้วตอนนี้
วันนี้หลายคนยังอาจโดนหลอกไปจนตายก็เป็นได้
ในสิ่งแย่ๆ ยังมีสิ่งดีๆ ซ่อนอยู่เหมือนกัน อิอิ

สำหรับพวกแกนนำพันธมิตร
อาจหาทางมาจับมือกับแกนนำฝ่ายก๊กเสื้อแดงลำบาก
เพราะมันบานปลายมีคนเจ็บตายมากมาย
จนยากที่จะรวมกันได้ง่ายๆ แต่ไม่กล้าฟันธง
เพราะถ้าสถานการณ์เปลี่ยน
ไม่แน่อาจมีการจับมือกันชั่วคราวได้
เหมือนกับที่เ จียงไคเช็ก จับมือกับ เหมาเจ๋อตุง
เพื่อสู้กับพวกญี่ปุ่นที่รุกรานประเทศจีนในช่วงนั้น
เสร็จศึกนั้นก็มารบกันอีกที เพราะอุดมการณ์ต่างกันมากแบบนั้น
แต่กรณีการเมืองเรื่องประชาธิปไตย
อนาคตอาจมีการจับมือกับกลุ่มอื่นๆ ที่เคยเป็นศัตรูกัน
เพื่อสู้กับอีกฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าทุกด้าน
หลังจากนั้นถ้าเป็นแนวประชาธิปไตยที่แท้จริง
ก็จะไปสู้กันในศึกเลือกตั้งปกติ

กรณีพวกเหล่าแกนนำ อาจมารวมกันลำบาก
เพราะมวลชนบางคนอาจรับไม่ได้
แต่สำหรับกองเชียร์อาจรวมกันหลวมๆได้ง่ายกว่า
จะว่าไปแล้วกรณีเจียงกับเหมา
ก็เคยรบราฆ่าฟันจนตายกันเป็นหมื่นเป็นแสนเหมือนกันน่ะ
ก่อนที่จะจับมือกันไปสู้ศึกกับพวกญี่ปุ่น
การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร
แต่ถ้าเล่นกันแรงๆ อาจเกลียดถาวรได้เหมือนกัน
และอาจจับมือชั่วคราวได้เหมือนกัน
ถ้าดู 3 ก๊ก ตอนโจโฉแตกทัพ จะเห็นภาพชัด
ว่าขงเบ้งยังไปจับมือกับอีกก๊ก
เพื่อยันอีกก๊ก ที่ยกทัพใหญ่มาปราบ
ถ้า 2 ก๊กวันนั้นไม่ร่วมมือกัน เพื่อยันก๊กใหญ่ไว้ก่อน
อาจเละทีละก๊กจนหมดทั้ง 2 ก๊กได้เหมือนกัน
สุดท้ายหลังจัดการกับก๊กใหญ่ได้สำเร็จ
ถึงมาวัดกันอีกที ระหว่าง 2 ก๊ก
เหมือนตัวอย่างกรณี เจียงกับเหมา ตามที่กล่าวมาแล้ว
ชีวิตจริงก็เป็นแบบนี้แหล่ะ ดูๆ ไปก็แล้วกัน
ซึ่งฝ่ายตรงข้ามได้ทำรูปแบบนี้แล้ว
โดยก๊กเสื้อฟ้าไปจูบปากกับก๊กเสื้อน้ำเงิน
และเคยจูบปากกับก๊กเสื้อเหลืองมาก่อนอีกด้วย

บางคนอาจเบื่อที่เห็นการเมืองวุ่นวาย
เห็นนักการเมืองไม่มีอุดมการณ์
แต่สิ่งหนึ่งที่ควรคิดและทำกันก็คือ
การลุกขึ้นสู้ ไม่ใช่ยอมจำนน
ถ้าเห็นการเมืองเละเทะ
ประชาชนต้องลุกขึ้นมา ช่วยกันจัดการวางระบบให้ดี
ไม่ใช่ยอมจำนน ยอมจำใจอยู่กับระบบที่เละเทะแบบนี้ต่อไป

แนวทางส่งเสริมให้ประชาชนเป็นเสรีชนมากๆ
และเป็นชาวศิวิไลซ์ให้ได้
จะเป็นแนวทางในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ที่ยั่งยืนที่สุดกว่าแนวทางอื่นๆ
แนวทางอื่นๆ อาจสู้ชนะเป็นครั้งๆ แล้วก็เลิก
เดี๋ยวก็วนกลับมามีปัญหาเหมือนเดิม
หรืออาจเล่นกันแรงจนเลยเถิดไปเป็นระบอบใหม่
ซึ่งคงไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยแน่ๆ ในช่วงต้นๆ
หลังการเปลี่ยนแปลงถ้าเกิดมีขึ้นมาจริงๆ

แต่แนวจุดประกายให้คนลุกขึ้นมาเป็นคน
ลุกขึ้นมาเป็นประชาชนที่สมบูรณ์
กล้าที่จะเป็นเสรีชน
และกล้าพัฒนาตนจนเป็นชาวศิวิไลซ์ให้ได้
ถ้ามีคนแบบนี้เยอะๆ มากเท่าไหร่
ก็พอเป็นหลักประกันได้ว่า
การเมืองประเทศนี้จะดีขึ้น
และเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ด้วย

โดย มาหาอะไร
FfF