ซึ่งจะว่าไปแล้วผมเคยไปร่วมงานวันเผาสมุดแบงค์กรุงเทพด้วย
และเคยใส่เสื้อแดงทั้ง 365 วันในปีที่เขาให้แต่งเหลืองทั้งปีในที่ทำงาน
เรียกว่าเคยแรงมาก่อนและเคยสนับสนุนแนวทางแบบนี้มาก่อน
แต่พอลองคิดเยอะขึ้นเรื่อยๆ พบว่า
แนวทางการบอยคอตสินค้า หรือแอนตี้สีอื่น
ไม่ว่าจะเป็นขนม ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่เป็นสีที่ไม่ชอบก็ต่อต้านหมด
มันไม่น่าใช่แนวทางที่ถูกต้องนัก เพราะว่ามันเป็นแนวทางสร้างปัญหาให้แก้ไขในอนาคต
และผลักไสมวลชนออกห่างไปอีกมากมาย
การสร้างปัญหาให้แก้ไขในอนาคตก็คือ
ถ้าสินค้าที่ถูกบอยคอตเป็นอะไรไปมากๆ
แล้ววันหนึ่งพรรคที่เชียร์ได้กลับมาเป็นรัฐบาล
ก็ต้องไปช่วยอุ้ม ต้องเอาภาษีของประชาชนไปช่วยอยู่ดี
เช่น สมมุติแบงค์ทำท่าจะล้ม ก็เคยเห็นกันในช่วงปี 40
รัฐก็เอาเงินภาษีเข้าไปอุ้มทุกแบงค์ไม่ให้ล้ม
แทนที่จะเอาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์กว่า
หรือมีบริษัทเจ๊งมากๆ คนตกงานก็เพิ่มขึ้น
ก็ต้องใช้เงินภาษีประชาชนไปช่วยคนตกงานอีกเหมือนเดิม
ไม่งั้นก็นั่งเป็นรัฐบาลอยู่ลำบาก
แถมยังเป็นการผลักมวลชนออกไปอีก
ทุกบริษัทที่บอยคอต ก็มีพนักงานมากมาย
ถ้าเป็นร้อยบริษัทก็อาจมีหลายหมื่นหลายแสนคน
รวมพ่อแม่พี่น้องลูกหลานของพวกเขาอีกเท่าไหร่
เวลาพวกเราโดนยิงโดนรังแก
ยังรู้สึกเกลียดพวกที่มารังแกพวกเราชนิดไม่เผาผี
การที่เราไปออกตัวล้มบริษัทที่พวกเขาทำงานจนพวกเขาตกงาน
คิดว่าเขาจะเกลียดพวกเราขนาดไหน
การตกงานสำหรับบางคนอาจหมายถึงชีวิตทั้งชีวิต
แถมส่วนใหญ่ลูกจ้างก็ระดับรากหญ้าทั้งนั้น
ยิ่งมีการบอยคอตสินค้ามากมายเท่าไหร่
ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนคนที่เกลียดมากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งบางคนอาจเป็นพวกเราหรืออาจเฉยๆ กับพวกเรา
แต่ถ้าวันไหนเขาตกงาน เขาเป็นศัตรูกับพวกเราไปจนตายแน่นอน
จะเห็นได้ว่ายิ่งบอยคอตยิ่งไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
ยิ่งเสียมวลชนเพิ่มขึ้นไปอีก แถมการบอยคอตก็เลือกเฉพาะบางบริษัท
ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วหลายบริษัทใหญ่ๆ ของเหล่าผู้มีอำนาจ
ก็น่าจะโดนบอยคอตไปด้วย แต่กลับไม่มีในรายชื่อ
ทั้งๆ ที่น่าโดนกว่าพวกที่มีในรายชื่อมากที่สุด
ก็ทำให้เห็นว่ามาตรฐานที่นำมาใช้บอยคอต
อาจมีการกลั่นแกล้งกันทางการค้าได้เหมือนกัน
ที่สำคัญเจ้าของบริษัทพวกนี้ก็พวกทำมาหากิน
วิ่งเต้นทุกรัฐบาลที่มีอำนาจไม่เว้นแม้แต่ พรรคเก่าของพท. เช่น ทรท.
บางธุรกิจที่มีการบอยคอตกันในวันนี้
แต่ก่อนก็อาจเคยให้ทุนหนุนพรรค ทรท. มาแล้วก็เป็นไปได้
บางทีแค่คนบางคนในองค์กร หรือคนในหน่วยงาน
หรือระดับจังหวัด หรือภาคต่างๆ
มีคนไม่ดีออกมาสร้างเรื่องให้เสียหาย
แล้วเราใช้วิธีเหวี่ยงแหเกลียดทั้งหมด
อนาคตก็จะต้องเกลียดเกือบหมดไม่เว้นแม้แต่ตัวเอง
ถ้าการบอยคอตได้ผลจริงๆ จะทำให้บริษัทเจ๊งแน่นอน
ไม่เช่นนั้นก็เป็นการบอยคอตที่ไร้ผล
แต่สร้างกระแสที่ไม่ดีในสายตาพนักงาน
ของบริษัททั้งหมดได้ ซึ่งได้ไม่คุ้มเสียอยู่ดี
ถามว่าทำไมต้องเกลียดตัวเองถ้าต้องบอยคอตแบบเหวี่ยงแห
ถ้าคุณทำงานในองค์กรที่มีบางคนไปสร้างเรื่องไม่ดี แล้วโดนบอยคอต
แล้วคุณยังมีแนวคิดแบบนั้นก็คือบอยคอตบริษัทตนเอง
ถ้าเขาบอยคอตยกจังหวัดยกภาค เช่น บุรีรัมย์ ภาคใต้
แล้วคุณเป็นคนถิ่นนั้นแต่ไม่ได้ชอบพวกที่ไปก่อเรื่อง
แล้วมีแนวคิดบอยคอตเหวี่ยงแหก็เหมือนบอยคอตตัวเองนั่นเอง
อันที่จริง ผมก็เป็นพนักงานในบริษัทที่มีคนไปทำอะไรไม่ดี
กับคนที่เสื้อแดงเชียร์ด้วย แล้วเวลาโดนเหมาผมถึงเข้าใจ
ความรู้สึกของพวกที่ถูกเหมาได้ดี
หรือกรณีแบงค์กรุงเทพ ผมโดนหลอกลวงสูญเงินเป็นแสน
เพราะความโกรธแบงค์กรุงเทพจนขาดสติ เลยโดนหลอก
ซึ่งการรัก โลภ โกรธ หลง เป็นสาเหตุทำให้คนเสียสติได้จริงๆ
คนร้ายเปิดบัญชีแบงค์กรุงเทพและเบิกเงินจากตู้ ATM แบงค์กรุงเทพ
ทำให้ผมต้องไปติดต่อกับคนแบงค์กรุงเทพ
พบว่าระดับพนักงานและผู้จัดการเทคแคร์ค่อนข้างดี
ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยเป็นลูกค้าแบงค์นี้มาก่อนเลย
ยกเว้นพนักงานที่ดูแลเรื่องเทปกล้องวงจรปิด
ทำงานช้ามาก กว่าจะให้ข้อมูลมาได้
แต่จากที่ไปสัมผัสแบบชั่ววูบ ผมรู้สึกได้ว่า
พนักงานเหล่านี้ก็เหมือนพนักงานบริษัทอื่นๆ
เหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไป ต่างกันแค่มาทำงาน
หาเงินเลี้ยงครอบครัวตัวเองที่บริษัทนี้เท่านั้นเอง
คือเขาก็ทำงานทำมาหากินของเขาไปตามปกติ
บางทีเขาอาจไม่สนใจการเมืองเลยก็ได้
หรือเขาอาจเป็นพวกรักความเป็นธรรม
รักประชาธิปไตย แต่ไม่แสดงออก ก็ได้ทั้งนั้น
ผมจึงไม่เห็นว่าวิธีการผลักไสคนให้เป็นศัตรูเยอะๆ จะมีผลดียังไง
หรือเรื่องที่มีการถูกใส่ร้ายว่าไปเผานั่นนี่ มีชาวบ้านได้รับผลกระทบ
เพราะไปขายของที่บริเวณถูกเผาอยู่แถวคอนโดเรา
ด่าสากเสียเทเสียใส่พวกที่เขาคิดว่าเป็นคนเผาตามข่าวคือคนเสื้อแดง
ที่โดนพวกรัฐโยนขี้ใส่ จากคนทำมาค้าขายปกติ
ก็ประกาศตัวเป็นศัตรูกับเสื้อแดงเพราะคิดว่าเป็นพวกไปเผา
หรือที่เจอนักธุรกิจจำนวนหนึ่งที่สูญเงินในการทำธุรกิจหรือข้าวของเสียหาย
ส่งไปขายไม่ได้ช่วงพันธมิตรปิดสนามบิน ก็มาเป็นเสื้อแดงต่อต้านพันธมิตรจริงจัง
จากแต่ก่อนไม่สนใจการเมืองเลย
ถ้าเราดึงมาเป็นพวกไม่ได้ ก็ปล่อยเขาไปแต่อย่าไปทำให้เขาเป็นศัตรู
เพราะมันมีแรงอาฆาตมากกว่าพวกเชียร์กันไปวันๆ
จากประสบการณ์ทั้งหมด ผมถึงไม่สนับสนุนวิธีการนี้
เพราะได้แค่ความสะใจ เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
ลองเขียนสิ่งที่ได้กับสิ่งที่เสียดูว่าได้มากกว่าเสียยังไง
ถ้าวันไหนพรรคพวกที่เชียร์ได้เป็นรัฐบาลมีอำนาจจริงๆ อีกครั้ง
เดี๋ยวพวกที่เราคิดว่าไปหนุนพวกตรงข้ามก็ย้ายข้างมาหนุนพรรคที่เราเชียร์อยู่ดี
เพราะพวกทำธุรกิจใหญ่ๆ มักชอบมีเส้นสายเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าของเขา
อย่างสหพัฒน์นี่ก็เคยร่วมมือกับสนธิลิ้มหนุนทักษิณล้มชวนมาแล้ว
แล้วเกิดผลประโยชน์ขัดกันก็เลยไปหนุนพันธมิตรแอบหนุน ปชป. จนล้มทักษิณได้
แทนที่จะเล่นให้ตรงจุดกลับไปทำอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรกับพวกนี้
แค่มีอำนาจรัฐก็วิ่งเข้าหาอยู่แล้ว แต่มันมีแต่เรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้นแหล่ะ
ถึงต้องออกแร่งผลักดันให้มีเสรีชนเยอะๆ ไม่ยึดติดพรรค
พร้อมลุกขึ้นมาช่วยกันตรวจสอบทุกรัฐบาลตลอดเวลา
ส่วนพวกชอบทำรัฐประหารหรือโดนบังคับให้ทำ
ถ้าวันไหนมีเสรีชนเยอะๆ คอยเย้วๆ ไว้
ก็ช่วยให้เขาไม่กล้าทำหรืออ้างไม่ทำได้เหมือนกัน
บางทียึดตามแนวทางสายกลางที่พุทธเจ้าสอนไว้
ก็ดีเหมือนกัน น่ะ คือ ตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปก็ไม่ดี ต้องพอดีพอดี
แต่ทางสายกลางไม่ใช่การวางตัวเป็นกลางน่ะ คนละอย่างกัน
ทางสายกลาง อาจเชียร์สีนั้นสีนี้ แต่ไม่หลุดโลกมาก
เพราะถ้าหลุดโลกมากไปลองหลับตานึกภาพสุดท้ายของชัยชนะดู
ว่าจะเป็นยังไง เช่นต้องมีแต่แดงเท่านั้น
แล้วพวกสีอื่นจะเอาไปไว้ไหน ต้องจับอาวุธทำสงครามกลางเมือง
ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเลยหรือเปล่า เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น
ก็ไม่มีแดงทั้งแผ่นดิน อาจมีสีอื่นอยู่ร่วมด้วยแบบปัจจุบัน
จากที่เราเคยแรงแดงตลอดปี เห็นขนุนยังกินไม่ลงเดี๋ยวนี้กินได้ปกติ
เห็นคนใส่เสื้อสีเหลือง ยังนึกอยากไปถอดออกเหมือนกัน ช่วงแรงๆ
แต่เดี่ยวนี้ที่บ้านริมนาก็ทาสีหน้าต่างทุกบ้านคล้ายโลโก้ Windows คือ
มีสีแต่ละช่องเป็น แดง เขียว เหลือง น้ำเงิน
เพื่อให้ตื่นมาเห็นหลายๆ สี ทุกๆ วันจนชินตา
และรับรู้ว่าโลกนี้มันมีหลายสีแบบนี้ตลอดไป
ซึ่งจะได้หาวิธีการปรับตัวกับเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง
และคนทั่วไปที่เขาไม่ได้ชอบเสื้อแดงได้
การที่มีคนมารณรงค์บอยคอตบริษัทหนึ่ง
จนทำให้บริษัทนั้นเริ่มซวนเซ
คุณจะรับรู้ความรู้สึกของพนักงานบริษัทนั้นๆ ได้ดี
ก็ต่อเมื่อคุณเป็นพนักงานบริษัทนั้นและในสถานการณ์นั้น
ส่วนรายชื่อบริษัทที่คิดจะบอยคอต
กับไม่เห็นมีบริษัทใหญ่ๆ จริงๆ เลย
ที่เห็นก็แค่บริษัทเก่าๆ ที่เคยหนุนพวกพันธมิตร
ซึ่งตอนนี้ก็กำลังมางัดข้อกับรัฐบาลนี้อยู่เหมือนกับพวกเสื้อแดง
แล้วอยู่ๆ ทำไมถึงไปบอยคอต บริษัทที่หนุนพวกพันธมิตรหล่ะ
ถ้าคิดจะบอยคอตกันซึ่งผมก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้
แต่สิ่งที่คิดจะทำ กำลังไปช่วยรัฐบาลนี้ตัดกำลังพวกพันธมิตร
ที่กำลังขย่มรัฐบาลนี้มากกว่า เพราะสินค้าที่หนุนพวกสั่งยิง
พวกคนในรัฐบาลนี้และพวกตัวใหญ่ๆ ไม่มีเลย
ดูๆ ไปแล้ว เหมือนเป็นการรับงานมาจากรัฐบาลนี้มากกว่าน่ะ
อีกอย่างถ้าแค่ทำแบบที่คิด ซึ่ ไม่มีใครทำได้
นอกจากไม่มีอะไรในก่อไผ่ เช่นเอ็นตี้แบงค์กรุงเทพ แล้วก็เงียบไปแล้ว
แต่ถ้าทำได้จริงก็จะมีผลที่ยั้งไม่อยู่ ไม่ใช่จะทำแค่นั้นแค่นี้ตามที่คิดได้
เหมือนที่เทพเทือกอภิปรายในสภาช่วงปี 40 ให้ไปถอนเงินแบงค์จะล้ม
คนแห่ถอนจน ล้มจริงๆ ไปหลายสิบแบงค์
ซึ่งถ้าแบงค์ไม่ล้ม เขาก็ไม่สะเทือน เขาก็ไม่เปลี่ยนอะไรหรอก
เพราะว่ายังไงเขาก็ต้องทำตามผู้มีอำนาจอยู่แล้ว
และเขาก็ทำกันมาเป็นปีแล้วอย่างที่ผมบอกก็ไม่เห็นมีอะไร
<<< ภาพงานฉีกสมุดแบงค์กรุงเทพที่สนามหลวง >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/05/blog-post_398.html
อีกอย่างทำไมเฉพาะเจาะจงแบงค์กรุงเทพ
แบงค์ไทยพาณิชย์ คู่แข่งไม่ยิ้มหรือครับส้มหล่นจากแบงค์กรุงเทพสะเทือน
ซึ่งเจ้าของแบงค์ เขาอาจทำอะไรไม่ได้เพราะยังต้องทำมาหากินในประเทศนี้ต่อไป
ไม่งั้นก็อาจเหมือนทักษิณ ทำไมไม่เอาแบงค์ไทยพาณิชย์ด้วย
ลองถามคนที่ให้ออกมารณรงค์เรื่องนี้ดูหน่อยเป็นไร แบบอยากรู้คำตอบ
แต่ถ้ายังไม่เคยลอง ก็ลองทำดูได้ แต่ผมเห็นเขาลองกันมาเป็นปีแล้ว
และผมเขียนจากประสบการณ์ที่เคยไปร่วมในเหตุการณ์นั้นๆ
หรืออยู่ในท่ามกลางสถานการณ์นั้นๆ มาแล้ว
จึงเห็นว่ามันจะเสียมากกว่าได้
นี่ยังไม่พูดถึงผลกระทบวงกว้างที่ไม่เกี่ยวกับพนักงานบริษัทนั้นอย่างเดียว
อาจรวมไปถึงระบบการเงินของประเทศถ้าเกิดปัญหาก็โดนกันถ้วนหน้า
ไม่ว่าจะยากดีมีจน ถ้าแบงค์เกิดเป็นแบงค์กงเต๊ก เงินเฟ้อมหาศาล
คนตกงานอีกมากมายกระทบต่อๆ กันเป็นลูกโซ่
ยังไงก็หนีไม่พ้นโดนหางเลขเหมือนกัน
อย่าคิดแค่ว่าพนักงานแบงค์จะมีปัญหาอย่างเดียว
เหมือนปี 40 ที่ต้องเข้า IMF
ชาวบ้านไม่ได้ไปทำอะไร แต่ธุรกิจใหญ่กับแบงค์สร้างปัญหา
จนกระทบเศรษฐกิจทั้งประเทศ จนต้องคลานเข้า IMF
แล้วต้องรับยาขมของ IMF กันถ้วนหน้า
ถ้าทำอะไรแล้วมันเสียมากกว่าได้
ผมว่าหาอะไรทำที่มันดีมากกว่าเสียดีกว่า
อย่าทำแค่สะใจไปวันๆ แล้วต้องมารับกรรมกันถ้วนหน้า
แค่หาคนมาเพิ่มมากๆ เขาก็หวั่นไหวจนทำอะไรไม่ถูกอยู่แล้ว
ไม่เห็นต้องไปทำอะไรให้เสี่ยงเลย
การกดดันที่ดีก็คือการไม่รู้สึกกดดัน
ทำไปเรื่อยๆ แบบไม่กดดันด้วยแนวทางเรียบง่าย
ไม่ต้องไปเร่งเกมอะไร เขาจะกดดันเอง
แต่ถ้ากดดันตัวเองจนต้องเร่งเกมแบบยอมเสียมวลชน
เขาก็ไม่กดดันอะไร
สถานการณ์กำลังเป็นต่อแค่ประคับประคองไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องกดดันอะไรมากหรอก
แค่นี้ก็เริ่มออกอาการให้เห็นกันแล้ว
โดย มาหาอะไร
FfF
FfF