บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


08 ธันวาคม 2553

<<< ข้อคิดจากการเลี้ยงปลา >>>

หลังเหตุการณ์กระชับพื้นที่หฤโหด
ที่มีคนตายเฉียดร้อยบาดเจ็บมากมายนับพันคน
และผมก็อยู่ในเหตุการณ์ที่แยกคอกวัวด้วย
แต่ที่ราชประสงค์ออกมาก่อนประมาณ 2 วัน
เพราะไปมีเรื่องกับแกนนำย่อยแถวอีสานใต้
เลยไม่ได้อยู่ในช่วงวันที่เขาสลายม็อบที่ราชประสงค์
เกิดรู้สึกอยากเลี้ยงปลาขึ้นมาแก้เซ็งแก้เครียด
ก็เลยกะเลี้ยงปลาหางนกยูงไม่กี่ตัวในกะลามัง
ปรากฏว่าเลี้ยงไปเลี้ยงมาจนเดี๋ยวนี้เต็มไปหมด
ทั้งปลาหางนกยูง ปลาสอด นับร้อยตัว
ปลาทองและปลาคาร์ฟอีกหลายสิบตัว
จากกะลามังเล็กๆ จนต้องไปสร้างบ่อให้มันอยู่
แล้วยังมีอ่างไฟเบอร์เต็มระเบียงหลังคอนโดอีก
สงสัยเรียกว่าบ้าเลี้ยงปลาน่าจะได้แล้ว อิอิ
จากไม่รู้อะไรเลย แบบก่อนหน้านี้หลายปี
เลี้ยงปลาหางนกยูงตาย 6 โหล
เพราะชอบเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ
แถมเอาน้ำประปาไปเปลี่ยนไม่รอทิ้งไว้หลายๆ คืน
ให้คลอรีนซึ่งเป็นอันตรายต่อปลาระเหยให้หมดไปก่อน
ปลาตัวเล็กๆ ก็เลยตายเหมือนใบไม้ร่วงจนหมด
แต่ปลาตัวใหญ่ๆ เช่นพวกปลาคาร์ฟ มันอึด
ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเป็นอะไร แต่ไม่แนะนำ
เพราะบางตัวปรับตัวไม่ได้อาจมีอาการไม่ดี

หลังตัดสินใจจะมาเลี้ยงปลาอีกครั้ง
ก็เริ่มค้นหาข้อมูลทางเน็ต อย่างเร่งด่วน
ศึกษาทั้งชนิดพันธุ์ปลา วิธีเลี้ยงดู หรือวิธีปฐมพยาบาลมัน
จนบัดนี้ก็เรียกว่า รู้เรื่องการเลี้ยงปลาดีกว่าแต่ก่อนเยอะแล้ว
ยังเคยนึกจะแต่งนิยายเกี่ยวกับการเลี้ยงปลา
แบบให้ปลามันนินทาเราเรื่องนั้นเรื่องนี้
เช่น ดูมันทำ หมอนี่มันเลี้ยงเราเป็นเปล่าว่ะ
อะไรแบบเนี้ยะ เพื่อสอนวิธีการเลี้ยงปลาแบบทางอ้อม
แต่หมดอารมณ์ไปก่อนเพราะการเมืองกำลังเริ่มแรงอีกแล้ว
เลยหันกลับมาสนใจการเมืองต่อไป

สำหรับข้อคิดในการเลี้ยงปลาที่ผมจะเสนอก็คือ
การเลี้ยงปลาแบบธรรมชาติ
กับการเลี้ยงแบบไม่เป็นธรรมชาติ

การเลี้ยงปลาแบบธรรมชาตินั้น
คือการปล่อยปลาในบึง คลอง แม่น้ำ หรือในบ่อกว้างๆ
แล้วเลี้ยงพืชน้ำเพื่อให้เป็นอาหารปลา
เพื่อให้เกิดนิเวศทางธรรมชาติ
โดยพืชจะดึงสารพิษจากขี้ปลา
มาใช้ในการสังเคราะห์แสงแล้วให้ออกซิเจนแก่ปลา
ถ้าไม่มีพืชน้ำแล้ว ต่อให้น้ำใสแจ๋ว
ปลาก็อาจตายได้ด้วยสารพิษที่อยู่ในขี้ปลา
ถ้ามีในระดับที่สูงเกินกว่าที่ปลาจะทนได้
ซึ่งถ้าระบบนิเวศสมบูรณ์ ก็ไม่ต้องใช้เครื่องให้ออกซิเจน
หรือเติมสารนั่นนี่เพื่อกำจัดสารพิษเพื่อให้ปลาอยู่รอดได้
เหมือนกับการเลี้ยงแบบไม่เป็นธรรมชาติ

ในขณะที่การเลี้ยงแบบไม่เป็นธรรมชาตินั้น
จะต้องพึ่งพาไฟฟ้าสูงมาก เพราะต้องใช้เครื่องปั๊มน้ำ
เครื่องให้ออกซิเจนตลอดเวลา
ไม่งั้นออกซิเจนหมดปลาก็จะลอยคอพะงาบพะงาบ
ฮุบอากาศแทนที่จะหายใจทางเหงือกอย่างเดียว
ไม่นานก็หมดแรงตายในที่สุด
ถ้าไม่มีพืชปล่อยออกซิเจนมาช่วย
แต่ถ้ามีพืชมากไปปลาก็แย่อีก
เพราะตอนมีแสงก็ปล่อยออกซิเจนดีอยู่หรอก
แต่พอมืดแล้วจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาแทน
ถ้ามีมากไปปลาก็จะตาย ทุกอย่างจึงต้องพอดีพอดี

แต่เท่าที่สังเกตุแล้ว ปลาที่เลี้ยงแบบธรรมชาติจะโตเร็วกว่า
แถมรู้สึกบึกบึนแข็งแรงดีกว่าปลาที่เลี้ยงในตู้กระจก
มันเหมือนคนที่กร้านโลก ดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ
ต้องทำงานหนัก ก็จะแข็งแรงกว่า
พวกที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายประเภทนั่งกินนอนกินไปวันๆ นั่นแหล่ะ
แถมเรื่องเจ็บปวดเป็นโรคอะไรก็จะน้อยกว่า
ยกเว้นโดนแดด โดนฝนหรืออากาศเปลี่ยนแปลงเร็วเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น
ปลาเล็กๆ ปรับตัวไม่ทัน ก็จะเป็นโรคง่าย
โรคสุดฮิตเลยก็คือตัวเปื่อยหางเปื่อยจนตาย
หรือเป็นโรคหวัดตาย สังเกตุเวลาตายจะมีวุ้นหุ้มทั่วตัว
จึงควรเลี้ยงปลาตัวเล็กๆ ในที่ร่มๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ได้ยิ่งดี
แต่ปลาใหญ่ๆ อย่างปลาคาร์ฟ ค่อนข้างอึด
จะตายก็เพราะเลี้ยงมากไปขาดอากาศหายใจมากกว่า
หรือมีการสะสมขี้เยอะไม่มีการดูดถ่ายออก
กรณีเลี้ยงในบ่อเล็กๆ ไม่ใช่บึงกว้างๆ หรือแม่น้ำลำคลอง
ก็อาจตายเพราะก๊าซไนเตรด ไนไตรด อะไรพวกนี้ได้

ซึ่งข้อดีของการลี้ยงแบบธรรมชาตินั้น
หลักใหญ่ๆ เลยก็คือถ้ามันอยู่ได้ ปรับตัวได้
ก็แทบไม่ต้องไปดูแลอะไรมากเลย
ไม่ต้องให้อาหารเลยก็ยังได้ถ้ามันอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว
เพราะมันหากินได้เองจากตะไคร่น้ำสาหร่ายแมลงตัวเล็กๆ
หนอนแดงลูกน้ำ หรือแม้แต่กรณีน้ำเขียว
ก็มีสารอาหารเพียบแต่ถ้ามากไป
มันก็ขาดอากาศหายใจตายได้เหมือนกัน
แต่ถ้าเลี้ยงแบบไม่ใช่ธรรมชาติ
ต้องกังวลเรื่องไฟฟ้ามากถ้าไฟดับเป็นวันๆโอกาสรอดยาก
และต้องรองน้ำทิ้งไว้หลายวันและเติมน้ำหรือเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ อีก

ถ้านำมาเปรียบกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ถ้าทุกคนมาต่อสู้แบบธรรมชาติ
คือต่างคนต่างมาและกลับกันเองได้
ไม่ต้องมีเวทีหรือมีเรื่องที่ต้องใช้เงิน
ในการจัดม็อบแต่ละครั้งแต่ละวันมากมาย
ก็จะสู้ได้ยาวนานกว่าใช้เงินทุนจากนายทุนหนุนม็อบ
มาทำเวทีมาหล่อเลี้ยงให้ม็อบอยู่ได้ด้วยวิธีต่างๆ
ซึ่งต้องกังวลอยู่ตลอดเวลาว่า
นายทุนจะหยุดให้เงินทุนวันไหน
ซึ่งอาจหยุดให้เพราะเจ็บป่วยหรือตายหรือติดคุก
หรือไม่สามารถให้ได้ต่อไป
ม็อบก็จะสะดุดหยุดลง ไปต่อลำบาก
คล้ายๆ ปลาที่เลี้ยงในตู้กระจก
แล้วขาดเครื่องให้ออกซิเจนนั่นแหล่ะ
แต่ถ้ามาร่วมม็อบแบบไม่มีนายทุนหนุนให้มาได้เรื่อยๆ
ก็เหมือนถูกฝึกให้ปรับตัวอยู่ได้
แบบปลาที่เลี้ยงแบบธรรมชาตินั่นเอง
จะเห็นว่าการเลือกแนวทางการทำม็อบสู้เพื่อประชาธิปไตย
ถ้าต้องมองถึงอนาคตยาวๆ ในการต่อสู้
ควรเลือกแนวทางที่พยายามทำให้เป็นแบบธรรมชาติมากที่สุด

แถมอีกนิด การเลี้ยงปลาแบบไม่เป็นธรรมชาติ
เหมือนฝึกเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียยังไงไม่รู้
เช้าเย็น ต้องล้างเครื่องกรองเอาขี้ปลาออก
ต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปให้อาหารปลา
เพราะ เหมือนมีใครคอยอยู่
ไปเที่ยวหลายๆ วันก็ไม่ได้เป็นห่วงอีก เฮ้อ

โดย มาหาอะไร
FfF