บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


26 มกราคม 2554

<<< กลยุทธ์การโยนหินถามทาง กับ เทคนิคการร้องบอกเมื่อไม่เห็นด้วย >>>

เรื่องการโยนหินถามทางนั้น
เคยบันทึกไว้แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ในเรื่องไหน
วันนี้เลยขอบันทึกเรื่องนี้เก็บเอาไว้เป็นเรื่องเป็นราว
เนื่องจากเป็นกลยุทธ์ที่ใช้บ่อยๆ ในทางการเมือง

เวลานักการเมืองจะออกนโยบายอะไร
บางคนอาจจะปล่อยข่าวมาเช็คกระแสก่อนว่า
มีคนเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างไร
ซึ่งก็คือลักษณะการโยนหินถามทาง

ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
มันเป็นยังไงรู้แต่ความหมาย
แต่ถ้าลองจินตนาการว่า
ถ้าเราตาบอดมองอะไรไม่เห็น
แล้วเดินโยนหินไปเรื่อยๆ
เพื่อจะได้ฟังเสียงสะท้อนกลับ
เช่นข้างหน้าเป็นบ่อน้ำ
ก็อาจมีเสียงน้ำตอบกลับมาให้ได้ยิน
หรือมีสิ่งกีดขวางอะไร
หรือว่าไปโดนหัว
หรืออาจแค่เฉียดใคร ก็ได้
อันนี้ยกตัวอย่างเล่นๆ เพื่อให้เห็นภาพ

เมื่อมีการใช้วิธีโยนหินถามทางมาแบบนี้
ก็อาจมีคนที่เดือดร้อน
เช่น โดนหินที่ถูกโยนออกมา
ไปเฉียดหัว หรือ เกือบโดนร่างกายใคร
ก็จะต้องโวยวายขึ้นมา
ถ้าไม่โวยวายหรือเงียบเฉย
แสดงว่าไม่เดือดร้อนอะไร

เรื่องนโยบายรัฐบาลที่แสดงออกมาแล้ว
มีคนคัดค้านมากมาย อันนั้นเห็นชัดๆ อยู่แล้ว
อย่างล่าสุด เช่น การให้ขายไข่ไก่แบบชั่งกิโล
ก็ได้รับการตอบสนองอย่างเซ็งแซ่
แต่ว่าด้วยความรั้นของรัฐบาลอภิสิทธิ์
ถึงยังพยายามดื้อเพ่งที่จะดำเนินการต่อไป
อันนั้นเป็นเรื่องของแต่ละรัฐบาล ว่าจะคิดทำอย่างไร
หลังการได้รับรู้ปฏิกิริยาตอบสนองว่าไม่เห็นด้วยแล้ว

วันนี้จะขอยกตัวอย่างล่าสุด คือ
กรณีแกนนำเสื้อแดงจตุพร
ที่เคยมีแนวคิดว่า
จะให้มีม็อบใหญ่ในช่วงนี้เหลือเดือนละครั้ง
ตามข่าวที่ผมเก็บไว้ที่เรื่องนี้
<<< ในที่สุด เทศกาลราชดำเนิน และ เทศกาลราชประสงค์ ก็จบลงอย่างง่ายๆ เฮ้อ >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2011/01/blog-post_23.html

ซึ่งผมได้เขียนเรื่องนั้นเพื่อป็นการร้องตอบด้วยความไม่เห็นด้วย
ซึ่งแต่ละคนอาจมีสไตล์ของแต่ละคน แต่ผมชอบเขียน
ผมก็เขียนวิจารณ์เอาไว้ในเรื่องด้านบน
และเมื่อวานจตุพรก็ออกมาแก้ใหม่อีกครั้งตามข่าวนี้

---------------------------------------------

'จตุพร'เชื่อจับอาวุธจัดฉากวอนอย่าเสี้ยม2ม็อบ

'จตุพร' กังขา จับอาวุธปืนง่ายไป เตือนอย่าให้มีเหตุการณ์วุ่นวาย ยัน เหลือง-แดง ทางใครทางมัน เผย นัดชุมนุม 13 ก.พ. หวังเลี่ยงม็อบพันธมิตรฯ...

เมื่อเวลา 14.15 น. วันที่ 25 ม.ค. ที่รัฐสภา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาพร้อมอาวุธสงคราม เตรียมป่วนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ว่า ตนพยายามลำดับเหตุการณ์และฟังข้อมูลจากทุกฝ่าย ซึ่งมีการบอกว่าเป็นการจัดฉาก เพื่อให้คนเสื้อแดง กับ คนเสื้อเหลืองปะทะกัน สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว ส่วนการจับกุมที่ผู้ต้องหาเดินไปให้จับนั้น ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ

นายจตุพร กล่าวว่า ขอเตือนรัฐบาลว่า อย่าให้มีเหตุการณ์วุ่นวายมากกว่านี้ ส่วนตัวได้เตือนไปยังคนเสื้อแดงว่าให้อยู่ในที่ตั้งอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว ยืนยันว่าเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองทางใครทางมันอยู่แล้ว เราไม่จับมือกัน แต่จะไม่ขวางทางเดิน แต่คิดว่าวันนี้ทั้งเหลืองและแดงต้องมีสติ แม้ยืนคนละฝ่ายต้องไม่ให้ใครออกมาเสี้ยมได้

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า สำหรับการนัดชุมนุมของคนเสื้อแดง เราได้นัดเลยไปไกลถึงวันที่ 13 ก.พ. เพราะไม่ต้องการเสี่ยงที่จะปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯ ส่วนที่บอกจะชุมนุมหนึ่งครั้งต่อเดือนหมายถึงสถานที่ละหนึ่งครั้ง ไม่ใช่เดือนละครั้ง อาจเป็นที่ราชประสงค์หนึ่งครั้ง ราชดำเนินหนึ่งครั้ง ส่วนวันที่ 13 ก.พ.จะมีกิจกรรมใดบ้างต้องรอการประชุมนปช.ในวันที่ 26 ม.ค.ก่อนจะแถลงอีกครั้ง ส่วนตัวจะเสนอรูปแบบให้ไปร่วมกันที่หน้าเรือนจำ แล้วเคลื่อนไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หรือเคลื่อนไปทั่วกทม.แล้วไปจบที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ไทยรัฐออนไลน์
* โดย ทีมข่าวการเมือง
* 25 มกราคม 2554, 15:31 น.

http://www.thairath.co.th/content/pol/144038ดูเพิ่มเติม

-------------------------------------------------------------------------

ซึ่งจตุพรเขาอาจไม่ได้มาอ่านความเห็นที่ผมวิจารณ์ไว้ก็ได้
อาจมีคนเห็นพ้องกับผมหรือมีการปรึกษากันภายในอีกครั้ง
จึงสรุปเปลี่ยนใจกลับมาเป็นแบบเดิม
ซึ่งไม่ใช่เรื่องการเอาชนะคะคานอะไรกัน แต่เป็นเรื่องของเหตุผล
ถ้าวันหนึ่งนักการเมืองไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
เจอเหตุผลที่ดีกว่าแล้วเขาใจกว้างเขาก็อาจทำตามเหตุผลที่ว่า
โดยอาจปฏิเสธข่าวก่อนหน้าถือเป็นเรื่องปกติของการโยนหินถามทาง
แต่ถ้าทุกคนนิ่งเงียบหมด เขาก็อาจจะทำตามแนวทางที่เคยโยนหินไว้นั่นแหล่ะ
เพราะอาจคิดว่าทุกคนเห็นดีเห็นงามแล้วนั่นเอง

พอดีที่ยกเรื่องนี้มา
ก็เพื่อจะแก้ข่าวเรื่องที่มีการเปลี่ยนจำนวนครั้งการชุมนุมเป็นเหมือนเดิม
กองเชียร์แกนนำทั้งหลายไม่ต้องออกอาการมาอาละวาดเรา
เหมือนเจ๊คนเมื่อวานง้อนไปแล้วเพราะโดนเราด่ากลับไป
เพราะเล่นมาป่วนแบบไม่เอาเหตุผลมาแย้ง
ถ้าเอาเหตุผลมาแย้งผมก็ฟังและคิดถ้าโต้กลับได้ก็จะโต้กลับ
ไม่สนใจว่าคนที่มาคุยด้วย จะชื่ออะไร ยศอะไร หรือใส่เสื้อสีอะไร
ดูเหตุผลเป็นหลัก ไม่สนใจชื่อ ขนาดคนเป็นแกนนำเขายังฟังเหตุผล
ถ้าเป็นพวกไม่ฟังเหตุผล เขาก็ดื้อรั้นทำต่อไป ไม่เปลี่ยนใจก็ได้
นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาก็คงเป็นคนรับฟังเหตุผลเหมือนกัน
แต่สิ่งที่ผมวิจารณ์ไปแล้ว ผมไม่แก้ เพราะถือว่าวิจารณ์ในช่วงเวลานั้น
เพื่อตอบสนองว่าไม่เห็นด้วย แต่แก้ข่าวว่าเปลี่ยนใจแล้ว
ก็จะไปหักล้างสิ่งที่ผมวิจารณ์ไปแล้วได้ แต่ที่ต้องบันทึกเก็บไว้
เพราะอนาคตอาจเป็นไปได้เหมือนที่ผมเคยว่าไว้ก็ได้ ทั้งนั้น

ดังนั้น ในทุกๆ เรื่องที่นักการเมืองคิดที่จะทำ ไม่ว่าจะฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล
ถ้าคุณรักประชาธิปไตย และอยากเห็นบ้านเมืองเดินไปในแนวทางที่ถูกต้อง
หรือแม้แต่แกนนำของม็อบที่ตนเองหนุนก็เหมือนกัน
ถ้าไม่ต้องการให้เขาพาออกทะเล ก็ต้องพยายามหาเหตุผลมาหักล้างสิ่งที่เขาคิดจะทำ
ถ้ามีเหตุผลพอเขาอาจหยุดคิดได้ แต่ถ้าไม่มีเหตุผลก็โดนกองเชียร์เล่นเสียคนอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงเน้นว่าต้องมีเหตุผล แม้ว่าอาจผิดก็ได้ เหตุผลที่เราคิดว่าดีอยู่แล้ว
อาจมีคนที่รู้วงในหรือข่าวสารที่เราอาจไม่รู้ อาจหาวิธีแย้งกลับมาด้วยเหตุผล
จนคนวิจารณ์จนมุมก็ได้ทั้งนั้น ไม่ได้ห้ามว่าฝ่ายวิจารณ์ วิจารณ์ได้ฝ่ายเดียว
ฝ่ายถูกวิจารณ์ห้ามตอบโต้ อันที่จริงควรตอบโต้ได้เต็มที่ เพื่อจะได้วิธีที่ดีที่สุด
จากข้อมูลที่ใกล้กับความเป็นจริงที่สุด

ถ้าวันหนึ่ง พรรคพวกที่เชียร์ได้มีโอกาสเป็นรัฐบาล
ถ้าพวกเราฝึกหัดออกเหตุผลในการวิจารณ์ไว้เรื่อยๆ
วันหนึ่งก็ต้องมาช่วยกันตรวจสอบพรรคพวกที่เราเชียร์ให้เป็นรัฐบาล
ไม่ให้โกงกิน หรือจะพาประเทศไปเสี่ยงหรือล้มละลาย
ไม่ใช่ว่าจะต้องวิจารณ์แต่รัฐบาลที่ไม่ชอบไม่เชียร์เท่านั้น
พวกที่เชียร์ไม่แตะ แบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับประชาธิปไตยที่ต้องการอยากจะเห็น
เพราะถ้าผู้ปกครองปกครองไม่ดี ระบอบประชาธิปไตยคนก็เสื่อมศรัทธาในที่สุด
หรือประเทศไม่ได้อะไร จากการเล่นพรรคเล่นพวก หลับหูหลับตาปกป้องพวกเดียวกัน

แต่ถ้าวันนี้ แม้แต่คนเป็นแกนนำเรายังไม่กล้าวิจารณ์
แถมบางคนยังพยายามจะปิดปากไม่ให้คนอื่นวิจารณ์แกนนำที่เชียร์แบบปิดหูปิดตาอีก
ประเภท ใครแตะแม่จะวีน ผมว่านี่ไม่ใช่วัฒนธรรมระบอบประชาธิปไตยในฝัน
ที่หลายๆ คนอยากจะได้แล้วหล่ะ เผลอๆ จะเป็นวัฒนธรรมเผด็จการอีกรูปหนึ่งก็ได้
เราอยากจะหนีเสือปะจระเข้หรือ
หรือคิดจะไขว่คว้าหาเทวดาอะไรกันอีกหรือ
หรือคิดว่าทุกคนคือคนเหมือนกัน เท่าเทียมกัน
ยศฐาบรรดาศักดิ์ ฐานะ ชื่อเสียงอะไร จะมากน้อยต่างกันยังไง
ยังไงๆ ก็คือคนเหมือนกัน เท่าเทียมกัน
เราเสี่ยงตายสู้เพื่อให้ได้สิ่งนี้กันไม่ใช่หรือ
ไม่ใช่สู้เพื่อให้เราไปเป็นไพร่ทาสใครอีกต่อไปไม่ใช่หรือ

ดังนั้น แนวคิดคนเหมือนกัน จะขัดแย้งกับ
แนวคิดอยากได้ใครมาเป็นเทวดาห้ามแตะต้องวิจารณ์ก็ไม่ได้อย่างรุนแรง
ต่อให้บอกว่าเดินร่วมทางเรียกร้องประชาธิปไตยมาด้วยกันก็ตาม
ไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องแตะหักระหว่างสองแนวความคิดนี้
แต่น่าเสียดายที่สุดสำหรับบางคน
ที่อุตส่าห์ลำบากลำบนเหนื่อยยากเสี่ยงชีวิต
เพียงเพื่อคิดไขว่คว้าหาสิ่งเดิมๆ

"ช่วยกันคิดผิดถูกบ้าง ดีกว่าอ้างคิดแตกต่างไม่ใช่พวก"

"ช่วยกันออกความคิดเห็น
อาจยังจะมีสิ่งดีๆ ให้เลือกไปใช้
ดีกว่าไปช่วยกันปิดปากคนอื่น
หรือไม่คิดใช้ความคิดอะไร
ใช้แต่อารมณ์ไปวันๆ"

คราวนี้ลองมาดูว่าใครควรเป็นแกนนำในการคัดค้านรัฐบาล
ในกรณีที่มีการโยนหินถามทางของรัฐบาลทุกเรื่อง
ผมว่าเป็นหน้าที่ตามกฏหมายของฝ่ายค้านด้วยซ้ำ
ที่จำเป็นต้องทำหน้าที่นี้ เพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลทุกเรื่อง
จะไปหวังพึ่งนักวิชาการหรือสื่อก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้มีหน้าที่เรื่องนี้โดยตรง
ยกเว้นเขาหวังผลอะไร หรือคันปากทนไม่ไหวถึงออกมาแถลงการณ์เอง

อย่างผมนี่ ก็ได้แต่บ่นพึมพำในบล็อคของตนเองไปวันๆ
จะมีคนอ่านกี่คนก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้จักหรือสนใจ
พูดอะไรไปก็เท่านั้น ไม่เหมือนฝ่ายค้านพูด
ถึงพูดไร้สาระยังเป็นข่าวได้เลย อันนี้เปรียบเทียบให้ฟังไม่ได้แกล้งว่า

ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่หลักของฝ่ายค้านที่จะต้องออกมาตรวจสอบ
และชี้แจงกรณีการโยนหินถามทางของรัฐบาลทุกๆ เรื่อง
ว่าไม่เห็นด้วยเรื่องอะไร ส่วนเห็นด้วยก็อยู่เฉยๆ ไว้ ไม่ต้องออกหน้ามาก
เพราะเดี๋ยวพวกเดียวกันจะเข้าใจผิดคิดว่าขายตัวไปแล้ว

การชี้แจงแย้งด้วยเหตุผลไม่ใช้อารมณ์
ไม่เน้นหาเสียง แต่ก็เหมือนหาเสียงทางอ้อม
คือถ้าชี้แจงได้ดีกว่า มีเหตุผลดีกว่า แนวคิดของรัฐบาล
ประชาชนฟังแล้วจะเอียงมาหนุนได้แบบไม่รู้ตัวได้เหมือนกัน
การแสดงความเห็นแทนประชาชน
สะท้อนความไม่รอบคอบของรัฐบาลในเรื่องที่รัฐบาลกำลังคิดจะทำ
ไม่เน้นค้านทุกเรื่อง แต่ถ้าทุกเรื่องของรัฐบาลไม่ได้เรื่องก็สมควรค้าน
แต่ต้องมีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลแย้งกลับไม่ได้
หรือทำให้พวกกองเชียร์รัฐบาลแถไม่ออกไปเลยได้ยิ่งดี
หรือทำให้พวกกองเชียร์รัฐบาลต้องหยุดคิด
ไม่เน้นเทคนิคการพูดอะไร เน้นข้อมูลที่ถูกต้อง มีเหตุผล
นี่คือช่องทางการหาเสียงที่สำคัญที่สุดของฝ่ายค้าน
ไม่ต้องเสียเงินไปตั้งเวทีปราศรัยขนคนมาฟังหาเสียงด้วยซ้ำ
นี่สื่อพร้อมมาหาข่าวไปออกให้อยู่แล้ว ถ้าสื่อปิดกั้นก็ไปสื่อพวกเดียวกัน
ถือเป็นโอกาสทองเพื่อหาเสียงของฝ่ายค้านทีเดียว
ขออย่างเดียวทำการบ้านให้ดี ประเภทหลับหูหลับตาค้าน
เจอเขาย้อนกลับก็อาจเสียคนเอาได้ง่ายๆ

วิธีที่ดีที่สุดในการทำให้ความคิดที่จะนำไปใช้
ทั้งไปโจมตีรัฐบาลหรือชี้แนะอะไรก็ตาม
ถ้าจะให้รอบคอบขึ้น ก็ต้องมีนักวิจารณ์นักคิดหลายๆ คน
คอยนั่งจับผิดนั่นแหล่ะ แล้วนั่งโต้เถียงสักพัก
ก็จะรู้แล้วว่าคิดได้รอบคอบหรือยัง
เป็นการซ้อมก่อนไปลุยกับฝ่ายตรงข้าม
นี่คือประโยชน์ที่สำคัญของการมีนักวิจารณ์ไว้
ถ้าคิดจะใช้ให้เกิดประโยชน์มันก็มีประโยชน์
ถ้าเห็นว่าไม่มีประโยชน์เพราะชอบมาขัดคอมันก็ไม่มีประโยชน์
แต่จะไปตกม้าตายต่อหน้าสาธารณชนคนเยอะๆ แทน
เพราะคุณอาจห้ามได้เฉพาะลูกจ้างที่ทำงานรับใช้ให้เท่านั้น
ในที่สาธารณชนคุณห้ามใครไม่ได้หรอก
ไม่ว่าเขาจะเชียร์พรรคคุณอยู่หรือไม่ก็ตาม
เพราะถ้าเป็นเสรีชน กล้าคิด กล้าทำ กล้านำตนเองเต็มตัวแล้ว
เห็นอะไรไม่เข้าท่าก็อาจโดนเขาวิจารณ์ไม่ไว้หน้าได้เหมือนกัน


โดย มาหาอะไร
FfF