คนเราเกิดมาทุกคนไม่มีใครกล้ามาตั้งแต่เกิด
แต่คนที่กล้าล้วนมีประสบการณ์ที่ทำให้กล้า
หรือผ่านสถานการณ์ทำให้กล้าขึ้น
เมื่อผ่านมาได้ก็จะกล้าขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ใช่การรอเฉยๆ แล้วจะกล้าขึ้น
คนที่บอกว่าวันนี้ไม่กล้าสู้ รออีกสิบปี
จะกล้าสู้ ผมว่าเป็นไปไม่ได้
ก็หาเรื่องอ้างนั่นนี่ ไม่กล้าอยู่นั้นนั่นแหล่ะ
ครั้งหนึ่งก่อนทำรัฐประหาร
ผมไปร่วมม็อบครั้งแรก
เป็นม็อบปราศรัยใหญ่หาเสียงของทักษิณ
ช่วงที่ปชป. บอยคอต
ที่ท้องสนามหลวง วันนั้นไปคนเดียว
ไม่กล้าเดินไปแถวหน้าเวทีด้วยซ้ำ
เดินไปไหนก็กลัวไปหมด
กลัวระเบิดกลัวนั่นกลัวนี่
หลังเกิดรัฐประหาร
นั่งอึดอัด ตามข่าวทางเว็บ
เห็นมีการนัดชุมนุมเดินขบวนครั้งแรก
วันนั้นคือวันที่ 10 ธ.ค.49 ช่วงคมช.
เดือนสำคัญ ท่ามกลางกระแสกกดดัน
วันนั้นตัดสินใจกล้า เข้าร่วมชุมนุมที่ท้องสนามหลวง
และหลังจากวันนั้นจากเดินขบวนในม็อบอยู่แถวหลังๆ
เริ่มมาเดินอยู่แถวหน้าวิ่งตามเสียงปืนก็ยังมี
วิ่งเข้าใส่พวกทหารที่แยกคอกวัวก็เคย
จากคนไม่กล้าเลยสถานการณ์ได้ทำให้กล้า
ถ้ากล้าครั้งแรกก็จะกล้าต่อไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าไม่คิดกล้าเลย ก็อย่าคิดว่าจะได้กล้าในชีวิตนี้
แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่กล้ามากเท่าพวกแนวหน้า
แต่ก็กล้าพออยู่เป็นเพื่อนเขาแถวนั้นได้
ที่สำคัญช่วงที่โดนกระชับพื้นที่
ฝ่ายตรงข้ามยิง m79 ถล่มตรงด่านประตูน้ำ
การ์ดข้างหน้าวิ่งข้ามสะพานเข้ามาหาที่หลบ
ขณะที่ผมกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยว
อยู่บริเวณเลยห้องน้ำมาหน่อยหนึ่ง
ก็หาทางหลบกระสุนเพราะมีคนวิ่งหนีกันมาเยอะ
แต่เห็นผู้หญิงวัยรุ่น 2 คนถือไม้ในมือ
กำลังจะวิ่งสวนผมไปทางเสียงปืน
เพื่อไปลุยกับพวกนั้น
ผมเห็นต้องรีบห้ามให้หาที่หลบก่อน
แต่ผมเห็นท่าทางแล้วใจเกินร้อยจริงๆ
ทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิงอายุไม่ถึง 20 ดี
ตัวเล็กกว่าผมเยอะ แต่ใจกล้ากว่าผมอีก
จะเห็นได้ว่าความกล้าเกิดขึ้นได้
ยิ่งคนจำนวนมากๆ ยิ่งปลุกให้กล้าได้ง่ายๆ
เมื่อกล้าแล้วเขาจะกล้าเรื่อยๆ
แต่ถ้าไม่ปลุกให้กล้าเรื่อยๆ
ให้กล้ากันตามมีตามเกิดก็จะกล้าๆ กลัวๆ
หรือบางคนรอความกล้าไปเรื่อยๆ
ไม่คิดที่จะฝึกให้ตัวเองกล้ามากขึ้น
ของแบบนี้ต้องฝึกครับ
และม็อบไม่มีแกนนำ เป็นตัวฝึกอย่างดี
โดนเจ้าหน้าที่กดดันทุกนัด
เจอกดดันไม่กี่นัด ก็เลิกกลัวพร้อมลุยมากขึ้น
แต่ถ้ายังไม่กล้า แล้วรอจนไม่มีอะไร
ถึงกล้ามาม็อบ แล้วมานั่งพับเพียบฟังปราศรัย
อีก 10 ปี ความกล้าไม่น่าจะเพิ่มขึ้นกว่านี้
ตูนีเซียประเทศที่ปกครองด้วยระบอบรัฐเผด็จการเต็มรูบแบบ
ขนาดมีตำรวจ 1 คนต่อประชาชน 40 คน
ไว้คอยสอดส่องหาข่าวเพื่อไม่ให้ประชาชนลุกฮือ
สถานการณ์น่ากลัวกว่าบ้านเราขนาดไหน
ลองคิดดูอย่าคิดว่าตำรวจ 1 คน ต่อประชาชน 40 คน
แล้วคอยหาข่าวแบบลับๆ ทั้งในและนอกเครื่องแบบไม่น่ากลัว
แล้วเขาอยู่มาหลายสิบปี อิทธิพลมีขนาดไหน
กระบวนการยุติธรรมเป็นพวกเขายังไง ทหารเขาคุมได้หมดยังไง
คงไม่ต้องบรรยายหรอกน่ะ ยิ่งกว่าประเทศเราเสียอีก
แต่ก่อนเขาก็ไม่กล้ากันเพราะเขามีตำรวจลับเยอะขนาดนี้
ใครจะเคลื่อนไหวอะไรก็โดนเล่นก่อนแล้ว เขาเลยกลัวกัน
แต่พอถึงวันที่เขากล้าพร้อมใจกันลุกฮือขึ้นมาพร้อมๆ กัน
จากคนที่กลัวๆ มาหลายสิบปีทั้งนั้น
เขาก็พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า
ใช้เวลากลัวหลายสิบปี
แต่แค่เขากล้าสู้พร้อมๆ กันไม่กี่วัน
ก็ไล่เผด็จการพ้นไปได้แล้ว
กรณี ตูนีเซีย เทียบได้กับช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลา ของไทย
คืออยู่ในระบอบเผด็จการมาหลายปี
โดนกดขี่โดนย่ำยีให้เห็นอยู่ทุกวัน
จึงเหมือนเป็นการฝึกความกล้าไปในตัวทุกวัน
อยู่ๆ เกิดเหตุการณ์น้ำผึ้งหยดเดียว
ก็ระเบิดอารมณ์และกล้าออกมากันที
โดยอาจมีคนกล้ามากๆ ออกมาช่วงแรกๆ พอประมาณ
แล้วสักพักก็จะมีคนกล้าน้อยๆ ตามออกมา
ซึ่งอารมณ์ช่วงหลังทำรัฐประหาร 19 กันยา
ก็สามารถระเบิดอารมณ์ลักษณะนี้ได้
เพียงแต่ว่าไม่มีฝ่ายการเมืองพาคนออกมาสู้ก่อน
กว่าจะรอประชาชนตั้งตัวได้ ค่อยๆ กล้าออกมาเยอะๆ
ก็นานหลายเดือน ฝ่ายการเมืองถึงกล้าออกมานำ
เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้ถูกกดดันนานๆ
ประมาณปีเดียว ที่โดนพวกพันธมิตรก่อม็อบไล่ทักษิณ
และก็ไม่รู้อะไรเป็นอะไรมากนัก ยังตั้งตัวกันไม่ทันยังรวมกันไม่ติด
แต่ก็ดีไปอย่างทำให้คนหูตาสว่างเพิ่มอีกเพียบ
แต่ก็ทำให้สถานการณ์อ่อนไปตามอารมณ์
มาแรงอีกทีหลังโดนสลายม็อบโดยเฉพาะครั้งหลังสุด
จนเกิดม็อบไม่มีแกนนำ ซึ่งถ้าก่อม็อบไม่มีแกนนำไปอีกสักพัก
สถานการณ์จะแรงขึ้นกว่านี้ แต่พอฝ่ายการเมืองเข้ามาควบคุม
ทุกอย่างก็เริ่มผ่อนคลายลง
จะเห็นได้ว่า ระดับแกนนำม็อบเสื้อแดงไม่ค่อยชอบตีเหล็กตอนมันร้อน
ซึ่งจะตีให้เป็นรูปเป็นร่างได้ง่ายออกแรงน้อยกว่าการตีเหล็กตอนมันเย็น
ที่ต้องออกแรงมากกว่ากันเยอะ แถมยังตีไม่ได้ตามแบบที่ต้องการอีกด้วย
"โอกาสนั้นสำคัญ ถ้าปล่อยให้มันผ่านไป
อาจต้องรอคอยอีกนานหรือไม่ผ่านมาอีกเลย"
โดย มาหาอะไร
FfF
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.