บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


28 กุมภาพันธ์ 2554

<<< ถ้าปลายทางการต่อสู้คือสงครามกลางเมือง ปลายทางการร้องขอก็คือการนอนรอปาฏิหาริย์อยู่กับบ้านนั่นเอง >>>

ถ้าต้องเลือกเชียร์ 2 แนวนี้
เพื่อไม่ให้ฝ่ายไหนท้อ
ควรเลือกเชียร์แนวทางการต่อสู้
เพราะยังเหลือคนต่อสู้
ถึงแม้จะลดน้อยลงก็ตาม
ส่วนแนวทางการร้องขอ
จะท้อหรือไม่ท้อ
สุดท้ายได้ผลลัทธ์เหมือนกัน คือ
นอนรอความหวัง
นอนรอความเมตตา
นอนรอปาฏิหาริย์
อยู่กับบ้านไปวันๆ นั่นเอง

แนวการต่อสู้แม้จะต้องจบด้วยสงครามกลางเมือง
แต่ พ.ศ. นี้มี UN สามารถเข้ามาแทรกแซง
และช่วยเหลือได้จะกลัวอะไร
แถมกระแสการเปลี่ยนแปลงก็ลามมาถึงหน้าบ้านแล้ว
สถานการณ์ตอนนี้เสื้อแดงเป็นต่อหลายขุม
แต่กลับทำตัวเหมือนเป็นรองสุดกู่ซะยังงั้น
ถึงได้เลือกแนวทางการร้องขอ ปรองดอง รอเลือกตั้งไปวันๆ
ทั้งๆ ที่สามารถรุกคืบเรียกร้องอะไรต่อมิอะไร
ได้มากมายกว่านี้ กลับไม่คิดทำกัน
นี่ก็เป็นตัวอย่างการประเมินสถานการณ์ไม่เป็นอีกกรณีหนึ่งนั่นเอง

ส่วนแนวร้องขอนั้น ยิ่งระดับนำเลือกแนวทางนี้
ก็จะยิ่งห่างไกลการต่อสู้ออกไปทุกที
เหมือนจะไปเชียงใหม่
แต่กลับหันทิศทางลงใต้ไปหาดใหญ่นั่นแหล่ะ
ยิ่งเดินทาง ยิ่งห่างไกลเชียงใหม่ไปเรื่อยๆ
และกองเชียร์ แฟนคลับ สาวก อะไรก็แล้วแต่ของแกนนำ
ก็จะพยายามออกมาช่วยแก้ต่าง
เพื่อให้แนวทางที่แกนนำเลือกดูดีมีเหตุผล
ถ้าแกนนำเลือกต่อสู้เหมือนปีที่แล้ว
พวกนี้ก็เชียร์การต่อสู้
แต่ถ้าแกนนำเลือกแนวทางการร้องขอ และรอเลือกตั้งไปวันๆ
เหล่ากองเชียร์ก็จะหาเหตุมาช่วยหนุนแนวทางนี้
ซึ่งก็จะทำให้ความฮึกเหิมหายไป และห่างไกลการต่อสู้ไปเรื่อยๆ

คำอ้างที่ฮิตกัน เช่น ผมรอได้
ถ้าทุกคนคิดแบบนี้กันหมดเพื่อให้เข้าทางแกนนำ
เวลาไปปลุกใครมาร่วมม็อบ
เขาอาจสวนกลับว่าผมก็รอได้
จะ 5 ปี 10 ปี หรือ 100 ปี 1,000 ปี ผมก็รอได้
เลยไม่ออกมาร่วมม็อบเพื่อต่อสู้ด้วยกัน
แทนที่จะปลุกว่าเราต้องลุกขึ้นสู้เดี๋ยวนี้
ไม่งั้นจะพังกันหมด ลูกหลานจะเป็นยังไง

หรือคำว่าทุกคนย่อมรักครอบครัว
จะเลือกแนวทางการต่อสู้ได้ยังไง
ถ้าเช่นนั้นก็มีแต่คนนอนรอปาฏิหาริย์อยู่กับบ้านกันหมด
เพราะทุกคนก็มีครอบครัวเหมือนกัน
ไม่ใช่มีเฉพาะแค่พวกกองเชียร์หรือแกนนำเท่านั้น
ไปปลุกใครออกมาร่วมม็อบอาจโดนยกมาอ้างว่า
ไปม็อบไม่ปลอดภัย มีครอบครัวต้องดูแล
ทั้งที่จริงต้องปลุกให้สู้
ยกตัวอย่างคนจำนวนมากที่จูงลูกหลานมาร่วมเยอะแยะ
ออกมาสู้กันทั้งครอบครัวยังมี

หรือเป้าหมายเหมือนกัน
จะนั่งเครื่องบิน รถไฟ หรือขับรถไป กับเดินไป
ก็ถึงเป้าหมายเหมือนกัน ถ้าคิดกันแบบนั้น
เวลาไปปลุกใครมาร่วมม็อบ อาจโดนย้อนกลับว่า
ผมก็มีแนวทางคลานไปเหมือนกัน
เลยไม่ยอมออกมาร่วมม็อบ
แล้วเมื่อไหร่จะไปถึงเป้าหมาย
แทนที่จะกระตือรือล้นเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายอย่างไม่ชักช้า
หาทางขึ้นรถไฟ โบกรถคนอื่นไป
ก็ยังดีกว่าการถ่วงเวลาด้วยการขอเดินไป
ใครรอได้ก็รอ รอไม่ได้ก็เรื่องของคุณ
แบบนี้ไปเที่ยวด้วยกันยังไม่ได้เลย
อย่าว่าแต่จะไปสู้ด้วยกันเลย ถ้าคิดแบบนี้
แถมในยุคปัจจุบันการคมนาคมสะดวก
การนั่งรถไฟไปเป็นทางเลือกขั้นต่ำที่พอยอมรับได้
แม้อาจเสียเวลาเป็นวัน แต่ยังดีกว่าการขอเดินไป
ที่อาจเสียเวลาหลายอาทิตย์ บางคนหนักหน่อยขอคลานไป
เหล่านี้ล้วนเป็นแนวทางถ่วงเวลาทั้งสิ้น
ไม่ได้ตั้งใจไปร่วมสู้อะไรด้วย
ถึงแม้เจ้าตัวจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
ที่อ้างว่า จะขอเดิน ขอคลานไป
แต่ผลของมันก็คือ
การถ่วงเวลาการต่อสู้ดีๆ นี่เอง

เมื่อปีที่แล้วแกนนำเลือกใช้แนวทางการต่อสู้
ปลุกคนให้มาร่วมชุมนุมใหญ่
ด้วยสโลแกน โค่นอำมาตย์ ยุบสภา
ผู้คนเป็นแสนพร้อมใจกันมา
ไม่ว่าจะสายฮาร์ดคอร์ หรือพวกแดงสยาม
หรือแทบทุกแดงพร้อมใจกันมาลุย
แต่จู่ๆ พอมาถึง แกนนำถูกล็อบบี้
ให้เหลือข้อเรียกร้องแค่ยุบสภาอย่างเดียว
ทั้งๆ ที่ปลุกระดมกันแทบเป็นแทบตาย
ว่าจะ โค่นอำมาตย์ ยุบสภา
ชาวบ้านหลายคนที่มาก็เขียนข้อความมาแนวนี้
แม้แต่ฉากหลังเวที ก็ยังเขียนถึงสองคำนี้ชัดเจน
เพราะมีการล็อบบี้ก่อนถึงวันชุมนุมใหญ่ไม่กี่วัน
เลยข้อความฉากหลังไม่ทัน เพิ่งมาเปลี่ยนในวันหลังๆ
ผมไปก่อนวันชุมนุมใหญ่ตามขบวนรถที่แห่ผ่านแถวดอนเมือง
ไปถึงเจอกระดาษ A4 วางอยู่หน้ารถที่จอดแถวนั้นแทบทุกคัน
ด้วยข้อความยุบสภาอย่างเดียว
นี่คือความพยายามในการเปลี่ยนข้อเรียกร้องกระทันหัน

แต่ขนาดชาวบ้านเขาเห็นข้อเรียกร้องแบบนั้น
เขายังออกมาร่วมสู้ นี่ก็เป็นหลักฐานแล้วว่า
แนวทางการต่อสู้ไม่ใช่ไม่มีคนกล้าสู้
ที่ไม่กล้าสู้หรือไม่อยากสู้ยามนี้
ก็คงเป็นพวกที่ไม่อยากสู้แต่อยากนำเท่านั้น
หรือไปซูเอี๋ยทำข้อตกลงลับๆ
จนต้องยอมให้ม็อบผ่อนแรง
เพื่อการปรองดองกับรัฐบาล
ตามข้อเรียกร้องที่เคยปรากฏเป็นข่าวมาแล้ว
หนึ่งในนั้นมีแผนปรองดองของวีระ
ที่ตอนนั้นฝ่ายผู้มีอำนาจไม่ทำ
แต่ตอนหลังทำทั้งคือปล่อยตัวแกนนำ
เพื่อให้มาคุมม็อบไม่ให้สะเปะสปะ
เป็นม็อบในโอวาทผู้มีอำนาจ
กับอีกข้อให้จัดการสายฮาร์ดคอร์
นี่เป็นหลักฐานอย่างดีว่า
พวกไหน ยุแยง ทำให้แตกแยก
แตกความสามัคคีก่อนกัน

-----------------------------------------------------------------------

ศอฉ.รับหนังสือ'วีระ'ยื่นเสนอ3ข้อปรองดอง :: INN online
วีระ มุสิกพงศ์ ส่งหนังสือถึง ยื่น 3 ข้อเสนอแผนปรองดอง ขณะ ศอฉ.ยันทำไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจ


พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. แถลงผลการประชุม ศอฉ.ว่า นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. โดยเสนอแนวทางการปรองดอง 3 ข้อ คือ

1.แผนการปรองดองควรได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย และดำเนินการอย่างรวดเร็ว

2. การปล่อยให้กลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ เป็นผลเสียมากกว่าผลดี จึงควรให้คำแนะนำเพื่อเป็นไปตามหลักที่ถูกต้อง และ

3. ควรแยกแยะกลุ่มบุคคล ที่เคลื่อนไหวอย่างสันติ ออกจากกลุ่มเคลื่อนไหวรุนแรง และให้มีการประกันตัวแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง


ซึ่งเรื่องดังกล่าว ที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่า การดำเนินการควบคุมผู้ต้องหา เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายอาญา ไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับ ศอฉ. หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ดังนั้นรัฐบาลและศอฉ. คงไม่สามารถเข้าไปก้าวก่าย และทำตามที่ นายวีระ ร้องขอได้เพราะอยู่นอกเหนืออำนาจในการดำเนินการ

นอกจากนี้ พ.อ.สรรเสริญ ยังกล่าวด้วยว่า ที่ประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้สรุปเหตุการณ์ระเบิด ที่สมานเมตตาแมนชั่น ให้ที่ประชุมรับทราบว่า จากการตรวจสอบดีเอ็นเอของ แขน ตัว และลายนิ้วมือ ตรงกับลายนิ้วมือของนายสมัย วงศ์สุวรรณ์ ผู้เสียชีวิต ซึ่งเคยเก็บข้อมูลเก่าบันทึกไว้ พร้อมกันนี้ ศอฉ.ยังได้ขอบคุณผู้ชุมนุมจัดกิจกรรมช่วงเดือน ต.ค.สงบเรียบร้อย พร้อมสั่งตรวจสอบเรือนจำทั่วประเทศ ค้นหาผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมไม่เป็นธรรม

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. แถลงว่า ที่ประชุมได้หารือและทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัย ในการจัดกิจกรรมทางการเมือง ช่วงเดือน ต.ค. พร้อมขอบคุณกลุ่มผู้ชุมนุม ที่จัดกิจกรรมอยู่ในกรอบของกฎหมาย และเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งหวังว่าการจัดกิจกรรมในวันที่ 10 ต.ค.จะมีการปฏิบัติตามกรอบที่กฎหมายวางไว้เช่นเดิม ขณะเดียวกันฝากเตือนกลุ่มผู้ชุมนุม เรื่องข้อความที่ใช้ในแผ่นป้าย เพราะอาจมีลักษณะหมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงสถาบัน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ โฆษกศอฉ. ยังกล่าวด้วยว่า ผอ.ศอฉ. ได้ชี้แจงถึงการหารือกับผู้ว่าฯ กทม. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ กทม. เป็นผู้ดูแลเรื่องติดตั้งกล้อง CCTV ในพื้นที่เสี่ยงตามที่ สตช. เป็นผู้กำหนด รวมทั้งให้มีการประสานงาน ระหว่าง สตช.กับ กทม. ในการใช้กำลังพลป้องกันการก่อเหตุ ขณะที่อธิบดีดีเอสไอ ได้รายงานต่อที่ประชุมว่า นายกฯ ได้สั่งให้กรมราชทัณฑ์ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และดีเอสไอ ดำเนินการตรวจสอบเรือนจำ 17 แห่งทั่วประเทศ ว่ามีผู้ต้องหาคนใดบ้าง ที่ถูกจับกุมในช่วงการชุมนุม แบบไม่ถูกต้อง ตามกระบวนการยุติธรรม

http://www.innnews.co.th/politic.php?nid=248093

-----------------------------------------------------------------------

ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ ที่มีหลักฐานชัดว่า
พวกไหนแบ่งแยก ยุแยง ทำให้แตกความสามัคคีกันแน่
เอาหลักฐานง่ายๆ เห็นได้ชัดตอนนี้ก็ได้
หลังจากแกนนำเริ่มเปลี่ยนแปลงแนวทางการต่อสู้ไปเป็นร้องขอ
ก็เหมือนเป็นการแบ่งแยกพวกฮาร์ดคอร์ที่ต้องการต่อสู้
ออกจากพวกที่พร้อมตามแกนนำไปทุกทิศทางที่แกนนำจะพาไป
เมื่อปีที่แล้วไม่แตกแยกกัน เพราะไปแนวทางเดียวกัน คือการต่อสู้
แต่ที่เริ่มแตกแยกและจะมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะแกนนำพาไปคนละแนว
อีกพวกจะไปเชียงใหม่ แต่แกนนำกำลังจะพาไปหาดใหญ่
ไม่ทะเลาะกัน ไม่แตกแยก ก็แปลกแล้ว
ไม่เช่นนั้นทุกคนก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจไปเชียงใหม่
แล้วตามแกนนำไปทางหาดใหญ่กันหมด ถึงจะไม่แตกแยกกัน

ผมได้แนะนำไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วว่า
ถ้าต้องเลือกหนุนระหว่าง
แนวทางการต่อสู้กับแนวทางการร้องขอ
ขอให้เลือกฝ่ายที่ใช้แนวทางการต่อสู้
เพราะถ้าพวกนี้ท้อแล้วทุกอย่างจะจบลงทันที
เข้าทางฝ่ายผู้มีอำนาจในที่สุด
แต่ถ้าพวกแนวร้องขอท้อหรือไม่ท้อไปแนวทางร้องขอต่อไป
สุดท้ายแล้วก็ไปสู่เป้าหมายเหมือนกัน คือ
นอนรอความหวัง
นอนรอความเมตตา
นอนรอปาฏิหาริย์ ไปวันๆ นั่นเอง

อีกอย่าง พวกที่ชอบกล่าวหาว่า
คนนั้นเสี้ยม คนนี้เสี้ยม เพราะเห็นต่างจากแกนนำ
คนไม่เสี้ยมต้องเชื่อฟังเหล่าแกนนำอย่างเชื่องๆ เท่านั้น
ไม่ว่าจะนำพาไปทิศทางไหน หลงทิศทางหรือไม่ ไม่สนใจ
ผมว่าถ้าการบอกความจริงคือการเสี้ยม
ถ้ายังงั้นการเสี้ยมให้พวกแกนรั้งแกนถ่วงแกนหน่วงแกนเหนี่ยวทั้งหลาย
พ้นสภาพจากการเป็นแกนนำน่าจะเป็นวิธีการ
ที่ดีกว่าการช่วยกันทุกวิถีทาง
เพื่อให้แกนรั้งแกนถ่วงแกนหน่วงแกนเหนี่ยวพวกนี้อยู่ได้อยู่ดี
ส่วนมวลชนจะหลงทิศหลงทางยังไง
ห่างไกลจากสิ่งที่เขาต้องการหรือไม่ ไม่สนใจ น่ะผมว่า

โดย มาหาอะไร

FfF