มีการขอประกันตัวแกนนำตั้งหลายครั้ง
ด้วยวงเงินประกันตั้งหลายล้านบาท
แต่ไม่ให้ประกัน อ้างว่าเป็นคดีร้ายแรงกลัวหลบหนี
แล้ววันดีคืนดีนึกอยากจะปล่อยตัวออกมา
ก็ให้ประกันง่ายๆ ด้วยวงเงินไม่กี่แสนบาท
คุณคิดว่า ถ้าไม่มีเงื่อนไขอะไรที่เขาพอใจ
เขาจะปล่อยออกมาทำไม
หลายคนตายังไม่สว่าง
คิดว่าถ้าปล่อยตัวแกนนำ
ที่โทษสูงกว่ามวลชนแล้ว
มวลชนที่เหลือเดี๋ยวก็ได้ประกันตัวหมด
ก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามันไม่จริง
ถ้าตาสว่างแล้วจะไม่คิดแบบนี้
ถ้าตาสว่างแล้วจะคิดว่า
มวลชนพวกนี้จะถูกนำมาต่อรอง
ทยอยปล่อยเมื่อจะมีม็อบใหญ่
หรืออาจจะมีเหตุการณ์ที่น่าจะแรงขึ้น
เพื่อทำให้เสียจังหวะการเคลื่อนไหว
เหมือนเกมแบดมินตันหรือตะกร้ออะไร
เวลาคู่แข่งกำลังทำแต้มไหลลื่น
ก็มักจะเห็นนักกีฬาฝ่ายที่กำลังเสียแต้มอย่างไหลลื่น
งัดมุกกระตุกเชือกรองเท้าแล้วผูกใหม่
เพื่อถ่วงเวลาให้ฝ่ายที่ทำแต้มติดต่อกันเสียจังหวะ
เพราะกลัวคะแนนจะไหลลื่น
มุกคล้ายๆ กันกับเรื่องนี้
อย่างที่บอกการมีแกนนำ จะเคลื่อนไหวใหญ่แต่ละครั้ง
เขาจะหาเรื่องประจำ แล้วมันดีตรงไหน มันสนุกตรงไหน
ผมไม่เข้าใจ ต่อให้วันนี้ผมเป็นแกนนำ
ถ้าเห็นว่าเป็นแล้วดีกว่าไม่เป็นผมก็จะเป็นต่อ
แต่ถ้าเห็นว่าไม่เป็นดีกว่าเป็น ผมหลบไม่เป็นดีกว่า
เรียกว่าดูเป้าหมายว่าแบบไหนจะไปได้ไหลลื่นกว่ากัน
หรือไปได้ถึงเป้าหมายมากกว่าจะดูว่าแบบไหน
ตำแหน่งที่ผมอยู่จะมั่นคงกว่ากัน
เมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเขาต้องการให้ม็อบเสื้อแดงเป็นม็อบในโอวาทเขา
เวลาจะมีม็อบใหญ่ทีไรก็ออกข่าวย้ำเตือนขู่ถอนฟ้องนั่นนี่
แต่ไม่ทำอะไร แค่ขู่ เพื่อไม่ให้ลืมทำม็อบในโอวาท
แต่ถ้าไม่อยู่ในโอวาทวันไหน ก็จะเอาเข้าคุกเหมือนเดิม
แล้วเราจะต้องทนเป็นม็อบในโอวาทไปทำไม
ทั้งๆ ที่ตอนนี้กำลังเป็นต่อ
สามารถเรียกร้องกดดันเขาได้เพิ่มขึ้นถ้าทำเป็น
กระแสการเปลี่ยนแปลงมาถึงหน้าบ้านขนาดนี้
เรียกว่าลูกเข้าทางตีนแล้วยังนิ่งเฉยปล่อยผ่านไป
ยอมรับสภาพทำตามโอวาทต่อไป
หรือให้เขาใช้มุกนี้คุมม็อบต่อไป มันได้อะไรขึ้นมา
ขืนทำแบบนี้บ่อยๆ ม็อบเสื้อแดงก็จะกลายเป็น
ม็อบเสื้อเหลืองสาขา 2 ไปในที่สุด
ต่างกันแค่ผลประโยชน์ นอกนั้นคล้ายกันหมด
ถ้าคิดจะออกมาเคลื่อนไหว
จะไม่มีคำว่ากลางๆ จะต้องเลือกข้างให้สุด
ไม่เช่นนั้นพวกที่ทำตัวว่าอยู่ตรงกลาง
แต่ทำตัวเข้าทางฝ่ายไหน
ก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามถีบให้ไปรวมกับอีกฝ่ายในที่สุด
แม้จะไม่อยากรวมหรือรวมไม่ได้
แต่เขาจะต้องเหมารวมให้เป็นพวกฝ่ายตรงข้าม
เพราะไม่ได้ไปแนวทางเดียวกัน
แต่ไปในแนวเข้าทางฝ่ายตรงข้าม
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า
ทำไมพอเปลี่ยนแนวทางจากต่อสู้มาเป็นร้องขอ
จึงเกิดกระแสกดดันจากอีกฝ่าย
ก็เพราะว่ามันเป็นอย่างที่บอก
มันเป็นธรรมชาติของกฏ 3 ก๊ก ที่เคยเล่าให้ฟัง
3 ก๊กแบบง่ายๆ จะมีพวกเขา พวกเรา พวกไม่สนใจ
พวกเขาคือศัตรู พวกเราคือมิตร
พวกไม่สนใจ อาจเป็นพวกเขาพวกเรา
หรือไม่ใช่พวกใคร แต่ไม่สนใจเคลื่อนไหว
พวกนี้มีมากสุดอาจ 80% ของทุกเหตุการณ์
แต่ไม่มีเพาเว่อร์อะไร พวกเขาหรือพวกเราชนะ
พวกนี้ก็พร้อมยอมรับสภาพ
เพราะไม่งั้นพวกนี้ก็ออกมาเคลื่อนไหวเลือกข้างไปแล้ว
ดังนั้นถ้าไม่ทำตัวเป็นพวกเรา
จะทำตัวเป็นพวกกลางๆ หรือบอกว่าเป็นกลางอะไร
แต่ออกมาเคลื่อนไหว จะถูกถีบให้ไปอยู่พวกเขา
ถ้าผลการเคลื่อนไหวไปเข้าทางฝ่ายพวกเขา
แต่ถ้าเข้าทางฝ่ายพวกเรา
จะถูกจัดเป็นพวกหนึ่งของพวกเรา
เพราะพวกที่ออกมาเคลื่อนไหว
จะมีแค่พวกเขา กับพวกเรา พวกกลางๆ ไม่มี
กลางจริงจะต้องเป็นพวกไม่สนใจอะไร
ทำตัวเหมือนเลข 0 ไปบวกกับเลขอะไร จะไม่มีผล
ถ้าทำอะไรแล้วมีผลเมื่อไหร่ไม่มีใครเขามองว่าเป็นกลาง
เขาจะจัดข้างให้เสร็จสรรพ เพื่อความง่ายในการต่อสู้
ดังนั้นพวกที่ต้องการต่อสู้ ถ้าเจอพวกที่ต้องการต่อสู้ด้วย
ก็จะเป็นพวกเเดียวกันได้ แต่ถ้าวันไหนเปลี่ยนแนวเป็นร้องขอ
แล้วเขาไม่เอาแนวร้องขอด้วยยังยึดแนวต่อสู้ต่อไป
ก็จะกลายเป็นคนละพวกทันที ยิ่งนานวันพวกที่ร้องขอ
จะถูกถีบให้ไปรวมกับพวกเขาเรื่อยๆ เพราะแนวร้องขอ
ปลายทางคือการนอนรอปาฏิหาริย์อยู่กับบ้านไปวันๆ
มันจึงเป็นแนวที่เข้าทางฝ่ายพวกเขาทันที
ก็คือจะกลายไปเป็นพวกที่ 3 ถ้าหยุดเคลื่อนไหว
แต่ถ้ายังไม่หยุดแล้วยังเคลื่อนไหวแนวนั่งๆ นอนๆ ร้องขอ
จะถูกถีบไปรวมกับพวกเขาทันที
ไม่เช่นนั้นมวลชนที่ต่อสู้จะถูกดึงไปเป็นพวก
แล้วพากันไปเข้าทางฝ่ายตรงข้ามหมด
ถ้าคุณเข้าใจธรรมชาติการเมืองแบบ 3 ก๊กอย่างที่ผมว่ามา
คุณจะไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงตีกัน
หลังจากเริ่มเปลี่ยนแนวทางจากการต่อสู้ไปเป็นการร้องขอ
บางคนอาจแย้งว่าเขายังสู้อยู่ ทนายยังฟ้องศาลโลกอยู่
แต่เรื่องเงียบไปแล้วใช่ไหม
พอใกล้ม็อบใหญ่ทีก็มีกระแสให้ความหวังไปเรื่อยๆ ใช่ไหม
จนบัดนี้เป็นเดือนแล้วมั้งเรื่องไปถึงไหนแล้ว
ศาลโลกรับพิจารณาหรือยัง ยังไม่ต้องพูดถึงว่า
ถ้ารับแล้ว จะอยู่ใน 20% ที่เขาจะดำเนินการต่อไป
หรือดองทิ้งไว้ใน 80% ตามสถิติคดีเก่าๆ ของศาลโลก
แล้วจะให้นั่งๆ นอนๆ รอปาฏิหาริย์ไปอีกกี่สิบปี
รวมไปถึงปาฏิหาริย์ว่า ถ้าชนะเลือกตั้งแล้วจะทำนั่นทำนี่ได้
ถ้าตาสว่างแล้วจะพบว่า ทุกเรื่องถ้าผู้มีอำนาจเขาไม่เห็นด้วย
ก็อย่าหวังว่าจะทำอะไรได้ง่ายๆ อย่างที่คิดเลย
ดูนพดลที่ไปเซ็นต์บันทึกความเข้าใจอะไร
ยังโดนถีบตกเก้าอี้แถมแทบจะเอาตัวไม่รอดเลย
จะไปหวังว่าเรื่องอื่นๆ จะทำได้จริงหรือ
โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้พวกนั้นเสียเปรียบ
เลิกหวังได้เลย ตาสว่างได้แล้ว
อีกอย่าง รธน. ปัจจุบัน ไม่ได้ให้อำนาจรัฐ
เข้าไปแทรกแซงโยกย้ายพวกนายทหาร
แต่มีพวกแทรกแซงได้ผ่านกระบวนการ
ที่เขาเขียนและคนของเขาที่วางตัวเอาไว้แล้ว
ดังนั้นหมดสิทธิ์ที่คิดจะไปปลดพวกที่มาทำร้ายคนเสื้อแดง
และแม้แต่พวกข้าราชการเส้นใหญ่ก็หมดสิทธิ์ไปยุ่ง
เพราะจะโดนถีบตกเก้าอี้เร็วขึ้น
นี่คือมะเร็งร้ายในสังคมไทย ที่รอวันเปลี่ยนแปลง
ซึ่งไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยวิธีวิงวอนร้องขอ
ไม่มีใครเขายอมคายอำนาจง่ายๆ ถ้าเขาไม่เข้าตาจน
การบีบให้เขาเข้าตาจน คือแนวทางการต่อสู้
ส่วนแนวทางการร้องขอ คือแนวทางขอทานดีๆ นี่เอง
คือไม่สู้ไม่อะไรหวังเขาเมตตาทำสิ่งที่คาดหวังไปวันๆ เท่านั้นเอง
โดย มาหาอะไร
FfF
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.