บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


03 มีนาคม 2554

<<< ถ้าคนลิเบีย คนอียิปต์ รอให้พร้อมก่อน ไม่กล้าลุกขึ้นสู้ หลังตูนีเซียประสบความสำเร็จ วันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง >>>

นอกจากที่ลิเบียและอียิปต์แล้ว
ยังมีอีกหลายประเทศที่ลุกขึ้นสู้ในช่วงเวลานี้
หลังเห็นชาติอื่นทำได้สำเร็จ
และเห็นกระแสการเปลี่ยนแปลงที่ร้อนแรงอยู่ในขณะนี้
แม้ประชาชนที่ลุกขึ้นสู้ในหลายประเทศ
จะยังไม่ได้สิ่งที่คาดหวังไว้ทั้งหมด
แต่ประชาชนที่ลุกขึ้นสู้ทุกประเทศ
ก็ล้วนได้สิ่งที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น

ในหลายๆ ประเทศ ผู้มีอำนาจรีบเสนอแผนปฏิรูปให้มากมาย
เพื่อสกัดการลุกลามจนไปสั่นคลอนเก้าอี้ของพวกเขา
แค่เห็นคนลุกขึ้นสู้บางประเทศระดับหลายหมื่นแค่นั้น
บางประเทศพึ่งระดับหลายพันด้วยซ้ำ
ก็รีบหยิบยื่นข้อเสนอมากมายมาให้
เพื่อหวังสกัดกั้นกระแสการเปลี่ยนแปลง
กลัวลุกลามจนเอาไม่อยู่

ที่น่ายกย่องที่สุดคือประชาชนอียิปต์และลิเบีย
โดยเฉพาะลิเบียต้องเจอกับผู้มีอำนาจมหาโหด
เรียกว่าโหดสุดๆ โหดกว่าใครที่คิดว่าโหดๆ แล้ว
ขนาดสั่งเครื่องบินไปถล่มผู้ประท้วงได้ ก็ถือว่าโครตโหดแล้ว
และคนลิเบียก็จับอาวุธลุกขึ้นสู้ไม่ยอมสู้มือเปล่า
แต่เห็นได้ชัดเลยว่าไม่มีความพร้อมเลย
พวกเขาเห็นแค่โอกาสที่ผ่านมาก็รีบพยายามไขว่คว้าเอา
ดีกว่าปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
พวกเขาไม่มีความพร้อมอะไรเลย
แค่เห็นโอกาสดีๆ เท่านั้นก็ลงมือเลย

วกมาเรื่องกองเชียร์แกนนำเสื้อแดงบางคน
พยายามออกมาบอกว่าเสื้อแดงไม่พร้อมสู้นั่นนี่
แล้วปีที่แล้วที่ระดมคนมาด้วยสโลแกน "โค่นอำมาตย์ ยุบสภา"
ไม่พร้อมใช่ไหม แล้วทำไมไม่รอจนพร้อมหล่ะ
และขนาดระดมมวลชนมาด้วยสโลแกนที่ว่า
ถ้าคนที่มาไม่พร้อมสู้จริง จะมากันมืดฟ้ามัวดินหรือ

ดังนั้นการมาแก้ตัวว่าไม่พร้อมต้องรอไปก่อน
แล้วปีที่แล้วหมายความว่ายังไง ทำไมไม่พร้อมแต่สู้ได้
ทั้งๆ ที่ปีนี้มีโอกาสดีมากมายเยอะกว่าด้วยซ้ำ
เพราะกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกปีนี้แรงมากๆ
ยังไงเสียขั้นต่ำก็ต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมา
ไม่เหมือนปีที่แล้วไม่ได้อะไรเลย
ขนาดข้อเรียกร้องที่ต่ำสุดๆ แล้วยังไม่ได้อะไรสักอย่าง
จะมาบอกว่าปีที่แล้วได้ตาสว่าง
ก็โอเคแต่ชาวบ้านเขาตาสว่างก่อนไปสู้กันแล้ว
ไม่งั้นสโลแกนที่ว่าเขาก็คงไม่เข้าร่วมสู้ด้วยหรอก
สมมุติว่ามีคนตาสว่างทีหลังเหตุการณ์กระชับพื้นที่หฤโหด
แล้วยังไง ถ้าตาสว่างแล้วไม่สู้
ก็เหมือนกับรับรู้แล้วอยู่เฉยๆ นั่นเอง
ไม่มีประโยชน์อะไรอีกนั่นแหล่ะ

แถมหลักฐานทัศนะคติแกนนำ
ที่จะสามารถวิเคราะห์ได้ว่า
ที่มานำทำไปเพื่ออะไรกัน
อ่านข่าวนี้ดูเผื่อใครยังไม่เคยอ่าน
ผมหาตั้งนาน เก็บไว้ดีจนเกือบหาไม่เจอ
ขอนำมาบันทึกเก็บไว้ที่บล็อก
วันหลังจะได้หาไปอ้างอิงได้ง่ายๆ

-------------------------------------------------------------------

วันที่ 2010-03-15 21:08:28 โดย มติชน
นศ.หลากสถาบันตั้งกลุ่ม "แดงเยาวชน" อีกเวทีไม่ไกลม็อบนปช.

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ว่า ในการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือมวลชนเสื้อแดง ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ นอกจากเวทีใหญ่ที่มี 3 เกลอ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ กำกับอยู่แล้ว ยังมีอีก 1 เวที บริเวณหน้าอาคารสหประชาชาติ ที่สร้างสีสันในวงล้อมมวลชนคนเสื้อแดง คือ กลุ่มองค์กรเสรีปัญญาชน หรือ "กลุ่มแดงเยาวชน" ที่ก่อตั้งครั้งแรกช่วงเหตุการณ์สงกรานต์เลือด 13 เมษายน 2552 เป็นการรวมตัวของนักศึกษาจากหลายสถาบันประมาณ 2,000 คน แสดงความคิดทางการเมือง ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลหลายๆ ด้าน อาทิ โครงการเรียนฟรี 15 ปี เป็นต้น

เวทีนี้เปิดตัวตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม และเป็นครั้งแรกที่มีเปิดปราศรัยบนเวที โดยมีนายจักรภพ เพ็ญแข โฟนอินเข้ามาแสดงความคิดเห็น เยาวชนเหล่านี้บอกว่า พวกเขาทำเวทีปราศรัยขึ้นมาเอง มีค่าบริหารจัดการเฉลี่ยวันละ 13,000 บาท แบ่งเป็นค่าเวที 5,000 บาท ค่าน้ำมัน 5,000 บาท และค่าอาหารอีก 3,000 บาท แต่ยืนยันว่า ไม่ได้รับเงินจากใคร เพราะต่างไปด้วย "อุดมการณ์" เดียวกัน คือ "ไม่ยอมรับ" รัฐบาลที่มาจากระบอบอำมาตย์เท่านั้น และแม้ว่า เมื่อคืนวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา นายวีระ มุสิกพงศ์ จะประกาศว่า พวกเขาเป็นกลุ่มแดงสยาม แต่พวกเขายืนยันอีกครั้งว่า ไม่ใช่แน่นอน เพียงแต่นายสุรชัย (แซ่ด่าน) ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม เข้าไปเห็นพวกเขา ก็ถือโอกาสขึ้นเวทีมาให้กำลังใจ และบริจาคเงินให้ 500 บาท ก็เท่านั้น

-------------------------------------------------------------------

เด็กตั้งเวทีห่างเวทีใหญ่มากมาย
เสียงก็ไม่ได้ดังกว่าลำโพงที่อยู่ใกล้สุด
เพราะผมก็ผ่านไปแวะฟังส่วนใหญ่เป้นนักศึกษา
และชาวบ้านมาขอขึ้นเวทีด่ารัฐบาลก็มี
แกนนำยังไปโจมตีว่าเป็นพวกแดงสยาม
แค่สุรชัยเดินไปบริจาคเงินไม่กี่ร้อย
วันรุ่งขึ้นสุรชัยก็เลยขึ้นเวทีว่ากลับ
แล้วก็มีโต้ตอบกันสองสามวัน ก่อนเรื่องเงียบไป
ขอนำมาเก็บไว้เป็นหลักฐาน
เผื่อคนที่ไม่รู้ลืมไปแล้วจะได้รู้ว่า
พวกไหนเริ่มก่อนกันแน่ในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา
ในการสร้างความแตกแยก
เสี้ยมหรือยุแหย่ทำให้ไม่สามัคคีกัน
มันจะสามัคคีกันไปได้ยังไง
ขนาดนักศึกษาที่อุตส่าห์พยายามขวักมือเรียก
ให้มาร่วมม็อบแทบเป็นแทบตาย
พอเขากล้าเสี่ยงมาและกล้ามาปราศรัย
ห่างจากเวทีใหญ่มากมาย ยังใจแคบ
โจมตีว่าเป็นพวกแดงสยาม
แสดงว่าทัศนคติแกนนำนปช.
เกลียดพวกแดงสยามพยายามขัดขวางทุกวิธีทาง
ไม่ให้มวลชนตาสว่างไปมากกว่านี้ใช่หรือไม่
หรือไม่ให้มวลชนไปแนวพวกแดงสยาม
ทำตัวเหมือนพวกรับงานมาทำม็อบในโอวาทผู้มีอำนาจ
มากกว่าคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน
เป้าหมายเดียวกัน แต่แนวทางคนละแนวอย่างที่ชอบพูดกัน
โดยเฉพาะเรื่องที่ชอบพูดให้รักกัน สามัคคีกัน
ถ้าคิดแบบนั้น จะไม่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้
จะยอมหลิ่วตาเพื่อเปิดโอกาสให้มวลชนตาสว่างเพิ่ม
และเป็นการส่งเสริมนักพูดหน้าใหม่ๆ
เผื่อจะได้มาทดแทนหรือมาเป็นแกนนำได้ในภายหลัง
ถ้าแกนนำปัจจุบันมานำต่อไม่ได้
เพราะเวทีใหญ่ พวกขาใหญ่และส.ส.พูด
ก็แทบจะจัดคิวกันไม่ค่อยได้อยู่แล้ว

พฤติกรรมที่แสดงออกมามันเหมือนกับว่า
มาทำม็อบอยู่ในโอวาทผู้มีอำนาจจริงๆ นั่นเอง
และมองพวกอื่น กีดกันพวกอื่นที่ไม่ยอมอยู่ในโอวาทผู้มีอำนาจ
เดี๋ยวจะหาว่ามาวิจารณ์ลอยๆ มีหลักฐานพร้อม
จะได้ให้พวกที่ชอบพูดว่า ต้องสามัคคีกัน
แต่พวกฉันถีบพวกเธอไม่ถือว่าไม่สามัคคีน่ะ ลืมๆ มันไป
หรือพวกที่เห็นต่างแกนนำเป็นพวกยุแยง
แต่ถ้าแกนนำแกล้งพวกอื่นไม่ถือว่ายุแยงหรือเสี้ยมน่ะ
สงสัยจะใช้ได้กับพวกที่ไม่ได้ตามเรื่องราว
ไม่ตามข่าวอย่างอื่น ตามแต่สื่อของแกนนำ
เว็บบอร์ดของแกนนำหนุนเพื่อควบคุมกระแส
ให้ไปแนวแกนนำคิดและทำทั้งหมดเท่านั้น

พูดถึงเรื่องเว็บบอร์ดนี่ก็แปลก
มีความพยายยามโจมตี facebook ต่างๆ นานา
ว่าไม่ปลอดภัยนั่นนี่คือไม่อยากให้คนเข้ามาเล่น facebook มากๆ
ดูแล้วเหมือนกลัวจะมาเจออะไรแล้วตาสว่างมากกว่าเดิมน่ะพวกเนี้ยะ
เพราะในช่วงที่มีกระแสการเปลี่ยนแปลงในโลกอาหรับ
และกำลังขยับมาแถวเอเชียช่วงนี้
facebook เป็นเว็บที่ถูกกล่าวหาจากผู้มีอำนาจในประเทศต่างๆ
ว่ามีบทบาทส่งเสริมให้เกิดการปลุกระดมมมวลชน
โดยนัดแนะกันไปชุมนุนมนั่นนี่
แทนที่จะชวนกันมาเล่นเยอะๆ
กลับพยายามสร้างกระแสว่าอันตรายอย่างนั้นอย่างนี้
แค่นี้ก็ดูออกแล้วว่าทำไปเพื่อเข้าทางพวกไหน
ผมเลยเขียนชี้แจงไว้ที่เรื่องนี้

<<< เล่น facebook อันตรายกว่า เล่น Webboard หรือไม่ >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2010/11/blog-post_11.html

ตามหลักการทำศึก ควรดูสถานการณ์เป็นหลัก
อย่ายึดติดตำรามากเกินไป
ไม่ใช่ตำราเขียนว่าต้องอหิงสาก็อหิงสาตลอดไป
ผมก็เคยเขียนเรื่องให้อหิงสา
แต่ให้ใช้ยามสถานการณ์ปกติ
และผู้มีอำนาจมีความเป็นคน
แต่เมื่อพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่คนแน่ๆ พวกนี้
ผมก็ไม่ยึดแนวที่ว่าอย่างเคร่งครัดแล้ว
หรือให้สู้กันในสภาผมก็เคยเขียน
นั่นกรณีไม่มีใครมาบงการชักใยจนสภาไม่มีอำนาจอะไร
เป็นแค่ตรายางเฉพาะเรื่องที่ไม่สามารถไปกระทบพวกผู้มีอำนาจได้
แนวสู้ในสภาที่ผมเคยเขียนหมายความว่า
สภาต้องสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้
แต่พอได้ทดสอบกับประเทศนี้แล้ว
โดยเฉพาะเหตุการณ์ช่วงรัฐบาลสมัครและสมชาย
ผมก็เลิกคิดแล้วว่าสภาจะช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ในประเทศที่มีโครงสร้างแบบนี้

"คัมภีร์กลยุทธ์ที่ดี ต้องมีทั้งรุกและรับ
แต่จะสลับปรับใช้ให้ได้ผล อยู่ที่คนนำไปใช้หาใช่อยู่ที่คัมภีร์ไม่"


เมื่อยังสู้ก็ต้องค้นหาวิธีใหม่ๆ ไม่ซ้ำที่เคยแพ้ไปเรื่อยๆ
สักวันก็อาจเห็นจุดอ่อน ช่องโหว่ ฝ่ายตรงข้าม
ดีกว่าการนั่งรอปาฏิหาริย์ไปเรื่อยๆ
หรือทำตัวอยู่ในกรอบในโอวาทไปเรื่อยๆ

"ถ้าใจไม่สู้แล้ว ก็คงไม่แคล้วท้อแท้
แต่ถ้าใจไม่ยอมแพ้ ไม่แน่อาจฝ่าพ้นอุปสรรค"

"ถ้าคนเวียตนามสู้เพื่อลุงโฮ เวียตนามอาจไม่มีวันนี้ก็ได้
เพราะลุงโฮตายก่อนจะรวมเวียตนามได้สำเร็จ"

"อย่าคิดว่าต้องชนะถึงจะสู้.....จงคิดสู้แม้จะรู้ว่าไม่ชนะ"

"ขอแค่ชนะครั้งสุดท้าย.....แม้จะพ่ายมานับครั้งไม่ถ้วน"


ถ้าคิดจะเป็นแกนนำ ก็ต้องมานำจริงๆ
ไม่ใช่แกล้งมาเป็น แกนถ่วง แกนรั้ง
พาวน พาหลงทางไปเรื่อยเปื่อย
เพราะถ้าเป็นอย่างงั้น
จะทำให้มวลชนเสียโอกาส
และอาจพ่ายแพ้กันไปในที่สุด

"ใครกล้า ท้าทาย เผด็จการ
วันวาน วันนี้ หรือวันไหน
ขอบอก นับถือ ทั้งหัวใจ
ไม่ว่า เป็นใคร ขอสดุดี"


โดย มาหาอะไร

FfF