คำว่าหลุดพ้นนั้น ถ้าจะแปลกันง่ายๆ ก็คือการไม่ยึดติด
เมื่อไม่ยึดติด ก็คือการหลุดพ้นแล้วนั่นเอง
แต่การหลุดพ้นในที่นี้ ยังมีความหมายมากกว่านั้น
คือนอกจากเลิกยึดติด ยังหมายถึงการเป็นเสรีชนเต็มตัว
ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้านำตนเอง
และกล้าซัก กล้าถาม กล้าติดตามตรวจสอบ
ถ้าใครสามารถสู้กับใจตนเองจนหลุดพ้นได้แล้ว
ก็เท่ากับท่านได้ปฏิวัติตนเองได้สำเร็จ
ถ้ามีคนแบบนี้มากๆ
ก็คือการปฏิวัติสังคมโดยไม่ใช่อาวุธใดๆ เลย
เมื่อปฏิวัติตนเองได้สำเร็จแล้ว
ก้าวต่อไปก็คือการปฏิวัติสังคม
โดยการชี้แจง แนะนำ ทำให้เห็นจริง
เพื่อให้ประชาชนในสังคม
ปฏิวัติใจของแต่ละคนจนหลุดพ้นได้สำเร็จ
เมื่อมีคนที่หลุดพ้นจำนวนมากๆ
ถึงจะทำการปฏิวัติสังคมได้สำเร็จ
เพราะสังคมไทยเป็นสังคมแบบศักดินา
ห้ามเถียงพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และเจ้านาย
ระบบการศึกษาไม่เอื้อต่อการกล้าคิด กล้าทำ กล้านำตนเอง
ทำให้คนไม่กล้าที่จะคิด ไม่กล้าที่จะแสดงออก
และต้องรอรับคำสั่งจากผู้นำ
เหมือนรอให้อาจารย์สั่งให้ทำนั่นทำนี่
เมื่อทุกคนกล้าลุกขึ้นมาปฏิวัติตนเองกันได้เยอะๆ
ก็เท่ากับปฏิวัติสังคมไปในตัวนั่นเอง
แต่ถ้าต้องการสังคมแบบประชาธิปไตยที่แท้จริง
อันนี้นอกจากจะสู้กับใจตนเองแล้ว
ต้องสู้กับพวกที่ทำตัวกีดขวางไม่ให้ทำได้สำเร็จอีกด้วย
ซึ่งคนที่หลุดพ้นแล้วและต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง
ก็ต้องช่วยกันต่อสู้ทุกวิธีที่จะเอาชนะสิ่งกีดขวางเหล่านั้นให้ได้
เพราะถ้าเอาชนะไม่ได้ก็ไม่มีทางได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงไปได้
แต่ถึงแม้จะปฏิวัติสังคม
ให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่สำเร็จในยุคเรา
แต่ก็ยังถือว่าสามารถปฏิวัติใจตนเองได้สำเร็จ
เหมือนว่าเราสู้ให้ตนเองหลุดพ้นได้สำเร็จ
แต่ยังสู้เพื่อให้ประชาชนในสังคมหลุดพ้นไม่สำเร็จเท่านั้นเอง
มันไม่มีอะไรเสียหลาย มันมีสิ่งที่ได้แน่ๆ
คือการเป็นเสรีชน คนที่หลุดพ้นแล้วนั่นเอง
ดังนั้นขั้นแรกเพื่อเก็บกำชัยชนะเอาไว้ให้ได้ก่อน
และเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงและยั่งยืน
ก็คือการปฏิวัติใจตนเองให้สำเร็จทำตนให้หลุดพ้นให้ได้ก่อน
ผมเชื่อว่าถ้ามีคนหลุดพ้นจำนวนมากๆ
อยากปฏิวัติสังคมยังไง มีโอกาสทำได้สำเร็จค่อนข้างมาก
และจะง่ายขึ้นกว่าการที่ตนเองยังปฏิวัติตนเองไม่ได้
หรือยังทำตนให้หลุดพ้นไม่ได้ หรือมีคนที่หลุดพ้นแล้วน้อยๆ
โอกาสที่จะปฏิวัติสังคมเรื่องใดๆ ก็จะน้อยลงตามไปด้วย
เพราะแค่ตนเองยังปฏิวัติตนเองไม่ได้
อย่าคิดหวังว่าจะไปปฏิวัติสังคมเรื่องใดๆ เลย
มันยากกว่าเพราะต้องไปปฏิวัติใจคนอื่นด้วย
เครื่องชี้วัดว่าตนเองปฏิวัติใจตนเองได้หรือยัง
หรือหลุดพ้นแล้วหรือยัง พิสูจน์ง่ายๆ หรือดูง่ายๆ
คือดูว่ากล้าพอที่จะซักถาม ตรวจสอบ
หรือสนับสนุนการตรวจสอบโดยคนอื่นก็ได้
เมื่อเกิดข้อสงสัยหรือข้อกล่าวหาต่างๆ
กับบุคคลที่ตนเองคิดว่ายังยึดติดอยู่หรือไม่
เพราะเป็นเรื่องปกติมากในสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง
ที่จะมีการตั้งกระทู้ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจ
ไม่เฉพาะแค่ฝ่ายคานทำกับรัฐบาล
แม้แต่องค์กรหน่วยงานต่างๆ ถ้าเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
ย่อมต้องทำได้เหมือนกับสภาผู้แทนราษฎร
เพราะการไม่ยอมให้ตรวจสอบ หรือการไม่ชี้แจงข้อสงสัย
หรือการส่งคนมาทำตัวเป็นองครักษ์ป่วนคนทำหน้าที่ตรวจสอบ
หรือการตอบคำถามไม่ชัดเจน เหล่านี้ล้วนทำให้ข้อกล่าวหามีน้ำหนักมากขึ้น
เหมือนคุณฟังรัฐบาลถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจทุจริตเรื่องนั้นเรื่องนี้
แล้วมีองครักษ์มาคอยขัดจังหวะขัดแข้งขัดขา
หรือว่าคนถูกอภิปรายเลี่ยงไม่ตอบ หรือตอบคนละเรื่องกับคำถาม
หรือไม่พยายามชี้แจงให้เคลียร์ ข้อกล่าวหาที่ยังคาใจคนที่ได้รับรู้
ก็ยังคาอยู่ในใจนั่นเอง ต่อให้ใช้วิธีพวกมากลากไป
ชูมือไว้วางใจจนชนะ แต่ก็ไม่อาจจะชนะใจคนดูไปได้
ถ้ายังทำตนให้หลุดพ้นไม่ได้
ต่อให้เอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ด้วยวิธีต่างๆ
ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว
เพราะถ้าคนยังไม่หลุดพ้นมากๆ แล้วข้ามขั้นตอน
ไปเอาชนะด้วยกำลังหรืออะไรก็แล้วแต่
เป็นการชนะแค่การแย่งอำนาจจากพวกหนึ่งมาไว้ที่พวกหนึ่งนั่นเอง
เพราะมวลชนที่ไม่หลุดพ้นก็เป็นได้แค่เบี้ยหรือหมากตัวหนึ่งเท่านั้น
เมื่อมีผู้มีอำนาจคนใหม่พวกเดียวกันก็ไม่กล้าที่จะตรวจสอบ
และอาจมีองครักษ์มาห้ามการตรวจสอบเพื่อความสามัคคี
จะได้ไม่แตกแยกแล้วแต่จะเสกสรรคำมาค้าน
จุดประสงค์ก็คือห้ามแตะต้องเทวดาองค์ใหม่ดีๆ นี่เอง
แบบนี้ก็คือการหนีเสือปะจระเข้
แล้วถึงตอนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพวกฮิตเล่อร์
พวกที่หนุนฮิตเล่อร์จนได้เป็นใหญ่ยอมเสี่ยงตายสู้กับอีกฝ่าย
พอฮิตเล่อร์ได้เป็นใหญ่ ใครไปหือไปตรวจสอบ
หรือทำตัวไม่เกรงกลัวก็โดนฮิตเล่อร์
หรือองครักษ์พิทักษ์ฮิตเล่อร์เล่นงาน
ถ้าไม่ต้องการให้จบแบบนั้น
ต้องพยายามทำตนให้หลุดพ้นกันมากๆ แล้ว
วิธีการเอาชนะอาจไม่ต้องมีสงคราม
หรือต้องเสียเลือดเนื้อกันมากกว่าที่คิดอีกด้วย
เพราะเสรีชนที่มีอุดมการณ์ และมีจำนวนมากๆ
ไม่มีใครกล้าตอแยหรอก เพราะมันน่ากลัวกว่า
มวลชนที่สั่งซ้ายหันขวาหันด้วยแกนนำเพียงไม่กี่คน
ซึ่งจะออกมาสู้ก็ต่อเมื่อแกนนำสั่ง
ไม่ได้ดูสถานการณ์แล้วออกมาได้เอง
แบบนั้นไม่มีใครกลัว ยิ่งถ้าแกนนำไม่กล้าจริงก็จบง่ายๆ
ในเมื่อเสี่ยงตายสู้กันทั้งที
ควรจะสู้ด้วยการทำให้ตนเองยิ่งใหญ่เท่าเทียมกับทุกคน
ไม่ใช่สู้เพื่อให้ตนเองเป็นไพร่ทาสของอีกคนแทนที่อีกคน
อย่างที่บอกแนวทางนี้
ต่อให้ปฏิวัติสังคมให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่สำเร็จ
แต่ที่สำเร็จแน่ๆ คือการปฏิวัติตนเองซึ่งมีค่ามากมาย
ชนิดที่เรียกว่าไม่อาจประเมินค่าได้
การที่ทำให้ตนเองหลุดพ้นจนรู้สึกว่าเท่าเทียมกับทุกคน
ทุกคนก็คนเหมือนกัน กล้าตรวจสอบทุกคน
ถ้าใครไม่รู้สึกว่านี่คือความยิ่งใหญ่เหนืออะไรแล้วก็ไม่รู้จะพูดยังไง
หรือคนที่ไม่หลุดพ้นก็เลยไม่รู้สึก แต่ถ้าหลุดพ้นได้จริงๆ
คุณจะรับรู้ความรู้สึกนี้ได้เอง
แม้จะไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์เท่ากับคนอื่น
หรือมีทรัพย์สินมากมายเท่าคนอื่น
แต่การมีสิทธิและเสียงเท่าเทียมกับผู้มีอำนาจ
ที่มียศฐาบรรดาศักดิ์หรือมีทรัพย์สินมากมาย
มันคือความยิ่งใหญ่จริงๆ
ไม่เชื่อลองทำตนให้หลุดพ้นให้ได้แล้วจะรู้สึกเอง
และต่อไปคุณก็จะไม่เกรงกลัวใครเลย
คุณพร้อมกล้าที่จะตรวจสอบทุกคน
อาจยังมีบางคนที่ยังติดขัดด้านกฏหมาย
ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ในตอนนี้
วันไหนมีประชาธิปไตยที่แท้จริงจะทำได้แน่นอน
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ติดขัดข้อกฏหมาย
เมื่อคุณกล้าตรวจสอบพวกเขาหรือพวกเรา
คุณจะรู้ว่าคุณยิ่งใหญ่จริงๆ
แม้คุณจะไม่ได้เป็นฝ่ายบริหาร
แต่การที่เป็นฝ่ายค้านคุณก็ดูยิ่งใหญ่ได้
ไม่เชื่อติดตามดูการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้
ว่าคนเป็นฝ่ายค้านหงอคนเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือไม่
ทั้งๆ ที่ยศไม่เท่ากัน แต่ความรู้สึกฝ่ายค้าน
ก็คงไม่คิดว่าฝ่ายรัฐบาลยิ่งใหญ่กว่าแต่อย่างใด
ประชาชนคนทั่วไปก็เหมือนกัน
ถ้าคุณกล้าตรวจสอบผู้มีอำนาจ
ก็เหมือนทำหน้าที่ฝ่ายค้านนอกสภา
ผมไม่รู้จะบรรยายยังไงให้รู้สึกอารมณ์แบบนี้ได้
นอกจากคุณจะลงมือทำตนให้หลุดพ้นให้ได้ตั้งแต่วันนี้
แล้วคุณจะรับรู้ความยิ่งใหญ่ที่คุณรู้สึกได้เอง
โดยไม่ต้องมีใครมาบรรยายให้ฟัง
การสู้เพื่อให้ตนเองหลุดพ้น สู้เพื่อให้ประชาชนหลุดพ้นตาม
คือนิยามการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง
เพราะในระบอบประชาธิปไตยที่ยอมให้ประชาชน
มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งหรือโหวตเลือกอะไรก็ตาม
เพราะตั้งสมมุติฐานว่า ทุกคนที่มีสิทธิโหวต
เป็นเสรีชน เป็นคนที่หลุดพ้นแล้ว
สามารถวิเคราะห์เลือกอะไรได้ด้วยตนเอง
ไม่ได้เลือกเพราะมีใครสั่ง หรือชี้นำ
หรือทำตามกระแส หรือว่ารับเงินมาเลือก
ดังนั้นถ้ามีเสรีชนหรือคนหลุดพ้นมากๆ เท่าไหร่
ก็จะยิ่งทำให้เกิดการตัดสินใจที่ถูกต้องเที่ยงธรรม
มีเหตุมีผล ไม่ยึดติดพวกใครพวกมัน
หรือไม่ยึดติดผลประโยชน์ของพรรคพวกมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย
โดย มาหาอะไร
FfF
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.