บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


15 มีนาคม 2554

<<< อะไรที่ไม่ธรรมดา ก็ทำให้ธรรมดา เดี๋ยวก็ธรรมดาในที่สุด >>>

สมัยก่อนคนไทยน้อยคนมาก
ที่จะกล้าด่าทอเทวดา เทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพราะเชื่อว่าสิ่งไม่ธรรมดาเป็นสิ่งพิเศษ
มีอิทธิฤทธิ์มากมาย ไปด่าไปแช่งเดี๋ยวจะโดนเล่นงาน
ถูกเสกให้เป็นนั่นนี่ได้ แต่พอมีคนกล้าด่ามากๆ
ก็กลายเป็นเรื่องปกติในที่สุด
อนาคตต่อไปใครไม่กล้าด่าอาจเชยมากๆ ก็ได้
เพราะมันกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว

ความเชื่อโบราณที่ว่า เทวดาต้องดีกว่ามนุษย์
บางทีลูกหลานเทวดาก็อาจไม่ดีเท่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ รุ่นปู่รุ่นย่า ก็ได้
ผมว่าเทวดาก็เหมือนมนุษย์ มีทั้งดีไม่ดี
ไม่งั้นจะมีเรื่องเทวดาตกสวรรค์
หรือทะเลาะกันแสดงกิริยาแย่กว่าชาวบ้านก็มี
ตามนิยายปรัมปราที่เล่าๆ มาทั้งของกรีก อินเดีย จีน และไทย
ดังนั้นการเหมาว่าเทวดาดีทุกคนเสมอไป ไม่ถูกต้อง
เพราะได้เป็นเทวดาเพราะเป็นลูกหลานเทวดา
ไม่ใช่มนุษย์เลือกคนที่ดีเลิศไปเป็นเทวดา
หยุดเรื่องเทวดาไว้แค่นี้ก่อน
ขอวกกลับมาเรื่องการเมืองต่อ
คราวนี้จะมีอีกตัวอย่างหนึ่งที่กำลังร้อนแรงอยู่ตอนนี้คือ
ประเด็นต่อต้านหรือต้องการปรับเปลี่ยนอะไรเกี่ยวกับมาตรา 112

คราวนี้ลองมายกตัวอย่างที่เห็นในชีวิตประจำวันบ้าง
ยกเรื่องเทวดาอาจเข้าใจยากต้องจินตนาการสูง
สมัยก่อนคุณว่ามีคนกล้าด่าเปรมสักกี่คน
พอหลังการทำรัฐประหารมีคนกล้าด่าคนแรกที่ผมได้ยิน
เพราะไปม็อบยุคแรกๆ ก็คือ มดชมพู
ชื่อในล็อคอินพันทิพชื่อจริงไม่รู้จัก
ด่าเปรมอย่างละเอียดที่สุด คือด่าได้หยาบเสียไม่มี
ตอนนั้นหาคนกล้าด่าแบบนี้บนเวทีน้อยมาก
แถมข้างล่างก็ยังไม่กล้าด่ากันมาก
เดี่ยวนี้การด่าเปรมเป็นเรื่องเด็กๆ ไปแล้ว

พูดถึงมาตรา 112 สมัยก่อนน้อยคนที่จะแตะมาตรานี้
ทั้งๆ ที่เป็นมาตราหนึ่งในรัฐธรรมนูญ
ซึ่งก็คงต้องมีการเรียนการสอนการวิพากษ์วิจารณ์กัน
ในสถาบันการศึกษาวิชาเกี่ยวกับเรื่องการเมืองบ้างแหล่ะเข้าใจว่ายังงั้น
รวมไปถึงมาตราอื่นๆ ในรัฐธรรมนูญ
เพราะรัฐธรรมนูญคนที่เขียนขึ้นก็คือ
ประชาชนที่ถูกเลือกหรือแต่งตั้งให้ไปร่างรัฐธรรมนูญ
ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่กลุ่มคนเหล่านี้เขียน
จะต้องดีนิรันดร์เสมอไปแตะต้องไม่ได้

แต่ก่อนไม่มีใครกล้าพูดถึง
และสมัยก่อนมาตรานี้จะมีหรือไม่มี ก็ไม่รู้สึกอะไรกัน
เพราะว่ายังไม่ค่อยมีการนำมาตรานี้มาใช้จนเกร่อเหมือนในช่วงนี้
แต่ผมได้รับรู้ครั้งแรกสำหรับการรณรงค์เรื่องเกี่ยวกับมาตรานี้
สมัยที่ ใจ อึ้งภากรณ์ โดนเล่นงาน จึงมีการรณรงค์เรื่องนี้หลายปีมาแล้ว
ตอนนั้นผมยังไม่กล้าไปลงรายชื่อเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงมาตรา.นี้เลย

แต่หลังๆ นี่เริ่มมีการรณรงค์กันอีกแล้วหลังโดนกันเป็นสิบแล้วมั้ง
โดยเฉพาะหลังสุดเป็น สุรชัย ที่โดนจับด้วยมาตรานี้
ประจวบเหมาะกับ มีพวกอาจารย์อย่างสมศักดิ์และหลายๆ คน
เริ่มออกมาให้ความรู้เรื่องนี้ ก็เห็นว่า
เรื่องนี้แต่ก่อนมันเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา
โดยเฉพาะผมเมื่อหลายปีก่อน
เลยคิดว่าควรจะทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผมได้แล้ว
ก็เลยออกไปม็อบที่เรียกร้องเกี่ยวกับมาตรา112 นี้
วัดจากความรู้สึกผม ผมก็เหมือนคนอื่นนั่นแหล่ะ
อะไรใหม่ๆ ก็ยังไม่กล้าหรอก พอมีคนกล้านำทางมามากๆ
เราก็เริ่มจากไม่กล้า เป็นกลัวๆ กล้าๆ
ต่อไปก็คงไม่กลัวเรื่องใดๆ ที่คิดว่าไม่กล้า
เข้าใจว่าทุกคนก็คงเหมือนๆ กันกับผมนั่นแหล่ะ
บางคนไม่กล้าแม้แต่จะพูดถึงเลย
ในขณะที่ผมเห็นบางคนไประดับใส่เสื้อรณรงค์กันแล้ว
เป็นผู้หญิงค่อนข้างเยอะเสียด้วย ทำให้ยืนยันได้ว่า
ความกล้าไม่กล้าเรื่องเพศไม่เกี่ยวเลยจริงๆ

ในขณะนี้มีผู้กล้าจำนวนนับพันคนแล้ว
เผลอๆ อาจหลายพันแล้ว
นับเฉพาะที่ออกมาร่วมม็อบแสดงออกน่ะ
พวกกล้าแต่ไม่แสดงออกนับไม่ได้ว่ามีเท่าไหร่
และคนที่ไม่กล้าเลยอีกมากมาย
ซึ่งถ้าไม่พัฒนาตัวเองให้กล้าขึ้น
ในการเรียกร้องเรื่องอะไรก็ตาม
ที่แต่ละคนคิดเอาเองว่าไม่ธรรมดา
เลยต้องพยายามทำให้มันไม่ธรรมดาอยู่แบบนั้น
เผลอๆ บางคนทำให้มันพิเศษกว่าเดิมเสียอีก
แทนที่จะพยายามทำให้ธรรมดาให้ได้
จะได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาในที่สุด
ที่ต้องพูดแค่บางคนที่มองว่าไม่ธรรมดาหรือธรรมดา
ก็เพราะว่าบางคนเห็นว่าไม่ธรรมดา
แต่บางคนเห็นว่ามันธรรมดามากๆ เลย
เพราะฉะนั้นอะไรที่ว่าจะธรรมดาหรือไม่อยู่ที่ใจของแต่ละคน

แล้วถ้ามีคนกล้าออกมาพยายามทำให้บางอย่างเป็นเรื่องธรรมดา
แต่จำนวนมากรวมไปถึงระดับนำ พยายามกีดกัน
หรือพยายามไม่ร่วมมือรณรงค์ให้คนกล้าขึ้น
เพื่อจะทำให้เป็นเรื่องธรรมดา แถมมวลชนบางคน
ก็อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา
แต่กลับไปเรียกร้องกับม็อบที่เขาไม่กล้าพอ
ที่จะทำให้เป็นเรื่องธรรมดา
ในขณะที่มีม็อบรณรงค์ตรงใจ ตรงอุดมการณ์
กลับไม่พยายามไปให้กำลังใจ
แล้วชาตินี้จะมีทางทำให้เป็นจริงได้ไหม
คือบางคนยึดติดแกนนำมากกว่าอุดมการณ์ตนเองเสียอีก
มันก็เลยเกิดปัญหาในปัจจุบันนี้ที่จะมีมวลชนกลุ่มหนึ่ง
ไปเซ้าซี้แกนนำเวทีใหญ่ให้ช่วยมาเรียกร้องเรื่องเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องธรรมดา

ทั้งๆ ที่เขาก็แสดออกบอกเป็นนัยๆ
จนบอกชัดๆ แล้วว่าไม่เอาด้วย
แต่มวลชนส่วนหนึ่งก็ยังพยายามตามตื้อจะให้เขาทำให้ได้
แต่ม็อบที่เขารณรงค์เรื่องนี้กลับไม่ไปช่วยเขา
เพราะเห็นคนน้อยๆ ก็เป็นได้
คนจะเยอะได้ยังไง ในเมื่อคนเห็นด้วยไม่มาม็อบนี้
กลับไปม็อบที่เขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่จะทำ
คือนอกจากไม่ร่วมมือแล้วยังต่อต้าน
คนที่ไปรณรงค์ในม็อบเวทีใหญ่ด้วย
ผมว่ามันก็ตลกดีเหมือนกันน่ะ

วิธีฝึกความกล้าเรื่องนี้ ผมแนะนำให้คนที่อยากฝึก
ลองแวะไปให้กำลังใจม็อบที่เขารณรงค์เรื่องนี้
ถ้าไม่กล้าเข้าไปในม็อบซึ่งก็จัดคล้ายเวทีใหญ่ทุกประการ
เพียงแต่ย่อส่วนให้เล็กลงมาเท่านั้นเอง
คือมีคนน้อยกว่านั่นเอง แต่การทำม็อบคล้ายกัน
หามุมยืนห่างๆ ก็ได้ มีทุกวันที่ 10 และ 19
เริ่ม 5 โมงเลิกเที่ยงคืน ที่เจดีย์ขาว
หน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติข้างสนามหลวง
และทุกวันอาทิตย์ที่หน้าเรือนจำคลองเปรม
เริ่ม 5 โมงเลิกประมาณ 3 ทุ่ม
แต่เริ่มจริงๆ คงประมาณ 6 โมง แดดกำลังร่มพอดี

ส่วนตัวก็เพิ่งไปได้ครั้งสองครั้ง
จะพยายามแวะไปให้ได้เรื่อยๆ ถ้าไม่ติดธุระจริงๆ
ตอนนี้ผมมาเน้นลุ้นม็อบเล็กๆ พวกนี้ดีกว่า
เพราะม็อบใหญ่เป้าหมายไปเลือกตั้งช่วงนี้
ไม่มีอะไรมีม็อบไปวันๆ เพื่อให้ถึงช่วงเลือกตั้ง
หลังจากนั้นค่อยมาว่ากันอีกที
ช่วงนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกตื่นเต้น
ส่วนม็อบเล็กมีเรื่องน่าลุ้นว่า
จะทำยังไงให้ได้หลายๆ พันคน
เพราะเท่าที่เห็นที่เจดีย์ขาวประมาณเกือบพันคน
ที่หน้าเรือนจำประมาณไม่กี่ร้อยคน
ยังมีที่วงเวียนใหญ่ และที่ปากทางลำลูกกาอีกด้วย

ถ้ารวมทุกเวทีตัดคนซ้ำๆ ออกผมว่า
ก็หลายพันคนได้ แต่กระจายก็เลยน้อย
และไม่ค่อยจะโปรโมทให้กันด้วย
ราวกับเป็นม็อบคนละทีมงานยังงั้นแหล่ะ
น่าจะมีป้ายทุกที่บอกให้คนรู้ว่า
มีม็อบลักษณะนี้ที่ไหนวันไหนบ้าง
ไม่รวมการประชาสัมพันธ์ในเว็บที่ตนเองเล่นอยู่
ดูแล้วยังอ่อนเรื่องประชาสัมพันธ์

สรุปช่วงนี้ขอไปลุ้นไปเอาใจช่วยว่า
จะมีคนมาร่วมเวทีเล็กที่มีข้อเรียกร้องเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมากๆ ไหม
ส่วนเวทีใหญ่ขอหยุดก่อนเพราะไม่มีข้อเรียกร้องอะไร
ไปไม่ไปก็เหมือนกัน ได้ไปเลือกตั้งเหมือนกัน
เพราะปลายทางเอาแค่นั้น ไว้วันหลังมีอะไรดีกว่านี้ค่อยไปใหม่
อย่างที่เคยบอกไว้ว่า
ม็อบที่มีข้อเรียกร้องต่อให้ไม่มีการปราศรัยอะไรเลย
ก็ยังดีกว่าม็อบที่ไม่มีข้อเรียกร้องอะไรเลย
ต่อให้ปราศรัยดีแรงสนุกดุดันยังไงก็ตาม
เพียงแต่ว่าตอนนี้ม็อบที่มีข้อเรียกร้อง
ยังมีคนกล้ามาร่วมน้อยเลยไม่มีพลังมากพอ

บางคนบอกว่าเรียกร้องไปก็ไม่มีประโยชน์
เพราะมันแก้ไม่ได้หรอกอะไรแบบนี้
จริงครับแก้ไม่ได้หรอกที่ผมออกไปนี่
ก็ไม่คิดว่าเวทีเล็กจะไปผลักดันให้แก้ได้หรอก
เพราะขนาดพรรคพวกเดียวกันยังไม่กล้าแตะ
แล้วพรรคพวกอื่นใครเขาอยากมาแตะให้
แต่มันมีสิ่งที่จะได้ตามหัวเรื่องที่ผมเขียนไว้นั่นเอง
คือสิ่งที่ผมอยากได้และทำได้จริงเห็นผลถ้าคนมาเยอะๆ

โดยเฉพาะม็อบหน้าเรือนจำ
ซึ่งสถานที่มันก็ทำให้คนไม่กล้ายิ่งไม่กล้าใหญ่
จริงๆ แล้วไม่มีอะไร แม้แต่มวลชนเวทีใหญ่
ที่ว่ามีมากสุดเป็นแสน แต่เชื่อไหม
กล้ามาหน้าเรือนจำระดับหลายพันคนเท่านั้น
แถมมีข้อเรียกร้องแรงๆ อีก
ใครกล้ามาที่นี่เรียกว่าได้สองเด้งเลยในการฝึกความกล้า

เวทีเล็กหน้าเรือนจำคลองเปรม ที่ผมไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
บรรยากาศเหมือนผมกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
ในการออกมาต่อต้านพวก คมช. ยังไงยังงั้นเลย
คนไม่เยอะ แต่ผมได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็น
กับคนนั้นคนนี้มากกว่าไปนั่งฟังปราศรัยเฉยๆ แล้วกลับบ้าน
เรียกว่าผมไปงานนี้ไปหาเพื่อนคุยมากกว่า
คือไม่มีการอภิปราย ไม่มีเวทีก็ไปได้ ไม่ได้ยึดติดรูปแบบเวทีมากนัก
แต่มันได้หลายสิ่งที่เริ่มจะจางหายไปแล้ว
ม็อบเล็กๆ แบบนี้ก็ดีไปอย่าง พยายามว่าจะไปให้ได้ทุกอาทิตย์
แต่อาทิตย์หน้าแม่มาเยี่ยมที่บ้านแล้วชวนไปเที่ยวใกล้ๆ กรุง
ไม่รู้จะกลับมาทันไหม แต่อาทิตย์ต่อๆ ไปถ้าไม่มีอะไรพิเศษจะไปเรื่อยๆ

สรุปส่งท้าย คนกล้าพวกแรกๆ ถือเป็นผู้กล้าอย่างแท้จริง
ถ้าไม่ช่วยส่งเสริมแล้ว ขอร้องอย่ากีดกัน
ไม่มีพวกนี้ก็ไม่กล้ากันอยู่นั่นแหล่ะในหลายๆ เรื่อง
คิดจะไปรอแกนนำให้กล้า สู้มาช่วยเป็นกำลังใจให้พวกนี้มากๆ ดีกว่า
เพราะมันจะส่งผลไปกระทบทำให้แกนนำกล้าตามเองแหล่ะ
แต่ถ้าไม่มีมวลชนที่กล้าแกนนำก็ไม่กล้าอยู่นั่นเอง
อันที่จริงไม่มีใครกล้ามาแต่เกิดมันต้องผ่านการฝึกฝน
หรือมีประสบการณ์ทำให้กล้าขึ้นทั้งนั้น
ถ้าตั้งใจอยากจะกล้ายิ่งมีโอกาสกล้า
มากกว่าพวกที่ไม่กล้าแล้วก็ไม่คิดฝึกความกล้า
พวกหลังนี่แสดงว่าไม่ตั้งใจอยากจะกล้ากันจริงๆ ในเรื่องนั้นๆ

โดย มาหาอะไร

FfF