บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


22 มีนาคม 2554

<<< การต่อสู้ทางการเมือง อย่าทำตัวหน่อมแหน้ม หรือเป็นผู้ดีจนเกินไป ยิ่งเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วย การโจมตีด่าทอเป็นเรื่องปกติของระบอบนี้ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม >>>

ผมเห็นหลายคนออกอาการรับไม่ได้
เวลาเห็นคนทะเลาะกัน โจมตีกัน
กลัวไปหมด จะแตกแยก แตกความสามัคคีนั่นนี่
ยิ่งบางคนออกอาการด่าหยาบๆ คายๆ ฝ่ายเดียวกันเอง
บางคนบอกจะทำให้ท้อหมดกำลังใจ อะไรพวกนี้
แสดงว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะทางการเมือง
สมควรโดนอีกเยอะๆ หรือไม่ก็อยู่ในสถานการณ์แบบนี้อีกเยอะๆ
จนกว่าจะบรรลุหรือชินไปเอง อิอิ

คุณก็เห็นกันอยู่แล้วในสภามีการโจมตีด่าทอเสียดสีถากถางกันสารพัดทุกอย่าง
ขนาดเขาอ้างว่าเป็นสภาผู้ทรงเกียรติ เขายังเล่นกันขนาดนี้
แล้วเราไม่ใช่ผู้ทรงเกียรติอะไร ที่เราเล่นกันยังน้อยกว่าพวกผู้ทรงเกียรติเล่นกันเสียอีก
ถ้าไม่ฝึกคนของเราให้แกร่งจริง ไปเจอแบบนั้นผมว่าจะตามไปเชียร์แบบขัดใจกองเชียร์
ที่เห็นพวกตัวเองอ่อนหัดด่าพวกนั้นตอบไม่ทันหรือโดนต้อนอยู่ฝ่ายเดียวก็ได้ อิอิ

โดยเฉพาะผู้หญิงที่เข้ามาเล่นการเมือง เช่น ยิ่งลักษณ์
งวดนี้อาจจะโดนแรงเสียดทานมากแน่ๆ เพราะเขาอาจจะเล่นใต้ดินมุกซ้อ7
เพื่อให้อับอาย แต่ถ้าทำใจได้เฉยๆ ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรือเรื่องส่วนตัว
ไม่เกี่ยวกับเรื่องการทำงาน แค่พวกกล่าวหาดิสเครดิตไปวันๆ
ถ้าทำใจได้ไม่สนใจก็จะผ่านวิกฤตไปได้ เมื่อผ่านไปได้ก็เป็นเรื่องเก่าๆ
ที่มีคนพยายามแต่งเรื่องมาโจมตีดีๆ นี่เอง
มันมีวิธีที่รับมือแต่ต้องฝึกทำใจไว้ก่อนได้เลย
เขาเล่นกันโหดร้ายแบบนี้แหล่ะการเมืองไทย
สุดารัตน์ก็เคยโดนข่าวลือเรื่องชู้สาวมาแล้วเหมือนกัน
เรียกว่าเป็นมุกอัปรีย์ของพวกจ้องเล่นงานนักการเมืองผู้หญิงที่กำลังมีบทบาท
เพราะคิดว่าผู้หญิงจะทนรับไม่ได้ อับอายอะไรประมาณนี้
และที่น่าแปลกใจผู้หญิงด้วยกันเองแทนที่จะช่วยปกป้อง
เมื่อเห็นลูกผู้หญิงด้วยกัน โดนเล่นงานลักษณะนี้
บางคนอาจสะใจหรือเชียร์การกระทำลักษณะนี้

ข้างบนนั่นเป็นเรื่องอนาคตที่อาจจะเจอ ขอวกกลับมาเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานี้
เช่นกองเชียร์ที่ขวัญอ่อน ผู้ดีเก่า หรืออะไรก็ไม่รู้ เห็นคนทะเลาะกันแล้วยังไม่ชิน
ควรพยายามทำใจดูไปเรื่อยๆ หรือฟังการด่ากันไปเรื่อยๆ หรือจะลองด่าดูบ้างก็ได้
แต่ไม่ต้องออกอาการด่าหยาบๆ คายๆ มาก เดี๋ยวจะนอนไม่หลับเครียด
เป็นการทำร้ายตัวเองไปเปล่าๆ และดูแล้วจะเหมือนคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทางการเมือง

ยกตัวอย่างการเรียนการสอนพุทธศาสนาในธิเบต
เคยเห็นสารคดี เรื่องวิธีการศึกษาธรรมะ
โดยจับคู่ถามตอบ เกี่ยวกับเรื่องธรรมะ
คนถามแสดงอาการถามไป ข่มขวัญไป
กระทืบเท้าตบมือใส่หน้าคนตอบไป
เรียกว่าถ้าเป็นคนไม่รู้มาทำแบบนี้อาจโดนชกก็ได้
แต่นี่เป็นเทคนิคการเรียนการสอนวิชาพุทธศาสนา
ซึ่งวิชาทางศาสนามักจะเป็นวิชาที่น่าเบื่อที่สุดในโลก
ส่วนใหญ่เด็กไทยเรียนวิชานี้นั่งหลับกันก็เยอะ
แต่เขามีเทคนิคการเรียนการสอนมาหลายพันปี
ทำให้ผู้เรียนไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แม้คนตอบจะรู้สึกเครียดๆ
และกดดันมากๆ เพราะคนถามไม่ได้ถามอย่างเดียว
เล่นยียวนกวนประสาทกระทืบเท้าแสดงกิริยาน่าถีบต่อหน้าแบบนั้น
แต่เชื่อไหมว่า หลังจบชั่วโมงการเรียนเรื่องนั้น
เขาก็กอดคอคุยกันสนิทสนมกันเหมือนเดิม
ผมว่าถ้าวันหนึ่งพวกเขาไปเจอใครทำกิริยาดูถูกด่าทอเสียดสียังไง
คนพวกนี้เขาคงเฉยๆ เพราะเขาเคยเจอหนักกว่านี้มาแล้ว

ดังนั้นควรมาสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่
อย่าไปกลัวการด่าทอหรือการเสียดสีอะไร
และการทะเลาะกันเรื่องอะไร
จบเรื่องไหนก็ให้มันจบเป็นเรื่องๆ
ไม่ใช่ติดลมพาลไปต่ออีกเรื่องมั่วไปหมด
อย่างผมบางทีเห็นไปทะเลาะกับคนนั้นคนนี้
แต่พอเป็นเรื่องอื่นผมอาจไม่ทะเลาะกับคนนั้นต่อก็ได้
เพราะผมไม่ได้จำว่าไปทะเลาะกับใครแล้วจะจำหน้าจำชื่อไว้ไปตลอดกาล
แป๊บเดียวก็ลืม ผมประเภทโกรธง่ายหายเร็ว
เพราะระบายความโกรธทันที จนมันหายไปอย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าเป็นประเภทโกรธยากหายช้านี่ อาจอาการหนักถึงบ้าได้เลย
เพราะว่าคนที่เก็บกดมากๆ อยู่ๆ ถ้าระเบิดอารมณ์ออกมา
จะรุนแรงมากกว่าพวกโกรธบ่อยๆ อีกน่ะพวกนี้

เรามาต่อสู้ทางการเมือง ควรเลิกเป็นคุณหญิงคุณชายหรือคุณหนูกันได้แล้ว
เพราะการต่อสู้จะให้ทำตัวเป็นคุณหญิงคุณชายคุณหนูไม่เวิร์กหรอก
มีอะไรก็ว่าๆ มาจบแล้วก็จบๆ กันไปว่ากันเป็นเรื่องๆ ไป
ต้องฝึกเอาไว้เพราะว่าจะได้ใช้บ่อยๆ ในระบอบประชาธิปไตย
ส่วนพวกสั่งซ้ายหันขวาหันแล้วทำตามทันทีอย่างเดียว
แบบนี้มันจะเหมือนหุ่นยนต์หรือพวกคนมีสี ที่ต้องทำตามสั่งอย่างเดียว
ห้ามซักห้ามถามซาบซึ้งได้อย่างเดียวอะไรแบบนั้น
พวกเผด็จการชอบคนลักษณะนี้มากๆ
ยิ่งมีเยอะมากๆ เท่าไหร่ เขายิ่งชอบ
แต่ถ้าเป็นลักษณะเสรีชน กล้าซัก กล้าถาม ไม่ซาบซึ้งอย่างเดียว
เขาไม่ชอบเพราะเขาไม่ชินและปกครองคนแบบนี้ยาก
โดยเฉพาะถ้าไม่มีจิตวิญญาณประชาธิปไตยด้วยแล้ว
ปกครองเสรีชนไม่ได้หรอก เชื่อเหอะเดี๋ยวเละ

กรณีพวกกองเชียร์ประเภทแตะคนที่เขาเชียร์ไม่ได้
แทนที่จะโต้แย้งด้วยเหตุผล กลับใช้วิธีห้ามซักห้ามถามอะไรแบบนี้
มันอาจจะทำให้เหล่าเสรีชนไม่อยากแตะแต่จะใช้วิธีถีบแทนก็ได้
แทนที่จะให้เขาแตะๆ ก็โดนแตะยังดีกว่าการโดนถีบเสียอีก
และผมชอบมากเลยพวกแตะไม่ได้เนี้ยะไม่รู้เป็นไร
อย่าให้รู้ว่าใครแตะไม่ได้น่ะ พ่อจะแตะๆๆๆ เผลอๆ หน่อยถีบเลย
เพราะระบอบประชาธิปไตยคนที่เข้ามาทำงานด้านนี้
ก็ไม่ต่างอะไรกับการกระโดดลงเล่นโคลน
ประเภทฉันไฮโซ อยากมาทำงานด้านนี้ไม่อยากเล่นโคลน
เดียวโดนเละแน่ๆ เพราะเขาเล่นโคลนกันอยู่เป็นประจำ
จะมาทำตัวไฮโซกลัวเลอะคงอยู่ไม่ได้
เพราะอาจโดนโคลนสาดเละไปตามๆ กันแน่ๆ

ดังนั้นควรทำให้มันเป็นปกติ คุณเล่นโคลน ผมก็ชอบเล่นสนุกดีออก
ก็จะไม่เครียด แต่การห้ามทุกคนเล่นโคลน คงต้องไปอยู่ในรั้วไฮโซ
ห้ามนู้นห้ามนี่ห้ามนั่น ยิ่งมีข้อห้ามเยอะเท่าไหร่
ก็จะยิ่งเข้าใกล้เผด็จการกันเข้าไปทุกที
ควรทำใจให้ได้ และอยู่ให้เป็นถึงจะอยู่ได้
ภายใต้แรงกดดันในระบอบที่ไม่สามารถปิดหูปิดตาปิดปากใครได้
ซึ่งเราก็ต้องสนับสนุนให้ทุกคนเปิดหูเปิดตาเปิดปากกันเยอะๆ
เพื่อเป็นการสร้างรากฐานสำคัญให้กับระบอบเปิดหูเปิดตาเปิดปากนี้
จะว่าไปแล้วระบอบประชาธิปไตยมันก็คือระบอบเปิดหูเปิดตาเปิดปากนั่นเอง
ถ้าเลือกเส้นทางนี้ก็ต้องส่งเสริมคนแบบนี้ให้มีเยอะๆ
ซึ่งจะช่วยค้ำยันระบอบนี้เอาไว้ได้โดยอัตโนมัติ

อีกอย่าง ผมว่าปรากฏการณ์ต่างๆ บางเรื่องที่เราเห็น
มันเป็นผลมาจากเหตุ ถ้าไม่มีเหตุก็คงไม่มีผลแบบนี้
เช่น ถ้าแกนนำไม่หนีมวลชน ก็คงไม่มีคนไปด่าแกนนำที่หนีในเรื่องนี้ได้
ดังนั้นเมื่อมันมีเหตุมันก็มีผลตามมาอย่างที่เห็น
ผมว่ามันเรื่องปกติมากเลยที่จะมีคนไม่พอใจการกระทำของแกนนำบางคน
เพราะนี่เป็นระบบการสื่อสาร 2 ทางสามารถวิจารณ์ได้ทันทีถ้าไม่พอใจ
ข้อดีจะทำให้รับรู้อารมณ์ผู้คนได้ไว ถ้าใช้ให้เป็นแล้วนำไปปรับปรุง
ยกเว้นพวกหลงยุคยึดติดกับการสื่อสารทางเดียว เช่น ทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์
เลยไม่ค่อยได้เห็นปฏิกริยาตอบสนองของคนที่ได้รับสื่อที่ตัวเองสื่อออกไปในทันที
ก็อาจไม่เข้าใจ และกังวลใจ เมื่อมีคนตอบสนองผ่านระบบสื่อสาร 2 ทาง
ในสิ่งที่ตนเองไม่ได้คาดหวังไว้
แต่ผมว่าคนที่แสดงออกว่าไม่ชอบกรณีนี้หรือกรณีไหนๆ
ผมว่ามันปกติมากๆ เลย ความพยายามจะทำให้มันไม่ปกติ
ก็คือความพยายามจะทำให้คนโกรธไม่เห็นด้วยอะไร
แล้วนิ่งๆ ไม่ให้แสดงปฏิกิริยาตามความรู้สึกที่แท้จริงของเขาออกมานั่นเอง

โดย มาหาอะไร

FfF