บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


20 เมษายน 2554

<<< เมื่อแยกเวทีกันชัดเจนระหว่างเวทีหาเสียงกับเวทีไม่หาเสียง จะพยายามทำให้เวทีไม่หาเสียงเหมือนเวทีหาเสียงไปทำไมกัน >>>

เวทีหาเสียง ก็เน้นหาเสียง พูดจาไพเราะ
และจะไม่พูดอะไรที่อาจทำให้เสียคะแนนเสียง
ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็คงทำแนวนี้เพราะเป็นพรรคการเมือง
ก็ต้องหาเสียงหามวลชนเพื่อชนะเลือกตั้ง
ก็ถูกแล้วที่ทำแบบนี้ ส่วนส.ส. ที่อาจเป็นแกนนำเสื้อแดงช่วงนี้
ที่กำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ก็ไปช่วยปราศรัยแนวหาเสียง
เพื่อหามวลชนเพิ่ม เพื่อจะได้ชนะเลือกตั้ง
ซึ่งก็ถูกต้องแล้วถ้าทำแบบนี้

ส่วนเวทีไม่หาเสียง ตอนนี้ก็คงเป็นเวทีราษฎร
ที่รวมสารพัดแดงเข้าด้วยกัน ก็เน้นด่าเอามัน
ด่ากวนบาทา หรือหาบาทาอะไรก็ไม่เห็นแปลกอะไร
ในเมื่อไม่ใช่เวทีหาเสียง บนเวทีอาจมีทั้งคนพูดจาดี
หรือพูดขวานผ่าซากหรือด่าเอามันอย่างเดียว
ก็แล้วแต่ละบุลคลิกของนักปราศรัยแต่ละคน
ไม่ควรไปกำหนดให้คนที่มีบุคคลิกอีกแบบ
มาพูดอีกแบบที่ไม่ใช่สไตล์เขา
เพราะบางครั้งคนที่ชอบไปกำหนดให้พูดแบบนั้นแบบนี้
ออกมาสู้หลังที่พวกนักพูดเหล่านี้ พูดบนเวทีแบบนี้
จากคนไม่กี่สิบคนจนมีคนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเหมือนปัจจุบัน
แล้วจู่ๆ จะไปห้ามคนที่เขาสู้มาก่อนให้เรียบร้อยทำไมกัน

ชาวบ้านเขาไปร่วมชุมนุม เวทีนี้ก็ไม่ได้หวัง
จะไปเลือกคนที่ปราศรัยให้เป็น ส.ส. อะไร
บางทีก็ไปฟังเอามัน บางคนก็ไปจับกลุ่มคุยกันเป็นเพื่อน
แถวๆ ใกล้เวทีก็มี คืออย่างน้อยก็ไปช่วยแสดงพลัง
ยิ่งช่วงพีคทุ่มสองทุ่มกว่าๆ แค่ไปช่วยแสดงพลังก็พอแล้ว
หลังจากนั้นจะกลับก็ไม่แปลกเพราะได้ภาพการแสดงพลังมาแล้ว
ไม่จำเป็นต้องอยู่จนเลิกก็ได้เพราะไม่ใช่ช่วงการต่อสู้อะไร
แต่ถ้าใครว่างกลับช้าหน่อยเพื่ออยู่จนใกล้เลิกหรือจนเลิกก็ยิ่งดี

จะว่าไปแล้ววันนี้แทบไม่ต้องปราศรัยกันแล้วก็ได้ ไม่มีเวทีเลยก็ยังได้
แต่มีเผื่อคนที่ชอบฟังปราศรัยชอบความมันมาปลดปล่อยอารมณ์อะไร
ส่วนคนที่ไปก็ไปช่วยแสดงพลัง ไปให้กำลังใจ
แล้วอาจจับกลุ่มคุยกันเองก็ยังได้ไม่เห็นแปลก
ดังนั้น ผมไม่เห็นว่าการปราศรัยบนเวทีราษฎร
หรือเวทีที่ไม่เน้นการหาเสียง จะต้องเป็นนักพูดจา
มีหลักการ เรียบร้อย หมดทุกคน อาจมีบางคน
พูดแนวหลักการก็ว่ากันไป บางคนชอบแนวด่าเอามันก็ว่ากันไป
สไตล์ใครสไตล์มัน ก็เหมือนกับการโพสแสดงความเห็น
ของแต่ละคนในเว็บนี้หรือเว็บบอร์ดต่างๆ
ก็สไตล์ใครสไตล์มันตามแต่ละคนถนัด
บางคนเล่นใต้ดินด่าไม่ยั้งก็ยังมี บางคนก็สไตล์ผู้ดีเก่า
แต่บางคนก็สไตล์ชาวบ้านชาวบ้าน ก็อ่านก็ฟังกันไป
ชอบก็ฟังไม่ชอบก็ไม่จำเป็นต้องทนฟังหรืออ่าน
ก็เดินไปหาอะไรกินหรือเดินวนเล่นรอบๆ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ได้
อย่างที่บอก ไม่จำเป็นต้องมีเวทีปราศรัยเลยก็ยังได้
แถมคนที่พูดบนเวที ก็ไม่ใช่แกนนำ
ก็ถือเป็นนักพูดคนหนึ่งที่กล้าไปแสดงความบนเวทีเท่านั้นเอง

ถ้าต้องบังคับให้เวทีไม่หาเสียง เหมือนเวทีหาเสียงทุกอย่าง
แล้วจะมีเวทีไม่หาเสียงไปทำไมกัน ก็มีแบบเดียวไปเลย
แต่เมื่อมันมี 2 แบบมันก็ต้องไม่เหมือนกันหน่ะถูกต้องแล้ว
อันที่จริงแล้ว การที่คนเป็นเสรีชนกันแล้ว
จะสามารถไปฟังเวทีนั้นเวทีนี้ ตามแต่สะดวกที่จะไปได้ตามใจตนเอง
แถมวันนี้แทบทุกคนก็อ่านก็ฟังกันจนข้อมูลแทบล้นสมองกันอยู่แล้ว
การไปร่วมชุมนุมบางกรณีเช่นกรณีเวทีเล็กนี้
ก็เหมือนกับการไปร่วมแสดงพลังมากกว่าตั้งใจไปฟังใครปราศรัยเป็นพิเศษ
หรือไปเชียร์ใครเป็นการส่วนตัว ซึ่งแบบนั้นมันจะไม่มีผลดีในระยะยาว
เหมือนที่กำลังเกิดให้เห็นเป็นตัวอย่างในวันนี้
คือ พอแกนนำที่ชอบไม่สามารถออกมานำหรือเคลื่อนไหวอะไรได้มาก
เพราะแค่ขึ้นไปสูดอากาศบนเวทีก็ยังผิดกันเลยสำหรับเมืองไทย พ.ศ. นี้
มวลชนที่เป็นกองเชียร์จำนวนมากไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัด
เคลื่อนไหวอะไรได้ด้วยตนเองเลย แบบนี้ไม่มีประโยชน์จริงๆ
เพราะว่าเขาใช้วิธีสกัดแกนนำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ทุกวิถีทาง
ทุกอย่างก็จบกัน

ส่วนกรณีปัจจุบันที่เพื่อไทยแยกเวทีหาเสียงออกไป
แล้วห้ามแกนนำที่พรรคส่งลงสมัครขึ้นเวทีเสื้อแดง
ก็เหมือนกับเขาแยกเวทีเสื้อแดง ให้เป็นอีกเวทีหนึ่งแล้ว
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปทำแนวหาเสียงตามเวทีหาเสียงของพรรคเพื่อไทยเลย
เวทีของเสื้อแดงควรจะยึดแนวการต่อสู้เพื่อให้ชนะนอกสภาเป็นหลัก
ไม่ควรไปยึดหามวลชนมากๆ หลายสิบล้าน
เพราะนั่นเป็นงานของพรรคการเมืองที่จะต้องไปทำ
แค่ไปชวนคนที่เป็นมวลชนของพรรคกล้ามาร่วมชุมนุมด้วยก็พอ
ไม่ใช่ไปทำอะไรแข่งกับพรรค เพราะการหามวลชนที่ดีที่สุด
ก็คือหามวลชนแบบพรรคการเมืองคือมีนโยบายหาเสียง
จะทำนั่นจะทำนี่ให้ เดี๋ยวก็ได้มวลชนหลายล้านไม่ใช่เรื่องยาก

แต่ที่ยากคือทำยังไงให้ออกมาร่วมชุมนุม
ซึ่งคนนั้นก็ต้องมีใจด้วยและกล้าเพิ่มกว่ามวลชนปกติ
ที่กล้าไปลงคะแนนเท่านั้น
ซึ่งเรื่องนี้ต่างหากที่เป็นงานของม็อบเสื้อแดงจริงๆ
ดังนั้นไม่ต้องไปตั้งเป้าหามวลชนหลายล้านเพราะมีอยู่แล้ว
คือฐานเสียงพรรคเพื่อไทย แค่ทำยังไงให้ออกมาร่วมชุมนุม
ร่วมเคลื่อนไหวด้วยกันก็พอแล้ว
แต่ถ้าพาออกมาชุมนุมเคลื่อนไหว
มาฟังปราศรัยแล้วกลับกันอย่างเดียว
ก็จะเหมือนกับเวทีหาเสียงพรรคเพื่อไทยตามปกติ
ซึ่งก็จะซ้ำซ้อน แต่การที่มีข้อเรียกร้องแรง
ซึ่งเวทีหาเสียงตามปกติเดิมไม่กล้าทำ
แล้วแค่มีคนมาร่วมแค่เนี้ยะ
โดยไม่จำเป็นต้องมีเวทีหาเสียงใดๆ เลยด้วยซ้ำ
นี่ก็ถือว่าทำให้คนกล้ามากขึ้น
เป็นมวลชนที่พัฒนาจากมวลชนพรรคการเมืองตามปกติ
ดังนั้นแนวทางต้องชัดเจนไม่ควรว๊อกแว๊ก
หรือคิดไปหลอกหวังดึงออกมาก่อน
เพราะจะเท่ากับเป็นการหลอกตัวเองไปในตัว
ทำให้การประเมินกำลังผิดพลาดตามไปด้วย

สุดท้ายนี้ อยากจะเตือนพรรคเพื่อไทยอีกครั้งว่า
ม็อบเสื้อแดงคือเกราะหรือกันชนให้พรรค
วันไหนทิ้งม็อบนี้จริงๆ
ก็เหมือนกับทิ้งเกราะหรือกันชนไปดีๆ นี่เอง

โดย มาหาอะไร

FfF