เวทีหาเสียง ก็เน้นหาเสียง พูดจาไพเราะ
และจะไม่พูดอะไรที่อาจทำให้เสียคะแนนเสียง
ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็คงทำแนวนี้เพราะเป็นพรรคการเมือง
ก็ต้องหาเสียงหามวลชนเพื่อชนะเลือกตั้ง
ก็ถูกแล้วที่ทำแบบนี้ ส่วนส.ส. ที่อาจเป็นแกนนำเสื้อแดงช่วงนี้
ที่กำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ก็ไปช่วยปราศรัยแนวหาเสียง
เพื่อหามวลชนเพิ่ม เพื่อจะได้ชนะเลือกตั้ง
ซึ่งก็ถูกต้องแล้วถ้าทำแบบนี้
ส่วนเวทีไม่หาเสียง ตอนนี้ก็คงเป็นเวทีราษฎร
ที่รวมสารพัดแดงเข้าด้วยกัน ก็เน้นด่าเอามัน
ด่ากวนบาทา หรือหาบาทาอะไรก็ไม่เห็นแปลกอะไร
ในเมื่อไม่ใช่เวทีหาเสียง บนเวทีอาจมีทั้งคนพูดจาดี
หรือพูดขวานผ่าซากหรือด่าเอามันอย่างเดียว
ก็แล้วแต่ละบุลคลิกของนักปราศรัยแต่ละคน
ไม่ควรไปกำหนดให้คนที่มีบุคคลิกอีกแบบ
มาพูดอีกแบบที่ไม่ใช่สไตล์เขา
เพราะบางครั้งคนที่ชอบไปกำหนดให้พูดแบบนั้นแบบนี้
ออกมาสู้หลังที่พวกนักพูดเหล่านี้ พูดบนเวทีแบบนี้
จากคนไม่กี่สิบคนจนมีคนเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเหมือนปัจจุบัน
แล้วจู่ๆ จะไปห้ามคนที่เขาสู้มาก่อนให้เรียบร้อยทำไมกัน
ชาวบ้านเขาไปร่วมชุมนุม เวทีนี้ก็ไม่ได้หวัง
จะไปเลือกคนที่ปราศรัยให้เป็น ส.ส. อะไร
บางทีก็ไปฟังเอามัน บางคนก็ไปจับกลุ่มคุยกันเป็นเพื่อน
แถวๆ ใกล้เวทีก็มี คืออย่างน้อยก็ไปช่วยแสดงพลัง
ยิ่งช่วงพีคทุ่มสองทุ่มกว่าๆ แค่ไปช่วยแสดงพลังก็พอแล้ว
หลังจากนั้นจะกลับก็ไม่แปลกเพราะได้ภาพการแสดงพลังมาแล้ว
ไม่จำเป็นต้องอยู่จนเลิกก็ได้เพราะไม่ใช่ช่วงการต่อสู้อะไร
แต่ถ้าใครว่างกลับช้าหน่อยเพื่ออยู่จนใกล้เลิกหรือจนเลิกก็ยิ่งดี
จะว่าไปแล้ววันนี้แทบไม่ต้องปราศรัยกันแล้วก็ได้ ไม่มีเวทีเลยก็ยังได้
แต่มีเผื่อคนที่ชอบฟังปราศรัยชอบความมันมาปลดปล่อยอารมณ์อะไร
ส่วนคนที่ไปก็ไปช่วยแสดงพลัง ไปให้กำลังใจ
แล้วอาจจับกลุ่มคุยกันเองก็ยังได้ไม่เห็นแปลก
ดังนั้น ผมไม่เห็นว่าการปราศรัยบนเวทีราษฎร
หรือเวทีที่ไม่เน้นการหาเสียง จะต้องเป็นนักพูดจา
มีหลักการ เรียบร้อย หมดทุกคน อาจมีบางคน
พูดแนวหลักการก็ว่ากันไป บางคนชอบแนวด่าเอามันก็ว่ากันไป
สไตล์ใครสไตล์มัน ก็เหมือนกับการโพสแสดงความเห็น
ของแต่ละคนในเว็บนี้หรือเว็บบอร์ดต่างๆ
ก็สไตล์ใครสไตล์มันตามแต่ละคนถนัด
บางคนเล่นใต้ดินด่าไม่ยั้งก็ยังมี บางคนก็สไตล์ผู้ดีเก่า
แต่บางคนก็สไตล์ชาวบ้านชาวบ้าน ก็อ่านก็ฟังกันไป
ชอบก็ฟังไม่ชอบก็ไม่จำเป็นต้องทนฟังหรืออ่าน
ก็เดินไปหาอะไรกินหรือเดินวนเล่นรอบๆ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ได้
อย่างที่บอก ไม่จำเป็นต้องมีเวทีปราศรัยเลยก็ยังได้
แถมคนที่พูดบนเวที ก็ไม่ใช่แกนนำ
ก็ถือเป็นนักพูดคนหนึ่งที่กล้าไปแสดงความบนเวทีเท่านั้นเอง
ถ้าต้องบังคับให้เวทีไม่หาเสียง เหมือนเวทีหาเสียงทุกอย่าง
แล้วจะมีเวทีไม่หาเสียงไปทำไมกัน ก็มีแบบเดียวไปเลย
แต่เมื่อมันมี 2 แบบมันก็ต้องไม่เหมือนกันหน่ะถูกต้องแล้ว
อันที่จริงแล้ว การที่คนเป็นเสรีชนกันแล้ว
จะสามารถไปฟังเวทีนั้นเวทีนี้ ตามแต่สะดวกที่จะไปได้ตามใจตนเอง
แถมวันนี้แทบทุกคนก็อ่านก็ฟังกันจนข้อมูลแทบล้นสมองกันอยู่แล้ว
การไปร่วมชุมนุมบางกรณีเช่นกรณีเวทีเล็กนี้
ก็เหมือนกับการไปร่วมแสดงพลังมากกว่าตั้งใจไปฟังใครปราศรัยเป็นพิเศษ
หรือไปเชียร์ใครเป็นการส่วนตัว ซึ่งแบบนั้นมันจะไม่มีผลดีในระยะยาว
เหมือนที่กำลังเกิดให้เห็นเป็นตัวอย่างในวันนี้
คือ พอแกนนำที่ชอบไม่สามารถออกมานำหรือเคลื่อนไหวอะไรได้มาก
เพราะแค่ขึ้นไปสูดอากาศบนเวทีก็ยังผิดกันเลยสำหรับเมืองไทย พ.ศ. นี้
มวลชนที่เป็นกองเชียร์จำนวนมากไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัด
เคลื่อนไหวอะไรได้ด้วยตนเองเลย แบบนี้ไม่มีประโยชน์จริงๆ
เพราะว่าเขาใช้วิธีสกัดแกนนำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ทุกวิถีทาง
ทุกอย่างก็จบกัน
ส่วนกรณีปัจจุบันที่เพื่อไทยแยกเวทีหาเสียงออกไป
แล้วห้ามแกนนำที่พรรคส่งลงสมัครขึ้นเวทีเสื้อแดง
ก็เหมือนกับเขาแยกเวทีเสื้อแดง ให้เป็นอีกเวทีหนึ่งแล้ว
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปทำแนวหาเสียงตามเวทีหาเสียงของพรรคเพื่อไทยเลย
เวทีของเสื้อแดงควรจะยึดแนวการต่อสู้เพื่อให้ชนะนอกสภาเป็นหลัก
ไม่ควรไปยึดหามวลชนมากๆ หลายสิบล้าน
เพราะนั่นเป็นงานของพรรคการเมืองที่จะต้องไปทำ
แค่ไปชวนคนที่เป็นมวลชนของพรรคกล้ามาร่วมชุมนุมด้วยก็พอ
ไม่ใช่ไปทำอะไรแข่งกับพรรค เพราะการหามวลชนที่ดีที่สุด
ก็คือหามวลชนแบบพรรคการเมืองคือมีนโยบายหาเสียง
จะทำนั่นจะทำนี่ให้ เดี๋ยวก็ได้มวลชนหลายล้านไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ที่ยากคือทำยังไงให้ออกมาร่วมชุมนุม
ซึ่งคนนั้นก็ต้องมีใจด้วยและกล้าเพิ่มกว่ามวลชนปกติ
ที่กล้าไปลงคะแนนเท่านั้น
ซึ่งเรื่องนี้ต่างหากที่เป็นงานของม็อบเสื้อแดงจริงๆ
ดังนั้นไม่ต้องไปตั้งเป้าหามวลชนหลายล้านเพราะมีอยู่แล้ว
คือฐานเสียงพรรคเพื่อไทย แค่ทำยังไงให้ออกมาร่วมชุมนุม
ร่วมเคลื่อนไหวด้วยกันก็พอแล้ว
แต่ถ้าพาออกมาชุมนุมเคลื่อนไหว
มาฟังปราศรัยแล้วกลับกันอย่างเดียว
ก็จะเหมือนกับเวทีหาเสียงพรรคเพื่อไทยตามปกติ
ซึ่งก็จะซ้ำซ้อน แต่การที่มีข้อเรียกร้องแรง
ซึ่งเวทีหาเสียงตามปกติเดิมไม่กล้าทำ
แล้วแค่มีคนมาร่วมแค่เนี้ยะ
โดยไม่จำเป็นต้องมีเวทีหาเสียงใดๆ เลยด้วยซ้ำ
นี่ก็ถือว่าทำให้คนกล้ามากขึ้น
เป็นมวลชนที่พัฒนาจากมวลชนพรรคการเมืองตามปกติ
ดังนั้นแนวทางต้องชัดเจนไม่ควรว๊อกแว๊ก
หรือคิดไปหลอกหวังดึงออกมาก่อน
เพราะจะเท่ากับเป็นการหลอกตัวเองไปในตัว
ทำให้การประเมินกำลังผิดพลาดตามไปด้วย
สุดท้ายนี้ อยากจะเตือนพรรคเพื่อไทยอีกครั้งว่า
ม็อบเสื้อแดงคือเกราะหรือกันชนให้พรรค
วันไหนทิ้งม็อบนี้จริงๆ
ก็เหมือนกับทิ้งเกราะหรือกันชนไปดีๆ นี่เอง
โดย มาหาอะไร
FfF
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.