บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


12 เมษายน 2554

<<< ถ้าวันหนึ่งเสรีต้องตัดสินใจเลือก ระหว่างรับใช้ทักษิณกับรับใช้เปรม คุณว่าเสรีจะเลือกใคร >>>

อันนี้เราสมมุติเล่นๆ แต่มันเป็นเรื่องจริงแน่นอน
เพราะเปรมกับทักษิณคงกินเกาหลากันแน่นอน
แล้วเสรีพิสุทธิ์ ขอเรียกชื่อเก่าว่าเสรีแล้วกัน
เขาจะตัดสินใจเลือกทำงานทั้งที่แจ้งและที่ลับให้กับฝ่ายไหน

ความสัมพันธ์ระหว่างเปรมกับเสรี
นปก.บุกบ้านสี่เสา เสรีปราบ
แล้วได้เป็น ผบ.ตร. ในเวลาต่อมา
โดยการหนุนผ่านสุรยุทธ์
หรือสุรยุทธ์ลูกป๋าหนุนก็ได้

ความสัมพันธ์ระหว่างเสรีกับทักษิณ
ม็อบที่ทักษิณหนุนและพรรคที่ทักษิณหนุน
เสรีจัดการม็อบบุกบ้านสี่เสาพร้อมฟ้องแกนนำ
พรรคที่ทักษิณหนุนปลดเสรีสมัยนายกสมัคร
พร้อมถูกยัดข้อหาหนัก 3-4 ข้อหา
พร้อมการกล่าวคำอาฆาตเอาไว้แบบนี้

"สุดท้ายดาบนั้นจะคืนสนอง ใครที่ทำกรรมกับผมไว้
ก็จะต้องได้รับกรรมนั้นร้อยเท่าทวีคูณ ผมเป็นนักต่อสู้
ต่อสู้เรื่อยไป ผมไม่เคยทราบล่วงหน้าว่า
นายสมัครจะมีสภาพอย่างทุกวันนี้"
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว

และบทวิเคราะห์จากสื่อตรงข้ามหลายสื่อระบุว่า
เป็นการเอาคืนแก้แค้นแทนม็อบ นปก.
ที่โดนเล่นงานในช่วงก่อนหน้านี้
ตามข่าวด้านล่างชื่อเรื่อง
ปรากฏการณ์ "พล.อ.เสรีพิสุทธิ์" : สมรภูมิ "สมัคร" ปะทะ "พล.อ.เปรม" !!!???

แล้วถ้าวันหนึ่งเสรีต้องเลือกข้าง
ระหว่างทำงานรับใช้ทักษิณกับรับใช้เปรม
คิดว่าเสรีเขาจะเลือกข้างไหน
ดูจากความสัมพันธ์ในอดีตที่กล่าวมา

ส่วนกรณีโดนกลั่นแกล้งค้นรีสอร์ทเมืองกาญจน์ฯ
ที่เกิดขึ้นในรัฐบาลนี้เพราะไปฟ้องอะไรในกรมตำรวจ
เลยโดนพวกเดียวกันงัดมาเล่น
ซึ่งเรื่องนี้เสรีก็ระบุไว้ชัดตอนแก้ข้อกล่าวหาทำนองว่า
โดนสมัครสั่งตรวจสอบมาก่อนหน้านี้แล้ว

ปล. บางคนคิดที่จะผลักมิตรที่เคยร่วมสู้
มาตั้งแต่ตนเองยังไม่คิดจะสู้เพียงเพราะ
ไม่สนองตอบแถมยังวิพากวิจารณ์แนวทางที่ทำ
แล้วไปชูอดีตคู่อริว่าดีกว่าเพราะยอมมาสวามิภักดิ์
หรือมาพูดเอาใจพูดหวานๆ ใส่หรือให้ความหวัง
จนลืมอดีต เป็นสิ่งที่คิดว่าตัดสินเลือกได้ถูกต้องดีแล้ว
แต่ผมกับเห็นว่า วิธีคิดแบบนี้น่าสังเวชใจ
ที่พูดนี่เป็นการเตือนก่อนล่วงหน้า
ผมไม่ชอบแบบว่าหวยออกแล้วค่อยมาบอก
วันไหนโดนหักหลังมาอย่าไปโทษใครเลย
และผมจะเก็บบันทึกนี้เอาไว้
เพื่อนำมาให้อ่านอีกรอบในวันนั้น

โดย มาหาอะไร

--------------------------------------------------------------------------

เหตุการณ์ชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

การปะทะกันของทั้ง 2 ฝ่าย
เหตุการณ์ชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โดยแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) 15 คน และกลุ่มผู้ชุมนุม จำนวน 20,000 คน เคลื่อนขบวนจากท้องสนามหลวง ไปปิดล้อมบริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ บ้านพักรับรองสำหรับผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพบกไทย ซึ่ง พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ใช้พักอาศัยในกรุงเทพมหานคร เพื่อกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมเชื่อว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารในประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
ระหว่างเส้นทางการเคลื่อนขบวน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านสกัดในหลายจุด โดยใช้แผงเหล็กวางกั้น และจอดรถบรรทุกของกรุงเทพมหานครขวางถนน แต่กลุ่มผู้ชุมนุมก็ฝ่าผ่านไปได้[1] เมื่อขบวนเคลื่อนไปถึงหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ แกนนำ นปก.ใช้เครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่บนรถบรรทุก ปราศรัยโจมตีผู้เกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหารทั้งหมด ในขณะที่ผู้ชุมนุมกำลังอยู่ระหว่างพักรับประทานอาหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามฝ่าฝูงชนเข้าไปจับตัวแกนนำ แต่ไม่สำเร็จ และถูกกลุ่มผู้ชุมนุมผลักดัน จนต้องล่าถอยออกไป
สักครู่ใหญ่ เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับมาอีกครั้ง พร้อมสเปรย์พริกไทย เพื่อเปิดทางเข้าไปจับตัวแกนนำบนรถปราศรัย แต่ก็ถูกผู้ชุมนุมผลักดันออกไปได้อีกครั้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจล่าถอยไปได้ไม่นาน ก็กลับมาพร้อมกับการยิงแก๊สน้ำตา จนทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมแตกฮือ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถสลายกลุ่มผู้ชุมนุมได้ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องล่าถอยออกไปอีก และกลับมาระดมยิงแก๊สน้ำตาอีกชุดใหญ่ พร้อมกับเสริมกำลังเข้ามามากขึ้น ทำให้สถานการณ์ตึงเครียด เพราะมีการตอบโต้จากฝ่ายผู้ชุมนุม หลายคนหยิบฉวยอะไรได้ ก็นำขึ้นมาใช้ตอบโต้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นท่อนไม้ คันธง ขวดน้ำ อิฐตัวหนอนปูถนน แผงเหล็กกั้น และอุปกรณ์อื่นๆ รวมถึงการขับรถพุ่งเข้าชน[2]โดยภายหลังจับกุมตัวได้ ทราบชื่อคือนายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล แกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006[3]
เมื่อไม่สามารถต้านทานกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ระดมกันมาได้ แกนนำจึงพากลุ่มผู้ชุมนุมถอยออกจากหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อกลับไปยังท้องสนามหลวงตามเดิม ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้มีผู้บาดเจ็บ ทั้งในส่วนของผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถึงแม้จะไม่มีผู้สูญเสียชีวิตหรืออวัยวะจากการสลายการชุมนุม แต่เหตุการณ์ดังกล่าว ก็ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินต่างๆ ในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม อาทิ ป้อมยามตำรวจ, ร้านค้าสมาคมแม่บ้านทหารบก และมูลนิธิพระดาบส ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
ต่อมาในวันรุ่งขึ้น (23 กรกฎาคม) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาซ่องสุมเกินกว่า 10 คน ต่อแกนนำ นปก.[4] แกนนำทั้งหมดประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์, นายจตุพร พรหมพันธ์, นายจักรภพ เพ็ญแข, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายแพทย์เหวง โตจิราการ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย, พ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย, นายจรัล ดิษฐาอภิชัย, นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ จึงได้ติดต่อขอเข้ามอบตัว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวไว้ทั้งหมด ทั้งนี้ แกนนำทุกคนไม่ได้ยื่นขอประกันตัวแต่อย่างใด และหลังจากนั้น นปก.ก็แต่งตั้งแกนนำรุ่น 2 ขึ้นมาทำหน้าที่แทน
คณะทำงานอัยการได้พิจารณาสำนวนคดีและสั่งไม่ฟ้องแกนนำ นปช. เนื่องจากมีการยื่นหลักฐาน เอกสารร้องขอความเป็นธรรม ที่ผู้ต้องหายื่นเข้ามาให้อัยการพิจารณา ประกอบกับความเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช.ยังไม่ถึงขั้นก่อความวุ่นวาย จึงถือว่าเป็นสิทธิเพื่อเรียกร้องตามรัฐธรรมนูญ จึงมีคำสั่งไม่ฟ้อง และส่งเรื่องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพิจารณาแล้ว แต่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งให้ฟ้องผู้ต้องหา และส่งความเห็นแย้งให้นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด พิจารณาชี้ขาด โดยอัยการสูงสุด มีความเห็นชี้ขาดสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และข้อหาอื่น ตามความเห็นแย้งของ ผบ.ตร. [5]
พนักงานสอบสวนมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องแกนนำ นปช.10 คน ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก และร่วมกันเดินแถว เดินเป็นขบวนใดๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจร และร่วมกันกระทำการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานประกอบด้วย
นายวีระ มุสิกพงศ์
นายจตุพร พรหมพันธุ์
นายจักรภพ เพ็ญแข
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย
นพ.เหวง โตจิราการ
พ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย
นายจรัล ดิษฐาอภิชัย
นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ
นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล
และส่งฟ้องผู้ร่วมชุมนุมก่อความวุ่นวายอีก 5 คน ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ประกอบด้วย
นายบรรจง สมคำ
หม่อมหลวงวีระยุทธ เสนีวงศ์
นายศราวุธ หลงเส็ง
นายวีระศักดิ์ เหมธุริน
นายวันชัย นาพุทธา [6]

http://th.wikipedia.org/wiki/เหตุการณ์ชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์_22_กรกฎาคม_พ.ศ._2550

--------------------------------------------------------------------------

ม็อบสงบให้กำลังใจเสรีพิศุทธ์หนุนจับม็อบนปก.

เมื่อเวลา 14.30 น.นายอนุรักษ์ ผ่องเอก แกนนำกลุ่มคนรักสามัคคี ถวายชีวีเพื่อในหลวง นายอธิวัฒน์ บุญชาติ แกนนำเครื่อข่ายนักศึกษาประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายอิฐทิ ขวัญอุดมพร แกนนำภาคีมวลชนคนโคราชรักษ์ประชาธิปไตย ได้นำสมาชิกประมาณ 20 คน มายื่นหนังสือให้กำลังใจ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รรท.ผบ.ตร. และตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในการเข้าสลายกลุ่มผู้ชุมุนม และดำเนินคดีกับ 9 แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ(นปก.) โดยมี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มารับหนังสือดังกล่าวด้วยตนเองพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ขอบคุณประชาชนที่เข้าใจการทำงานของตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เพราะตำรวจไม่ได้มีการแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย การชุมนุมแสดงความคิดเห็นนั้นเป็นสิทธิที่ประชาชนจะทำได้แต่ต้องกระทำด้วยความสงบ ไม่สร้างปัญหา การเข้าจับกุมและดำเนินคดีกับแกนนำ นปก. นั้นเนื่องจากเป็นการชุมนุมเกินขอบเขตและผิดกฎหมาย ขอให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของตำรวจด้านนายอธิวัฒน์ กล่าวว่า ที่เดินทางมาให้กำลังใจ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เพราะเห็นว่าการตัดสินใจของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่สลายการชุมนุมของ นปก. เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม และดำเนินคดีกับแกนนำทั้ง 9 คน เป็นกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงขอสนับสนุนการทำงานของตำรวจให้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชน พร้อมทั้งให้ดำเนินการตามกฎหมายกับ นปก. รุ่น 2 ที่กำลังจะสร้างความวุ่นวายทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด

ข้อมูลจาก เดลินิวส์
http://www.thaigood.com/news-3-ม็อบสงบให้กำลังใจเสรีพิศุทธ์หนุนจับม็อบนปก-4398.html

--------------------------------------------------------------------------

"เสรีพิศุทธ์"เรียกถกนครบาล เร่งออกหมายจับแกนนำนปก.
แหล่งที่มา : คม ชัด ลึก 2007-07-23 09:44:37

รักษาการผบ.ตร. เรียกประชุมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นครบาล เร่งออกหมายจับแกนนำนปก. โฆษก คมช.ระบุ ผบช.น.ใช้ดุลพินิจตัดสินใจสลายม็อบเหมาะสมแล้ว
(23กค.) พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผบช.น.ได้เรียกประชุมรอง ผบช.น.และมอบให้ พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น.ฝ่ายสอบสวน เป็นหัวหน้าชุดควบคุมสำนวนเสนอการอนุมัติออกหมายจับแกนนำนปก.ที่เหลือให้รวดเร็วที่สุด ซึ่งจะให้ทันภายในวันนี้หรืออย่างช้าวันพรุ่งนี้(24กค.) อย่างไรก็ตามวันนี้เวลา 08.00 น. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการ ผบ.ตร. ได้ร่วมประชุมที่บช.น.เพื่อประเมินสถานการณ์สลายการชุมนุมเมื่อคืนที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ ผบก.น.1 เปิดเผยว่า วันนี้ยังวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 กองร้อยหรือประมาณ 300 นาย ให้อยู่ในฐานที่ตั้ง เพื่อคอยออกมาสมทบกำลัง
สำหรับบรรยากาศบริเวณบ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งเป็นบ้านพักพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ภายหลังจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ(นปก.) ได้เคลื่อนขบวนกดดันพล.อ.เปรม ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรีเมื่อวานนี้ (22กค.) โดยในช่วงเช้าวันนี้ การวางกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังเข้มงวด โดยเฉพาะจุดตรวจร่วมที่เป็นความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจและเทศกิจ ที่ยังคงตรวจตรารักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบบ้านสี่เสาเทเวศร์
ทั้งนี้แผงเหล็กและสิ่งของต่างๆ ที่กองเกลื่อนอยู่บนถนน เจ้าหน้าที่เทศกิจได้เก็บกวาด รวมถึงมีเจ้าหน้าที่ทหารที่คอยตรวจตราความเสียหายของสโมสรกองทัพบก
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รองผบ.ตร. เปิดเผยว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียะเวช รักษาการผบ.ตร. พล.ต.ท.อดิศร นนทรี ผบช.น.และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนาย ได้ประชุมที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อเร่งออกหมายจับแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จหรือนปก. ที่ปลุกระดมประชาชนออกมาสร้างความวุ่นวาย เคลื่อนขบวนมาปิดล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จนเกิดการกระทบกระทั่งและนำไปสู่การสลายการชุมนุม ทั้งนี้การประชุมจะประเมินสถานการณ์การชุมนุมของนปก. ตลอดคืนที่ผ่านมาและการเตรียมพร้อมรักษาความปลอดภัยการชุมนุมช่วงเย็นวันนี้
สำหรับแนวร่วม 6 คน ที่ตำรวจควบคุมตัวได้นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของตำรวจก่อนดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป
ด้านพ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงเหตุการณ์ชุมนุมของม็อบนปก.วานนี้ว่า ขณะนี้การตั้งข้อหาแกนนำที่ถูกจับกุมได้คือซ่องสุ่มเกินกว่า 10 คนและจะขยายผลจากพยานหลักฐานซึ่งจะขอความร่วมมือจากสื่อที่ได้บันทึกเหตุการณ์การชุมนุมไว้เพื่อหาคนผิดต่อไปซึ่งขณะนี้ได้รวบรวมหลักฐานและขออนุมัติศาลเพื่อออกหมายจับต่อไป
อย่างไรก็ตามในการชุมนุมเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามต่อรองใช้ความละมุนละม่อมเพื่อไม่ให้การชุมนุมใช้ความรุนแรง ทั้งนี้ในวันนี้ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกสถานีดูแลสถานที่ราชการและพื้นที่ต้องห้าม เพื่อป้องกันสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วย
ด้านพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก คมช. กล่าวว่า การตัดสินใจสลายการชุมนุมของพล.ต.ท.อดิศรนนทรีย์ ผบช.น.เหมาะสม เนื่องจากที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จะใช้วิธีการเจรจาอย่างสันติวิธีโดยตลอด แต่เนื่องจากครั้งนี้ไม่เป็นผลเนื่องจากผู้ชุมนุมที่ท้องสนามหลวง ซึ่งเคลื่อนขบวนผ่านสะพานมัฆวานรังสรรค์ ไปบ้านสี่เสาเทเวศร์ของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไม่ยอมรับการเจรจาและยืนยันจะปักหลักชุมนุมโดยไม่มีกำหนด หากไม่ได้รับคำตอบที่พึงพอใจ ซึ่งหากปล่อยไปก็จะเกิดปัญหาและส่งผลให้เกิดความวุ่นวายในอนาคตได้
ส่วนการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ซึ่งเป็นการประชุมทุกวันจันทร์ ในเวลา 13.00 น. น่าจะมีการหยิบยกประเด็นนี้เข้าหารือด้วยพร้อมยืนยันเจ้าหน้าที่ยังคงใช้วิธีการเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมเสมอ แต่หากกลุ่มผู้ชุมนุมสร้างความวุ่นวายตามอำเภอใจ เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต โดยไม่ใช้อารมณ์เป็นเครื่องตัดสินปัญหาแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 06.00 น.วันนี้ หลังจากกลุ่มแกนนำนปก.และกลุ่มผู้ชุมนุม ได้เดินทางมาถึงท้องสนามหลวงแล้ว แกนนำนปก. ก็ได้ขึ้นเวทีปราศรัยอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นทั้งแกนนำ นปก. และกลุ่มผู้ชุมนุมต่างร้องเพลง เปิดเพลงเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งเวลา 06.00 น.กลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณท้องสนามหลวง พร้อมทั้งแกนนำประมาณ 1,000 คนได้ทำการสลายตัวแยกย้ายกันกลับบ้านจนหมด

http://news.mediathai.net/detail_news.php?newsid=18010

--------------------------------------------------------------------------

“เสรีพิศุทธ์” ไฟเขียวลุยม็อบ! สั่งห้ามประกัน 6 ตัวป่วน
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 23 กรกฎาคม 2550 14:24 น.

รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ชี้แจงการเข้าสลายการชุมนุมของม็อบหน้าบ้านป๋า ลั่น หากละเมิดกฏหมายมากเกินไป ก็ต้องลุยกันไปข้าง แม้แต่ตนเองยังได้รับบาดเจ็บที่หัว พร้อมสั่งห้ามให้ประกัน 6 แกนนำที่ถูกจับกุมตัวไปก่อนหน้านี้ ย้ำตอ่ไป ห้ามออกนอกสนามหลวง

วันนี้ (23 ก.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีตำรวจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ที่ปักหลักชุมนุมประท้วงหน้าบ้านพักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และดำเนินคดีกับกลุ่มแกนนำว่า ตำรวจจำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฎหมายจะปล่อยให้มีการสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายไม่ได้ ที่ผ่านมาตำรวจพยายามอดทนอดกลั้น ยอมผ่อนปรนกันมาโดยตลอด หากมีการละเมิดกฎหมายมากเกินไปก็ต้องดำเนินคดีกันทั้งหมด ตั้งแต่กลุ่มแกนนำรวมถึงผู้ที่ก่อความรุนแรง และทำผิดกฎหมายตามที่ปรากฏอยู่ในภาพ

“ตำรวจจำเป็นต้องใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม เนื่องจากที่มีการใช้ความรุนแรงทำร้ายเจ้าหน้าที่ ทำลายรถ มีการยึดรถเมล์มาขวางถนน ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้ ส่วนกรณีที่ตำรวจต้องใช้ความพยายาม 4-5 ครั้ง ในการเข้าควบคุมตัวกลุ่มแกนนำ นั้นไม่ได้เกิดจากความผิดพลาด แต่ตำรวจไม่อยากมีปัญหากับพี่น้องประชาชน แต่เมื่อพูดคุยกันแล้วไม่ รู้เรื่อง เคยเชิญแกนนำมาพบก็ไม่มา จึงต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งเหตุการณ์เมื่อวาน ตำรวจทำตามหน้าที่ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ที่ให้อำนาจ ซึ่งจากเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นมีตำรวจได้รับบาดเจ็บกว่า 200 นาย รวมถึงผมเองที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะด้วย” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า วันนี้พนักงานสอบสวนจะได้ไปขออนุมัติหมายจับจากศาล โดยตั้งข้อหาร่วมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปชุมนุมกันก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย ล้มล้างรัฐบาล ต่อสู้ขัดขวางทำร้ายจ้าพนักงาน ทำให้เสียทรัพย์ ดูหมิ่นเจ้าพนักงานและ หมิ่นประมาท สำหรับกลุ่มแกนนำ 6 คน ที่ถูกควบคุมตัวเมื่อคืนที่ผ่านมา ตนได้สั่งห้ามไม่ให้มีการประกันตัวโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ สำหรับเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นมีตัวก่อการที่เป็นตัวหลักอยู่กว่า 10 คน แต่มีผู้ร่วมขบวนการอีกกลายร้อยคน ชาวบ้านที่ยืนดูเหตุการณ์ อีกส่วนหนึ่งซึ่งตำรวจมีการบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ เมื่อดูภาพก็จะรู้หมดว่ามีใครบ้าง

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่อไปนี้จะอนุญาตให้กลุ่มผู้ชุมนุม ชุมนุมได้เฉพาะในพื้นที่ท้องสนามหลวง และจะไม่ให้มีการเคลื่อนขบวนออกมา จากพื้นที่ดังกล่าวโดยเด็ดขาด หากยังฝ่าฝืนเคลื่อนออกมาจะใช้กฎหมายเข้าจัดการอย่างเด็ดขาด เนื่องจากที่ผ่านมามีการก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย กับประชาชน ส่วนเรื่องการปรับการทำงาน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมสั่งการให้มีการปรับการทำงาน ซึ่งก็มีการปรับกันทุกวันอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมาตำรวจได้มีการประเมินกลุ่มม็อบอย่างไร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เขาอยากจะเคลื่อนเขาก็เคลื่อน เขาอยากจะคิดเขาก็คิด แต่สำหรับตนใครอยากลองดีก็เอา ก็ว่ากันไป ต้องรู้การบ้างว่าอะไรคืออะไร ตนไม่ยอม เมื่อไม่ยอมก็ไม่ยอม ตนจะดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็ลุยกัน

เมื่อถามว่าจะมีการตั้งหน่วยปฏิบัติการขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะหรือไม่ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ก็มีอยู่แล้ว ซึ่งตนได้ให้พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ประจำตร.ทำหน้าที่รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง เข้าไปกำกับดูแลแทน ซึ่งบางครั้งตนต้องไปดูแลเข้าไปดูแลด้วยตนเอง

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9500000085724

--------------------------------------------------------------------------

“เสรีพิศุทธ์” ลั่นไม่ให้ประกัน 9 หัวโจก แกนนำม็อบเถื่อน
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 27 กรกฎาคม 2550 08:45 น.

“เสรีพิศุทธ์” ระบุพนักงานสอบสวนคัดค้านประกันตัว 9 หัวโจก แกนนำม็อบบุกบ้านป๋า และหากควบคุมตัวครบ 2 วันแล้วยังสอบไม่เสร็จจะยื่นต่อศาลเพื่อขอรับตัวมาสอบต่อที่โรงพัก หรืออาจส่งตัวเข้าเรือนจำ พร้อมขู่เอาจริง ม็อบพีทีวีหรือ นปก.ที่ยังก่อความวุ่นวายไม่เลิก

เมื่อวันที่ 26 ก.ค. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์กรณีพนักงานสอบสวนได้ยื่นต่อศาลเพื่อควบคุมตัวแกนนำ นปก.ทั้ง 9 คนว่า หากครบกำหนด 2 วันแล้วพนักงานสอบสวนยังสอบไม่เสร็จก็จะยื่นต่อศาล เพื่อขอนำตัวผู้ต้องหามาสอบสวนผลัดแรก 12 วัน โดยจะคัดค้านการประกันตัว หรือขอส่งเข้าเรือนจำไปเลย ทั้งนี้ หากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น พนักงานสอบสวนก็สามารถยื่นฝากขังได้อีก อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนจะเร่งสอบสวนโดยเร็ว ไม่ยืดเยื้อ เพื่อพิสูจน์ความจริงให้ประชาชนทราบ

เมื่อถามว่า ทำไมมีการเปลี่ยนแปลงกรณีที่ศาลไกล่เกลี่ยมามอบตัว แต่ต้อนหลังยอมอนุมัติให้คุมตัว รักษาราชการแทน ผบ.ตร.กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไปถามศาล แต่ศาลคงพิจารณาตามหลักฐานต่างๆ ว่าต้องคุมตัวไว้ ส่วนกรณีที่มีม็อบสนับสนุน นปก.ไปกดดันหน้า สน.สามเสน ก็คงไม่มีอะไร และได้สั่งการให้ดำเนินการให้เรียบร้อย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกลุ่มผู้ชุมนุมวิจารณ์ว่าตำรวจใช้มาตรการเด็ดขาด โดยไม่มีการพิจารณานั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ไม่มีอะไร การกระทำทุกอย่างถ้าละเมิดกฎหมายก็ถือว่าเป็นความผิด และสิ่งต่างๆ ที่ผู้ต้องหากระทำมาก็ถือว่ามีความผิดหมดแล้ว ส่วนข้อกล่าวหาที่ตำรวจแจ้งดำเนินคดีก็ชัดเจน เพราะถ้าไม่มีความผิด ตำรวจก็คงจับไม่ได้ ไม่อย่างนั้นศาลจะพิจารณาให้ควบคุมตัวได้อย่างไร ซึ่งการใช้อำนาจของศาลนั้นถูกต้องแล้ว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ 9 แกนนำไม่เซ็นรับทราบคำสั่งศาลที่อนุญาตให้ฝากขัง อาจส่งผลต่อคดีว่า เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เพราะมีหลายคดีที่ผู้ต้องหาไม่ยอมเซ็น อย่างไรก็ตาม เราก็ดำเนินคดีไปตามกฎหมาย ขณะนี้มีแกนนำที่ถูกดำเนินคดีข้อหาก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองแล้วทั้งหมด 15 คน เพราะก่อนหน้านี้ได้จับกุมแกนนำไปแล้ว 6 คน ส่วนผู้ชุมนุมบางส่วนที่ไปแจ้งความไว้ที่กองปราบฯ เพื่อให้ดำเนินคดีกับตำรวจข้อหาทำร้ายร่างกายก็จะส่งรายชื่อให้พนักงานสอบสวนทั้งหมด ขณะเดียวกันยังมีรายชื่อผู้ชุมนุมอื่นๆ ที่อาจจะถูกดำเนินคดีข้อหาชุมนุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปเพื่อสร้างความไม่สงบในบ้านเมือง ข้อหาล้มล้างรัฐบาล ข้อหาพยายามต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ข้อหาทำร้ายเจ้าหน้าที่ และทำให้เกิดความเสียหาย เป็นต้น

ส่วนบรรยากาศที่ สน.สามเสน ในเช้าวันนี้ (27 ก.ค.) เริ่มมีประชาชนที่ให้การสนับสนุนแกนนำ นปก.ทยอยเดินทางเข้าเยี่ยม 9 แกนนำ พร้อมกับนำอาหาร ทั้งน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ขนมครก และกาแฟ มาฝากด้วย โดยแกนนำ นปก.ทั้ง 9 คนได้พูดคุยทักทายกับประชาชนที่เดินทางมาเยี่ยมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม โดยแกนนำ นปก.ยังคงยืนยันว่าจะไม่ขอประกันตัว และยินดีที่จะถูกควบคุมตัวในเรือนจำ

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจากองบัญชาการตำรวจนครบาล 150 นาย ได้สลับสับเปลี่ยนกำลังเพื่อดูแลความปลอดภัยโดยรอบ สน. นอกจากนี้ยังมีกำลังตำรวจสายตรวจประมาณ 50 คัน หรือประมาณ 100 คน ได้ออกตระเวนตรวจตราโดยรอบพื้นที่ สน. ตั้งจุดตรวจบริเวณถนนสามเสน และถนนราชวิถี ขณะที่กองทัพสื่อมวลชนก็ได้มาเฝ้าติดตามทำข่าวจำนวนมาก

ส่วนความคืบหน้าในการดำเนินคดีเบื้องต้น ตำรวจได้พิมพ์ลายนิ้วมือของผู้ต้องหาทั้ง 9 คนไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน และมีรายงานว่าผู้ต้องหายอมเซ็นรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น และในช่วงบ่ายวันนี้ตำรวจจะควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งศาลอาญารัชดาฯ เพื่อนำตัวไปฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ต่ออีก 10 วัน

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9500000087769

--------------------------------------------------------------------------

"เสรีพิศุทธ์" ผงาดนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. เต็มตัว

นั่งรักษาการเบอร์ 1 ของสีกากีมากว่า 2 เดือน ในที่สุด เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ผงาดขึ้นเป็น ผบ.ตร. อย่างเต็มภาคภูมิแล้ว หลังจาก "สุรยุทธ์ จุลานนท์" เซ็นคำสั่งให้ "โกวิท วัฒนะ" เป็นที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ ซี 11 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อเปิดทางให้เจ้าของฉายาวีรบุรุษนาแกขึ้นเป็นหัวแถวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะที่ผ่านมาเห็นว่า รักษาการ ผบ.ตร. ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ เลื่อนตำแหน่งได้เลยโดยไม่ต้องผ่านที่ประชุม ก.ตร. ส่วน "บิ๊กโก" พ้อ การรับราชการก็เป็นอย่างนี้ ใครมีอำนาจก็ว่ากันไป แต่ยืนยัน ไม่เออร์ลี่รีไทร์ชัวร์ ขณะที่ "บิ๊กตู่" ถ่อมตัวว่า ยังไม่รู้นายกฯจะแต่งตั้งใครเป็น ผบ.ตร.

ผู้สื่อข่าวรายงานมาเมื่อวันที่ 24 เม.ย. ว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 122/ 2550 แต่งตั้งให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ระดับ 11 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย. 2550 เป็นต้นไป โดยคำสั่งดังกล่าวได้นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันเดียวกันนี้ และ ครม. มีมติเห็นชอบตามที่มีการเสนอมา จากคำสั่งดังกล่าวมีผลทำให้ตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร. ว่างลงทันที จึงคาดหมายว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการ ผบ.ตร. น่าจะถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. แทนในเร็ว ๆ นี้

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร. ย้ายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยสาเหตุที่ย้าย พล.ต.อ.โกวิท รัฐบาลให้เหตุผลว่า เป็นเรื่องของความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นผลของการหารือร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)

อย่างไรก็ตาม สำหรับตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร. ที่ปัจจุบัน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาราชการแทนอยู่นั้น ตำแหน่ง ผบ.ตร.ที่ว่างลง จะถูกนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ตช. เพื่อเสนอชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. คนต่อไป ให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ที่มี พล.อ.สุรยุทธ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ประชุมพิจารณาแต่งตั้ง โดยเป็นที่คาดหมายกันว่า ผู้ที่ถูกเสนอชื่อคงไม่พ้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ชนิดไร้คู่แข่ง และที่ประชุม ก.ตร.คงมีมติแต่งตั้งให้เป็น ผบ.ตร. อย่างแน่นอน

ในตอนเย็นวันเดียวกัน พล.อ.สุรยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.อ.โกวิท เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ว่า ก็เท่ากับเป็นการแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ขึ้นมารับตำแหน่ง ผบ.ตร. อย่างเต็มตัว เพราะช่วงเดือนเม.ย.นี้ เป็นช่วงที่จะต้องมีการปรับย้าย เมื่อถามว่าไม่จำเป็นต้องเข้าที่ประชุมก.ตร.อีกแล้วใช่หรือไม่สำหรับตำแหน่งของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ต้องแล้ว

ต่อข้อถามว่ามีการประเมินผลการทำงานของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อย่างไรถึงได้ตัดสินใจเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น ผบ.ตร. พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาจะเห็นว่ารักษาการ ผบ.ตร.ได้ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ และห้วงเวลาที่เหลืออยู่นี้ก็มีความสำคัญที่จะต้องร่วมมือกันในทุก ๆ ด้าน ดังนั้นการที่มอบหมายให้รับผิดชอบอย่างเต็มที่นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ ผบ.ตร. ซึ่งคำสั่งโยกย้าย พล.ต.อ.โกวิท จะมีผลทันทีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่ ครม.รับทราบ ส่วนตำแหน่งของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ นั้นจะ ต้องพิจารณาในลำดับต่อไป

เมื่อถามว่าคำสั่งแต่งตั้ง ผบ.ตร.จะทันเดือน เม.ย. หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงต้องดูก่อน เพราะต้องดำเนินการตามขั้นตอน และยืนยันว่าไม่มีแคนดิเดตคนแน่นอน ต่อข้อถามว่าการโยกย้ายพล.ต.อ.โกวิท ครั้งนี้ไม่ต้องผ่านที่ประชุมก.ตช.อย่างนั้นหรือ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ต้องผ่าน เพราะเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่ในฐานะผู้บริหารได้อยู่แล้ว

ส่วน พล.ต.อ.โกวิท ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ยังไม่ทราบคำสั่งของนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการแล้วก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา เพราะเป็นคำสั่งโดยชอบ ต่อไปตนคงต้องไปทำงานที่ คมช.เหมือนเดิม การรับราชการก็เป็นอย่างนี้ ใครมีอำนาจอะไรก็ว่ากันไป ตนคงไม่เป็นไร และยืนยันว่าจะไม่ลาออกก่อนเกษียณแน่นอน

ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ให้สัม ภาษณ์เช่นกันว่า ยังไม่ทราบคำสั่งดังกล่าว เมื่อถามว่า จะมีการแต่งตั้ง ผบ.ตร.เลยหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า แล้วแต่นายกรัฐมนตรีจะพิจารณา เพราะอยู่ในดุลพินิจของท่าน จะตั้งใคร และตั้งเมื่อไหร่ตนไม่แน่ใจ ต่อข้อถามว่า นายกรัฐมนตรีเคยมีการพูดคุยเรื่องจะแต่งตั้งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็น ผบ.ตร. มาก่อนหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอย่างถ่อมตัวว่า ไม่เคยเลย อย่าเพิ่งไปพูดเลยดีกว่า ไม่รู้ว่านายกฯจะแต่งตั้งใครเป็น ผบ.ตร.

ที่มาจากหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์
ประจำวันที่ 25 เมษายน 2550 (ข่าวอาชญากรรม)

http://www.goosiam.com/news/news1/html/0003003.html

--------------------------------------------------------------------------

คำสั่ง"สมัคร"ปลด"เสรีพิศุทธ์"ออกจากราชการพร้อมแจ้ง 3 ข้อหาหนัก
โดยข่าวอาชญากรรมทีม 9 เมษายน 2551 04:24 น

"สมัคร"ออกคำสั่งให้"เสรีพิศุทธ์"ออกจากราชการแล้วพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาทำผืดวินัยร้ายแรง 3 ข้อเรื่องโครงการเช่ารถการใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมสั่งการและออกคำสั่งแต่งตั้งผิดกฎหมาย

วันนี้ (9 เม.ย. ) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งที่ 73/2551 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อนโดบระบุว่าด้วยพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์เตมียาเว สข้าราชการตำรวจประจำการตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรับเงินเดือนระดับส 0.9 ขั้น 10 (66,480 บาท) มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงดังนี้

1. ดำเนินขนาด 1 โครงการเช่ารถยนต์บรรทุกตันแบบดับเบิลแค็บจำนวน 2,894 คันโครงการเช่ารถตู้โดยสาร (เบนซิน) ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) ขนาด 15 ที่นั่งจำนวน 1,447 คันโครงการเช่ารถยนต์บรรทุกอเนกประสงค์ขนาด 3 ตันขนาด 24 ที่นั่งจำนวน 270 คันและรถยนต์บรรทุกขนาด 3 ตันพร้อมติดตั้งอุปกรณ์กวาดเรือใบเครนยกจำนวน 51 คันและโครงการเช่ารถยนต์บรรทุก (ขนาด 1 ตัน) แบบมีช่องว่างด้านหลังคนขับจำนวน 1,555 คันซึ่งใช้งบประมาณรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9899578200 บาทโดยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตและเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ซึ่งทำให้ทางราชการเสียหายตลอดจนเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ บริษัท ผู้ให้เช่ารถยนต์อันถือได้ว่าเป็นการกระทำการ หรือได้ไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรงและเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควร

2 สั่งการโดยใช้ถ้อยคำที่มิบังควรและไม่เหมาะสมในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานในบันทึกของกองสวัสดิการที่เสนอขอให้พิจารณางดการแข่งขันกีฬาภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติประจำปี 2551 ที่จะมีขึ้นวันในระหว่าง ที่ 21-28 มี.ค. 2551 เนื่องจากผู้เสนอเห็นว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าวอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์ตามมติครม. หากจัดการแข่งขันกีฬาภายในจะเป็นการไม่บังควร

3 ดำเนินการบริหารงานบุคคลโดยออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับพันตำรวจเอกตำแหน่งผู้กำกับการฝ่ายปฏิบัติการที่ 1 -- ที่ 10 ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในกองบังคับการต่างๆโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายกฎระเบียบของทางราชการทำให้ ข้าราชการตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่างๆดังกล่าวไม่มีกฎหมายรองรับตำแหน่งจึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในการแบ่งส่วนราชการของกองบังคับการต่างๆและกรณีดังกล่าวเป็นเหตุทำให้ราชการต้องเสียเงินเดือนงบประมาณสำหรับ และเงินประจำตำแหน่งโดยยังไม่มีการดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมายเสียก่อน แต่อย่างใดจนถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีลับมากที่ 34/2551 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 และคำนายกรัฐมนตรีสั่งสำนัก ที่ลับมาก 45/2551 ลงวันที่ 13 มี.ค. 2551 แล้วและมีเหตุให้พักราชการได้ตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. 2547 และข้อ 3 (1) (2) คือถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนในเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าที่ราชการหรือเกี่ยวกับความประพฤติหรือพฤติการณ์อันไม่น่าไว้วางใจหากให้คงอยู่ในหน้าที่ราชการอาจเกิดการเสียหายแก่ราชการแ ละเร็วจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนพิจารณาหรือจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นและได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการสอบสวนพิจารณาที่เป็นเหตุให้สั่งพักราชการนั้นจะไม่แล้วเสร็จโดย

ฉะนั้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 95 แห่ง พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ประกอบกับกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนพ. ศ 2547 ข้อ 8 จึงให้พล. ต.อ. เสรีพิศุทธ์เตมียาเวสออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัยทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้ไปเป็นต้น

อนึ่งผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งนี้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.ตร. ได้ตาม พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 105 และหากประสงค์จะฟ้องโต้แย้งหรือคำสั่ง คำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครองหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังศาลปกครองภายใน 90 วันนับ แต่วันที่ได้รับแจ้งหรือรับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์หรือภายใน 90 วันนับ แต่วันพ้นกำหนด 90 แต่วันนับ วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์

สั่ง ณ วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2551

นายเวชสมัครสุนทร
นายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าในวันที่ 11 เม.ย. นี้นายสมัครสุนทรเวชนายกรัฐมนตรีได้นัดประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช. ) ที่ทำเนียบรัฐบาลโดยคาดว่าจะมีการเสนอวาระพิจารณาแต่งตั้งผ บ.ตร. ขึ้นมาแทน พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์เตมียาเวสด้วย

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000041958

--------------------------------------------------------------------------

"เสรีพิศุทธ์" แฉถูกปล้นตำแหน่ง "ผบ.ตร." (คมชัดลึก)

"เสรีพิศุทธ์" แฉถูกปล้นตำแหน่งผบ.ตร. เตรียมฟ้องกลับขบวนการเลื่อยขาเก้าอี้ พร้อมโต้ข้อกล่าวหาที่ถูกตั้งกก.สอบวินัย บรรดากลุ่มเพื่อนเสรีแห่ให้กำลังใจ ขณะที่อาจารย์หนู กันภัย เกจิชื่อดังแจกตะกรุดให้ผู้เข้าร่วมงาน

(16 มิถุนายน) ที่ห้องโมเน่ ชั้น 4 โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพฯ สยามสแควร์ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงข่าวเปิดใจถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงที่ถูกมรสุมทางการเมืองเล่นงานระหว่างดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. และถูกปลดให้พ้นตำแหน่งในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมข้อกล่าวหาฉกรรจ์อีกหลายข้อกล่าวหา

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในห้องแถลงข่าวดังกล่าว ปรากฏว่ามี "กลุ่มเพื่อนเสรี" ประมาณ 200 - 300 คน เดินทางมาร่วมให้กำลังใจอย่างแน่นขนัดเต็มห้องแถลงข่าว โดยมีอาจารย์หนู กันภัย เกจิชื่อดังในทางสักยันต์เดินทางมาร่วมงาน และแจกจ่ายตะกรุดให้แก่ผู้ร่วมงานด้วย นอกจากนี้ยังมีนายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาร่วมให้กำลังใจด้วย ขณะที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เดินทักทายผู้มาร่วมให้กำลังใจภายในห้องดังกล่าวอย่างเป็นกันเอง

ต่อมาเวลา 10.39 น. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เริ่มแถลงว่า วัตถุประสงค์ของการแถลงในวันนี้ไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลัง ไม่มีอะไรเคลือบแฝง แต่เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา นายสมัคร สุนทรเวช ได้ทำอะไรกับตนไว้บ้าง ปัจจุบัน บ้านเมืองไม่ได้มีแค่การปล้นเอาทรัพย์สิน แต่ปล้นเอางบประมาณมากมาย แม้กระทั่งตำแหน่งก็ไม่ใช่แค่การซื้อขาย แต่เป็นการปล้นกันเลยทีเดียว ถ้ารอซื้อตำแหน่งก็ไม่ว่าง สู้ปล้นเอาทีเดียวเลยดีกว่า

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เบื้องลึก เบื้องหลังการปล้นตำแหน่งผบ.ตร.ที่เคยดำรงตำแหน่งนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ขณะนั้นกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ภาคใต้ ได้รับข่าวจากสื่อว่า นายสมัครออกคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัย นับเป็นความเลวร้ายที่สุดที่เคยรับราชการมา เมื่อเขาคิดที่จะปล้น ก็ไม่สามารถจะไปห้ามได้ พอทราบข่าวจากสื่อ ก็รู้ได้ทันทีว่า ถูกปล้น ตนเคยเป็นจเรตำรวจแห่งชาติมาก่อน รู้วิธีการสืบสวนสอบสวน ถ้านายสมัครทำจริง ต้องทำตามกระบวนการ ซึ่งยุ่งยากซับซ้อน แต่ไม่อาจรอได้ เพราะตนจะเกษียณวันที่ 30 กันยายน เมื่อรับทราบข่าวก็ไม่ได้ตกใจ และรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าใครทำอะไร รู้ตัวว่าถูกปล้นแน่ แต่ยังทำงานต่อไป ไม่ได้ตื่นตระหนก

อดีตผบ.ตร. กล่าวต่อว่า เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ ได้รับความอบอุ่นจากประชาชนที่มารอต้อนรับ และพูดให้ประชาชนฟังว่า ไม่ต้องสนใจตนมากมาย ปล่อยให้ตนดำเนินการด้วยตนเอง เพราะมีประสบการณ์ในการรับหน้าที่ด้วยตนเอง ไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้อยู่กันอย่างสงบ ไม่ต้องเคลื่อนไหว ความจริงประชาชนอยากขับไล่นายสมัครตั้งแต่วันนั้น แต่ตนเป็นผู้ยับยั้ง ขอให้ตนได้ต่อสู้เพียงคนเดียว เพราะรู้ว่าข้อกล่าวหานั้นเสกสรรปั้นแต่งเพื่อปล้นตำแหน่งผบ.ตร.ไปให้ผู้อื่น

"สุดท้ายดาบนั้นจะคืนสนอง ใครที่ทำกรรมกับผมไว้ ก็จะต้องได้รับกรรมนั้นร้อยเท่าทวีคูณ ผมเป็นนักต่อสู้ ต่อสู้เรื่อยไป ผมไม่เคยทราบล่วงหน้าว่านายสมัครจะมีสภาพอย่างทุกวันนี้" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวด้วยว่า หลังจากนั้น ในวันที่ 3 มีนาคม ได้ไปรายงานตัวต่อนายสมัคร แต่นายสมัครหนีหน้า จึงไปรายงานตัวต่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น แต่ไม่มีงานทำ แกล้งให้ไปนั่งเฉยๆ ทำหนังสือขอหลักฐานนายสมัครไป ก็ไม่ให้ ทำหนังสือถึงปลัดสำนักนายกฯ ในขณะนั้นก็ไม่ยอมให้ เพราะทุกคนทำผิดกฎหมายหมด รวมทั้งทำถึงประธานคณะกรรมการสอบสวนก็ไม่ยอมให้ ตนจึงไม่มีอะไรอยู่ในมือ จึงต้องใช้วิธีการสอบสวนสืบสวนตามประสบการณ์

"เขาตั้งข้อกล่าวหาผมมา 3 ข้อ ข้อแรก คือเรื่องการทุจริตในการจัดเช่ารถ ข้อ 2 การสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ และข้อ 3 เรื่องการโยกย้าย ซึ่งผมดูแล้วไม่ผิด และการตั้งกรรมการสอบที่จะให้ผมพ้นตำแหน่งนั้น จะมี พ.ร.บ.มาตรา 11(4) ให้ตำรวจไปช่วยราชการ ก็จะมีคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ เมื่อสมัย พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ก็ถูกพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้ไปช่วยราชการ และตั้งพล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ รักษาราชการแทน สมัยพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกฯ ก็ให้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ไปช่วยราชการ และให้ตนรักษาราชการแทน จนกระทั่งพล.ต.อ.โกวิท เกษียณ" อดีตผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า จะเห็นว่าทั้งอดีตนายกฯ ทักษิณ อดีตนายกฯ สุรยุทธ์ เดินตามกฎหมาย เมื่อมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล อยากจะเปลี่ยนคนทำงาน ก็จะทำได้ตามที่กฎหมายกำหนด แต่นายสมัครไม่ทำอย่างนั้น เช่น ตอนนายสมัคร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ย้าย พล.ต.อ.ศรีสุข (มหินทรเทพ) ไป และแต่งตั้งพล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุคงชื่น มาเป็นอ.ตร.แทน ฉะนั้นนักการเมืองจะติดเรื่องผลประโยชน์เป็นหลัก เรื่องกฎหมายคิดทีหลัง

อดีตผบ.ตร. กล่าวว่า นายสมัครย้ายตนไป ก็จะต้องให้คนอื่นรักษาราชการแทนตนจนกว่าตนจะเกษียณ แต่รอไม่ได้ จึงมาศึกษากฎหมายว่าพอจะมีช่องว่างไหม ก็พบว่า หากข้าราชการตำรวจคนใด ถูกตั้งกรรมการสอบวินัย ให้ออกก่อนได้ เพื่อรอการสอบสวน เหมือนอย่างที่นายสมัครจะประกาศภาวะฉุกเฉิน ต้องมีคนตีกันให้เจ็บให้ตายก่อน จึงจะประกาศได้ ตรงนี้เช่นเดียวกันจะให้ตนออกต้องตั้งกรรมการสอบสวน ตามมาตรา 86 แต่จะตั้งได้ ต้องมีการสอบสวนว่า จะต้องทำตามมาตรา 84 ก่อน โดยต้องมีผู้ร้องเรียน และต้องใช้เวลาประมาณ 4-5-6-8 เดือน ดังนั้น ถ้าใช้มาตรา 86 ก็จะใช้ไม่ได้ จึงต้องอาศัยคนร้อง ตามกฎก.ตร. คือต้องมีผู้กล่าวหา บัตรสนเท่ห์ก็ไม่ได้

"ในกรณีนี้ การจะตั้งกรรมการสอบสวนให้ผมออกจากราชการจึงต้องมีคนร้องเรียน ดังนั้น เขาจึงกำหนดคนร้องเรียนขึ้นมา คือ พ.ต.อ.ทินกร มั่งคั่ง อดีตนายเวรผม ที่ถูกผมปลดออกจากราชการนั่นเอง พอเขาร้องเรียน แล้วไม่ตั้งกรรมการสอบ ให้ออกจากราชการเลย โดยที่ไม่มีการสอบสวน จึงไม่มีความเป็นธรรมกับผม ที่ไม่มีการสอบสวนผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาร้องเรียนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ จริงๆ ต้องใช้เวลาประมาณ 5-8 เดือน แต่พอ 29 กุมภาพันธ์ ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงผมเลย" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว

อดีตผบ.ตร. กล่าวต่อว่า ทั้ง 3 คำสั่ง 12 ข้อกล่าวหา จะทำอะไรก็ทำมา สอบมาเลย แต่ 14 เดือน คือ 1 ปีกับ 2 เดือน ยังสรุปไม่ได้เลยว่าตนผิดอะไร แต่ตามมาตรา 94 จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ถึงวันนี้ ถือว่า หมดแล้วทุกข้อกล่าวหา ไม่สามารถที่จะสอบสวนหรือกล่าวหาตนได้อีกต่อไป ทั้ง 12 ข้อกล่าวหา คือการปล้นตำแหน่ง เมื่อไม่มีอะไรก็ยัดข้อกล่าวหามาทั้งที่ตนทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้องทุกเรื่อง

"ถ้าเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ผม 3 ข้อหาแรกก็ตายแล้ว แต่คนอย่างผม ทั้งวันทั้งคืน คิด เขียน อ่าน สู้ไป จนกระทั่งจบหมด และดำเนินคดีกับนายสมัครกับพวก ที่พ.ต.อ.ทินกรไปให้การนั้นถูกฟ้องหมด พอผมเบิกความเสร็จ ทนายเขาไม่ขอซักค้าน ในช่วง 1 ปีเศษที่ถูกรังแก ผมถูกตรวจสอบทรัพย์สินหมด ทั้งของภรรยา ลูก คนใกล้ชิด แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกนั้นยังมีการปล่อยข่าวจะถอดยศผมอีก ขู่ให้ผมหยุด แต่ผมไม่หวั่นไหว เพราะผ่านความตายมาเยอะ ขอเรียกร้องกับสังคมว่า อย่าปล่อยนักการเมืองชั่วไว้อีกต่อไปเลย" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิทธ์ กล่าวในตอนท้ายว่า อีกไม่นานนายสมัครก็จะได้รับกรรม เพราะทั้งถูกพันธมิตรขับไล่ ยึดทำเนียบ หัวซุกหัวซุน ไม่มีที่ทำงาน มิหนำซ้ำ ยังถูกศาลพิพากษาจำคุก ในข้อหาหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยไม่รอลงอาญา ถูกยุบพรรค ถูกปลดออกจากหัวหน้า เมื่อไปต่างประเทศ ก็ถูกมือตบอีก จึงขอวอนแพทย์ประจำตัวช่วยดูแลนายสมัครให้ดี อย่าให้ตาย ขอให้ได้รับกรรมก่อน ตนอยากจะพิสูจน์ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร เพราะในเวลาที่เขาคิดทำนั้นอายุก็ 70 กว่า เขาเป็นรัฐมนตรีตั้งแต่ตนเป็นสารวัตร ถือว่าเป็นนักการเมืองที่เก๋ามาก ถ้าเขารู้ว่า เขาปล้นตนไป เขาได้สิ่งที่ปล้นนั้นทันที แต่กรรมอีกนาน เหมือนปล้นทรัพย์ กว่าตำรวจจะจับได้ ต้องใช้เวลา ขอฝากนักการเมืองรุ่นหนุ่ม อย่าทำเช่นนี้

"ข้าราชการที่ร่วมมือปล้นตำแหน่งผม ขบวนการที่จะทำลายผม รอรับกรรมต่อไป ผมสามารถพิสูจน์ได้หมด เพียงแต่ผมตัดสินไม่ได้ จึงต้องใช้กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวพร้อมทิ้งท้ายด้วยกลอนศรีปราชญ์ว่า "ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง เราผิดท่านประหาร เราชอบ เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง"

ข้อขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก
http://hilight.kapook.com/view/38058

--------------------------------------------------------------------------

“หมัก” ประหาร “เสรีพิศุทธ์” ปลดออกจากราชการ-สอบเพิ่ม 4 ข้อหาหนัก
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 8 เมษายน 2551 18:49 น.

นายกฯสมัคร กัดไม่ปล่อย ลงดาบสองสั่งปลด “เสรีพิศุทธ์” ออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมสั่งสอบเพิ่มอีก 4 ฐานความผิด แสบเปิดช่องหากกรรมการพบผิดอีก ก็ขยายผลได้ และรายงานให้ทราบด่วน ขณะที่ “สมัคร” ปากแข็ง แย้งข่าวลือ บอกผมไม่รู้

วันนี้ (8 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า มีกระแสข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ช่วยราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบสวนความผิดวินัยร้ายแรง

ขณะที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ตอบผู้สื่อข่าวถึงคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ออกจากราชการก่อนโดย นายสมัคร กล่าวแย้งว่า เป็นเพียงข่าวลือ ให้ลือไปก่อน

เมื่อถามว่า มีการสั่งให้สอบ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เพิ่มเติม ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายสมัคร กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ทราบ ผมไม่ทราบ

อย่างไรก็ตาม สำหรับคำสั่งสอบเพิ่มเติม รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เลขที่ 71/2551 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณีข้าราชการตำรวจถูกกล่าวหาว่าได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงในหลายกรณี เนื่องจากได้รับการร้องเรียนกล่าวหาจากผู้ร้องหลายราย ว่า ข้าราชการตำรวจได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงในหลายกรณี ดังนี้ 1.กรณีกล่าวหาว่ามีการทุจริตเงินงบประมาณที่ใช้ในการสืบสวนสอบดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในโครงการรับซื้อลำไยปี 2547 ซึ่งมีการจัดทำเอกสารอันเป็นเท็จโดยใช้ชื่อและปลอมลายมือชื่อในการเบิกเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ 2.กรณีกล่าวหาว่ามีการทุจริตในการจัดซื้อรถจักรยานยนต์ตามโครงการจัดซื้อรถจักรยานยนต์สายตรวจ ขนาด 200 ซีซี พร้อมอุปกรณ์ (ทดแทน) จำนวน 19,147 คัน ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์

3.กรณีกล่าวหาว่ารีสอร์ตภูไพรธารน้ำของพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ได้ทำการถมหินขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ดิน กรวด ทรายจำนวนมากล่วงล้ำเข้าไปในแม่น้ำแควน้อย แล้วยึดถือครองที่ดิน ที่บุกรุกแม่น้ำแควน้อยดังกล่าว 4.กรณีกล่าวหาว่า พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ สั่งการให้กองบินตำรวจจัดอากาศยานชนิดเฮลิคอปเตอร์ทั้งแบบเบลล์ และแบบยูโรคอปเตอร์อีซี ใช้สนับสนุนภารกิจผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อใช้เดินทางไปพักผ่อน และดูแลกิจการรีสอร์ตภูไพรธารน้ำเป็นการส่วนตัวในวันหยุดราชการ

ดังนั้น เพื่อจะทราบรายละเอียดแห่งพฤติการณ์ ว่า มีข้าราชการตำรวจผู้ใดกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด จึงเห็นสมควรตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 84 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 จึงแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณีข้าราชการตำรวจถูกกล่าวหาว่าได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ดังนี้ 1.องค์ประกอบ นายจุฑาธวัช อินทรสุขศรี ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกรรมการ นายวชิระ เพ่งผล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ต.ต.อาจิณ โชติวงศ์ รองผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและสอบสวน เป็นกรรมการ และให้ พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บังคับการตำรวจสื่อสาร สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสาร กรรมการและเลขานุการ

สำหรับอำนาจหน้าที่ดังนี้ 1.คณะกรรมการมีอำนาจเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ความเห็นชี้แจงข้อเท็จจริง และขอให้ส่งข้อมูล หรือเอกสารหลักฐานใดๆ ต่อคณะกรรมการ 2.สามารถแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อช่วยเหลือปฏิบัติงานได้ตามความจำเป็น 3.ในกรณีที่มีปัญหาหรืออุปสรรคที่ไม่อาจดำเนินการเองได้หรือเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญสมควรได้รับคำวินิจฉัย หรือแก้ไขโดยเร่งด่วนให้เสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งต่อไป

ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการสืบสวนดำเนินการสืบสวนพิจารณาตามหลักเกณฑ์วิธีการที่กำหนดในกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จ แล้วเสนอสำนวนการสืบสวนมาเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป อนึ่ง ถ้าคณะกรรมการสืบสวนเห็นว่ากรณีมีมูลว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยในเรื่องอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในคำสั่งนี้ หรือกรณีที่การสืบสวนพาดพิงไปถึงข้าราชการตำรวจผู้อื่น และคณะกรรมการสืบสวนพิจารณาในเบื้องต้นแล้วเห็นว่าข้าราชการตำรวจผู้นั้นมีส่วนร่วมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำในเรื่องที่สืบสวนนั้นอยู่ด้วย ให้ประธานกรรมการรายงานมาโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวเซ็นลงนามโดย นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง กรณีดำเนินโครงการเช่ารถยนต์และรถบรรทุกขนาด 1 ตัน มูลค่ารวมกว่า 9 พันล้านบาท กรณีสั่งการโดยใช้ถ้อยคำที่มิบังควร และไม่เหมาะสมในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานในบันทึกของกองสวัสดิการที่เสนอขอให้พิจารณางดการแข่งขันกีฬาภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติประจำปี 2551 และกรณีดำเนินการบริหารงานบุคคลโดยออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ พ.ต.อ.ตำแหน่งผู้กำกับการฝ่ายปฏิบัติการที่ 1-10 ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในกองบังคับการต่างๆ โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย กฎระเบียบของทางราชการ

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000041834

--------------------------------------------------------------------------

ปรากฏการณ์ "พล.อ.เสรีพิสุทธิ์" : สมรภูมิ "สมัคร" ปะทะ "พล.อ.เปรม" !!!???

ที่มาภาพ : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=162237

นับจากที่ พล.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวช ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถูกสั่งให้ไปรักษาราชการที่ทำเนียบรัฐบาลและตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง จนกระทั่งนายสมัคร สุนทรเวช มีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนั้น นับว่าเป็นปรากฏการณ์ทางการเมองที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้แล้ว ปรากฏการณ์ "พล.อ.เสรีพิสุธิ์" ครั้งนี้ ต้องแยกเป็น 2 ประเด็นหลักๆ กล่าวคือ...

ทาง 1 ต้องพิจารณาถึง "ที่มา - ที่ไป" ของ พล.อ.เสรีพิสุทธิ์ ที่ถูกมองว่าก้าวสู่ตำแหน่งผูบัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้วยอานิสงน์จากการ "รัฐประหาร 19 กันยายน 2549" อีกทั้งด้วยบทบาทของ พล.อ.เสรพิสุทธิ์ ที่ "ชนแหลก" ดังนั้นจึงคงจะไม่แปลกที่ พล.อ.เสรีพิสุทธิ์ จะถูก "กลบ" และ "เกลี่ย" ออกให้พ้นทาง "อำนาจ" เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล

และต้องไม่ลืมว่า เส้นทางของ พล.อ.เสรีพิสุทธิ์ นั้น ถูกสังคมมองว่าเติบโตมาได้เพราะทำงานสนอง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้อย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะการจัดการกับกรณี "ม็อบ นปก. หน้าบ้านป๋าเปรม" จนก่อให้เกิดอาการ "ป๋าปลื้ม" จนสามารถ "ดัน" พล.อ.เสรีพิสุทธิ์ มาสู่ตำแหน่งสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ ดังนั้นแล้วจึงมีการมองกันว่าเมื่อ "ฐาน" ของ พล.อ.เสรีพิสุทธิ์ ยืนอยู่คนละข้างกับผู้ที่ "ถืออำนาจ" อยุ่ในมือ จึงไม่แปลกที่ พล.อ.เสรีพิสุทธิ์ จะเป็น "เครื่องสังเวย" ของการประหัดประหาร "ตีโต้" อำนาจกันอย่างเปิดเผย

แต่อีกทาง 1 ที่ต้องคำนึงอย่างที่สุด คือ "ความจริง" ในกรณีต่างๆ ที่ พล.อ.เสรีพิสุทธิ์ ต้องเผชิญ ในกระบวนการ "สอบวินัย" ดังกล่าว โดยเฉพาะในแง่ของ "การทุจริต" ที่เริ่มปรากฏข่าวหนาหูตามช่องทางต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงได้อย่างเปิดเผย ทั้งการใช้งบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและการจดสรรงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่างๆ และที่สำคัญที่สุด คือ "ข้อกล่าวหา" ในเรื่องที่เกี่ยวกับ "สถาบันพระมหากษัตริย์" ทั้งกรณีหนังสือราชการ , กรณีวันราชพัลลภ และกรณีการใช้ราชพาหนะ ในภารกิจส่วนตัว

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่สังคมต้อง "ตระหนัก" ในแง่ของ "ความจริง" โดยแยกส่วนจากการกลั่นแกล้งทาง "การเมือง"

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น การณ์ดังกล่าวยังต้องพิสูจน์ในกระบวนการต่างๆ อีกพอสมควร โดยเฉพาะในกระบวนการยุติธรรมที่มีการมองกันว่า พล.อ.เสรีพิสุทธิ์ มีความถนัดช่ำชองเป็นอย่างมาก

แต่ที่สุดแล้ว สิ่งที่ปรากฏชัดเจนเป็นที่สุด คือ การ "ล้างบาง" สายอำนาจที่เติบโตมาจากการ "รัฐประหาร" อย่างเด่นชัด และที่ชัดเจนที่สุด คือ "เป้า" ในการ "ประมือ" คงจะหนีไม่พ้น พล.อ.เปรม อย่างแน่นอน !!!

โดย ปลากัด
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=242588

--------------------------------------------------------------------------

เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ดำรงตำแหน่ง
1 ตุลาคม พ.ศ. 2550 – 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
สมัยก่อนหน้า พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ
สมัยถัดไป พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
เกิด 3 กันยายน พ.ศ. 2491 (อายุ 62 ปี)
จังหวัดธนบุรี
สมรสกับ พัสวีศิริ เตมียาเวส
พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส (ชื่อเดิม เสรี เตมียาเวส) เป็นอดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และเป็นอดีตจเรตำรวจแห่งชาติ
[แก้]ประวัติ

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เกิดเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2491 ที่จังหวัดธนบุรี เป็นบุตร นายชื้น และ นางอรุณ เตมียเวส มีชื่อเล่นว่า "ตู่" สมรสกับ นางพัสวีศิริ เตมียาเวส (สกุลเดิม เทพชาตรี) มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ น.ส.ศศิภาพิมพ์ เตมียาเวส, นายทรรศน์พนธ์ เตมียาเวส และ น.ส.ทัศนาวัลย์ เตมียาเวส
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นหนึ่งในข้าราชการที่เคยดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นคนที่มีบุคลิกตรงไปตรงมา และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์จะไม่ยอมทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา หากเห็นว่าคำสั่งนั้นไม่ถูกต้องและเป็นธรรม
[แก้]การรับราชการตำรวจ

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จบศึกษาระดับมัธยมต้นจากโรงเรียนทวีธาภิเศก จากนั้นจึงได้ศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 8 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 24 เคยรับราชการอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างเข้มข้น ที่จังหวัดนครพนม ช่วง พ.ศ. 2520 จนได้รับการยกย่องว่าเป็น "วีรบุรุษนาแก"
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เคยดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการกองปราบปราม เป็นระยะเวลาสั้นๆ เมื่อ พ.ศ. 2533-2534 ขณะ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี และต้องพ้นจากตำแหน่ง ภายหลังเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2534 เนื่องจากสนิทสนมกับ พลตรี มนูญกฤต รูปขจร ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเป็น เสรีพิศุทธ์ นัยว่า เพื่อแก้เคล็ด เนื่องจากชื่อไม่ถูกโฉลก [1]
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มีภาพลักษณ์เป็นนายตำรวจมือปราบที่ซื่อตรง ได้ฉายาว่า "มือปราบตงฉิน" ผู้มีอำนาจในหลายรัฐบาลมักเลือก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ให้เข้ามาจับคดีอื้อฉาวที่สังคมและสื่อตั้งข้อสงสัย แต่ก็ได้รับผลกระทบจากการเมืองบ่อยครั้ง โดยมักถูกโยกย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ได้ควบคุมกำลัง เช่น ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ หรือประจำกรมตำรวจ เป็นต้น
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา สบ.10 ก่อนจะมารักษาการในตำแหน่ง รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 แทน พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ที่ได้รับคำสั่งไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2550
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2550 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้มีหนังสือประกาศ ฉบับที่ 1 เรื่องแต่งตั้งสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ โดยให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรก.ผบ.ตร.) ในขณะนั้น เป็นสมาชิกมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ไปช่วยราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รักษาราชการแทน [2][3]
ซึ่งต่อมา ในวันที่ 9 เมษายน ในปีเดียวกันนั้น ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งที่ 73/2551เรื่องให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน โดยระบุว่าด้วย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ข้าราชการตำรวจประจำการ ตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรับเงินเดือนระดับ ส.9 ขั้น 10 (66,480 บาท) [4][5]
หลังจากนั้น ในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ได้ทำการแถลงข่าวที่โรงแรมโนโวเทล สยามสแควร์ ถึงเรื่องที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งโดยกล่าวว่าตนถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรม[6]

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000041834

--------------------------------------------------------------------------

ออกหมายจับ เสธ.แดง ฟังผลคดี เสรีพิศุทธ์ ฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า

ศาลอาญามีคำสั่งให้ออกหมายจับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก

มาฟังคำพิพากษาในคดีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช รักษาการผบ.ตร. ฟ้อง เสธ.แดง เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา

กรณีกล่าวหา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เปิดบ่อนลอยฟ้า และบุกจับบ่อน ปอ ประตูน้ำ เพื่อสร้างผลงาน หวังขึ้นเป็น ผบ.ตร. โดยศาลนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้งวันที่ 19 มิ.ย. 2550 นี้

วันเดียวกันศาลยังมีคำสั่งให้ออกหมายจับ เสธ.แดง

เพื่อมาฟังการพิจารณาคดีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยื่นฟ้อง เสธ.แดง และบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และเดลินิวส์ ในความผิดฐานหมิ่ประมาทด้วยวการโฆษณา

กรณี เสธ.แดง ให้สัมภาษณ์กล่าวหาว่า ในการบุกจับบ่อน ปอ ประตูน้ำ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ บังคับให้ผู้ต้องหาซึ่งเป็นนักพนักน 33 คน ให้การปรักปรำ ปอ ประตูน้ำ

ขอขอบคุณ : ข้อมูลข่าวที่มีคุณภาพ โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://tnews.teenee.com/politic/11512.html

--------------------------------------------------------------------------

โฆษกพรรคภูมิใจไทย ยืนยันอดีตสมาชิกกลุ่ม 16 ทั้งนายเนวิน ชิดชอบ และ นายสุชาติ ตันเจริญ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดียักยอกทรัพย์แบงก์บีบีซี

นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ในฐานะอดีตเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจเพื่อดำเนินคดีกับผู้ทุจริตธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ หรือ บีบีซี เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ยืนยันว่า จากการตรวจสอบของพนักงาสอบสวนในขณะนั้น ที่มีทั้ง พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวช และ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ซึ่งถือเป็นนายตำรวจมืออาชีพ ต่างยืนยันว่านายเนวิน ชิดชอบ อดีตสมาชิกกลุ่ม 16 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตยักยอกทรัพย์แบงก์บีบีซี เช่นเดียวกับ นายสุชาติ ตันเจริญ แม้จะมีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่เป็นเพราะบริษัทของนายสุชาติ จำนวน 2-3 บริษัท ได้ทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ มาก่อนที่นายราเกซ สักเสนา ผู้ต้องหาในคดียักยอกทรัพย์บีบีซี จะเข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้ นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ ดังนั้นเมื่อบีบีซีต้องถูกปิดกิจการ นายสุชาติ ได้ชำระหนี้ในทางแพ่งไปหมดแล้ว และไม่ปรากฏว่ามีการทุจริตหรือเกี่ยวข้องในเวลานั้น จึงต้องออกมายืนยันในเรื่องนี้

http://www.krobkruakao.com/ข่าว/11013/ภูมิใจไทยย้ำเนวินไม่เกี่ยวโกงแบงก์บีบีซี.html

--------------------------------------------------------------------------

'เสรีพิสุทธิ์' โวยโดนกลั่นแกล้งค้นรีสอร์ทเมืองกาญจน์ฯ
เขียนโดย วายุบุตร
วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๗:๒๘ น.

พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวช อดีต ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสีพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นำกำลังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นำหมายค้นจากศาลจังหวัดทองผาภูมิ เลขที่ มค.25/2552 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2552

ในพื้นที่ภูไพรธารน้ำรีสอร์ท เลขที่ 242/5-7 หมู่ที่1 ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี โดยสงสัยว่าจะมีสิ่งผิดกฏหมาย เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า เรื่องนี้มีการตรวจสอบมาครั้งหนึ่งแล้ว สมัยที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดกฏหมาย ซึ่งพื้นที่แห่งนี้ตนได้มาอย่างถูกต้อง และขณะนี้ก็ให้บุคคลอื่นมาเช่าดำเนินกิจการ โดยตนไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการอย่างไรก็ปล่อยให้ดำเนินการไปเพราะถือว่ามีหลักฐานถูกต้องชัดเจน

"เรื่องนี้ผมว่าน่าจะมีสาเหตุเรื่องการร้องเรียนตั้งกรรมการสอบ ผบ.ตร.เรื่องงบประชาสัมพันธ์ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 18 ล้านบาท จึงมีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นรีสอร์ทของผม เป็นการตอบโต้"

ทั้งนี้ ได้มีการร้องเรียนจากกรมป่าไม้ว่า สงสัยว่ามีของผิดกฎหมายในพื้นที่บริเวณดังกล่าว โดยคณะทั้งหมดได้เดินทางมาร่วมประชุมวางแผนในการเข้าตรวจค้นที่สถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดพล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสีพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นำกำลังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วย นายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน ผอ.สำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ , นายอรรถพล เจริญชันษา หน.สนง.ขนส่งทางน้ำที่ 3 , ผู้แทนจากสหกรณ์นิคมทองผาภูมิ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอทองผาภูมิ และผู้ที่เกี่ยวข้อง สนธิกำลังเข้าตรวจค้นในพื้นที่เป้าหมายที่ได้รับการร้องเรียนจากกรมป่าไม้ว่า โดยสงสัยว่ามีของผิดกฎหมายในพื้นที่ ภูไพรธารน้ำรีสอร์ท อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

คณะทั้งหมดได้ร่วมประชุมวางแผนเข้าตรวจค้นที่ห้องประชุม สภ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ต่อมาพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ ได้ยื่นคำร้องขออนุมัติหมายค้นต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช สำนักงานการขนส่งทางน้ำที่ 3 สาขากาญจนบุรี นิคมสหกรณ์ทองผาภูมิ ฝ่ายปกครองอำเภอทองผาภูมิ เพื่อร่วมบูรณาการตรวจค้นตามหมายค้นจากศาลจังหวัดทองผาภูมิ เลขที่ มค.25/2552 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2552 ในพื้นที่ ภูไพรธารน้ำรีสอร์ท เลขที่ 242/5-7 หมู่ที่1 ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ซึ่งได้รับการร้องเรียนจากกรมป่าไม้ว่า สงสัยว่ามีของผิดกฎหมายในพื้นที่บริเวณดังกล่าว โดยคณะทั้งหมดได้เดินทางมาร่วมประชุมวางแผนในการเข้าตรวจค้นที่สถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ อำเภอทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี.

http://www.paisalvision.com/news/104-outstanding-news/2825-2009-08-27-10-30-15.html

--------------------------------------------------------------------------

“เสรีพิสุทธิ์” มุดรั้วการเมืองใหม่ ???
Written on มิถุนายน 17, 2009 – 5:23 pm | by mrpolitic

หายไปนานกับพล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส อดีตผบ.ตร. หลังถูกนาสมัคร สุนทรเวชปลดพ้นจากตำแหน่ง หลังจากแอบซุ่มอยู่ 1 ปี เพิ่งจะโผล่มาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่าน พร้อมแจงละเอียดยิบ 12 มลทินที่ติดตัวไป จนถูกสอบวินัยร้ายแรง
คราวนี้พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าบริสุทธิ์ ถูกกลั่นแกล้ง หนักกว่านั้นคือถูกขบวนการปล้นตำแหน่ง ต่อไปนี้จึงเป็นเรื่องของการฟ้องร้องแหลกลาญตามสไตล์ของวีรบุรุษนาแก ตั้งแต่นายสมัคร ลงมายันผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
การชี้แจงเรื่องมลทินดังกล่าวนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าสื่อหลายส่วนไปกันทุกแขนง รวมถึงหน่วยสอดแนมของตำรวจเองยังเข้าไปแอบฟังด้วย แต่สัญญาณที่สำคัญคงเป็นเรื่องของเอเอสทีวี จากค่ายผู้จัดการ ของสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นสื่อเดียวที่ถ่ายทอดสดตลอดการชี้แจงกว่า 1 ชั่วโมง
คำถามที่ผู้สื่อข่าวพยายามโยนเข้าไปให้พล.ต.อ.เสรีตอบคือ เรื่องการลงเล่นการเมือง แต่ก็ไม่สามารถได้คำตอบออกมาได้ชัดเจน
หากมองถึงเรื่องการให้ความสำคัญของการถ่ายทอดสด ก็พอจะเป็นคำตอบได้บ้างว่าพล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ น่าจะเอนเอียงมาทาง “สีเหลือง”
หากเทียบฟอร์มกับหัวหน้าพรรคที่มี นายสมศักดิ์ โกสัยสุข เป็นแกนนำ มุ่งปลุกปั้นกันเป็นนายกฯ หลายคนอาจจะร้องยี้ รับไม่ได้
แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ก็เชื่อว่าน่าจะมีคนรับได้
เพราะบาดแผลคงมีเพียงการเปิดศึกกับสื่อ โดยการฟ้องดะ ไม่เลือกว่าค่ายไหน ไม่ว่าจะเป็นการหมิ่นประมาทด้วยเรื่องใด รวมถึงคำพูดที่ไม่เหมาะสมกับคนสีเดียวกันเท่านั้น เช่น ควายหรือเปล่า
ส่วนภาพลักษณ์ในอดีตนั้น คงจะมีเครดิตด้านการเป็นวีรบุรุษอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า เมื่อมาเล่นการเมืองจะทำให้ก้าวทันเสือสิงห์กระทิงแรดในแวดวงการเมือง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าการเมืองบ้านเรานั้น คำว่าวีรบุรุษ หรือสุภาพบุรุษ ไม่มีความหมาย
ทั้งนี้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ แม้ยังไม่ตอบว่าจะอยู่พรรคใด แต่ก็มีหลายพรรคทาบทามมาเป็นระดับแกนนำ แต่หากพรรคใดนำไปชูเป็นนายกฯในอนาคต เชื่อว่าการตัดสินใจของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ จะออกมาเร็วยิ่งขึ้น
แต่ดูเหมือนจะมีอยู่พรรคเดียวที่ไม่ว่าจะส่งราชรถมาเกย หรือซื้อตัวกันอย่างมโหฬารขนาดไหน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส ก็ไม่ไป นั่นคือพรรคภูมิใจไทยของ พี่ใหญ่ เนวิน ชิดชอบ
เพราะแค้นเก่าดูเหมือนจะฝังใจกันทั้งคู่ จากการบุกจับซื้อเสียงเลือกตั้งบุรีรัมย์เมื่อ 10 กว่าปีก่อน กระทั่งเนวิน ได้รับฉายา ยี้ห้อย 120 มาจนทุกวันนี้
เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย ที่สร้างแผลใจให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ จากการสั่งปลดกลางอากาศ พร้อมด้วยมลทินมากมายถึง 12 ประเด็น จนแทบไม่ต้องเผาผีกันเลยชาตินี้
กระนั้น หากจะวิเคราะห์เส้นทางการเมืองของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์นั้น นาทีนี้คงต้องบอกว่า เป้าหมายอันดับหนึ่งก็คือ พรรคการเมืองใหม่ ของแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั่นเอง

http://chaoprayanews.com/blog/mister/2009/06/17/เสรีพิสุทธิ์-เตมียาเวส/

--------------------------------------------------------------------------

FfF