บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


29 มิถุนายน 2554

<<< อย่าปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ :ความจริง ที่นายอภิสิทธิ์ ไม่อาจบิดเบือน กรณีปัญหาไทย – กัมพูชา >>>

อย่าปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ :ความจริง ที่นายอภิสิทธิ์ ไม่อาจบิดเบือน กรณีปัญหาไทย – กัมพูชา
โดย Noppadon Pattama เมื่อ 28 มิถุนายน 2011 เวลา 15:52 น.

จากการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกฯ ได้เขียนจดหมายฉบับที่ 8 ในเฟซบุ๊ค กรณีปัญหาไทย – กัมพูชา ซึ่งมีข้อความหลายตอนที่กล่าวหา พาดพิงถึงตัวผมเป็นการส่วนตัว ซึ่งการกล่าวหาที่เป็นเท็จดังกล่าวนั้น ถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็จะทำให้พี่น้องที่อ่านความเท็จเข้าใจผิด ผมไม่นึกไม่ฝันเลยว่านายอภิสิทธิ์จะกล้าใช้ความเท็จใส่ร้ายป้ายสีผมขนาดนี้ ทั้งๆที่ผมไม่เคยทำร้ายท่าน ท่านจะหาเสียงของท่านก็ว่าไป เพราะผมเป็นผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ไม่สามารถใช้สิทธิ์เลือกตั้งหรือลงสมัครเลือกตั้งได้

ผมไม่อยากตอบโต้ท่าน แต่ผมขอใช้สิทธิ์ชี้แจงเพื่อปกป้องตนเอง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าเกียรติยศและชื่อเสียงของผมก็คือ ความจริง พี่น้องคนไทยมีสิทธิ์ที่จะรู้ความจริง ว่าในอดีตและปัจจุบันใครปกป้องดินแดน โดยผมขอชี้แจงในนามส่วนตัวผม ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การชี้แจงของผมไม่เกี่ยวกับพรรคการเมืองใดๆทั้งสิ้น และไม่เกี่ยวกับตำแหน่งที่ปรึกษา พตท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผมขอชี้แจงเป็นลำดับดังนี้

1. ผมรู้ว่าเรื่องกรณีปัญหาปราสาทพระวิหารมีที่มา ที่ไป และซับซ้อน จึงขอสรุบให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้ครับ

1.1 ในปี 2505 ไทยแพ้คดีในศาลโลกในคดีที่หม่อมเสนีย์ ปราโมช ว่าความ รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์จึงจำใจ และจำยอมยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลกเมื่อ 46 ปีที่แล้ว นายสมัครหรือนายนพดล ไม่ใช่คนยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา

1.2 ปี 2549 กัมพูชาไปยื่นคำขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยแผนที่ที่ยื่นนั้นมันรุกล้ำและผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตาราง กม. ที่ไทยอ้างสิทธิเข้าไปด้วย กล่าวคือกัมพูชายื่นขอขึ้นทะเบียน ก) ตัวปราสาท และ ข) พื้นที่ทับซ้อน

1.3 ปี 2550 ในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ไทยคัดค้านไม่ให้เขาเอา ข) พื้นที่ทับซ้อน ไปขึ้นทะเบียน จนคณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนการพิจารณาการขึ้นทะเบียนปราสาทจากปี 2550 ไปเป็น ก.ค. 2551

1.4 เดือน ก.พ. 2551 รัฐบาล คมช. หมดวาระลง รัฐบาลสมัครเข้ามาจึงต้องรับช่วงแก้ปัญหา และรัฐบาลเสมือนถูกไฟลนก้น เพราะเหลือเวลาเพียง 5 เดิอนก่อนประชุมมรดกโลกในเดือน ก.ค. 2551 และต้องเร่งเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออกก่อนให้ได้ เพราะแผนที่ที่กัมพูชายื่นคาไว้ตั้งแต่ปี 2549 มันผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อนเราไปขึ้นทะเบียนไว้

1.5 พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกม. นี้ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ ไทยก็อ้างเป็นเจ้าของ กัมพูชาก็อ้างว่าเป็นเจ้าของ

1.6 รัฐบาลสมัคร และนายนพดล จึงพยายามเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และห้ามนำไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เพราะหากกัมพูชาขึ้นทะเบียนพื้นที่ทับซ้อนเป็นมรดกโลกสำเร็จ ไทยจะสุ่มเสี่ยงเสียอธิปไตยในพื้นที่ทับซ้อน

1.7 การดำเนินการที่รัฐบาลสมัครและนายนพดลทำไปนั้น ดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน หน่วยงานของรัฐและข้าราชการประจำทุกฝ่ายร่วมกันทำ และเห็นด้วย เช่นกระทรวงการต่างประเทศ กองทัพไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมแผนที่ทหาร ครม พล.อ. อนุพงษ์ ผบทบ. พล.อ. วินัย ภัทยกุล เห็นด้วย

1.8 หากรัฐบาลสมัครและนายนพดลปัทมะไม่คัดค้านอย่างแข็งขันและเจรจาจนสำเร็จ กัมพูชาจะผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อนไปขึ้นทะเบียนด้วย เราจะแย่กว่านี้ พวกผมเป็นผู้ปกป้องดินแดนไทย

1.9 คำแถลงการณ์ร่วมที่ครม.สมัครอนุมัติให้นายนพดล ไปเซ็นนั้นขณะนี้สิ้นผลไปแล้วตามหนังสือยืนยันของ รมต ต่างประเทศกัมพูชา และตอนที่กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลกในเดือน กค. 2551 นั้น คณะกรรมการมรดกโลกก็ห้ามไม่ให้นำคำแถลงการณ์ร่วมเข้าประกอบการพิจารณาตามที่ไทยขอระงับผลตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครอง แสดงว่าไทยจะสนับสนุนการขึ้นทะเบียนตัวปราสาทหรือไม่ ก็ไม่ได้มีความสำคัญเลย กัมพูชาก็ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทได้อยู่ดี

1.10 คำแถลงการณ์ร่วมทำให้กัมพูชายอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีพื้นที่ทับซ้อน ทั้งๆที่ปฏิเสธมาโดยตลอด และโชคดีที่ในการประชุมที่แคนาดาในปี 2551 กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร โดยไม่เอาพื้นที่ทับซ้อนขึ้นทะเบียนด้วย โชคดีที่เขาทำตามแนวทางของแถลงการณ์ร่วม แม้ว่ามันไม่ผูกพันเขาเพราะไทยระงับผลไว้ก็ตาม

2. ในเรื่องปราสาทพระวิหารนี้ พันธมิตรเคยกล่าวหานายอภิสิทธิ์ว่าขายชาติ ผมเป็นคนพูดเองว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นคนขายชาติ ไม่มีนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศคนไหนจะทำอย่างนั้นแน่

3. นายอภิสิทธิ์กล่าวในจดหมายว่า “ นายนพดลไม่มีสิทธิ์ที่จะมาตำหนิรัฐบาลของผมเพราะเขาเป็นผู้สร้างความเสี่ยงให้ไทยต้องอยู่ในภาวะอันตรายต่ออธิปไตยของชาติ ...." เนื่องจากเป็นผู้ไปลงนามสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เเพียงฝ่ายเดียวในปี 2551 สิ่งที่เขาควรทำคือการนั่งนิ่ง ๆ แล้วถามตัวเองว่าพวกเขาได้ทำอะไรลงไปกับประเทศชาติจนทำให้ผมต้องต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิและอธิปไตยของไทยที่นายนพดลกับพวกเกือบจะยกใส่พานให้กัมพูชาไปแล้ว หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเสียก่อน” โถ โถ โถ คุณอภิสิทธิ์ คุณช่างไม่รู้จริงๆ หรือ แกล้งไม่รู้ คุณอภิสิทธิ์น่าจะมีวุฒิภาวะและละอายแก่ใจบ้างว่าสิ่งที่รัฐบาลสมัครได้ทำไปนั้นเพื่อปกป้องดินแดนและพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ไม่ให้กัมพูชาเอาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก และเจรจาสำเร็จจนกัมพูชายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออกไป รัฐบาลสมัครและผมจึงเป็นผู้ปกป้องดินแดน ไม่ได้เป็นผู้ทำให้เสียดินแดนหรือสร้างปัญหาเอาไว้ คุณอภิสิทธิ์อุตส่าห์ไปประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำว่า “เขาเป็นผู้สร้างความเสี่ยงให้ไทยต้องอยู่ในภาวะอันตรายต่ออธิปไตยของชาติ” ซึ่งเป็นความเท็จ และเป็นการใส่ร้ายทั้งสิ้น รัฐบาลสมัครและผมไม่เคยยกอธิปไตยใส่พานให้กัมพูชา เพราะข้อเท็จจริงตามข้อ 1 ข้างต้น พวกผมเป็นคนปกป้องอธิปไตยในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตาราง กม อย่างชัดเจน

4. ที่นายอภิสิทธิ์กล่าวหาว่า รัฐบาลสมัครและผม ไปสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวในปี2551 นั้น

โดยความเคารพ ผมขอกราบเรียนว่าคุณอภิสิทธิ์พูดความจริงครึ่งเดียวครับ ท่านพูดถูกที่ว่าผมได้ลงนามในคำแถลงการณ์ร่วม แต่ท่านพูดเท็จตรงที่ว่าคำแถลงการณ์ร่วมมีผลเป็นการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ จะเห็นได้ว่าการพิจารณาและในข้อมติของที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปี 2551 มีการระบุอย่างชัดเจนถึงการไม่อ้างอิง ไม่พิจารณา ไม่คำนึงถึง และห้ามนำแถลงการณ์ร่วมฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2551 มาใช้ประกอบการพิจารณา ตามการตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่จะระงับแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ดังนั้นจึงสรุปได้ชัดเจนจากเอกสารว่า คณะกรรมการมรดกโลกมีมติขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยพิจารณาจากคุณค่าสากลอันโดดเด่นของตัวปราสาทเอง ไม่เกี่ยวกับแถลงการณ์ร่วม หรือร่างแถลงการณ์ร่วม หรือการสนับสนุนของไทยทั้งสิ้น คนที่กล่าวหาว่ากัมพูชาสามารถขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้เพราะไทยไปเซ็นแถลงการณ์ร่วมนั้น จึงไม่ถูกต้องและไม่เป็นความจริง โปรดดูข้อ 5 ของข้อมติคณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมสมัยที่ 32 ที่ควิเบก แคนาดา ตามเอกสารภาคผนวกหมายเลข 7 ที่ว่า "....5. Recognizing that the Joint Communique signed on 18 June 2008 by the representatives of the Governments of Cambodia and Thailand, as well as by UNESCO, including its draft which was erroneously referred to as having been signed on 22 and 23 May 2008 in the document WHC-08/32.COM/INF.8B1.Add.2, must be disregarded, following the decision of the Government of Thailand to suspend the effect of the Joint Communique, pursuant to the Thai Administrative Court's interim injunction on this issue...." พี่น้องคนไทยสามารถเข้าไปในเวปไซท์ของคณะกรรมการมรดกโลกตรวจสอบเอกสารนี้ได้ครับ

คุณอภิสิทธิ์เรียนกฎหมายมา น่าจะเข้าใจถึงหลักกฎหมายพื้นฐานในข้อนี้ดีว่า เอกสารที่ห้ามใช้หรือเป็นโมฆะนั้น ย่อมไร้ผลทางกฎหมาย ดังนั้น คำแถลงการณ์ร่วมที่คณะรัฐมนตรีนายสมัครอนุมัติให้ผมไปเซ็น จึงไม่มีผลใดๆ ทางกฎหมายเลย เอกสารคำแถลงการณ์ร่วมจึงไร้ผลทางกฎหมายซึ่งแม้แต่ทางกัมพูชาเองก็ยอมรับว่ามันไม่มีผลทางกฎหมายใดๆ เลย เพราะฉะนั้น การกล่าวหาว่าผมไปเซ็นเอกสารและสร้างความเสียหาย จึงเป็นการกล่าวหาที่เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง

5. คุณอภิสิทธิ์ กล่าวในหน้าที่ 2 ของจดหมายว่า “บอกตรง ๆ ว่า ผมรู้สึกละอายใจแทนคุณนพดล ที่จนถึงวันนี้ยังไม่ได้สำนึกเลยว่า ต้นตอปัญหาที่รัฐบาลคุณสร้างขึ้นกำลังส่งผลร้ายแรง คุกคามชีวิตพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย” ผมดีใจครับ ที่ท่านก็เป็นคนที่รู้สึกละอายใจได้เหมือนคนทั่วไป แต่แปลกใจว่าตอนมีคนตาย 91 คน และบาดเจ็บ เกือบสองพัน ไม่เห็นท่านรู้สึกเช่นนั้น ไม่เห็นท่านแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย ท่านไม่รู้สึกอะไรเลยหรือครับ
คุณอภิสิทธิ์ไม่ต้องละอายใจแทนผมหรอกครับ เพราะรัฐบาลสมัครและผมเป็นผู้เจรจาปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อน และรัฐบาลสมัครและผมไม่ได้สร้างปัญหาไว้อย่างที่คุณอภิสิทธิ์กล่าวหา และไม่มีการเสียดินแดนหรือผลร้ายแรงใดๆ คุณอภิสิทธิ์เคยออกทีวีช่อง11 ดีเบทกับพันธมิตร ก็เคยพูดไว้นะครับว่า กัมพูชาขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท และไม่มีการเสียดินแดน ลองไปเปิดเทปดูจะช่วยเตือนความจำท่านได้ครับ

6. ในหน้าที่ 2 ของจดหมายคุณอภิสิทธิ์ ได้กล่าวหาด้วยความเท็จว่า “รัฐบาล สมัคร สุนทรเวช โดย นพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้น ออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ลงวันที่ 18มิถุนายน 2551 มีเนื้อหาสนับสนุนให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว และยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 หรือแผนที่ฝรั่งเศส ให้ใช้เป็นแผนการพัฒนาบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์รอบปราสาทพระวิหาร” ผมขอเรียนว่าข้อความนี้เป็นเท็จโดยสิ้นเชิงครับ ไม่มีความตอนใดของคำแถลงการณ์ร่วมที่มีการยอมรับแผนที่ 1:200,000 หรือแผนที่ฝรั่งเศสเลย เพราะทุกคนในกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีต่างประเทศรู้ว่าเราไม่ยอมรับแผนที่ระวางนี้ ที่เป็นสาเหตุให้ไทยแพ้คดี จะมีการเขียนถึงก็คือใน บันทึกความตกลง ปี 2543 ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไปเซ็นกับกัมพูชาเท่านั้น

7. ในความตอนล่างของหน้าที่ 2 ของจดหมายคุณอภิสิทธิ์ฉบับที่ 8 มีการระบุว่า “.แต่ก็มิอาจยับยั้งการใช้แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นใบเบิกทางให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารแต่เพียงฝ่ายเดียวได้ เพราะคณะกรรมการมรดกโลก ได้มีมติขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวในวันที่ 8 ก.ค. 2551 เช่นเดียวกัน.” คุณอภิสิทธิ์เขียนให้คนเข้าใจผิดว่า เป็นเพราะคำแถลงการณ์ร่วม จึงทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลกได้ ซึ่งเป็นความเท็จอีกเช่นกันครับ เพราะเอกสารนี้ไร้ผลทางกฎหมาย และคณะกรรมการมรดกโลกตัดเอกสารนี้ ไม่ให้นำเข้าพิจารณาครับ ดังที่ผมกราบเรียนไว้ใน ข้อ 4 ข้างต้น และเอกสารที่ผมใช้อ้างอิงเป็นเอกสารมหาชนที่มีที่มาที่ไปตรวจสอบได้ จาก เวปไซท์ของคณะกรรมการมรดกโลกครับ การเขียนของคุณอภิสิทธิ์จึงเป็นการเขียนความเท็จที่คิดเอาเอง ไม่มีแหล่งอ้างอิง และเป็นการใส่ร้ายป้ายสีอย่างน่าละอาย

ความจริงยังมีอีกหลายประเด็นที่มีการบิดเบือนในจดหมายฉบับที่ 8 ในเฟซบุ๊ค กรณีปัญหาไทย – กัมพูชาซึ่งผมขอสงวนสิทธิ์ชี้แจงในภายหลัง แต่ในเบื้องต้นผมขอชี้แจงประเด็นสำคัญและข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จที่ต้องรีบชี้แจงเพื่อขจัดความสับสน

อย่างที่ผมกราบเรียนไปแล้ว แม้ผมไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง แต่ผมก็อยากเห็นการรณรงค์หาเสียงกันอย่างสร้างสรรค์ ผมอยากเห็นนักการเมืองและนักการเมืองแต่ละพรรคนำนโยบายและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้ประเทศ ถ้านโยบายพรรคประชาธิปัตย์ดีกว่า ประชาชนก็จะสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ถ้านโยบายพรรคเพื่อไทยดีกว่า ประชาชนก็จะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ประชาชนคิดเป็นและเลือกเป็น แต่การที่นักการเมืองเอาความเท็จมาใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นโดยไม่ละอายและไร้ซึ่งวุฒิภาวะ ผมไม่เชื่อว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ท่านได้คะแนน เพราะเป็นการดูถูกสติปัญญาคนไทย คนไทยต้องการนักการเมืองที่พูดความจริงทั้งหมด ไม่ใช่พูดความจริงเพียงครึ่งเดียว หรือแย่ยิ่งกว่านั้นคือการเอาความเท็จมาพูด สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์เขียนในเฟซบุ๊คเป็นความพยายามที่จะใส่ร้ายป้ายสีผม นายอภิสิทธิ์อาจจะพยายามทำลายเกียรติยศและศักดิ์ศรีของผม ซึ่งผมอดทนได้และผมอโหสิกรรมให้ คุณอภิสิทธิ์อาจจะพยายามเหยีบย่ำผมได้ แต่ผมจะไม่ยอมให้นายอภิสิทธิ์เหยียบย่ำทำลายความจริง และผมจะปกป้องความจริงจนสุดกำลัง

ในเรื่องนี้ ถ้าหากมองในเนื้อหาการเขียนจดหมายฉบับที่ 8 นั้น ถ้ามองเรื่องนี้ในทางที่ดี จะ

แสดงให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์อาจเป็นผู้นำที่ไม่ได้ศึกษาหาความรู้และดูความเป็นมาของกรณีปราสาทเขาพระวิหารจากข้อเท็จจริงและเอกสารของราชการ ทั้งๆที่บริหารประเทศมาเกือบสามปี แต่ถ้ามองในทางที่แย่ แสดงว่าคุณอภิสิทธิ์ ไร้วุฒิภาวะและความเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำทุกอย่างเพื่อหวังผลทางการเมือง ใช้แม้กระทั่งความเท็จกล่าวหาผู้อื่น อย่างไร้จริยธรรมของผู้นำ

ผมขอกราบขอบพระคุณพี่น้องที่มีจิตใจเป็นธรรมและรักความจริง ที่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ และผมสัญญาครับว่าผมจะต่อสู้กับความเท็จและการใส่ร้ายป้ายสีอย่างไม่ย่อท้อ และขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ The truth will set you free.

ด้วยจิตคารวะ
นพดล ปัทมะ

http://www.facebook.com/notes/noppadon-pattama/อย่าปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ-ความจริง-ที่นายอภิสิทธิ์-ไม่อาจบิดเบือน-กรณีปัญหาไทย-กัมพูช/210365305672912

-------------------------------------------------------------------

FfF