วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2011 เวลา 15:06 น.
'กรณ์'ชี้หุ้นตก:ผวาแดง พิชัยฉะแสดงความไม่รู้ ให้'เคารพเสียงข้างมาก' เชียร์ให้รีบซื้อช่วงที่ตก!
"กรณ์" ชี้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้น ส่งผลดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดลง เหตุเพราะไม่มั่นใจรัฐบาลใหม่แถมผวาเสื้อแดงเป็นรัฐบาล ฟันธงนักลงทุนจ้องขายหุ้นทิ้งอีก "พิชัย"โต้กลับโทษเสื้อแดงไม่ได้ ฉะ"กรณ์"ไม่ศึกษา แสดงความไม่รู้ออกมา เชื่อฝรั่งเข้าใจการเมืองไทย
วันที่ 13 มิ.ย.2554 นายกรณ์ จาติกวณิช รักษาการรมว.คลัง กล่าวในรายการ Stock Focus ทางสถานีโทรทัศน์ช่องเอ็นบีทีว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นกังวลเรื่องการเมือง ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลชุดเดิมเพื่อสานต่อนโยบายเศรษฐที่ทำมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวกว่า 1 เท่าตัว ดัชนีสูงสุดไปอยู่ที่ระดับ 1,100 จุด หรือไม่ ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง
"นักลงทุนไม่รู้ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเป็นอย่างไร จากบทวิเคราะห์นักลงทุนหลายๆที่กังวลว่า หากไม่ใช่รัฐบาลชุดเดิม เป็นรัฐบาลชุดใหม่ที่มีส.ส.ในบัญชีรายชื่ออันดับต้นๆ เป็นแกนนำเสื้อแดงเข้ามาเป็นรัฐบาล การบริหารเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร"นายกรณ์กล่าว
นายกรณ์ กล่าวว่า ตลอดทั้งปี 2553 ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ได้เทขายหุ้นดังกล่าวออกไปหมดแล้วเพื่อทำกำไร โดยต่างชาติเข้ามาลงทุนที่ดัชนี 800-900 จุด และยังมีหุ้นเหลือที่ขายทำกำไรได้อีก หากเห็นว่ารัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศไม่ใช่รัฐบาลชุดเดิม
รักษาการรมว.คลัง กล่าวว่า นโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเสียหาย เช่น การจะเปลี่ยนแปลงโครงการรับประกันรายได้เกษตรกร มาใช้เป็นโครงการรับจำนำเหมือนเดิม ต้องใช้เงินถึง 5 แสนล้านบาท เพื่อจำนำข้าวเกษตรกรทั้งหมด และจะขาดทุนทันที 2 แสนล้านบาท เพราะเป็นการจำนำที่สูงกว่าราคาตลาดถึง 1 เท่าตัว นี้เป็นส่วนหนึ่งที่นักลงทุนไม่มั่นใจเศรษฐกิจไทยในอนาคตทำให้เทขายหุ้นออกมา
"พิชัย" โต้โทษแดงไม่ได้ เย้ยใส่ต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ เชื่อฝรั่งเข้าใจ
ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมช.คลัง และผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวตอบโต้ผ่าน "ไทยอินไซเดอร์" ว่า "เห็นด้วยกับคุณกรณ์ว่า แนวโน้มพรรคเพื่อไทยจะชนะแน่นอน ปัจจัยที่ทำให้ฝรั่งเทขายมีหลายปัจจัย ตลาดเมืองนอกก็มีปัญหาในภาพรวมด้วย ความไม่แน่นอนของตลาดจะมีอยู่ ก็จะมีโอกาสที่ฝรั่งจะเทขายแค่ชั่วคราว แต่ในความจริงถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล รับรองดีกว่าพรรคประชาธิปัตย์ดีแน่นอน ทั้งในแง่วิธีคิด วิธีทำ ส่วนเรื่องเสื้อแดงถ้าเราไปโทษ ก็จะเป็นการไปโทษเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเหมือนประเทศอื่นๆ ทั้งในอียิปต์ ตูนีเซีย ผมว่าฝรั่งเข้าใจเรื่องพวกนี้ สุดท้ายแล้วเรื่องเสียงของคนส่วนใหญ่ในประเทศ เขาจะเคารพ"
"ถ้าเอาปัจจัยของปาร์ตี้ลิสต์มาเป็นเรื่องสำคัญ ก็ต้องให้คนเคารพในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เลือก เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดมีความพยายามที่จะไม่ให้มีการไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ มันก็จะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่าการดำเนินการในระยะสั้นอาจจะมีความผันผวนของเศรษฐกิจโลกด้วย แต่ในระยะยาวเขาต้องเห็นประโยชน์ในการที่สุดท้ายต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ"นายพิชัยกล่าวย้ำ
เมื่อถามว่า ตลาดหุ้นไทยที่ยังผันผวนอยู่นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นอีกหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า "ความไม่แน่นอนทางการเมืองก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ในแง่ของนักลงทุนถ้ามีอะไรที่ไม่แน่นอน ตลาดมันชอบความไม่แน่นอน เพราะฉะนั้นเขาก็อยากจะรู้ว่าสุดท้ายมันเป็นยังไง สุดท้ายผมเชื่อว่าถ้านักลงทุนต่างประเทศได้รับฟังข้อมูลของนโยบายเพื่อไทย ศึกษารายละเอียดก็จะรู้ว่าทิศทางของประเทศจะเป็นยังไง"
เมื่อถามว่า ในทางตรงกันข้ามทำไมเมื่อมีข่าวเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ตลาดหุ้นจึงไม่ตอบรับ ทั้งที่น่าจะมีความเชื่อมั่นเกิดขึ้น นายพิชัย กล่าวว่า "คือตลาดเวลาอะไรที่แน่นอน รู้ว่าพรรคไหนเป็นรัฐบาลมันก็จะนิ่งและไปได้ของมัน ในภาวะที่มันไม่มีความแน่นอนมันก็จะผันผวน ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติ ในแง่ความผันผวน ในต่างประเทศก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน ประเทษไหนที่เริ่มมีการเลือกตั้ง ผลเลือกตั้งยังไม่ออก มันก็จะมีความไม่แน่นอน ในแง่ของพรรคการเมืองต้องให้ความรู้ในทิศทางที่ว่าประเทศจะเดินไปในทิศทางใด พรรคเพื่อไทยก็ทำอยู่ จะเปิดโอกาสให้ถามเต็มที่ จะให้ความรู้กับนักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างไร"
ฉะ "กรณ์" ไม่ศึกษา แสดงความไม่รู้ออกมา โวพท.เป็นรัฐบาลบริหารโต 7-8%
เมื่อถามถึงกรณีที่นายกรณ์อ้างว่า ส่วนหนึ่งทีทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจ ก็เนื่องมาจากนโยบายรับจำนำที่ต้องใช้เงินถึง 5 แสนล้านบาท เพื่อจำนำข้าวเกษตรกรทั้งหมด ซึ่งจะทำขาดทุนทันที 2 แสนล้านบาท นายพิชัย กล่าวว่า "คือคุณกรณ์ไม่เข้าใจในเรื่องของระบบที่เราจะทำใหม่ ขอให้คุณกรณ์ศึกษาให้ชัดเจน อย่าเพียงแต่พูด พูดแล้วมันก็งง พูดแล้วแสดงความไม่รู้ของตัวเองออกมามากกว่า"
"ให้ศึกษาว่าที่เราทำ เราทำเพื่ออะไร เราก็จะมีระบบในการทำเพื่อที่จะ...แต่เดิมเราเชื่อว่าการประกันรายได้ที่ทำไปเจ๊งอย่างเดียว ไม่มีทางเกิดเลย คือไม่มีการไปควบคุมปริมาณข้าวในตลาด ไม่มีทางทำให้ราคาข้าวขึ้นได้ ก็ได้แต่จ่ายไปเรื่อยๆ ก็เจ๊งไปเรื่อยๆ ปีนึงเป็นแสนล้าน คือทำมา 2 ปี ปีแรก 5 หมื่น ปีที่สอง 7 หมื่น ปีนี้จะเป็นแสนล้านแล้ว คือค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้คืน เพราะมีการจ่ายออกอย่างเดียว แล้วก็มีการลงชื่อผีเต็มไปหมด ซึ่งไม่ได้มีการปลูกข้าวจริง มีคนไปขุดบ่อปลาเลี้ยงปลาแล้วไปขอลงทะเบียน เขาก็ได้เงิน เขาไม่ได้เช็คนี่ว่าทำหรือไม่ทำ"นายพิชัยกล่าว
เมื่อถามว่า ตลาดหุ้นจะฟื้นตัวได้หลังเลือกตั้งหรือมีรัฐบาลใหม่แล้ว นายพิชัย กล่าวว่า หลังเลือกตั้งแล้วคงคงที่ เชือว่าตอนนี้ถ้าศีกษาไม่มีอะไรน่ากลัว ปัจจัยพื้นฐานของเราก็ดี อนาคตทิศทางเราก็ดี ยิ่งพรรคเพื่อไทยมาเป็นการเจริญเติบโตจะชัดเจน 7-8% ต่อปี อย่างน้อย
"ผมว่าตอนนี้น่าจะลงทุนเริ่มต้นมากกว่า ยิ่งตอนนี้ตกน่าจะเป็นจุดที่ซื้อเลย ผมถ้าเกิดคนไหนที่มองระยะไกลก็ควรที่จะเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นได้แล้ว"นายพิชัยกล่าวย้ำ
ธปท.งง ยอดใช้จ่ายบัตรเครดิตเดือน เม.ย.วูบ 11.79 %
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานตัวเลขการให้บริการบัตรเครดิต ล่าสุดสิ้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา พบว่ายอดการใช้จ่ายของประชาชนที่ถือบัตรเครดิต ลดลงจากเดือนก่อนหน้ามาถึง 11.79% และลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สะท้อนให้เห็นความต้องการใช้บัตรเครดิตที่ลดลง โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ต้องการก่อหนี้เพิ่มขึ้น และอีกส่วนคือ วงเงินบัตรเครดิตเต็ม ทำให้ใช้จ่ายเพิ่มไม่ได้
โดยในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา มีบัตรเครดิตที่ประชาชนถืออยู่ทั้งสิ้น 14,469,632 บัตร เพิ่มขึ้นจากเดือน มี.ค.149,373 บัตร หรือเพิ่มขึ้นเพียง 2.59% และมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในเดือน เม.ย. 91,398.99 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 6,921 ล้านบาท โดยการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในประเทศ มีมูลค่า 68,113.5 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้ามากถึง 7,414 ล้านบาท หรือลดลง 17.4% แต่การใช้จ่ายในต่างประเทศกลับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีมูลค่าทั้งสิ้น 5,553.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 1,264 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 64.1% เนื่องจากค่าเงินบาทในช่วงเดือน เม.ย.แข็งค่า และเป็นช่วงหยุดเทศกาลสงกรานต์ ทำให้มีคนไทยไปท่องเที่ยวและใช้จ่ายในต่างประเทศจำนวนมาก
ขณะที่การเบิกเงินสดล่วงหน้าจากบัตรเครดิต เพื่อนำไปใช้จ่ายในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา มีมูลค่าทั้งสิ้น 17,732.34 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 771 ล้านบาท หรือลดลง 5.47% ทั้งนี้ การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ลดลง ยังส่งผลต่อเนื่องให้ยอดสินเชื่อบัตรเครดิตในเดือน เม.ย. มีแนวโน้มชะลอตัวลงด้วย โดยสิ้นเดือน เม.ย.มียอดสินเชื่อบัตรเครดิตคงค้างทั้งสิ้น 199,224.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเพียง 4,525 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.96%เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากเทียบตัวเลขบัตรเครดิตในเดือน เม.ย.2554 เทียบกับเดือน เม.ย.2553 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดง ซึ่งส่งผลให้ประชาชนชะลอการใช้จ่าย จากบรรยากาศที่ไม่เอื้อให้เกิดการใช้จ่าย พบว่า ในเดือน เม.ย.ปีนี้ ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นจากช่วงดังกล่าวมาก โดยเทียบกับเดือน เม.ย.ปี 53 ในเดือน เม.ย.ปีนี้ ประชาชนใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 10,820 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.61%
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ธปท.ยังได้รายงานตัวเลขการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล สิ้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาด้วย โดยมีจำนวนบัญชีที่ขอใช้สินเชื่อบุคคลทั้งสิ้น 8,481,066 บัญชี เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย 0.27% หรือเพิ่มขึ้น 22,727 บัญชี ขณะที่มียอดสินเชื่อทั้งสิ้น 193,125 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 2,320 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.22%
http://thaiinsider.info/news2011/the-news/economy/13005--7-8
------------------------------------------------------------
ดร.วีรพงษ์ อัดกรณ์วิจารณ์หุ้นตกเพราะ พท.
วีรพงษ์ ยืนยันการที่ฝรั่งเทขายหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาเพราะเกิดกระแสปฎิวัติโดยเฉพาะในรอบหลังต่างชาติกลัวว่าพรรคที่ได้คะแนนเสียงข้างมากจะไม่ได้จัดตั้งรัฐ...
นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุว่าดัชนีตลาดหุ้นที่ตกหนักในขณะนี้ว่าต่างชาติเป็นกังวลว่าหากพรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมากและได้จัดตั้งรัฐบาลจะทำให้ประเทศเกิดปัญหา เป็นคำพูดที่ผิด
ซึ่งจากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติที่ไม่ใช่โบรกเกอร์แล้วพบว่าต่างชาติเป็นกังวลว่าหากพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงข้างมากแล้วจัดตั้งรัฐบาลได้จะเกิดกระบวนการฟ้องร้องและสุดท้ายจะมีปฎิวัติซึ่งไม่ได้เป็นไปตามครรลองของระบบประชาธิปไตยมากกว่า
อดีตรองนายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่าหุ้นที่ตกลงอย่างมากในช่วงนี้เกิดจากพวกเก็งกำไรระยะสั้นซึ่งมีปริมาณการซื้อขายไม่เกินร้อยละ 4 ของมูลค่ารวมในตลาดและเป็นพวกปั่นหุ้นระยะสั้น ซึ่งหากเรามี คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต.ที่เข้มแข็งก็สามารถจัดการพวกปั่นหุ้นได้ แต่หน่วยงานของไทยไม่แข็งแรงจึงเกิดปัญหาการปั่นหุ้นและเก็งกำไรบ่อยครั้ง
ซึ่งก่อนหน้านี้หนึ่งเดือนก็มีการพูดกันว่าไม่ต้องการเห็นพรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมาก เพื่อจะทำให้พรรคเสียงรองลงมารวมกับพรรคอื่นจัดตั้งรัฐบาล หรือไม่ก็มีข่าวลือว่าจะมีการปฎิวัติทำให้ฝรั่งเทขายหุ้นไทยไปรอบหนึ่งแล้ว
นายวีรพงษ์ยังบอกอีกว่าตนเองก็ยังหลงเชื่อและเทขายจนขาดทุนเหมือนกันแล้วพอโบรกเกอร์อย่างเจพี มอร์แกน โกลแมน แซคส์ ซีเอส ออกบทวิเคราะห์ซึ่งตนไม่ค่อยเชื่ออยู่แล้วก็เลยเป็นการเทขายของต่างชาติซ้ำ โดยเฉพาะคุณกรณ์ซึ่งเป็นโบรกเกอร์มาก่อนควรจะรู้ข้อมูลเหล่านี้ดี
http://www.springnewstv.tv/th/news/detail.php?gid=2&id=7337
------------------------------------------------------------
สรุปมูลค่าการซื้อขาย 5 วันทำการล่าสุด
http://marketdata.set.or.th/mkt/fivedays.do?language=th&country=TH
------------------------------------------------------------
กราฟสถิติดัชนี SET
http://www.set.or.th/th/market/setindexchart.html
------------------------------------------------------------
กราฟสถิติดัชนี Dow Jones
http://quotes.ino.com/chart/index.html?s=INDEX_DJI&t=&a=&w=&v=dmax
------------------------------------------------------------
กราฟสถิติดัชนี Nasdaq
http://quotes.ino.com/chart/index.html?s=NASDAQ_COMP&t=&a=&w=&v=dmax
------------------------------------------------------------
กราฟสถิติดัชนี S&P 500
http://quotes.ino.com/chart/index.html?s=CME_INX&t=&a=&w=&v=dmax
------------------------------------------------------------
นักวิเคราะห์ชี้หุ้นไทย น่าฟื้นตัว ทางเทคนิค แต่ระวังหุ้นตกทั่วโลก
Wednesday, 25 May 2011 10:17 Songkiet
สภาพการซื้อขายเมื่อวานนี้ ทำให้ตลาดหุ้นไทยดูดี ในทางเทคนิค ซึ่งนักวิเคราะห์ชี้ว่า ในทางเทคนิค หุ้นฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ตาม ในทางพื้นฐานน่ากังวล เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นในต่างประเทศปรับลดลง ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ธนชาต แนะซื้อหุ้น DCC ,SGH
ก่อนหน้าเปิดตลาดเช้าวันนี้ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต รายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ระดับ 12,356.21 -25.05 -0.20% ดัชนีมีการปรับตัวลงต่ออีกเล็กน้อยและเป็นการปรับตัวลงสัปดาห์ที่สองแล้ว หลังจากความกังวลว่าจะเกิดสถานการณ์วิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปคือที่ กรีซ สเปนและอิตาลี โดยเฉพาะที่กรีซที่อาจจะต้องทำการปรับโครงสร้างหนี้และจะส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิตตามมา
อย่างไรก็ดี แรงซื้อหุ้นพลังงานพยุงตลาดไว้ได้ และคาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง หลังจากที่หุ้นธนาคารปรับตัวลงมากแล้ว ถึงแม้ว่าการซื้อขายวันก่อนได้ทำจุดต่ำสุดใหม่ทั้ง Bank of America และ Citigroup แต่ก็เป็นการฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงปิดตลาดซึ่งทำให้ราคาปิดบวกได้ +0.35% และ +0.87% ส่วนหุ้นที่มีแรงขายต่อเนื่องคือ GE -1.50%
SET Index
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต รายงานก่อนหน้าเปิดตลาดเช้าวันนี้คาดว่า ตลาดจะเกิดการฟื้นตัวขึ้นทางเทคนิคได้ โดยความเคลื่อนไหวของดัชนี SET วันนี้ระหว่าง 1060-1072 จุด เน้นการเข้าซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดี โดยแนะนำซื้อ DCC ราคาเป้าหมาย 65 บาท ขณะที่กลุ่มธนาคารยังคง Overweight โดยเลือก SCB เป็น Top Pick รองลงมา คือ KTB และ BBL ส่วน SGP แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 25 บาท
...
http://www.biztempnews.com/index.php?option=com_content&view=article&id=749:2011-05-25-03-24-23&catid=107:2011-04-12-02-43-04&Itemid=491
------------------------------------------------------------
บทวิเคราะห์พยุงตลาดหุ้นเอเชีย
Tuesday, 24 May 2011 21:09
สายใจ หริ่มศิริ
นักลงทุนในตลาดเอเชียซื้อขายหุ้นด้วยความกังวลในความถดถอยของเศรษฐกิจมวลรวมของโลก อันเกิดจากสาเหตุวิกฤตการเงินในภาคพื้นยุโรป ความชะงักงันของเศรษฐกิจสหรัฐ ความถดถอยของเศรษฐกิจญี่ปุ่น การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลง และ ภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกอันเกิดจากราคาน้ำมันดิบ และ ราคาอาหารอยู่ในระดับสูง
เมื่อวันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2554 Fitch Rating และ Standard & Poor’s ออกมาลดอันดับเครดิตของกลุ่มประเทศยุโรป ทั้งกรีซ โปรตุเกส อิตาลี่ เบลเยี่ยม ทำให้นักลงทุนทุกตลาดหุ้นทั่วโลกขายหุ้นบลูชิพออกจากพอร์ท
วันต่อมาคือวันอังคารที่ 24 พฤษภาคม Goldman Sachs ออกบทวิเคราะห์ให้ลูกค้าเข้าเก็บหุ้นปิโตรเลียม และ อุตสาหกรรมโลหะ มีผลให้หุ้นทั้งสองกลุ่มราคาปิดในทุกตลาดกลับมาอยู่ในแคนบวก แต่ก็เพิ่มขึ้นไม่มากนัก
นักลงทุนซึ่งยังคงซื้อขายท่ามกลางความกังวลเดิมจึงซื้อขายหุ้นเป็นรายกิจการในทุกตลาดจากบทวิเคราะห์ความน่าลงทุน และบทวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน จึงมีการเข้าซื้อกลับหุ้นบลูชิพในกลุ่มอุตสาหกรรมโลหะที่มีราคาตกลงกลับเข้าพอร์ท
หุ้นกลุ่มการเงินและอสังหาริมทรัพย์ในจีนแผ่นดินใหญ่ ถูกนักลงทุนเข้าซื้อกลับเนื่องจาก หลายสำนักวิเคราะห์ได้ออกประมาณการ GDP ของไตรมาสที่สองของจีนว่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตลดลงด้วยมาตรการ ขึ้นอัตราเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ และ มาตรการทางภาษีในการซื้อขายที่อยู่อาศัย เมื่อปิดการซื้อขายในคลาดหุ้นจีนและฮ่องกง หุ้นทั้งกลุ่มธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ได้ปรับราคาขึ้นเฉลี่ยเกือบ 1 %
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมโลหะ ก็ถูกนักลงทุนเข้าซื้อจาก บทวิเคราะห์การลงทุนเช่นกัน Jiangxi Copper ราคา + 1.4 % Aluminum Corp of China + 1.31 % ในตลาดหุ้นฮ่องกง Korea Zinc ปิดตลาดหุ้นกรุงโซลด้วยราคาดีดกลับ + 6.6 %
หุ้นขนส่งทางทะเลของญี่ปุ่น เช่น Nippon Yusen ก็มีราคาดีดกลับ + 3.4 % จากบทวิเคราะห์ของ Nikko Securities ดึงหุ้นทั้งกลุ่มปรับราคาขึ้นในการเทรดที่ตลาดโตเกียว
ดัชนีปิดตลาดหุ้นเอเชียเมื่อวันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
Nikkei …………..…. 9,477.17 ………….… + 16.54 …………. 0.17 %
Hang Seng ……….22,730.80 ……....… + 19.76 …………. 0.09 %
Shanghai………..…. 2,767.06…………..… - 7.51 …………. 0.27 %
Kospi …………….…. 2,061.76 ………..…. + 6.05 …………. 0.29 %
Singapore ..………. 3,113.09 …………… + 2.61 …………. 0.08 %
http://www.biztempnews.com/index.php?option=com_content&view=article&id=746:2011-05-24-14-22-39&catid=113:2011-04-12-02-43-55&Itemid=497
------------------------------------------------------------
บล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
การเงิน-หลักทรัพย์ - บทวิเคราะห์
Tuesday, 14 June 2011 17:45
บล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
การตกต่ำของดัชนีหุ้นเริ่มชะลอตัวลง พร้อมมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางลงต่ำสุดในรอบเกือบ 84 วัน ยังคงได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นหลัก จากความต้องการซื้อกองทุนประหยัดภาษีของนักลงทุนระยะยาว (LTF) และใกล้สิ้นงวด 2Q54 อาจจะมีการทำราคาปิด (Window Dressing) ขณะที่ใกล้ถึงกำหนดวันเลือกตั้งราว 2 สัปดาห์ ตามสถิติในอดีตหุ้นมักปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 3% ในสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นอ่อนตัวยังแนะะนำให้สะสมหุ้น 40% ของเงินลงทุนรวม ระยะสั้นแนะหุ้นที่เข้าข่าย Window Dressing คือ RATCH, CPF, STANLY, BANPU และ ADVANC
ตลาดหุ้นโลกยังมีความเสี่ยงอยู่ ตราบที่ความกังวลต่อการผิดชำระหนี้ของกรีซยังมีอยู่
คาดว่าตลาดหุ้นโลกยังคงได้รับแรงกดดันสูงจากความวิตกกังวลต่อวิกฤติหนี้สาธารณะของกรีซ แม้ว่า IMF คณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางยุโรป ยินดีที่จะให้การสนับสนุนการเงินแก่กรีซรอบที่ 2 ในจำนวนใกล้เคียงกับครั้งแรกคือ 1.6 แสนล้านเหรียญฯ แล้วก็ตาม แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ากรีซจะมีนโยบายรัดเข็มรัดอย่างไรที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันฯ ที่ให้ความช่วยเหลือดังกล่าว ขณะที่ยังมี ข้อโต้เถียงกันระหว่างเยอรมันนี ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในสหภาพยุโรป กับธนาคารกลางยุโรป ถึงความจำเป็นที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ในฐานะที่เป็นเจ้าหนี้หุ้นกู้ต่างประเทศ จำเป็นจะต้องรับภาระความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยความสมัครใจ เพราะไม่ว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร ประเทศกรีซผิดชำระหรือจะต้องถอนตัวออกจากการใช้เงินสกุลยูโร (Single currency)
ผลกระทบย่อมตกอยู่กับประเทศสมาชิกยุโรปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่ล่าสุด S&P ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำของโลก ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาวต่างประเทศ ของประเทศกรีซ ลงทีเดียว 3 ขั้นจาก B ลงสู่ CCC ซึ่งนับว่าเป็นระดับต่ำสุดของโลก (สูงกว่าประเทศเอควาดอร์เพียงประเทศเดียว) โดยเป็นการลดอันดับความน่าเชื่อถือของ S&P เป็นครั้ง 9 นับจาก ม.ค. 2552 การปรับลดเครดิตครั้งนี้เป็นการสะท้อนว่า กรีซ มีโอกาสจะผิดชำระหนี้ตราสารหนี้ระยะยาวชุดใดชุดหนึ่งในอนาคต ซึ่งเข้าข่ายที่เรียกว่า Selective Default (SD) และปัญหานี้จะต้องนำไปสู่การปรับโครงสร้างหนี้ในอนาคต (เหมือนเวลาลูกหนี้ผิดชำระหนี้เจ้าหนี้ต้องเรียกมาประนอมหนี้) ซึ่งถือว่าเป็นครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของยุโรป
ขณะที่ก่อนหน้าที่มีอย่างน้อย 2 ประเทศที่เข้าข่าย SD คือ ประเทศเวเซิลา ปี 2548 และ จาไมก้า ผิดชำระหนี้ในปี 2553 ซึ่งปัจจัยนี้น่าจะกดดันค่าเงินยุโรปให้แกว่งตัวต่อไปเมื่อเทียบกับสกุลหลักของโลกโดยเฉพาะดอลลาร์ และน่าจะมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นโลก และตลาดหุ้นไทย
คาดดัชนีน่าจะเริ่มชะลอตัว สะท้อนจากมูลการซื้อขายที่หดตัว
เป็นที่สังเกตว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มชะลอการตกต่ำลงหลังจากลดลงมากกว่า 10% ในระยะกว่า 1 เดือน พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่หดตัวต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท นับว่าต่ำสุดในรอบ 84 วัน ทั้งนี้คาดว่าได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันไทย ดังที่กล่าวไปแล้วว่านักลงทุนสถาบันในประเทศได้ขายหุ้นสุทธิต่อเนื่องตลอดระยะกว่า 5 เดือนที่ผ่านมา โดยขายสุทธิสูงสุดราว 1.605 หมื่นล้านบาท (ในช่วงต้นปีจนถึงสัปดาห์ที่ผ่านมา สูงกว่ามูลค่าขายสุทธิตลอดปี 2553 ที่ราว 1.55 หมื่นล้านบาท)
แต่อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นการกลับมาซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศบ้างในหลายวันที่ผ่านมา คาดว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากนักลงทุนระยะยาวในประเทศ ที่ต้องการลงทุนในกองทุนประหยัดภาษี ได้เริ่มทยอยสะสมตามฐานภาษี (ปกติจะมีการซื้อตั้งแต่กลางปีจนถึงสิ้นปี) นอกจากนี้คาดว่ายังน่าจะเกิดปรากฏการณ์ Window Dressing หรือการทำราคาปิดในช่วงก่อนสิ้นไตรมาส 2 โดยเฉพาะมักเกิดกับหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (ครึ่งแรกของปี 2554) โดยมีโอกาสหรือความน่าจะเป็นสูงเกินกว่า 80-100% ได้แก่กลุ่มเกษตร-อาหาร (CPF: @FVB46.7 Div yield 4.8% pa. คาด XD หลัง 20 ส.ค. 2554) วัสดุก่อสร้าง (SCC: FV@B433.75 Div yield 3.9% pa. คาด XD ราวสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ส.ค. 2554) ยานยนต์ (STANLY: FV@B205 Div yield 3.9% pa. คาด XD ราวสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ส.ค. 2554 เป็นเงินปันผลทั้งปี 2553/54 สิ้น 31 มี.ค. 2554) สื่อสาร (ADVANC: FV@B110.3 Div yield 8.3% pa คาด XD ราวสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ส.ค. 2554) และพลังงาน (RATCH: FV@B50.5 Div yield 5.3% pa คาด XD ราวปลายเดือน ส.ค.- ต้นเดือน ก.ย. 2554 และ BANPU: FV@B110.3 Div yield 2.8% pa คาด XD ราวสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ต.ค. 2554) และเป็นที่สังเกตว่าการทำ Window Dressing ในไตรมาส 2 ของหุ้นกลุ่ม ธ.พ. มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยกว่าในไตรมาสอื่น ๆ แต่แม้พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วยังให้ผลตอบแทนที่สูงก็ตาม ทั้งนี้น่าเป็นผลมาจากแนวโน้มผลกำไรของกลุ่ม ธ.พ. ในช่วงไตรมาส 2 ของทุกปี จะชะลอตัวจากงวด 1Q54 อันเป็นผลของฤดูกาล กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น แนะนำซื้อหุ้นเหล่านี้ โดยควรซื้อดักก่อนสิ้นงวดราว 1.5 สัปดาห์ ในหุ้นดังกล่าวข้างต้น
เงินสะพัดก่อนการถึงวันเลือกตั้ง 1-2 สัปดาห์ น่าจะหนุนดัชนีหุ้นไทย
นอกจากแรงหนุนจากนักลงทุนสถาบันดังกล่าวแล้ว คาดว่ายังมีเงินสะพัดก่อนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 ก.ค. ที่จะถึงนี้ และน่าจะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทรงตัวถึงฟื้นตัวได้ในระยะ 1-2 สัปดาห์นี้ ทั้งนี้จากการศึกษาสถิติในอดีตคือ 12 ครั้งหลังสุด บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นมักจะฟื้นตัวในช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้ง 2 สัปดาห์ โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3-5.4% ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง ทั้งนี้หุ้นที่จะให้ผลตอบแทนสูงในลำดับต้นๆ พร้อมความน่าจะเป็น 100% มักกระจุกตัวในหุ้นขนาดเล็ก 3 กลุ่มหลักคือ สิ่งพิมพ์และโฆษณา (POST, SEED, MPIC, TKS) สื่อสาร (JAS, IFEC, MLINK, ILINK) โรงพยาบาล (VIBHA, NTV, SKR, MCHAI) แต่อย่างไรก็ตาม หากคำนึงถึงความน่าจะเป็นลดลงในช่วงน้อยกว่า 100% แต่สูงกว่า 80% พบว่าหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 2 สัปดาห์ จะมีหุ้นในกลุ่มดังต่อไปนี้เพิ่มเติมขึ้นมาคือ 1) กลุ่มหลักทรัพย์ (KGI, CGS, CNS) 2) ธนาคารพาณิชย์ (TCAP, KK TMB, KTB, SCB, BBL) 3) อสังหาริมทรัพย์ (LH, QH) และที่เกี่ยวกับก่อสร้าง และสาธารณูปโภค-อุปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น TASCO, TGCI, TRUE, CPF เป็นต้น ดังนั้น Top picks ในรอบนี้แนะนำหุ้น 5 บริษัท คือ TCAP, KK, TMB, KTB, TRUE, CPF
แรงขายชาติในตลาดหุ้นไทยเริ่มชะลอตัวลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า
วานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นภูมิภาคอีก 777.61 ล้านเหรียญฯ เป็นการขายติดต่อกันเป็นวันที่ 6 โดยตลาดหุ้นไต้หวันยังถูกขายสุทธิออกมามากที่สุดกว่า 549.81 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าราว 9.73% รองลงมาได้แก่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ที่มียอดขายสุทธิ 191.18 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้ากว่า 3.12 เท่า อย่างไรก็ตามสำหรับตลาดหุ้นไทย แม้ยังมียอดขายสุทธิ 28.17 ล้านเหรียญฯ แต่พบว่ามูลค่าขายสุทธิเริ่มลดน้อยลงจากวันก่อนหน้า โดยลดลงกว่า 59.66% เช่นเดียวกับ
สำหรับตลาดอินโดนีเซียพบว่ามียอดขายสุทธิ 6.44 ล้านเหรียญฯ ชะลอตัวจากวันก่อนหน้า 61.37% ยกเว้น เพียงตลาดเดียวที่มียอดซื้อสุทธิได้แก่ตลาดฟิลิปปินส์ โดยมียอดซื้อสุทธิราว 0.97 ล้านเหรียญฯ แรงขายในตลาดหุ้นไทยเริ่มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนตามคาด
http://corehoononline.com/index.php/2010-01-28-21-20-42/2010-03-12-10-06-50/21151-2011-06-14-10-48-33
------------------------------------------------------------
การที่นายกรณ์ รักษาการรมว.คลัง วิเคราะห์ว่า
"นักลงทุนในตลาดหุ้นกังวลเรื่องการเมือง ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลชุดเดิมเพื่อสานต่อนโยบายเศรษฐที่ทำมา ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวกว่า 1 เท่าตัว ดัชนีสูงสุดไปอยู่ที่ระดับ 1,100 จุด หรือไม่ ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง
นักลงทุนไม่ รู้ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเป็นอย่างไร จากบทวิเคราะห์นักลงทุนหลายๆที่กังวลว่า หากไม่ใช่รัฐบาลชุดเดิม เป็นรัฐบาลชุดใหม่ที่มีส.ส.ในบัญชีรายชื่ออันดับต้นๆ เป็นแกนนำเสื้อแดงเข้ามาเป็นรัฐบาล การบริหารเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร"นายกรณ์กล่าว
แต่จากข้อมูลกราฟสถิติดัชนีของไทย
ทียบกับ 3 ดัชนีดังของอเมริกา
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ไปในทิศทางเดียวกัน
และจากบทวิเคราะห์ทั้งเดือนก่อนและไม่กี่วันนี้
ก็ระบุใกล้เคียงกันว่า ตลาดหุ้นในเอเชียและอเมริกา
ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในยุโรป
จึงเป็นความกังวลต่อเนื่องที่กดดัชนีหลายๆ ประเทศอยู่ตอนนี้
ดังนั้นการที่นายกรณ์ โยงมาเป็นประเด็นการเมืองว่า
การที่หุ้นตกเมื่อสัปดาห์ก่อนเป็นผลจากฝรั่งเทขายหุ้นต่อเนื่อง
ก็เป็นการโกหกหลอกคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารด้านเศรษฐกิจ
และความเคลื่อนไหวดัชนีประเทศต่างๆ
จนถึงไม่ได้มีโอกาสได้เห็นบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทระพย์ต่างๆ
เพราะถ้าเป็นจริงอย่างที่นายกรณ์ว่า
ฝรั่งเทขายเพราะจะได้รัฐบาลอื่นไม่ใช่พรรค ปชป.
แสดงว่าการเมืองไทยมีอิทธิพลระดับโลก
เพราะมันส่งผลต่อตลาดทั่วโลกไปในแนวทางเดียวกัน
"วานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาด หุ้นภูมิภาคอีก 777.61 ล้านเหรียญฯ เป็นการขายติดต่อกันเป็นวันที่ 6 โดยตลาดหุ้นไต้หวันยังถูกขายสุทธิออกมามากที่สุดกว่า 549.81 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าราว 9.73% รองลงมาได้แก่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ที่มียอดขายสุทธิ 191.18 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้ากว่า 3.12 เท่า อย่างไรก็ตามสำหรับตลาดหุ้นไทย แม้ยังมียอดขายสุทธิ 28.17 ล้านเหรียญฯ แต่พบว่ามูลค่าขายสุทธิเริ่มลดน้อยลงจากวันก่อนหน้า โดยลดลงกว่า 59.66% เช่นเดียวกับ
สำหรับตลาดอินโดนีเซียพบว่ามียอดขายสุทธิ 6.44 ล้านเหรียญฯ ชะลอตัวจากวันก่อนหน้า 61.37% ยกเว้น เพียงตลาดเดียวที่มียอดซื้อสุทธิได้แก่ตลาดฟิลิปปินส์ โดยมียอดซื้อสุทธิราว 0.97 ล้านเหรียญฯ แรงขายในตลาดหุ้นไทยเริ่มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนตามคาด"
และจากบทวิเคราะห์ยังระบุชัดอีกว่า
ที่หุ้นไทยตกเพราะนักลงทุนไทยโดยเฉพาะสถาบันไทยเป็นหลัก
ที่เทขายมาตลอด 5 เดือน ตามบทวิเคราะห์นี้
"เป็นที่สังเกตว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มชะลอ การตกต่ำลงหลังจากลดลงมากกว่า 10% ในระยะกว่า 1 เดือน พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่หดตัวต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท นับว่าต่ำสุดในรอบ 84 วัน ทั้งนี้คาดว่าได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันไทย ดังที่กล่าวไปแล้วว่านักลงทุนสถาบันในประเทศได้ขายหุ้นสุทธิต่อเนื่องตลอด ระยะกว่า 5 เดือนที่ผ่านมา โดยขายสุทธิสูงสุดราว 1.605 หมื่นล้านบาท (ในช่วงต้นปีจนถึงสัปดาห์ที่ผ่านมา สูงกว่ามูลค่าขายสุทธิตลอดปี 2553 ที่ราว 1.55 หมื่นล้านบาท)"
ดังนั้น การที่นายกรณ์วิเคราะห์บิดเบือนเช่นนี้
มองได้ว่านี่เป็นเทคนิคหาเสียงผ่านตลาดหลักทรัพย์
ผ่านการวิเคราะห์ดัชนีหลักทรัพย์แบบจับแพะชนแกะอย่างที่เห็น
หรือไม่ก็ไม่มีความรู้จริงทางด้านนี้
ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้เพราะว่าเคยทำงานด้านโบรกเกอร์ขายหุ้นมาก่อน
น่าจะเป็นการแกล้งโง่ของมืออาชีพมากกว่า
เพราะถ้าวิเคราะห์แบบไม่รู้จริงแบบนี้
ก็ยิ่งไม่น่าจะมาเป็น รมว.คลัง ของไทยอีกต่อไป
แถมชอบออกมาสัมภาษณ์เรื่องหุ้นบ่อยครั้ง
ส่อถึงการให้ข่าวปั่นหุ้น ทุบหุ้นได้เหมือนกันเช่นกรณีนี้
"นายกรณ์ กล่าวว่า ตลอดทั้งปี 2553 ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ได้เทขายหุ้นดังกล่าวออกไปหมดแล้วเพื่อทำกำไร โดยต่างชาติเข้ามาลงทุนที่ดัชนี 800-900 จุด และยังมีหุ้นเหลือที่ขายทำกำไรได้อีก หากเห็นว่ารัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศไม่ใช่รัฐบาลชุดเดิม"
กลยุทธ์ดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามผ่านการซื้อขายหลักทรัพย์
โดยการให้กองทุนในประเทศหรือพอร์ตของพรรคพวกเทขาย
หรือช้อนซื้อตามจังหวะว่าต้องการจะดิสเครดิตพวกอื่น
หรือต้องการโปรโมทพรรคพวกตนเอง
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าติดตาม
เพราะอาจมีความพยายามใช้กลยุทธ์ที่ว่า
หรือว่ากำลังใช้อยู่เวลานี้ก็ไม่แน่เหมือนกัน
โดย มาหาอะไร
FfF
บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.