บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


26 ธันวาคม 2554

<<< การปกครองแบบเผด็จการ ประชาชนไม่มีทางเลือก ไม่สามารถตรวจสอบได้ เกาหลีเหนือเป็นตัวอย่าง >>>

ประเทศเผด็จการสมบูรณ์แบบในโลกนี้เริ่มเหลือน้อยลงแล้ว
แต่ก็ยังคงเหลืออีกหลายสิบประเทศ หนึ่งในนั้นคือเกาหลีเหนือ
ที่สามารถเห็นได้ชัดเจนที่สุดถึงคำว่า ประเทศเผด็จการ

ตัวอย่างง่ายๆ ที่เห็นชัดๆ ก็คือ
ประชาชนในประเทศไม่มีสิทธิ์เลือกผู้นำของตนเอง
ไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ในตัวผู้นำของเขา
ซึ่งนอกจากจะมีกฏหมายแล้ว ก็อาจจะโดนกฏหมู่แถมให้ด้วย
ซึ่งระบบแบบนี้ ไม่เป็นผลดีต่อคนในประเทศนั้นๆ ในระยะยาว
กรณีเกาหลีเหนือ ซึ่งกำลังมีคนอดอยากแร้นแค้น
เหมือนพวกเอธิโอเปียในอดีตเป็นแสนๆ คน
แต่คนที่มีอำนาจหรือใกล้ชิดรับใช้ผู้มีอำนาจในเกาหลีเหนือ
คงไม่อดอยาก และคงอยู่ดีมีสุข ไม่ต่างกับคนมีฐานะในประเทศอื่น
นี่คือตัวอย่างระบอบเผด็จการที่ไม่ต้องมีการเลือกตั้ง
หรือมีก็ทำพอเป็นพิธี เมื่อประชาชนไม่มีสิทธิ์มีเสียง
ใครเขาจะเห็นหัว หรือไม่เห็นหัวยังได้
เพราะไม่ต้องไปง้อขอคะแนนเสียงจากประชาชนภายหลัง
สามารถสืบทอดอำนาจจากพ่อสู่ลูก จากเพื่อนสู่เพื่อน
หรือจากคนในพรรคสู่คนในพรรคพวกเดียวกัน
ประชาชนไม่เกี่ยว

ส่วนคนเกาหลีเหนือที่ชื่นชอบระบอบแบบนี้เข้าใจว่า
คงจะมีอยู่ไม่น้อยจากการโดนล้างสมองฝั่งหัวมาตั้งแต่เด็ก
และไม่มีความอยากเปลี่ยนแปลงอะไร พร้อมยอมจำนน
อย่าว่าแต่คนเกาหลีเหนือตอนนี้เลย
พวกสื่อหรือพวกปากกล้าวิจารณ์เกาหลีเหนืออยู่ในไทยตอนนี้
คิดว่าจำนวนมากถ้าไปอยู่เกาหลีเหนือ
จะกลับลำหนุนระบอบเผด็จการแบบนี้สุดขั้วหัวใจ
แถมห้ามใครมาคิดเปลี่ยนแปลงใดๆ
ไม่งั้นจะออกมาขวางเต็มที่
พร้อมทำตัวเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์
เลียแข้งเลียขาแลกยศฐาบรรดาศักดิ์ทรัพย์สินเงินทองไปวันๆ

ระบอบที่ประชาชนไม่สามารถแตะต้องตรวจสอบ
หรือไม่สามารถวิพากวิจารณ์ผู้นำได้ทุกระดับแล้ว
ระบอบการเมืองประเทศไหนเป็นแบบที่ว่า
ไม่สามารถพูดคำว่าธรรมาภิบาล โปร่งใส อะไรได้เลย
และไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นประชาธิปไตยแล้วด้วย

เพราะว่ากฏหมายใดที่อาจไปขัดผลประโยชน์ของพวกผู้มีอำนาจ
คิดหรือว่าจะได้ออกมาบังคับใช้
การยื่นบัญชีตรวจสอบทรัพย์สินก็ดี
การตรวจสอบโครงการทุจริตอย่างเอาเป็นเอาตายก็ดี
แม้แต่ประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนก็ขุดคุ้ยกันเต็มที่
แต่กล้าทำกับข้าราชการหรือผู้มีอำนาจตัวเล็กๆ
โดยละเว้นหรือแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นผู้มีอำนาจมากๆ
ก็ไม่สามารถทำให้การทุจริต
หรือผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ หมดประเทศไปได้
เช่นยกเว้นการตรวจสอบประธานาธิบดีเด็ดขาด
จะคุยได้ยังไงว่าโปร่งใส
ในเมื่อลูกหลานประธานาธิบดีรวมไปถึงตัวประธานาธิบดีเอง
สามารถถือหุ้นบริษัทนั้นบริษัทนี้ได้เสรีไม่มีการตรวจสอบ
หรือห้ามตรวจสอบบริษัทของประธานาธิบดีอะไรแบบนี้
คิดหรือว่ากฏหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน
กับเป็นประโยชน์กับบริษัที่เขาถือหุ้นไว้ เขาจะเลือกอย่างไหน
และผลประโยชน์ทับซ้อนจะหมดประเทศไปได้อย่างไร

สรุปว่าการตรวจสอบเป็นของคู่กับระบอบประชาธิปไตย
ประเทศไหนตรวจสอบผู้มีอำนาจไม่ได้ทุกคน
ก็ยังไม่นับว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย
ประเทศที่พอจะพูดได้ว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว
เช่น ประเทศอเมริกา เพราะว่าประธานาธิบดีโดนตรวจสอบได้
ระบอบประชาธิปไตยประชาชนต้องเป็นใหญ่
ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี นักการเมือง
หรือผู้ที่ใช้ภาษีประชาชนไปเลี้ยงดูสนับสนุนก็ด้วย
คือคนที่จะต้องมารับใช้ประชาชน(ชั่วคราว)
งวดนี้อาจอยากให้มารับใช้งวดหน้าอาจไม่อยากให้มารับใช้ก็ได้ทั้งนั้น

แต่ก่อนผมแปลกใจมากกว่าทำไมคนเกาหลีเหนือ
เขาทนกับระบอบนี้กันได้โดยเฉพาะบางพวกที่สนับสนุน
ถึงวันนี้ผมก็บางอ้อ แล้วว่า
เพราะมีพวกจงรักภักดีประธานาธิบดีแบบหน้ามืดตามัว
พร้อมปกป้องนายทุกวิถีทาง เพราะไม่เดือดร้อนอะไร
เศรษฐกิจจะดีหรือไม่ก็มีกิน ประชาชนจะอดตายทั้งประเทศก็มีกิน
ตราบที่ยังปกป้องนายก็ยังสบายมีกินนายเลี้ยง
โดยเอาเงินภาษีจากประชาชนไปเลี้ยง
แถมได้บุญคุณแทนประชาชนอีกด้วย
คนพวกนี้ก็ไม่สนใจรูปแบบการปกครองอะไรทั้งนั้น
อย่าเปลี่ยนแปลงอะไรดีที่สุด
เพราะจะได้ไม่ไปกระทบกับสิทธิพิเศษของพวกตนอะไรประมาณนั้น
แถมยังจะได้ยศฐาบรรดาศักดิ์เพิ่มไปอวดไปข่มประชาชนได้ด้วย
ประชาชนเจ้าของประเทศต้องกลับกลายสถานภาพเป็นผู้ถูกกดขี่
หรือผู้ขออาศัยอยู่ในประเทศไปวันๆ
แค่การปกครองต่างกันสภาพประชาชนก็ต่างกันเห็นๆ

โดย มาหาอะไร

------------------------------------------------------------------

การเมือง : สถานการณ์โลก
วันที่ 24 ธันวาคม 2554 17:51

กองทัพตั้ง"คิม จอง อุน" ผู้นำสูงสุดกองทัพ


เกาหลีเหนือตั้งนายคิม จอง อุนรับตำแหน่งผู้นำสูงสุดแห่งกองทัพ ส่งสัญญาณชัดหนุนผู้นำประเทศวัยเยาว์
สำนักข่าวโรดอง ชินมุน แห่งพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือรายงานว่า กองทัพเกาหลีเหนือได้ยกย่องนายคิม จอง อุน ว่าที่ผู้นำเกาหลีเหนือบุตร ชายคนที่สามของนายคิม จอง อิล อดีตผู้นำผู้ล่วงลับ เข้ารับตำแหน่งผู้นำกองทัพสูงสุดในตำแหน่งนายพล เพื่อสานต่อการปฏิวัติตามอุดมการณ์ "กองทัพมาก่อน" หรือ "โชกุน" ให้เสร็จสมบูรณ์
นับเป็นครั้งแรกที่กองทัพเกาหลีเหนือยกย่องให้ผู้นำวัยเยาว์เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของบิดาผู้ล่วงลับ แม้ก่อนหน้านี้นายคิม จอง อุน วัย 20 ปีเศษจะได้รับยศนายพลสี่ดาวมาแล้ว
นายคิมยอง ฮยุน แห่งมหาวิทยาลัยดองกุก ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ให้ความเห็นว่า เป็นการส่งสัญญาณว่านายคิม จอง อุน มีความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับกองทัพ ทำให้เกาหลีเหนือประโคมข่าวดังกล่าวออกไปยังโลกภายนอกให้ประจักษ์ ทั้งยังแสดงต่อโลกว่าเกาหลีเหนือจะยึดมั่นกับอุดมการณ์ "กองทัพมาก่อน" ต่อไปอย่างน้อยก็ในช่วงอนาคตอันใกล้
เมื่อวันจันทร์ (19 ธ.ค.) เกาหลีเหนือได้ยกย่องนายคิม จอง อุน เป็น "ผู้สืบทอดผู้ยิ่งใหญ่" ภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของนายคิม จอง อิล ผู้นำเกาหลีเหนือในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนั้น การประกาศแต่งตั้งนายคิม จอง อุน เป็นผู้นำกองทัพยังมีความสำคัญเป็นพิเศษเพราะเกิดขึ้นในวาระเดียวกันกับที่ กองทัพเตรียมเฉลิมฉลองการครบรอบ 20 ปีแห่งการดำรงตำแหน่งผู้นำกองทัพของนายคิม จอง อิล ผู้เป็นบิดา
ด้านนักวิเคราะห์เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศยากจนที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี จะไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของเกาหลีเหนือ ที่วางตัวเป็นกลางเพื่อประโยชน์ของประเทศมาโดยตลอด
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/world/20111224/426243/กองทัพตั้งคิม-จอง-อุน-ผู้นำสูงสุดกองทัพ.html
-----------------------------------------------------------------

เกือบครึ่งห้องประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ"คว่ำบาตร"ไม่ยืนไว้อาลัย"คิม จอง อิล"


วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 17:28:10 น.



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ก่อนเริ่มประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ที่มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ประธานการประชุมยอมรับคำร้องจากเกาหลีเหนือให้มีการยืนไว้อาลัยแก่นายคิม จอง อิล ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยผู้เข้าร่วมประชุม 193 ชาติ ยืนสงบนิ่งไว้อาลัยเป็นเวลา 25 วินาที อย่างไรก็ตาม ผู้แทนเกือบครึ่งของห้องประชุม รวมทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น พากันคว่ำบาตรไม่ได้ยืนร่วมไว้อาลัย

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1324628900&grpid=00&catid=00
-----------------------------------------------------------------
เพื่อนร่วมชั้นเผยชีวิต “คิ จอง อึน” ลูกชายผู้นำโสมแดง “สอบตกทุกครั้ง-คลั่งเกมคอมพิวเตอร์”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ธันวาคม 2554 14:15 .

คิ จอง อึน (ในวงกลมสีแดง) ถ่ายรูปร่วมกับเพื่อนๆขณะเรียนอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์
เอเจนซี - สหายร่วมชั้นเรียนเผยชีวิตวัยเด็กของ คิ จอง อึน บุตรชายคนเล็กของผู้นำเผด็จการ คิ จอง อิล และว่าที่ผู้นำรุ่นที่ 3 แห่งเกาหลีเหนือ เป็นเพียงเด็กที่เรียนหนังสือไม่เอาไหน และหมกมุ่นแต่เกมคอมพิวเตอร์กับกีฬาบาสเกตบอลเท่านั้น

จอง อึน วัย 28 ปี ก้าวออกจากเงาของบิดามาปรากฏตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ในพิธีเฉลิมฉลอง 65 ปีแห่งการก่อตั้งพรรคแรงงานเกาหลีเหนือ

ขณะที่ทั่วโลกคาดหวังอยู่ลึกๆ ว่า ความรู้และค่านิยมแบบตะวันตกที่เขาได้รับสมัยยังเป็นนักเรียนในสวิตเซอร์ แลนด์ อาจช่วยให้ชายหนุ่มผู้นี้มีจิตวิญญาณประชาธิปไตยมากกว่าผู้เป็นพ่อ และนำพาเกาหลีเหนือกลับคืนสู่เวทีนานาชาติ หลังเก็บตัวโดดเดี่ยวอยู่ในความยากจนมานานหลายสิบปี

อย่างไรก็ตาม สัญญาณที่ปรากฏในขณะนี้นับว่าไม่สู้ดี เพราะแม้ คิ ผู้พ่อจะยอมทุ่มเงินหลายแสนปอนด์เพื่อซื้อโอกาสให้บุตรชายได้ร่ำเรียนในโรงเรียนเอกชนชั้นนำของสวิตเซอร์แลนด์ แต่ คิ จอง อึน กลับไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้าน แม้กระทั่งประกาศนียบัตรพื้นฐานระดับมัธยม (GCSE)

ผู้นำคิ ตัดสินใจพา จอง-อึน ซึ่งมีอายุได้เพียง 15 ปี ลาออกจากโรงเรียนนานาชาติเมืองเบิร์ซึ่ง มีค่าเทอมถึงปีละ 16,000 ปอนด์ (ราว 780,000 บาท) มาเรียนที่โรงเรียนรัฐบาลอีกแห่งซึ่งอยู่ใกล้กันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และปรากฏว่า จอง-อึน เป็นเด็กที่เรียนอ่อนกว่าเพื่อนร่วมชั้น

ภาพถ่ายวัยเด็กของ คิ จอง อึน
จอง อึน ในชุดยีนส์ชิคาโกบูลส์ และรองเท้าไนกี ถูกพามาแนะนำตัวกับเพื่อนร่วมชั้น 6เอ ของโรงเรียน ลีเบอเฟลด์-สไตน์ฮอลซี โดยครูประจำชั้นโกหก ว่า “หนุ่มสาวทั้งหลาย นี่คือ อึน ปั๊ก เขามาจากเกาหลีเหนือ และเป็นลูกชายของนักการทูต”

คิ จอง อึน ได้ที่นั่งว่างข้างๆ โจอาว ไมคาเอโล (Joao Micaelo) บุตรชายของนักการทูตโปรตุเกส ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน

โจอาว ซึ่งปัจจุบันทำอาชีพพ่อครัว เล่าให้ฟังว่า “เราไม่ใช่พวกสมองทึบที่สุดในห้องหรอกนะครับ แต่ก็ไม่เก่งที่สุด เราอยู่ในระดับกลางๆ”

“อึน พยายามแสดงความคิดเห็น แต่เขาไม่เก่งภาษาเยอรมัน และจะอึกอักเสมอเวลาที่ครูตั้งคำถาม พวกครูพอเห็นว่าเขาพูดจาตะกุกตะกักจนน่าอาย ก็จะเปลี่ยนไปถามนักเรียนคนอื่นแทน”

“เขาลาออกไปโดยไม่ผ่านการทดสอบอะไรเลย เขาสนใจฟุตบอลกับบาสเก็ตบอลมากกว่าตำราเรียน”

จอง อึน ซึ่งเคยถูกจับได้ว่าซ่อนหนังสือโป๊ไว้ในกระเป๋านักเรียน เป็นแฟนตัวยงของ ไมเคิล จอร์แดน และเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลตัวฉกาจคนหนึ่ง

เขาถนัดวิชาคณิตศาสตร์เป็นพิเศษ แต่อ่อนในวิชาอื่นๆ ทั้งหมด เพื่อนร่วมเรียนหลายคนยังจำได้ว่า จอง อึน ต้องเรียนพิเศษเสริมอยู่เสมอ

คิ จอง อึน ใช้ชีวิตวัยเด็กในสวิตเซอร์แลนด์ และเข้าเรียนที่โรงเรียนลีเบอร์ฟิลด์ ใกล้กรุงเบิร์
เพื่อนของ จอง อึน จากโรงเรียนนานาชาติ เล่าว่า “เมื่อปี 1993 ตอนที่เขาเข้าเรียนใหม่ๆ ภาษาอังกฤษของเขาแย่มาก สำเนียงแข็งทื่อ จึงต้องเรียนพิเศษเพิ่มเติม”

“เขาเรียนภาษาเยอรมันด้วย และก็ถือว่าโอเคในขั้นพื้นฐานทั้ง 2 ภาษา แต่แค่โอเคเท่านั้นนะครับ เขาพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าภาษาเยอรมัน”

“เขาเก่งคณิตศาสตร์ครับ ฟังดูเหมือนเป็นเด็กเนิร์ดใช่ไหม...แต่เปล่าเลย วิชาอื่นเขาไม่ได้เรื่องหมด ผมว่าลับหลังเราน่าจะเรียกเขาว่า ดิ จอง-อึน (Dim Jong-un) ด้วยซ้ำ แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็หายไป”

แหล่งข่าวจากโรงเรียนเก่า ระบุว่า ผู้นำคิ คงรู้สึกเหนื่อยหน่ายที่จะต้องเสียเงินเป็นค่าการศึกษาแก่บุตรชายโดยไม่ได้ ประโยชน์ แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้ ก็คือ จอง-อึน เริ่มจะหลงใหลวัฒนธรรมอเมริกันมากเกินไป

สถานทูตเกาหลีเหนือในกรุงเบิร์ จะส่งรายนามเพื่อนฝูงและสิ่งที่มีอิทธิพลกับ จอง-อึน กลับมาให้ผู้นำคิและหัวหน้าหน่วยข่าวกรองในกรุงเปียงยางได้รับทราบเสมอ

โจอาว เล่าว่า “เรามักใช้เวลาช่วงบ่ายๆ ด้วยกัน และเขายังชวนผมไปกินข้าวที่บ้านบ่อยๆ เขามีพ่อครัวส่วนตัวคอยทำอาหารทุกอย่างที่เขาอยากทาน”

“เขามีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างที่เด็กคนอื่นๆ ไม่มี ทั้งโทรทัศน์, เครื่องบันทึกวีดีโอ, เกมเพลย์สเตชั่ของโซนี่, พ่อครัวส่วนตัว, คนขับรถส่วนตัว, ครูส่วนตัว”

“หลังเลิกเรียนเราจะมาเจอกันที่สนามบาสเก็ตบอล ผลัดกันสวมบทเป็น ไมเคิล จอร์แดน พวกเราอิจฉามากที่เห็นเขามีลูกบาสเกตบอล เอ็นบีเอ ของแท้ ซึ่งราคาไม่ต่ำกว่า 100 ปอนด์ (ราว 4,800 บาท)”

คิ จอง อึน มีรูปร่างและบุคลิกแทบไม่แตกต่างจาก คิ จอง อิล ผู้เป็นบิดา
“เราเคยคุยกันเรื่องผู้หญิงและแผนการใหญ่ในอนาคต ช่วงสุดสัปดาห์จะมีปาร์ตีซึ่งพวกเราเด็กๆ ที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์มาล้อมวงก๊งเหล้ากัน แต่ผมไม่เคยเห็นเขาแตะต้องแอลกอฮอล์เลย และไม่สนใจสาวๆ ด้วย”

“เขาพูดถึงชีวิตที่บ้านเกิดน้อยมาก แต่ผมดูออกว่าเขาคงคิดถึงบ้าน เขาจะฟังแต่เพลงเกาหลีเหนือเท่านั้น ไม่ฟังเพลงตะวันตกเลย”

“ที่ฟังบ่อยที่สุดเห็นจะเป็นเพลงชาติเกาหลีเหนือ ซึ่งผมน่าจะได้ฟังมาแล้วสัก 1,000 ครั้ง ผมรู้จักเขาด้วยนามแฝงมาตลอด จนกระทั่งบ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง ซึ่งเขากำลังจะเดินทางกลับเกาหลีเหนือ”

“เขานำรูปถ่ายของเขากับพ่อมาให้ผมดู และสารภาพว่า 'เราไม่ใช่ลูกชายนักการทูต แต่เราเป็นลูกชายของประธานาธิบดีแห่งเกาหลีเหนือ'”

เจ้าหน้าที่โรงเรียนคนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า “เจิร์ก” (Joerg) เล่าว่า “เราเคยตั้งกลุ่มเสวนากันหลังเลิกเรียน... คืนนั้นเราพูดถึงภาระหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย, การใช้สิทธิเลือกตั้ง, ความสำคัญของการแสดงความคิดเห็น อะไรทำนองนี้”

“เขาไม่เคยมาร่วมวงสนทนาเลย เอาแต่ก้มหน้าก้มตา และมีท่าทีกระวนกระวาย”

“ตอนนั้นเองที่ผมนึกถึงนวนิยายเสียดสีสังคมเรื่อง “ฟาร์มสรรพสัตว์” (Animal Farm) ของ จอร์จ ออร์เวลล์ ซึ่งบอกว่า สัตว์ทุกตัวเท่าเทียมกัน แต่มีบางตัวที่เท่าเทียมมากกว่าตัวอื่น”

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000163357

------------------------------------------------------------------

ปชช.โสมแดง ให้คำมั่น"จงรักภักดี"ต่อ"คิมจองอุน" ว่าที่ผู้นำคนใหม่

วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 09:57:18 น.




สื่อเกาหลีเหนือรายงานว่า ประชาชนได้ให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อนายคิม จองอุน ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของประเทศ ภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของนายคิม จองอิล

ร่างของอดีตผู้นำเกาหลีเหนือได้รับการจัดวางอย่างสมเกียรติในโลงศพแก้ว ในอนุสรณ์สถานแห่งชาติในกรุงเปียงยาง ขณะที่ประชาชนยังคงแสดงการไว้อาลัยตามสถานที่ต่างๆอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ สื่อยกย่องว่าที่ผู้นำวัย 27 ปีว่าเป็นผู้นำที่มีความโดดเด่นของพรรค กองทัพ และประชาชน
ขณะที่วานนี้ (20 ธ.ค.) นายคิม จอง อุน เดินทางเข้าคารวะศพบิดา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของพรรคคอมมิวนิสต์ เจ้าหน้าที่รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของอดีตผู้นำเกาหลีเหนือ
ด้านสถานกงสุลอังกฤษในกรุงเปียงยาง เปิดเผยว่า คณะทูตจากต่างประเทศได้รับการต้อนรับจากนายคิม จองอุน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเขาอยู่ในฐานะรักษาการณ์ผู้นำประเทศ
สำนักข่าวเคซีเอ็นเอรายงานยกย่องเชิดชูนายคิม จอง อุน ว่าเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่เกิดจากสวรรค์ ซึ่งเป็นคำโฆษณาชวนเชื่อที่เคยใช้กับบิดาและปู่ของเขา ขณะที่โรดอง ชินมุน หนังสือพิมพ์ของพรรคผู้ใช้แรงงาน ระบุในบทบรรณาธิการว่า คิม จอง อึน คือเสาหลักทางจิตวิญญาณและดวงประทีปแห่งความหวังของกองทัพและประชาชน
เกาหลีเหนือกำหนดให้วันที่ 28 ธันวาคมเป็นวันพิธีศพนายคิม จอง-อิล และเรียกร้องไปยังประชาชนให้ร่วมกันสนับสนุนนายคิม จอง อึน
ประชาชนรายหนึ่งกล่าวว่า เขาจะให้คำมั่นที่จะเคารพต่อนายคิม จองอุน ต่อหน้าร่างของนายคิม จองอิล ขณะที่ทหารรายหนึ่งกล่าวว่า เขาจะขออุทิศตนเพื่อปกป้องนายคิม จองอุนด้วยชีวิต
ด้านราฟาเอล โวเบอร์ ผู้สื่อข่าวของเอพี ซึ่งเป็นหนึ่งในสื่อต่างชาติเพียงไม่กี่สื่อที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยัง เกาหลีเหนือ กล่าวอธิบายถึงปรากฏการณ์ของความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นหลังข่าวการถึงแก่ อสัญกรรมของนายคิม จองอิล ได้รับการประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เมื่อเขาออกไปนอกห้องพัก เขาเห็นพนักงานโรงแรมร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น ทั้งในร้านอาหาร ร้านขายของ และทั่วบริเวณ เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมื่อปี 1994 ที่นายคิม อิลซุง ประธานาธิบดีตลอดกาลของเกาหลีเหนือถึงถึงแก่อสัญกรรม

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1324436245&grpid=03&catid=03

------------------------------------------------------------------

10สิ่งที่หลายคนไม่รู้เกี่ยวกับคิมจองอุน

ข่าวต่างประเทศ วันจันทร์ที่ 19 เดือนธันวาคม พ.ศ.2554 20:14 น.
10 สิ่ง ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับ "คิม จองอุน" ว่าที่ผู้สูงสุดของเกาหลีเหนือ คนต่อไป

1. คิม จองอุน ถือได้ว่า เป็นกูรูสไตส์ อย่างไม่ได้ตั้งใจในเกาหลีเหนือ จากทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้หนุ่มๆ ในเปียงยาง ต่างพากันเข้าคิวเพื่อตัดผมให้ออกมาคล้ายกับที่ คิม จองอุน ตัด โดยมีลักษณะเป็นรองทรงสูง ไถข้างหูทั้งสองข้าง

2. สื่อในประเทศเกาหลีเหนือ ถูกสั่งไม่ให้เผยแพร่ข่าวการทำศัลยกรรมพลาสติกหลายต่อหลายครั้งของ คิม จองอุน เพื่อให้ออกมาคล้าย กับ คิม อิลซุง ผู้เป็นปู่ และผู้นำคนแรกของเกาหลีเหนือ

3. กีฬาบาสเกตบอล เป็นกีฬาที่ คิม จองอุน โปรดปรานเป็นที่สุด โดยนักกีฬาที่ คิม จองอุน ชื่นชอบ ได้แก่ ไมเคิล จอร์แดน

4. คิม จองอุน เมื่อสมัยเรียนอยู่ที่โรงเรียนในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ใช้นามแฝงหลายต่อหลายชื่อ รวมถึงการแฝงตัวว่าเป็นลูกของคนขับรถ

5. คำว่า อาย ที่ไม่มีอยู่ในความเป็นผู้นำ แต่เป็นคำที่นำมาใช้อธิบายตัวตนของ คิม จองอุน ได้อย่างชัดเจน ซึ่งในสมัยที่ คิม จองอุน ยังเป็นเด็กจะไม่พูดจาสื่อสารกับคนที่ไม่รู้จักมากนัก

6. ถึงอย่างไรก็ดี คิม จองอุน สมัยที่เป็นเด็กนักเรียน กลับมีชื่อเสียงโด่งดังในแง่ของการกีฬา โดยเฉพาะ สกี และบาสเกตบอล ซึ่งเป็นกีฬาที่เขาชื่นชอบ

7. ครั้งหนึ่ง คิม จองอุน พร้อมด้วย พี่ชาย เคยถูกจับได้ว่า ใช้พาสปอร์ตปลอม ในการลักลอบเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น โดยหวังจะเดินทางไปเที่ยวที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์

8. เชฟส่วนตัวของ คิม จองอุน ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น ได้บรรยายเอาไว้ ว่าที่ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ คนนี้ มีลักษณะหลายๆ อย่าง ที่คล้ายกับผู้เป็นพ่อ ทั้ง หน้าตา รูปร่าง และนิสัยส่วนตัว

9. นอกจากนี้ คิม จองอุน ยังเดินทางตามรอยเท้าของผู้เป็นพ่อ ในเรื่องของความเคารพนับถือ และบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังจะเห็นได้จากในการจัดงานวันเกิด, วันหยุดประจำชาติ หรือ แม้แต่การเฉลิมฉลอง ในวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี

10.รายงานสารคดี มีการอ้างอิงคำพูดของทหารเกาหลีเหนือ ระบุว่า คิม จองอุน มีความเป็นผู้นำ และมีการแสดงถึงไหวพริบในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี
------------------------------------------------------------------

สื่อต่างชาติพลิกประวัติ "คิม จองอุน" ว่าที่ผู้นำคนใหม่แห่ง ‘โสมแดง’หลัง"คิม จองอิล"ถึงแก่อสัญกรรม



คิมจองอุน
ภายหลังข่าวการถึงแก่อสัญกรรมของนายคิมจองอิล ผู้นำสูงสุดแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) สำนักข่าวต่างประเทศต่างพร้อมใจตีพิมพ์ประวัติของคิมจองอุน ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของประเทศ ทายาททางการเมืองที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายทั้งนี้ แม้จะได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนก.ย. ปี 2553แต่อัตชีวประวัติของคิมจองอุนยังไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก
สถานีโทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า คิมจองอุน เป็นลูกชายคนสุดท้องของคิมจองอิล กับภรรยาคนที่สาม โค ยอง-ฮุย เกิดเมื่อราวปี 2526หรือช่วงต้นปี 2527โดยในขณะนั้น คิมจองอุนไม่ได้รับความสนใจมากนัก เนื่องจากกระแสส่วนใหญ่ต่างจับจ้องไปที่บุตรชายคนโต คิมจองนัม และบุตรชายคนรอง คิมจองชอล ที่มีแนวโน้มจะได้รับสืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อจากคิมจองอิล
ทุกฝ่ายทั่วโลกเริ่มจับตามองคิมจองอุนอีกครั้ง เมื่อช่วงเดือน ม.ค. ปี 2552 ในทันทีที่คิมจองอิล ประกาศให้คิมจองอุนเป็นทายาทสืบต่อตำแหน่งทางการเมือง ขณะที่ ในเดือน มิ.ย. ปี 2552หน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้รายงานว่า เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ในเกาหลีเหนือได้รับคำสั่งให้เดินหน้าสนับสนุนนายคิมจอง อุนให้เป็นผู้นำคนต่อจากนายคิมจองอิล
ก่อนที่ในเดือน ก.ย. ปี 2553คิมจองอิลจะเรียกประชุมใหญ่คณะกรรมการพรรคกรรมกร เป็นครั้งแรกในรอบ 30ปี เพื่อให้คณะกรรมการรับรองฐานะของคิมจองอุน ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะกรรมการการป้องกันประเทศ พร้อมติดยศให้เป็นพลเอก 4ดาวนอกจากนี้บรรดานักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือระบุว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญที่ยืนยันตำแหน่งว่าที่ผู้นำประเทศคนต่อไป ของคิมจองอุนได้เป็นอย่างดี
รายงานข่าวระบุว่า ทันทีที่ตำแหน่งของคิมจองอุนเริ่มชัดเจน ทางการเกาหลีเหนือต่างเตรียมบทกลอน และเพลงที่ประพันธ์ขึ้นเพื่อโปรโมทคิมจองอุน
ขณะที่ รูปภาพของคิมจองอุนมากกว่า 10ล้านใบได้รับการตีพิมพ์เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอการเผยแพร่ รวมถึง รูปภาพที่จะได้รับการแขวนเคียงข้างคิมอิลซุง คุณปู่ และคิมจองอิล บิดา แต่ยังคงมีนักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมองว่า ในช่วงต้นของการขึ้นดำรงตำแหน่ง อำนาจในการบริหารที่แท้จริงจะอยู่ที่ จางซอง แทค สามีของน้องสาวคิมจองอิล ผู้นำหมายเลข1 จนกว่า คิมจองอุน จะสามารถยืนด้วยลำแข้งตนเองได้
ด้านชีวิตส่วนตัวของคิมจองอุน สื่อต่างชาติรายงานว่าไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก โดยส่วนใหญ่ทราบแต่เพียงว่า มารดาของคิมจองอุนน่าจะเป็นภรรยาคนโปรดของคิมจองดิล และเป็นสตรีที่ชื่นชมเทิดทูนบุตรชายมาก โดยมักจะเรียกคิมจองอุนว่า "ราชาแห่งดาวประกายพรึก" (Morning Star King)
รายงานข่าวกล่าวอ้างถึง นายเคนจิ ฟูจิโมโต นักเขียนชาวญี่ปุ่น ผู้เขียนหนังสือชื่อ "I Was Kim Jong-Il's Chef" (ผมเป็นเชฟของคิมจองอิล) ระบุว่า คอมจองอุนคือบุตรชายที่คิมจองอิลโปรดปรานมากที่สุดทั้งนี้ รายงานระบุว่า การตายของคิมยองฮุย มารดาของคิมจองอุน จากโรคมะเร็งเต้านมใน ปี 2547ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้ บุตรชายคนเล็กของตระกูลได้ก้าวขึ้นมาเป็นตัวเก็งสำคัญของการสืบทอดตำแหน่ง ต่อจากคิมจองอิล
คิมจองอุนได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เมื่อพี่ชายทั้งสองคน หมดโอกาสที่จะรับตำแหน่งทายาท โดยคิมจองนัม บุตรชายคนโตประพฤติตัวไม่เหมาะสมจนโดนเนรเทศออกจากญี่ปุ่นในเดือนพ.ค. ปี 2544ขณะที่ คิมจองชอล บุตรชายคนรอง ถูกมองว่า อ่อนแอ ไม่มีความเข้มแข็ง เพียงพอ
นอกจากนี้ คิมจองอุน ยังแตกต่างจากพี่ชายทั้งสองตรงที่ แม้จะได้รับการศึกษาจากโลกตะวันตก (ประเทศสวิสเซอร์แลนด์) แต่คิมจองอุนมักจะนิยมเดินทางกลับบ้านช่วงปิดเทอม และทานอาหารกับบรรดาทูตเกาหลีเหนือ แทนที่จะคลุกคลีกับกลุ่มเพื่อนหลังจากที่สำเร็จการศึกษาจากประเทศสวิสเซอร์ แลนด์ คิมจองอุนก็เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยทางทหารคิมอิลซุง
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดเกี่ยวกับความชอบ หรือนิสัยใจคอของนายคิมจองอุนไม่ได้รับการเปิดเผยเท่าไรนัก โดยสาธารณะชนส่วนใหญ่ในขณะนี้ทราบแต่เพียงว่าคิมจองอุนเป็นแฟนของทีม บาสเกตบอลเอ็นบีเอตัวยง และชอบวาดการ์ตูน
ภาพจากคมชัดลึก
สำหรับบรรยากาศในกรุงเปียงยางในเช้าวันนี้(20 ธ.ค.)ดูเงียบสงบและเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ ไว้อาลัยของชาวเกาหลีเหนือ ขณะที่ประชาชนแห่เดินทางไปยังเขามันซู เพื่อวางดอกไม้ที่หน้ารูปปั้นของนายคิม อิล-ซุง ผู้ก่อตั้งประเทศและบิดาของนายคิม จอง-อิล เพื่อไว้อาลัยแก่คิม จอง-อิล รวมไปถึงการเดินทางไปยังเขาแป๊กตู บ้านเกิดของคิม จอง-อิล เพื่อแสดงความเคารพและวางดอกไม้ที่หน้าภาพขนาดใหญ่ของคิม จอง-อิล และบิดาของเขา ขณะที่ร้านค้าในกรุงเปียงยางปิดประตูเงียบ แต่หน่วยราชการยังเปิดทำการตามปกติ
ทั้งนี้รัฐบาลได้ประกาศจัดพิธีศพขึ้นในวันที่ 28 ธ.ค.ที่อนุสรณ์สถานคิมซูซัน ในกรุงเปียงยาง มีกำหนดไว้อาลัยทั่วประเทศนาน 11 วัน และงดจัดงานบันเทิงใดๆ โดยไม่อนุญาตให้ผู้แทนต่างชาติเข้าประเทศเพื่อร่วมไว้อาลัยแต่อย่างใด ซึ่งการสูญเสียผู้นำเกาหลีเหนืออย่างกระทันหันเกิดขึ้นระหว่างการจัดเตรียม งานรำลึกเนื่องในโอกาส ครบ 100 ปี วันคล้ายวันเกิดของนายคิม อิล-ซุง ในปี 2555
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ชายแดนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ยังคงปกติ ขณะที่ทหารเกาหลีเหนือซ้อมรบฤดูหนาวประจำปีเพิ่งกลับเข้ากรมกองภายในไม่กี่ ชั่วโมงหลังจากทราบข่าวอสัญกรรมของผู้นำเกาหลีเหนือ ขณะที่ทางกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้และรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐอเมริกาต่างจับตา สถานการณ์ของเกาหลีเหนืออย่างใกล้ชิดท่ามกลางความวิตกว่าอาจมีการแย่งชิง อำนาจกันภายใน แม้ว่านายคิม จอง-อึน บุตรชายวัย 27ปีของผู้นำเกาหลีหนือผู้ล่วงลับจะได้รับเลือกให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจปกครอง ประเทศก็ตาม
ขณะที่สื่อมวลชนในเกาหลีเหนือตั้งข้อสังเกตถึงสาเหตุการถึงแก่อสัญกรรม ของผู้นำเกาหลีเหนือโดยเว็บไซต์หนังสือพิมพ์จุงอัง อิลโบ ของเกาหลีใต้ รายงานแสดงความสงสัยต่อข่าวการถึงแก่อสัญกรรมของนายคิม จอง อิล ผู้นำเกาหลีเหนือ โดยระบุว่า สถานีโทรทัศน์ของเกาหลีเหนือได้รายงานว่า นายคิมถึงแก่อสัญกรรมด้วยการกล้ามเนื้อหัวใจตายจากโรคหัวใจขาดเลือด(cardiac infarction) หลังเกิดภาวะช็อกที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ (cardiogenic shock) เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุมาจากเกิดอาการเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ และเขาสิ้นใจบนรถไฟขณะอยู่ระหว่างการเดินทางตรวจพื้นที่ชั้นนอก แต่ข่าวการถึงแก่อสัญกรรมอย่างกระทันหันของนายคิม เกิดขึ้นในช่วงที่ดูมีสุขภาพดีขึ้นที่เห็นได้จากภาพถ่ายและวิดีโอ ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริง ที่บางคนตั้งข้อสงสัยว่า อาจจะถูกลอบสังหารหรือไม่ก็อุบัติเหตุ โดยชี้ว่า เหมือนเหตุการณ์ซ้ำรอยเมื่อปี 2537ที่ประธานาธิบดีคิม อิล ซุง บิดาของเขา ไม่ได้เสียชีวิตที่บ้านพักหรือที่ทำงาน
นักวิเคราะห์บางคน ลงความเห็นว่า ทั้งนายคิมและบิดาของเขา ถึงแก่อสัญกรรมในช่วงที่เกาหลีเหนือเผชิญแรงกดดันอย่างเข้มข้นจากโลกภายนอก เกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
รายงานข่าวระบุว่า สุขภาพของนายคิม ย่ำแย่มาโดยตลอดโดยป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง (stroke) เมื่อปี 2551ซึ่งแพทย์ระบุว่า ผู้นำเกาหลีเหนือผู้นี้อาจรับสืบทอดโรคหัวใจแบบเดียวกับบิดา ซึ่งเมื่อปี 2537บิดาของเขาถึงแก่อสัญกรม เพราะอาการแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและหัวใจขาดเลือด
ศาสตราจารย์ ฮอง ซุน-ชอน จากศูนย์ระบบหัวใจและหลอดเลือดของโคเรีย ยูนิเวอร์ซิตี้ อานัม ฮอสปิทัล ให้ความเห็นว่า นายคิมมีพฤติกรรมชอบรับประทานเนื้อสัตว์ เครียดบ่อย สูบบุหรี่และดื่มจัด อีกทั้งครอบครัวยังมีประวัติป่วยด้วยโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งทำให้เขาได้รับมรดกตกทอดมาด้วย ซึ่งโรคนี้มีส่วนกว่า 80เปอร์เซ็นต์ ที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างกะทันหัน
รายงานข่าวได้วิเคราะห์ถึงการเดินทางเยือนรัสเซียและจีน เมื่อต้นปี นายคิมดูมีสุขภาพดีขึ้น จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า อาจจะมีการปกปิดสาเหตุที่แท้จริงเกี่ยวกับการถึงแก่อสัญกรรมของเขา นักวิเคราะห์หลายคน มองว่า การระบุสาเหตุการถึงแก่อสัญกรรมของนายคิม ไม่ต่างจากสมัยบิดาของเขาเมื่อ 17ปีก่อน ที่ถูกระบุว่า เขาถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 8กรกฎาคม ปี 2537หลังจากเริ่มป่วยด้วยโรคหัวใจขาดเลือด เพราะทำงานหนักเกินไป และสิ้นใจที่บ้านพักฤดูร้อน
นักวิเคราะห์ระบุด้วยว่า สถานการณ์ในปัจจุบันใกล้เคียงกับเมื่อปี 2537ที่ประธานาธิบดีคิมอิล ซุง ถึงแก่อสัญกรรมตอนที่ประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือกำลังวิกฤติถึง ขีดสุดซึ่งเกาหลีเหนือกับสหรัฐ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาที่นครเจนีวา และหลังประธานาธิบดีคิมถึงแก่อสัญกรรม ได้มีการเจรจาเรื่องการระงับโครงการนิวเคลียร์ที่ใช้พลูโตเนียม เพื่อแลกกับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
ทั้งนี้รายงานข่าวเสนอด้วยว่า นายคิม จองอิล ถึงแก่อสัญกรรมในช่วงที่เกาหลีเหนือกำลังเจรจากับสหรัฐ เกี่ยวกับการรื้อฟื้นการเจรจา 6ฝ่าย เพื่อลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกาหลีเหนือได้เสนอจะระงับโครงการเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียม และเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือกับสหรัฐก็เพิ่งจะวางแผนจัดการเจรจารอบ ที่ 3ที่กรุงปักกิ่ง และมีแนวโน้มว่าจะหยุดชะงักเช่นเดียวกัน
นักวิเคราะห์หลายคน ได้วาดภาพเหตุการณ์ร้ายแรงเอาไว้ล่วงหน้า ในกรณีที่นายคิม จอง-อึน ไม่สามารถสั่งสมบารมี ทั้งในวงการเมืองและการทหารเอาไว้มากพอตั้งแต่ก่อนที่บิดาของเขาจะถึงแก่ อสัญกรรม ที่อาจนำมาซึ่งการก่อรัฐประหารโดยกองทัพ , การจลาจล , การสังหารหมู่ผู้อพยพ และเมื่อเกาหลีเหนือปราศจากเสถียรภาพ เจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือระดับกลาง ที่กลัวว่าพวกเขายืนอยู่ผิดข้างในช่วงที่มีการแย่งชิงอำนาจ ก็อาจจะแปรพักตร์ไปยังจีน เกาหลีใต้ หรือไม่ก็สหรัฐ
แม้แต่นายคิม จอง-นัม บุตรชายคนโตของนายคิม จอง-อิล ก็ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับการอ่อนด้อยประสบการณ์ของน้องชายคนเล็ก นายจอง-นัม ได้หลุดโผจากการสืบทอดอำนาจต่อจากบิดาซึ่งตัวเขามีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ทั้งในมาเก๊าและที่อื่น ๆ ส่วนนายคิม ฮัน-ซอล บุตรชายของเขาได้ให้ความเห็นในเว็บไซท์สังคมออนไลน์ว่า อยากให้ประชาธิปไตยเบ่งบานในบ้านเกิด
ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า นายคิม จอง-อึน ไม่สามารถควบคุมลุงและญาติ ๆ ของตัวเองได้ อันเป็นสัญญาณแห่งปัญหาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในเกาหลีเหนือ ส่วนปัจจัยที่สำคัญที่สุดต่อเสถียรภาพของเกาหลีเหนือว่าจะอยู่หรือไป ก็คือ พันธมิตรรายใหญ่อย่างจีน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องทำอย่างดีที่สุด เพื่อความมั่นใจว่าเกาหลีเหนือจะคงอยู่ จะมีใครเข้าไปแทรกแซงภายในเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในเกาหลีเหนือ ก็น่าจะมีแต่จีนเท่านั้นที่ทำได้ ส่วนคนนอกก็ได้รอดูต่อไป
http://tcijthai.com/announcement/1078
------------------------------------------------------------------

ปิดตำนาน'คิม จอง อิล' กับจุดเริ่มต้นสู่การล่มสลายของอาณาจักรโสมแดง


รายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งชาติของเกาหลีเหนือ และสำนักข่าวเคซีเอ็นเอที่อยู่ในความควบคุมของทางการโสมแดง เมื่อช่วงสายของวันจันทร์ที่ 19 ธ.ค. ที่ระบุว่า คิม จอง อิล หรือ "ท่านผู้นำคิม" วัย 69 ปี แห่งเกาหลีเหนือ ได้ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว ถือเป็นข่าวใหญ่ที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก และสั่นสะเทือนไปทั้งคาบสมุทรเกาหลี...

แหล่งข่าวซึ่งเป็นนักการทูตตะวันตกในกรุงเปียงยางรายหนึ่ง ให้ความเห็นว่า ในความเป็นจริงแล้ว คิม จอง อิล ได้ถึงแก่อสัญกรรมจากอาการหัวใจล้มเหลว ขณะเดินทางด้วยรถไฟไปตรวจราชการตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ (17) ที่ผ่านมา แต่ทางการเกาหลีเหนือพยายามปิดข่าวการถึงแก่อสัญกรรมของเขามานานกว่า 48 ชั่วโมง ด้วยเหตุผล "ด้านความมั่นคง" ของประเทศ ก่อนจะยอมออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เพราะทราบดีว่า ข่าวมรณกรรมดังกล่าวเริ่ม "ปิดไม่อยู่"
ท่านผู้นำคิมสุขภาพทรุดโทรมต่อเนื่องมาหลายปีจนซูบผอม
ท่านผู้นำคิมสุขภาพทรุดโทรมต่อเนื่องมาหลายปีจนซูบผอม
ชาวเกาหลีเหนือร่ำไห้หลังทราบข่าวผู้นำคิม
ชาวเกาหลีเหนือร่ำไห้หลังทราบข่าวผู้นำคิม
ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายเคยรับรู้ว่า ผู้นำสูงสุดของเกาหลี เหนือที่ครองอำนาจมายาวนานกว่า 17 ปี นับแต่ปี 1994 รายนี้ คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หลังสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่ล้มป่วยด้วยอาการเส้นโลหิตไปหล่อเลี้ยงสมองอุดตันตั้งแต่ปี 2008 ที่ผ่านมา รวมถึงข่าวที่ไม่มีการยืนยัน เกี่ยวกับเรื่องการเป็นมะเร็ง และโรคร้ายอีกหลายชนิด อย่างไรก็ดี คำถามสำคัญในเวลานี้ที่ทั่วโลกต่างต้องการทราบคำตอบมากที่สุด คงหนีไม่พ้นประเด็นอนาคตของเกาหลีเหนือหลังการจากไปของ คิม จอง อิล นั่นเอง

หลังข่าวการถึงแก่อสัญกรรมของท่านผู้นำคิมแพร่สะพัดออกไป สื่อของทางการเกาหลีเหนือพยายามประโคมข่าวเพื่อแสดงถึงความเป็นเอกภาพภายในประเทศว่า คิม จอง อุน วัย 27 ปี ซึ่งเป็นบุตรชายคนที่ 3 และคนสุดท้องของ นายคิม จอง อิล กับนางโก ยอง ฮี จะได้การสนับสนุนให้ก้าวขึ้นครองอำนาจสูงสุดแทนบิดาผู้ล่วงลับอย่างแน่นอน

คิม จอง อุน ต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมาก
คิม จอง อุน ต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมาก
จากรุ่นสู่รุ่น คิม อิล ซุง  คิม จอง อิล และ คิม จอง อุน
จากรุ่นสู่รุ่น คิม อิล ซุง คิม จอง อิล และ คิม จอง อุน
แต่นักวิเคราะห์จากหลายสำนักต่างพากันตั้งคำถามว่า ระบอบการปกครองที่ถูกครอบงำด้วยบรรดา "ผู้อาวุโส" ในกองทัพและพรรคแรงงานเกาหลี หรือ Workers' Party of Korea (WPK) จะให้การยอมรับ "เด็กเมื่อวานซืนที่อ่อนด้อยประสบการณ์" อย่าง คิม จอง อุน มากน้อยเพียงใด เพราะข้อมูลข่าวกรองของหลายชาติต่างระบุตรงกันว่า มีความเป็นไปได้ที่บรรดาผู้มีอำนาจในกรุงเปียงยางทั้งหลาย จะเปิดศึกชิงอำนาจกันเอง หลังการจากไปของ คิม จอง อิล รวมถึงมีรายงานว่า ชีวิตของ คิม จอง อุน ผู้ถูกวางตัวให้เป็นทายาททางการเมืองมาตั้งแต่เดือน ก.ย. ปี 2010 ก็อาจตกอยู่ในอันตรายในทันทีที่ปราศจากการคุ้มครองจากผู้เป็นบิดา

หนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเล็ดลอดออกมาว่า เป็นผู้หมายปองเก้าอี้ผู้นำเกาหลีเหนือคนต่อไป คือ นายคิม ยอง นัม เจ้าของตำแหน่งประธานสภาประชาชนสูงสุดวัย 83 ปี ที่อยู่ในตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 1998 โดยแหล่งข่าวทางการทูตในกรุงเปียงยางระบุว่า ผู้อาวุโสทางการเมืองซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพและพรรคแรงงานเกาหลีรายนี้ พร้อมจัดการกับทายาททางการเมืองอย่าง คิม จอง อุน หรือ "นายน้อยคิม" ได้ทุกเมื่อ

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ประเมินว่า แม้ว่าที่ผู้นำคนใหม่ที่ถูกวางตัวไว้อย่าง คิม จอง อุน จะมีอายุไม่ถึง 30 ปี อีกทั้งยังอ่อนด้อยประสบการณ์ทางการเมืองและขาดแรงสนับสนุนจากบรรดาผู้ อาวุโส แต่ก็ยังมีโอกาสที่เขาอาจได้ขึ้นครองอำนาจในไม่ช้าเช่นกัน โดยเฉพาะหากเขาสามารถแสดงศักยภาพให้เป็นที่ประจักษ์ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่งทหารบุกเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้ การยิงขีปนาวุธใส่ญี่ปุ่น หรือแม้แต่การใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่เกาหลีเหนือซุ่มพัฒนามานานหลายปี
กองทัพเกาหลีเหนืออาจบุกเกาหลีใต้
กองทัพเกาหลีเหนืออาจบุกเกาหลีใต้
ทั่วประเทศตกอยู่ในความเศร้าโศก
ทั่วประเทศตกอยู่ในความเศร้าโศก
ความไม่แน่นอนทางการเมืองในเกาหลีเหนือ, ความเป็นไปได้ที่อาจเกิดการแย่งชิงอำนาจกันเองในหมู่ชนชั้นนำทางการเมืองในกรุงเปียงยาง รวมถึงความเป็นไปได้ที่ คิม จอง อุน อาจตัดสินใจสร้างชื่อให้ตัวเองได้รับการยอมรับ โดยการใช้วิธีการรุนแรงและก้าวร้าวผ่านการส่งทหารบุกเกาหลีใต้ การยิงขีปนาวุธใส่ญี่ปุ่น หรือแม้แต่การใช้อาวุธนิวเคลียร์ กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ทั่วโลกเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิด เห็นได้จากท่าทีล่าสุดของ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ที่ต้องรีบต่อสายตรงถึงประธานาธิบดีอี มยอง บัค แห่งเกาหลีใต้ รวมถึงนายกรัฐมนตรีโยชิฮิโกะ โนดะ แห่งญี่ปุ่น หลังทราบข่าวการเสียชีวิตของ คิม จอง อิล เพียงไม่กี่ชั่วโมง เพื่อให้คำมั่นว่า สหรัฐฯ ซึ่งได้ชื่อเป็นมหาอำนาจทางการทหารอันดับ 1 ของโลก พร้อมปกป้องเกาหลีใต้และญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ หากเกิด "เหตุการณ์ไม่คาดฝัน" จากน้ำมือเกาหลีเหนือ

ในอีกด้านหนึ่ง อนาคตของชาว เกาหลีเหนือ 24 ล้านคน ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เนื่องจากหน่วยงานบรรเทาทุกข์และองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศหลายแห่งลงความ เห็นว่า เกาหลีเหนือซึ่งต้องเผชิญกับความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจมานาน อาจประสบภาวะล่มสลายภายใน 3 ปี หลังการจากไปของ คิม จอง อิล และเมื่อถึงตอนนั้น ชาวเกาหลีเหนือที่ปกติต้องเสียชีวิตเพราะ "ขาดอาหาร" ไม่ต่ำกว่าปีละ 300,000-800,000 คนอยู่แล้ว จะมีชะตากรรมที่เลวร้ายลงอีกเพียงใด.

โดย: ไทยรัฐออนไลน์
19 ธันวาคม 2554, 19:30 น.
http://m.thairath.co.th/content/oversea/224580

------------------------------------------------------------------
FfF