บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.
26 มีนาคม 2552
<<< ไม่รู้ว่าคนที่ได้เงินแจก 2,000 จะคุ้มไหม ที่ต้องจ่ายปีหนึ่งคนละ 5-6 พันบาททุกปี >>>
สำหรับคนที่มีรถ
หลังรัฐบาลประกาศขึ้นภาษีไป 5 บาทต่อลิตร
ซึ่งจะบอกว่าขึ้นไปจากที่งดเก็บมายังไงก็ตาม
แต่สภาพตอนนี้ก็คือขึ้นไปอีก 5 บาทต่อลิตร
ครบ 5 บาทต่อลิตรค่อยมาคำนวนก็ได้
ผมคิดง่ายๆ
เฉลี่ยคนใช้น้ำมันเดือนหนึ่งประมาณ 100 ลิตร
ซึ่งอาจมีทั้งใช้เกินนี้หรือใช้ไม่ถึงต่อเดือน
ก็จะตกเดือนละ 500 บาท
ที่ต้องหายไปจากกระเป๋าเพิ่ม
หรือปีหนึ่งก็ 6,000 บาททุกๆ ปี ต่อจากนี้
เทียบกับตอนที่มีมาตรการงดเก็บก่อนหน้านี้
ซึ่งเห็นรัฐชี้แจงว่า
จะได้เงินที่เก็บเพิ่มลิตรละ 5 บาทนี้
ประมาณปีละหมื่นกว่าล้านบาท
ซึ่งก็พอๆ กับงบประมาณ
ที่เอามาแจกคนละ 2,000 บาทครั้งเดียว
ไม่ได้แจกทุกปี
ก็ประมาณหมื่นกว่าล้านบาท
หรือจะพูดง่ายๆ ว่า
การเก็บภาษีครั้งนี้ในปีแรก
เพื่อเอาไปใช้แจกเงิน 2,000 บาท
สำหรับคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท
ที่ทำประกันสังคมไว้ดีๆ นี่เอง
ซึ่งรัฐบาลหรือผู้เห็นด้วยกับมาตรการขึ้นภาษีครั้งนี้
เพราะมองว่าไม่มีผลกระทบอะไร
ขึ้นนิดหน่อยจิ๊บๆ
แต่ก่อนขึ้นไปลิตรละ 40 บาทต่อลิตรยังอยู่ได้
อาจเป็นการมองในลักษณะคนมีเงินเหลือเฟือ
ไม่ได้มองในลักษณะคนรากหญ้าหรือคนทั่วไปที่ไม่รวยนัก
เงินประมาร 500 บาทต่อเดือน 6,000 บาทต่อปี
มันไม่ใช่น้อย
สามารถไปซื้อสินค้าอะไรเพื่ออุปโภคบริโภค
เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อมได้อีกด้วย
ในขณะเดียวกัน
ประชาชนอาจมองว่า
รายได้จากการขึ้นภาษีน้ำมันครั้งนี้
แค่หมื่นกว่าล้านบาทเอง
จิ๊บๆ กับรายได้รัฐบาลที่มีระดับล้านล้านบาทขึ้นไป
การเลือกวิธีนี้
โดยการหาเงินแบบเบี้ยหัวแตก
แต่ทำให้เกิดสภาวะดูดเงินออกจากกระเป๋าประชาชน
ไปจำนวนหนึ่งและอาจมีเรื่องราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น
จากต้นทุนราคาน้ำมันที่คิดกันเป้นทอดๆ
แม้นิดๆ หน่อยๆ แต่รวมๆ แล้ว ประชาชน
จะสูญเสียรายได้และรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น
เป็นเงินจำนวนมาก
ถึงตรงนี้
อยากรู้ไหมว่าทำไมพวกคุณถึงเข้าไปนั่งในใจรากหญ้าไม่ได้
เพราะคุณทำและคิดแบบคนมีเงิน
ไม่ได้ทำและคิดแบบคนรากหญ้าหาเช้ากินค่ำ
การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส
ที่รัฐบาลต้นฉบับประชานิยมในประเทศนี้ทำ
คือแนวทางที่ถูกต้อง
แต่รัฐบาลนี้พยายามลอกเลียนแบบ
โดยหวังว่าจะเข้าไปนั่งในใจแทนคนเก่า
แต่กับทำตรงกันข้าม
เป็นประชานิยม
แต่เพิ่มรายจ่าย ลดรายได้ และ ปิดโอกาส
อย่างกรณีความพยายามเปลี่ยนชื่อ OTOP นี่
เป็นการปิดโอกาสหาเงินเข้าประเทศอย่างแรงที่สุด
แล้วยังงี้จะให้ประชาชนนิยมได้ยังไง
ประชานิยมคือสิ่งที่ประชาชนคนส่วนใหญ่นิยม
ไม่ใช่คนส่วนน้อยนิยม
เขาถึงเรียกว่าประชานิยมของแท้
จะลอกทั้งที่เอาจิตวิญญาณมันไปด้วย
อย่าเอาไปแต่ชื่อหรือรูปแบบ
ผมว่าชาติไม่ได้อะไรกับวิธีการนี้
แต่พวกที่ดึงเงินออกจากกระเป๋าคุณได้มากกว่า
ได้เอาไปหาเสียงไปวันๆ
ได้เอาเงินไปผลาญให้หมดไปวันๆ
ชาติไม่ได้อะไรเลย
ไม่ว่าจะการกระตุ้นเศรษฐกิจอะไรก็ไม่ได้
ใครมาบอกว่านี่เป็นมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผมว่าถ้าพวกคุณได้ยิน
ก็สมควรไล่พวกที่พูดแบบนี้ออกไปเสีย
เพราะว่ามันกระตุ้นอะไรยังไงตรงไหน
ในเมื่อดึงเงินออกจากกระเป๋าคนใช้รถ
คนรวยมีเงินอาจพูดแบบคุณ
แต่คนใช้รถจำนวนมาก
เงินที่เหลือพวกนี้
อาจนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง
ด้วยการนำไปช่วยซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น
หรือนำไปเที่ยวก็เป็นการกระจายรายได้
แต่ที่กำลังทำๆ อยู่นี้เขาเรียกว่ากำลังทุบเศรษฐกิจ
ให้หดตัวเร็วกว่าเดิมมากกว่า
แล้วยังงี้ใครไปสนับสนุนกระทำแบบนี้
อย่ามาบอกเลยว่ารักชาติ
ผมไม่เชื่อหรอก
ถ้าบอกว่ารักพรรค ปชป. อันนี้ผมเชื่อ
ก็เห็นๆ อยู่ว่าเศรษฐกิจกำลังย่ำแย่ผู้คนกำลังตกงาน
ยังมารีดเลือดเอากะปู
แล้วมันจะไม่ย่ำแแย่หนักขึ้นหรือยังไง
อีกอย่างผมไม่ได้บอกว่า
ห้ามขึ้นไปเหมือนเดิมไปตลอด
ถ้าเศรษฐกิจดีๆ จะขึ้นไปก็ได้
แล้วช่วงนี้เศรษฐกิจดีรึยัง
การขึ้นเท่ากับซ้ำเติมเศรษบกิจโดยรวมทางอ้อม
การทำแบบนี้
เท่ากับแสดงให้เห็นว่า
เงินงบประมาณแสนกว่าล้านบาท
ที่อาจต้องกู้มาเสริมด้วย
ไม่ใช่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ไม่ให้หดตัวลงไปมากกว่านี้
แต่ออกมาเพื่อหาเสียงและตุ้นเสบียงเท่านั้น
เพราะถ้ามีจุดประสงค์ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง
เพื่อไม่ให้มีบริษัทปิดกิจการมากขึ้นหรือคนตกงานมากขึ้น
จะต้องไม่มาเพิ่มภาษีตัวนี้ในระยะนี้
แถมไม่ใช่แค่ให้เพิ่มกลับไปเท่าเดิมก่อนงดเก็บ
แต่เป็นการเพิ่มมากกว่าเดิมก่อนที่จะงดเก็บ
ส่วนใครจะไม่สนใจที่ถูกรีดเงินออกจากกระเป๋า
เพื่อให้เขาเอาเงินไปผลาญเล่นแบบมั่วๆ แบบนี้
อันนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องของแต่ละคน
แต่คนที่เขาไม่เห็นด้วยคุณจะมาบังคับให้เขาเงียบๆ
ห้ามโวยวายหรืองัดมุกเพื่อชาติมาปิดปาก
แต่จริงๆ เพื่อ ปชป. หรือรัฐบาลนี้ไม่ได้หรอก
เพราะถ้านั่งเงียบๆ นั่งมองดูการดูดเงินออกจากกระเป๋า
ไปจ่ายสุรุ่ยสุร่ายแล้วยังเป็นผลให้เงินหมุนเวียน
ของคนจำนวนมากลดลงไปอีก
ก็ไม่ต่างอะไรกับนั่งมองโจรมาปล้นเงินตัวเองไปต่อหน้าต่อตา
คือถ้าไม่อธิบายเหตุผล
เขาก็นึกว่านี่มันหาเรื่องโจมตีทางการเมือง
ซึ่งก็บอกว่าใช่ไม่ต้องอ้อมค้อม
แต่ตีจุดที่รัฐบาลนี้อธิบายไม่ได้
ต่อให้กองเชียร์มาช่วยอธิบาย
ก็อธิบายสิ่งที่รัฐบาลนี้ทำไม่ได้
นอกจากมามุกเพื่อชาติหรือนิดหน่อยไม่สนใจ
แต่ถ้าไม่อธิบายก็นึกว่ามาตั้งหาเรื่องกล่าวหาไปวันๆ
ไม่มีเหตุผล
ซึ่งก็ใส่เหตุผลเข้าไปแล้ว
ก็อยากฟังเหตุผลที่ดีว่า
ทำไมประชาชนที่ใช้รถ
สมควรเสียเงินเพิ่มปีละ 6,000 บาททุกปี
เพื่อให้เอาไปแจกนั่นนี่พวกนั้นพวกนี้
ถ้าบอกเดือนละ 500 มันน้อย
แต่ถ้าเป็นยอดทั้งปี
ก็จะรู้ว่ามันไม่น้อย
ไม่เช่นนั้นบางคน
จะหลบภาษีทำไมโดยเฉพาะพวกรถกระบะ
หลบจากป้ายเขียวมาเป็นป้ายฟ้า
เสียภาษีถูกกว่ากันไม่กี่พัน
นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเงินไม่กี่พัน
สำหรับบางคนเขามองว่าเยอะน่ะ
แม้บางคนบอกว่าไปเลี้ยงเหล้าเพื่อน
คืนเดียวก็ไม่พอแล้วก็ตาม
แต่คนส่วนใหญ่หาเช้ากินค่ำเขาก็มีรถขับ
หรือพวกขับเก๋งที่เป็นพวกข้าราชการเงินเดือนน้อย
แต่เขาก็มีเหตุจำเป็นต้องใช้
ส่วนตัวก็ไม่เดือดร้อนหรอก
ขึ้นมากก็หยุดเที่ยวเท่านั้น
และก็หยุดซื้อของที่ไม่จำเป็นเท่านั้น
ที่จริงขนาดคนมีเงินหลายๆ หมื่น
เขาก็มีหนี้ที่ต้องผ่อนต้องใช้เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียอีก
มันไม่ใช่ว่าเงินแค่ปีละไม่กี่พันมันนิดหน่อย
ถ้ามันนิดหน่อย
รีบๆ ออกมาเลยภาษีป้ายรถเก๋ง
ลองขึ้นไปอีกปีละ 2,000 บาท
ดูซิจะโวยไหม
นโยบายลดภาษี
มันเป็นการลดรายจ่ายให้ประชาชน
ในเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี
หารายได้ให้ประชาชนลำบาก
การลดรายจ่าย
ก็คือการช่วยให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นนั่นเอง
และถ้าเทียบระหว่างการเพิ่มรายได้
ด้วยการไปกู้เงินมา
เพื่อมาแจกจ่าย
กับการลดการเก็บภาษีชั่วคราว
วันหนึ่งเศรษฐกิจดีค่อยๆ เพิ่มก็ไม่มีใครว่า
เพราะเศรษฐกิจดีการเพิ่มภาษีเป็นสิ่งที่ต้องทำ
เพื่อไม่ให้เกิดเงินเฟ้อมากขึ้นอยู่แล้ว
วิธีการกู้เงิน
มีต้นทุนที่สูงกว่า
ทั้งค่าดอกเบี้ยเงินกู้
ทั้งค่าเงินต้นที่ต้องใช้คืนด้วย
และความเสี่ยงด้านอื่นๆ
เช่นยอดหนี้สาธารณะจะเพิ่มมากเกินไปไหมเป็นต้น
ในขณะที่การลดภาษีแบบที่รัฐบาลก่อนๆทำ
ต้นทุนต่ำกว่า
ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยไปใช้คืนเพราะไม่ได้ยืมเงินใคร
แค่ไม่ได้เก็บเงินเท่านั้น
เงินต้นก็ไม่ต้องดิ้นรนหาไปใช้คืนเขาภายหลัง
และไม่มียอดหนี้สาธารณะเพิ่มให้ปวดหัว
รัฐบาลนี้กลับยกเลิก
วิธีที่ดีกว่าในแง่ด้านต้นทุนการนำมาใช้
กับมาเลือกวิธีเพิ่มต้นทุนเช่นกู้มาบ้าง
และเพิ่มภาระเพิ่มค่าใช้จ่ายให้ประชาชนบ้าง
เช่นการรีดภาษีต่างๆ เพิ่ม
ผมให้พวกคุณคิดด้วยใจเป็นธรรม
เอาการเมืองวางไว้
แล้วคุณลองบอกผมซิว่า
อย่างไหนมันคุ้มค่ามากกว่ากัน
เผลอๆ สุดท้ายก็ต้องหันมารีดภาษีอะไร
อีกสักตัวสองตัวเพิ่ม
เพื่อให้พอกับวงเงินที่ตั้งไว้ในการถลุงครั้งนี้
ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจแน่นอน
เมื่อรัฐบาลรีดเงินออกไปจากกระเป๋าประชาชนแล้ว
ก็คือลดอำนาจซื้อของประชาชน
จะไปออกมาตราการอะไร
เพื่อให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยเพิ่ม
ก็หวังลมๆ แล้งๆ ไปเหอะ
หรือจะไปช่วยอุตสาหกิรรมต่างๆ ให้ไม่เจ๊งเพิ่ม
ไม่ลดคนงาน
ก็ลำบากหน่อย
เมื่อประชาชนจำนวนมากๆ
มีความรู้สึกเงินในกระเป๋าเหลือน้อยลง
ก็ต้องเริ่มรัดเข็มขัดกันแล้ว
ผลิตสินค้าอะไรออกมา
ถ้าไม่ใช่สิ่งจำเป็นต้องใช้จริงๆ
ก็ขายลำบาก
ซึ่งก็คงเจ๊งมีคนตกงานเพิ่มขึ้นตามมา
ไปเติมน้ำมันราคาถูกลง
เพราะรัฐบาลไม่ได้เก็บภาษีน้ำมัน
ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณมาอุ้ม
ไม่ได้ไปรีดภาษีใครมาโป๊ะ
ไม่น่าอายหรอกครับ
วิธีไล่แจกเงิน 2,000 บาทน่าอายกว่าเยอะแยะ
เพราะคนอื่นนั่งมองตาปริบๆ
ว่าทำไมฉันไม่ได้บ้าง
ฉันเป็นเกษตรกรเป็นกรรมกรเป็นวินมอเตอร์ไซด์
แม่ค้าพ่อค้านักธุรกิจคนเงินเดือนสูงๆ
ไม่ได้รับทั้งๆ ที่เป็นเงินที่เอาภาษีคนทั้งประเทศไปแจก
คนทั้งประเทศต้องโดนรีดภาษีเพื่อไปใช้หนี้ใช้ดอกเบี้ยแทน
แบบนี้น่าอายกว่าแบบแรกน่ะผมว่า
อีกอย่างการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบไม่ใช่ลิงแก้แห
ควรมองทั้งระบบและควรไปแนวทางเดียวกันกับเป้าหมาย
เช่นปีนี้ต้องการทำอะไรถึงขนาดดิ้นรนสร้างหนี้เพิ่ม
ทำงบประมาณขาดดุลขึ้นมาอีกแสนกว่าล้านๆ
ทั้งๆ ที่รัฐบาลที่แล้วทำเผื่อไว้ให้แล้ว
ถ้าไม่ใช้ทำเพื่อหาเสียงหรือตุนเสบียง
ต้องการเพิ่มเงินโดยยอมขาดดุลงบประมาณเยอะๆ
เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจขยายตัวบ้าง
เพื่อไม่ให้มีคนตกงานเพิ่ม
กลายเป็นปัญหาที่ต้องไปตามแก้ไขอีก
ถ้าเป็นแบบนี้
ก็ไม่ควรออกนโยบายอะไรมาขัดทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง
จะมาอ้างหรือนึกคึกทำอะไรนอกแนวแบบเอามัน
หรือเข้าตาจนแบบมั่วๆ แบบนี้
แล้วมาอ้างนู้นอ้างนี่
ผมถามว่า
ถ้าเกิดมีใครอยากเ็ป็นนักอนุรักษ์พลังงานกระทันหัน
ขึ้นไปเลยลิตรละร้อย
เพื่อประชาชนจะได้เลิกใช้น้ำมัน
เพื่อประหยัดเงินตราต่างประเทศ
เพื่ออนุรักษ์พลังงานหรืออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ซึ่งมีประโยชน์มากมาย
โดยไม่สนใจเศรษฐกิจโดยรวม
ผมว่าคนพวกนี้
เหมาะไปทำงาน NGOs
เฉพาะสาขาอนุรักษ์ด้านนี้
หรือไม่ก็ไปเป็นปลัดประจำกระทรวงพลังงานอะไร
ยังดีกว่ามาเป็นรมต.คลัง
หรือนายกผู้คุมทิศทางเดินของประเทศ
โดย มาหาอะไร