บันทึกเรื่องราว สืบสาวความจริง ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน.
Save the stories. Investigate the truth. Give to the next generation.


03 มิถุนายน 2552

<<< ข้อคิดจาก เอลซิด (EL CID) >>>

เอลซิด (EL CID) วีรบุรุษสงครามครูเสด
เป็นหนังเก่า 3 แผ่นที่ผมพึ่งดูเมื่อคืนนี้
คงไม่เล่ารายละเอียดของหนังทั้งหมด
จะขอเล่าเฉพาะที่เป็นข้อคิดที่น่าสนใจ

ข้อแรกคือการให้อภัย
ปราบหัวใจศัตรูได้อย่างราบคาบ
ระหว่างไปงานแต่งงานเขาได้ปะทะกับแขกมัวร์ (มุสลิม)
และจับกษัตริย์ของแขกมัวร์เผ่านั้นมาได้
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้คน
ให้ฆ่าเสียเพราะถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของชาวคริสเตียน
ช่วงนั้นมีการรบกันระหว่างชาวมุสลิมกับคริสต์ทั่วไปหมด
แต่เอลซิดกับเลือกปล่อย
ทำให้เขาโดนข้อกล่าวหา
ว่าเป็นกบฏต่อกษัตรย์สเปน
แต่การกระทำครั้งนั้น
ทำให้เขาได้รับขนาดนามว่าเอลซิด
และสุดท้ายแขกมัวร์ที่เขาปล่อยไปในวันนั้น
ได้กลับมาช่วยชีวิตเขาและช่วยร่วมรบปกป้องสเปน
จากกลุ่มมุสลิมที่เดินทางมาจากแอฟริกา
ดูแล้ววิธีการปล่อยตัวนักโทษที่เป็นศัตรูตัวฉกาจนั้น
เป็นวิธีการรบแบบไม่เน้นฆ่าทิ้งทั้งแผ่นดิน
แต่เน้นให้ยอมมาสวามิภักดิ์แบบเต็มใจ
แถมสุดจะคุ้มที่ปล่อยคนไม่กี่คน
แต่ซื้อใจฝ่ายตรงข้ามได้เพิ่มมากมาย

ข้อสองคือให้ทาน
เป็นการปูทางให้ฝ่ายตรงข้ามไว้ใจ
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต
เอลซิด ต้องการไปยึดเมืองบาเลนเซีย
เพื่อเป็นฐานที่มั่นตั้งรับการบุกของกองทัพมุสลิม
ที่ข้ามมาจากแอฟริกา
เมืองบาเลนเซียตอนนั้นมีเจ้าเมืองเป็นมุสลิมหรือแขกมัวร์
มีป้อมปราการติดทะเลที่สูงใหญ่ราวกับตึก 5-10 ชั้น
เอลซิด ใช้วิธีล้อมเมืองไว้
พอฝ่ายตรงข้ามเริ่มขาดแคลนอาหาร
เอลซิด ให้ยิงถุงอาหารข้ามกำแพงเข้าไปในเมือง
ชาวบ้านที่กำลังอดอยากก็มาแย่งถุงอาหารกันใหญ่
เจ้าเมืองรู้เข้าก็สั่งทหารไปขัดขวางใครขัดขืนก็ฆ่าทิ้ง
สุดท้ายชาวบ้านสู้แบบสุนัขจนตรอกด้วยสองมือเปล่า
แย่งอาวุธจากพวกทหารมาสู้แบบถวายชีวิต
และในที่สุดก็ไปเปิดประตูเมืองให้กองทัพของ เอลซิด
เข้าเมืองมาอย่างง่ายๆ
กษัตริย์บาเลนเซียตอนนั้นก็ถูกชาวบ้านจับโยนลงมาจากที่สูง
กลยุทธ์การส่งอาหารเข้าไปให้
เป็นการซื้อใจในช่วงที่เขากำลังอดอยาก
เป็นสิ่งสำคัญมาก
และเป็นการซื้อใจได้ถูกจังหวะ
ทำให้ชาวบ้านไว้ใจ
ว่าผู้นำคนใหม่จะดีกว่าเก่า
และไม่ทำร้ายพวกเขาแน่ๆ
จึงเลือกไปตายเอาดาบหน้าด้วยกัน

ข้อสามคือการใช้วิธีหลอกลวงผู้คนเพื่อให้ทำตาม
สุดท้ายเมื่อเขารู้ความจริงเขาจะละทิ้งสิ่งที่ทำอยู่
หลังจากที่เอลซิด ยึดเมืองบาเลนเซียได้ไม่นาน
กองกำลังมุสลิมจากแอฟริกาก็บุกมาถึง
เอลซิด นำทัพออกรบแนวหน้า
พลาดท่าถูกยิงด้วยธนู บาดเจ็บสาหัส
ฝ่ายข้าศึกก็ปลุกขวัญผู้คนว่าเอลซิดตายแล้ว
ทำให้กองทัพของฝ่ายข้าศึกที่บุกมามีขวัญกำลังใจมากขึ้น
ส่วนกองทัพฝ่าย เอลซิด เสียขวัญระส่ำไปหมด
สุดท้ายแล้วเอลซิด ก็กัดฟันออกรบในวันรุ่งขึ้น
เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ทหารฝ่ายตน
แต่ผลกลับกลายเป็นว่า
เมื่อทหารฝ่ายข้าศึกเห็นเอลซิด ยังไม่ตาย
ก็คิดว่าเป็นผี แล้วก็หันหลังวิ่งหนีกันจนพ่ายแพ้ไปในที่สุด
กรณีนี้เป็นตัวอย่างโทษของการโกหก
ซึ่งไม่ยั่งยืนวันไหนผู้คนรู้ว่าไม่จริง
เขาอาจหันหลังให้กับคนที่หลอกลวงเขา

ข้อสี่คือความดีเอาชนะใจคนได้
จากในเรื่องชนะใจภรรยาเขา
ที่โกรธเขามากที่ไปฆ่าพ่อของเธอตาย
แล้วเธอก็ประกาศจะแก้แค้น
สุดท้ายแพ้ความดีของเขา
และยอมตามไปลำบากกับเขา
ยามที่เขาไม่มีอะไร
โดนกษัตริย์ยึดทรัพย์ยึดตำแหน่ง
เนรเทศออกจากเมือง

อีกคนก็กษัตริย์คนที่เนรเทศเขา
ที่โกรธเอลซิด ที่ไม่ยอมก้มหัวให้
แถมยังให้กษิตรย์สาบานต่อหน้าประชาชนว่า
ไม่เกี่ยวข้องกับการตายของพี่ชาย
เพราะเขาอยู่ในเหตุการณ์ที่พี่ชายเขาถูกลอบสังหาร
สุดท้ายหลังเป็นกษัตริย์ไม่นาน
เอลซิดเลยโดนยึดทรัพย์ยึดตำแหน่งและถูดเนรเทศไปไกลๆ
ห้ามผู้ใดช่วยเหลืออีกต่างหาก
แต่หลังจากที่เขารวบรวมผู้คนไปยึดเมืองบาเลนเซียได้
ผู้คนที่ร่วมรบหวังว่าเขาจะประกาศตัวเป็นกษัตริย์บาเลนเซียคนต่อไป
เขากับนำมงกุฏไปถวายกษัตริย์สเปนคนที่เนรเทศเขาแทน
ทำให้ตอนหลังกษัตริย์สเปนผู้นี้
ยอมส่งทัพมาช่วยที่บาเลนเซีย
เพื่อปกป้องสเปน
จากการรุกรานของศัตรูที่มาจากแอฟริกาด้วยกัน

อันนี้เป็นเรื่องราวสมัยก่อนน่ะ
ใครจะนำมาใช้ในสมัยนี้
อาจได้ผลไม่เหมือนสมัยนั้นก็ได้
เพราะว่าผู้คนสมัยนี้
นิสัยเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนมากๆ
จบการวิเคราะห์แค่นี้ก่อน
เดี๋ยวจะไปดูต่อมีอีกหลายสิบเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
จะได้หาเรื่องมาโม้ให้ฟังอีก

โดย มาหาอะไร